นักบุญปีแอร์ เลอ ฟาแวร์
St. Pierre Favre
ฉลองในวันที่ : 8
สิงหาคม
ปีแอร์
ผู้ศักดิ์ลืมตาดูโลกครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน
ค.ศ.1506 ที่หมู่บ้านวิลลาเร็ต ในดินแดนที่เป็นของตระกูลซาวอย ซึ่งปัจจุบันคือแซ็งต์ ฌอง เดอ ซิซต์ จังหวัดโอต-ซาวัว แคว้นโรนาลป์ ประเทศฝรั่งเศส ในครอบครัวของชาวนา
ดังนั้นตั้งแต่วัยเยาว์ท่านจึงมีหน้าที่เลี้ยงแกะในทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มของเทือกเขาแอลป์ในทุกๆวันเช่นเด็กบ้านไร่ทั่วไป
แต่ความทรงจำของท่านนั้นช่างถือว่าเป็นเลิศนัก
ท่านสามารถจดจำบทเทศน์ของคุณพ่อในตอนเช้า แล้วนำมาเล่าได้คำต่อคำเลยทีเดียวในระหว่างสอนคำสอนในช่วงบ่าย
การศึกษา ท่านได้ไปอยู่ในความดูแลของคุณพ่อที่ตูนซ์
หลังจากนั้นก็ที่โรงเรียนที่หมู่บ้านใกล้เคียงชื่อ ลา โอช ซูร์ โฟ-อง ก่อนในปี
ค.ศ.1525 ท่านจะเดินทางเข้ากรุงปารีสเพื่อศึกษาต่อที่วิทยาลัยแซงต์ บาร์เบ
โรเรียนที่เก่าแก่ที่สุดในมหาวิทยาลัยปารีสและได้พักห้องเดียวกับนักบุญฟรานซิส
เซเวียร์
ทำให้ท่านและเขากลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันที่กอดคอกันเข้ารับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตในวันเดียวกัน เมื่อปี ค.ศ.1530
นอกจากนั้นที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ท่านยังได้พบนักบุญอิกญาซิโอ
แห่ง โลโยลา ที่มาศึกษาอยู่และพักห้องเดียวกันกลับท่าน
ท่านจะมีหน้าที่สอนเรื่องปรัชญาของอริสโตเติลให้เขา ส่วนเขาก็จะสอนท่านในเรื่องจิต
ซึ่งนำไปสู่สายสัมพันธ์ในฐานะเพื่อน ก่อนในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ.1533 ท่านจะเดินทางกลับบ้านเพื่อสะสางเรื่องต่างๆ ก่อนจะกลับมาในต้นปี ค.ศ.1534 และได้เข้ารับการฝึกปฏิบัติจิตภายใต้คำแนะนำของนักบุญอิกญาซิโอเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน
ซึ่งปีนั้นมีอากาศที่หนาวมากจนถึงขนาดที่น้ำในแม่น้ำแซนน์แข็งจนเอาเกวียนไปวิ่งได้เลยทีเดียว
แต่แทนที่ท่านจะจัดการระบบทำความร้อนในบ้านที่ไปพักในชนบทนักบุญยากอบ
ท่านกลับทำตรงข้ามท่านสวมแค่ชุดธรรมดาและนอนหลับบนไม้ฟืนที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเตาผิงเสีย
ไม่พอท่านยังเริ่มอดอาหารเป็นระยะเวลาถึงหกวันด้วยกันอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย
กระทั้งนักบุญอิกญาซิโอแวะมาเยี่ยมและทราบเรื่องก็ขอให้ท่านหยุดการฝึกที่เกินขอบเขตของท่านนี้เสียและขอให้จุดไฟในเตาผิงและกลับมารับประทานอาหารเช่นเดิม
และที่สุดท่านก็ได้สัมผัสได้ถึงกระแสเรียกการเป็นสงฆ์ผู้รับใช้พระเจ้า
ซึ่งช่วยปลดท่านออกจากโซ่แห่งความสงสัยต่ออนาคตที่บีบรัดท่านมาตลอดลง การเป็นอิสระในครั้งนี้ทำให้ดวงใจที่เคยทุกข์ระทมของท่านสัมผัสได้ถึงสันติสุขและความสว่างอย่างที่ท่านไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ท่านได้รับศีลอนุกรมในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ.1534 และได้ถวายมิสซาแรกในวันฉลองนักบุญมารี มักดาเลน ที่ 22 กรกฎาคม ปีเดียวกันนั้นเอง
หลังจากนั้นในวันสมโภชแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
ที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1534 ณ วัดเล็กที่สร้างถวายแด่แม่พระ บนเนินมงต์มาทร์
