วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

"เพา โยเซฟ" บิดาของผู้ยากไร้


บุญราศีเพา โยเซฟ นาร์ดินี
Blessed Paul Josef Nardini
ฉลองในวันที่ : 27 มกราคม

มาร์กาเรตา ลิคเท็นแบรแกร (Margareta Lichtenberger) ต้องหอบหิ้วบุตรชายคนเดียวของเธอไปมา หนูน้อยผู้ไม่เคยทราบว่าบิดาเขาชื่ออะไร คงรู้แต่ว่าเขาเป็นวิศวกรทหารออสเตรีย เธอตกงานมาสองปีแล้ว จนที่สุดด้วยความจำเป็นเธอจึงตัดสินใจเอาบุตรชายของเธอไปไว้กับคุณป้าฝั่งบิดาของเธอ คุณป้ามารีอา บาร์บารา  ลิคเท็นแบรแกร (Maria Barbara Lichtenberger) ที่สมรสกับอันตน นาร์ดินี  ชาวอิตาลี ทั้งสองรักหนูน้อยเมื่อบุตรแท้ๆในไส้เลยทีเดียวละ



หนูน้อยเพา เกิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค..1821 ที่แกรแมรไซม์(Germersheim) รัฐไรน์ลันด์-พฟัลซ์ ราชอาณาจักรบาวาเรียหรือปัจจุบันคือประเทศเยอรมัน ท่านเป็นนักเรียนที่ขยันและมีเกรดเฉลี่ยดีมากๆ ดังนั้นแทนทีจบประถมแล้วท่านจะได้เรียนทำรองเท้า ท่านจึงได้ไปเรียนภาษาลาติน ในปี ค..1834  ก่อนท่านจะย้ายไปศึกษาในโรงเรียนมัธยมที่ ชไปเออร์ ในปี ค..1838

และเมื่อจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษา ท่านก็เริ่มสัมผัสได้ถึงกระแสเรียกการเป็นสงฆ์ผู้แทนของพระคริสตเจ้า ดังนั้นหลังจากจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษา ท่านก็ได้เข้าสามเณรราลัยที่ชไปเออร์ และได้ศึกษาด้านปรัชญาอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาตั้งแต่ปี ค..1841-..1843 ก่อนถูกส่งไปมหาวิทยาลัยลุดวิก แมกซิมิเลียน ในมิวนิก ในภาควิชาเทวศาสตร์ และจบด้วยปริญญาเอกในวันที่ 25 กรกฎาคม ค..1846  ด้วยคะแนนเกียรตินิยม



แม้จะถูกอาจารย์สนับสนุนให้ประจำอยู่ที่วิทยาลัย แต่ท่านก็ไม่เอา เพราะความฝันอันสูงสุดของท่านคือการเป็นพระสงฆ์ประจำเขตวัด โดยก้าวอย่างแรกสู่ความฝันของท่านคือการเข้าพิธีบวชขั้นต้น ในวันที่ 5 มิถุนายน ค..1846  ก่อนในวันถัดมาท่านจะได้รับศีลบวชเป็นรองสังฆานุกร หลังจากนั้นท่านก็กลับไปชไปเยอร์พร้อมปริญญาเอกที่พึ่งได้มาเมื่อวันจบและได้รับศีลบวชเป็นสังฆานุกรในวันที่ 11 สิงหาคม จนที่สุดแล้วความฝันท่านก็เป็นจริง ณ อาสนวิหารแห่งชไปเยอร์ ผ่านการหมอบราบหน้าพระสังฆราช ท่านก็ได้รับศีลอนุกรมเป็งสงฆ์ผู้แทนพระคริสตเจ้าสงฆ์นิรันดร์

หน้าที่ของท่านหลังรับศีลอนุกรมคือการเป็นจิตตาภิบาลที่แฟรงเคนไทล(Frankenthal) แล้วจึงไปเป็นผู้บริหารวัดที่เขตวัดในเทรเบอร์ ก่อนไปเป็นเจ้ากระทรวงของโรงเรียนประจำของสังฆมณฑลในชไปเออร์ หลังจากนั้นท่านก็ได้ไปประจำไปทำงานอภิบาลในฐานะพ่อเจ้าวัดที่เขตวัดของพรีมาซีนซ์(Pirmasens) ที่ยากจนและขัดสนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ..1851 เป็นต้นมา



ตลอดเวลาแม้ไม่ได้พบมารดามานาน ท่านก็ไม่เคยลืมพระคุณของเธอเลย และเมื่อท่านได้ย้ายมาที่นี่ ท่านก็ได้รับมารดามาอยู่ด้วยในบ้านพักและที่นี้เช่นกันท่านได้แสดงให้เห็นถึงแบบฉบับสงฆ์ที่ดี อาทิความกระตือรือร้นในการละทิ้งตัวเองและการแพร่ธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการประกาศข่าวดีและสร้างภาพชุมชนคริสตังในพื้นที่ของคริสต์เตียน ด้วยผลที่มีประสิทธิภาพในฐานะพระสงฆ์ บวกกับบทเทศน์ ทักษะการสอนคำสอนและความรักต่อศีลมหาสนิทของท่าน ทำให้ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับหน้าถือตาและนำไปสู่ชื่อ บิดาของผู้ยากไร้ในชุมชน