เมื่อแผ่นศีลถูกชูขึ้นจากแผ่นรองศีลต่อหน้าทุกคนบรรดาสมาชิกของคณะใหม่จำนวนหกคนก่อนรับศีล
ทุกคนได้ถวายคำปฏิญาณตนและรับศีลมหาสนิทจากมือของท่านผู้เป็นพระสงฆ์องค์เดียวในจนครบแล้ว
ท่านผู้ทำมิสซาจึงได้ถวายคำปฏิญาณตนเป็นคนสุดท้ายและรับศีลมหาสนิท แม้ในขณะนั้นทุกคนจะไม่มีความคิดเรื่องคณะใหม่เลยซักนิด
แต่อิฐแรกของคณะเยซูอิตก็ถูกวางลงแล้วอย่างแข็งแกร่ง
ถัดจากนั้นท่านและสหายก็ตามไปสมทบกับนักบุญอิกญาซิโอที่เวนิสในวันที่
15 พฤศจิกายน ค.ศ.1536 และมาถึงในเดือนมกราคมในปีถัดมา
ที่นั่นพวกท่านได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปประกาศข่าวดีที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์และตัดสินใจจัดตั้งเป็นคณะธรรมทูต
คณะแห่งพระเยซูเจ้าหรือเยซูอิต
ก่อนจะเดินทางเข้ากรุงโรมเพื่อมอบตัวเองไว้กับพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่
3
ท่านยังคงใช้เวลาอยู่ที่นั่นอีกหลายเดือนในการเทศน์และการสอน
กระทั้งสมเด็จพระสันตะปาปาทรงส่งท่านไปยังปาร์มาและปีอาเซนซา
ท่านก็ได้ไปและได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูความเลื่อมใสของคริสตชน
ในฐานะของอัครสาวกของเยอรมัน ท่านถูกเรียกกลับโรมในปี ค.ศ.1540
ก่อนจะถูกส่งไปประเทศเยอรมันเพื่อเป็นตัวแทนพระศาสนจักรในสภานิติบัญญัติแห่งโวรมซ์
และหลังจากนั้นท่านก็ได้ร่วมสภานิติบัญญัติแห่งเรเจนซ์บรูก
อันมีจุดประสงค์เพื่อความความสามัคคีในศาสนาในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในปี ค.ศ.1541
ซึ่งการมาครั้งนี้ทำให้ท่านถึงต้องตกใจกลับสภาพความสงบจากการเคลื่อนไหวของโปรเตสแตนต์ที่ค่อยๆขยับไปทั่วประเทศเยอรมันกับความเสื่อมโทรมของฐานานุกรมคาทอลิกหรือพูดง่ายๆตำแหน่งสมณศักดิ์นั่นเอง
ดังนั่นท่านจึงตัดสินใจที่จะแก้ปัญหานี้แต่ไม่ใช่ที่โปรเตสแตนต์ แต่อยู่ที่คาทอลิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์
ดังนั้นสิบเดือนที่สเปเยอร์ ที่เรเจนซ์บรูกและที่ไมนซ์ ท่านจึงปฏิบัติตนด้วยความอ่อนโยนต่อทุกคนที่ท่านพบ
ชื่อเสียงของท่านเป็นที่ขจรไกลไม่ใช่ด้วยบทเทศน์ที่จับใจ
แต่เป็นคำแนะนำทางวิญญาณ ท่านมีอิทธิพลต่อทั้งเจ้าชาย
มุขนายกและพระสงฆ์ที่ได้พบท่าน นอกจากนั้นท่านยังไปๆมาในยุโรปด้วยการเดินเท้า
เพื่อชี้แนะพระสังฆราช พระสงฆ์ ขุนนางและคนทั่วไปเหมือนกันกลับการฝึกปฏิบัติจิตที่นำไปสู่การฟื้นฟูจิตใจ
แม้จะเป็นเยซูอิตคนเดียวในที่นี่
ท่านก็ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะท่านเดินไปบนสะพานแห่งเวลาและนิรันดร์
ซึ่งมีพลเมืองคือบรรดานักบุญและทูตสวรรค์ทั้งหลายเดินไปด้วยกัน
ทุกวันท่านจะสวดต่อนักบุญประจำวัน บรรดานักบุญทั้งหลายและอัครเทวดา ซึ่งท่านมักขอให้พวกเขาคอยช่วยเหลือท่านเสมอทั้งในการทำตนท่านให้ศักดิ์สิทธิ์และการแพร่ธรรมของคณะ
และทุกครั้งที่ท่านจะเข้าเมืองไหนท่านก็มักสวดขอนักบุญที่เกี่ยวข้องกับที่นั่น และทุกครั้งท่านจะสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแม้จะเป็นพื้นที่อริก็ตามท่านก็มั่นใจได้
หรือไม่บางครั้งถ้าท่านจะชี้นำคนท่านก็จะสวดขออารักขเทวดาของพวกเขาเสมอ
หลังจากนั้นท่านก็เดินทางไปสเปนตามคำสั่งของนักบุญอิกญาซิโอ
ก่อนจะกลับไปเยอรมันเป็นครั้งที่สองตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปา
เป็นระยะเวลาอีกเก้าเดือนที่ท่านใช้เวลาที่สเปเยอร์ ที่ไมนซ์และที่โคโลญในการปฏิรูปซึ่งเป็นงานที่จัดได้ว่าหินสุดๆและท้าทายมาก
แต่กระนั้นท่านก็สามารถหว่านเมล็ดพันธ์แห่งกระแสเรียกเยซูอิตลงบนแผ่นดินนี้ได้ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักบุญปีเตอร์
คานิซิอุส เยซูอิตชาวดัทต์คนแรก นอกจากนั้นท่านยังได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งกระแสเรียกในคนหนุ่มที่เลอเฟนในปี ค.ศ.1543 ก่อนเดินทางกลับโคโลญ และใช้เวลาระหว่างปี ค.ศ.1544 และ ค.ศ.1546 ดำเนินงานของท่านในโปรตุเกตและสเปน ซึ่งในโปตุเกตท่านก็ได้เป็นสื่อวางรากฐานคณะเยซูอิตในประเทศนั้น
ส่วนที่สเปน ท่านก็เป็นนักเทศน์ที่ร้อนรน ท่านจึงถูกเชิญให้ไปเทศน์ในเมืองหลักๆของสเปน
ซึ่งทุกที่ท่านก็ได้กระตุ้นความร้อนรนของคริสตชนและกระแสเรียกการนักบวช
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือนักบุญฟรานซิส บอร์เจีย
ถัดจากนั้นในปี
ค.ศ.1546 สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 ก็ได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านไปเป็นผู้เชี่ยวชาญ(Peritus) ตัวแทนของสันตะสำนักในสภาแห่งเตรนต์ ในวัยสี่ปีท่านจึงได้ออกเดินทางด้วยเท้าเช่นเดิมเพื่อเข้าร่วมสภา
แต่ก็มาได้เพียงกรุงโรมท่านก็มีสภาพอ่อนแอจากพิษไข้
จนที่สุดแล้วในอ้อมแขนของนักบุญอิกญาซิโอเพื่อนรักในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ.1546 ด้วยอายุรวม 40 ปี
ร่างของท่านถูกฝังที่วัดแม่พระแห่งหนทางศูนย์กลางของคณะเยซูอิตในสมัยนั้น
ก่อนถูกย้ายมาในวัดพระเยซูเจ้าเมื่อวัดสร้างเสร็จ เรื่องราวของท่านถูกบันทึกและได้รับการบันทึกในสารบบบุญราศีในวันที่
5 กันยายน ค.ศ.1872 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 9 และในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.2013 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก็ทรงสถาปนาท่านเป็นนักบุญเป็นกรณีพิเศษคือไม่ต้องมีอัศจรรย์ประกอบและไม่ต้องมีพิธีสถาปนา
“คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร” (เยเรมีย์ 17:7) เป็นจริงดังนั้นตามที่กล่าวไว้
คิดดูหากเป็นเราถ้าต้องไปทำงานในสถานที่ที่แบบที่ท่านไปทำ เราคงมิสามารถทำได้แน่ จะให้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อลงบนผืนดินที่เกือบจะแห้งแล้งจะบ้าหรือ
แต่ผ่านความวางใจท่านสามารถทำได้โดยเริ่มจากตัวท่านเองด้วยการวางใจในพระ
ท่านก็สามารถฟื้นดินที่เกือบจะแห้งแล้งให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เช่นเดิม
เพื่อเตรียมหว่านเมล็ดพันธ์แห่งกระแสเรียกลงไป ซึ่งนับเป็นพระหรรษทานของพระเจ้าที่ต้นไม้เหล่าได้เติบโตออกผลมากมาย
ซึ่งนับเป็นอัศจรรย์นักที่คนๆเดียวจะสามารถฟื้นฟูความร้อนรนของคริสตชนที่สมัยนั้นหย่อนยานให้กลับมาได้
เช่นกันการวางใจคือกุญแจดอกสำคัญในกิจการทุกการที่เราทำ
เพราะผ่านความวางใจในพระเมตตาของพระเจ้าแล้ว
ชีวิตของเราในทุกๆวินาทีก็จะเอ่อล้นไปด้วยพระหรษษทานมากมาย ลองวางงานของเราในมือพระดูซิ
แล้วเราจะพบกลับผลที่เกิดคาดเดา
“นักบุญปีแอร์ เลอ ฟาแวร์ ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง
Pope Report
หนังสืออิกญาซิโอ
แห่งโลโยลาผู้สถาปนาคณะแห่งพระเยซูเจ้า เสาเข็มของเยซูอิต หน้า 87-89
http://www.sjweb.info/documents/cis/pdfenglish/200510910en.pdf