กระนั้นท่านก็มีความกังวลต่อสภาพของเยาวชนและผู้สูงอายุในพื้นที่ที่ถูกบังคับให้อาศัยอยู่ ท่านเห็นบรรดาคริสตังเป็นชนกลุ่มน้อยๆที่ถูกกดขี่ในพื้นที่ด้วยการทำงานหนัก เยาชนหลายคนต้องไปเป็นขอทานอยู่ตามถนนหนทาง ดังนั้นท่านจึงมีความคิดที่จะตั้งคณะสตรีที่จะช่วยอภิบาลงานนี้ แต่ทางสภาเมืองที่ทั้งหมดล้วนเป็นคริสต์เตียนกับต่อต้านอย่างรุนแรงต่อการตั้งอารามในเมืองนี้ แต่อย่างไรก็ตามท่านก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวแม้มันจะเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตท่านก็ตาม



ดังนั้นในปี ค..1853 ท่านจึงได้เชิญซิสเตอร์จาคณะภคินีแห่งพระผู้ไถ่กู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง(Sisters of the Most Holy Redeemer) จากประเทศฝรั่งเศส มาช่วยดูแลและให้การศึกษาแก่บรรดาเยาวชนผู้ยากไร้ในพื้นที่ และขอให้ดูแลผู้ป่วยที่ทุกข์ยากโดยมิคำนึงถึงเชื้อชาติและศาสนา และเพียงไม่นานหลังจากซิสเตอร์สามคนมาถึง พันธกิจแรกของพวกเธอและท่านก็เริ่มขึ้นด้วยการระบาดของโรคไข้รากสาดใหญ่ในเมือง พวกท่านก็ได้ช่วยพยาบาลพวกเขาทั้งกลางวันและกลางคืนในบ้านหลังเล็กๆที่ท่านเช่าไว้ และด้วยเหตตุนี้หนึ่งในซิสเตอร์คนหนึ่งก็ติดโรค

หลังจากนั้นอีกสองปีถัดมา งานของพวกท่านก็เป็นที่ชัดเจนว่ามีมากขึ้นและดูเหมือนว่าบรรดาซิสเตอร์จะถูกเรียกตัวกลับ นอกจากนั้นทางฝั่งรัฐบาลยังออกกฎหมายห้ามสมาชิกคณะทางศาสนานอกประเทศเยอรมัน ดังนั้นท่านจึงเริ่มแสวงหาคำตอบจากพระเจ้าว่าท่าควรจะทำอย่างไรต่อไปและองค์พระเจ้าก็ทรงตอบรับคำภาวนาของท่าน ใช่แล้วคณะท้องถิ่นไงละ พวกเขาจะสานงานต่อ



ดังนั้นหลังจากมีการเรียนหนึ่งในบรรดาซิสเตอร์ของคณะกลับ เมื่อโรคไข้รากสาดใหญ่กลับมาอีกครั้ง ท่านก็ได้นำสตรีผู้สมัครใจสำหรับคณะใหม่เข้าอารามของเขตวัดสองคน คือ บาบาร่า ชว้าร์ซ กับ ยูเลียน มิเคด  สมาชิกฟรานซิสกันขั้นสาม ซึ่งท่านก็เป็นสมาชิก เข้ารับการฝึกอบรมและถวายตัวในวันที่ 2 มีนาคม ค..1855 ด้วยนามใหม่ว่า ซิสเตอร์อกาธา กับ ซิสเตอร์อลอยเซีย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคณะใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลคนยากจรน มอบการศึกษาภายใต้กฎของคณะฟรานซิสกันขั้นสามนาม คณะฟรานซิสกันผู้ยากไร้แห่งพรีมาซีนซ์  ซึ่งายหลังเปลี่ยนมาเป็น คณะภคินีฟรานซิสกันผู้ยากไร้แห่งพระวิสุทธิวงส์ จุดนี้เองที่ซิสเตอร์จากฝรั่งเศสได้กลับไป



ก้าวอย่างแรกของคณะใหม่มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บทความในหนังสือพิมพ์ของรัฐต่างประโคมข่าวโจมตีท่านอย่างรุนแรงำหรับการก่อตั้งคณะนี้ พระสังฆราชยังคงมิได้อนุมัติคณะท่าน อย่างไรก็ตามท่านก็ยังคงดำเนินงานต่อ ท่านใช้เวลาส่วนตัวในการดูแลและก่อร่างสร้างคณะ อีกเรื่องอาหารและที่พักของคณะ แม้จะต้องอดข้าวเย็นก็ตาม ท่านก็ทำเพื่อให้มีรายได้ในการทำสิ่งนั้น เพราะท่านมั่นใจว่าจะมีคนมาเข้าคณะท่านอีกมากมาย

และที่สุดแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึงเมื่อพระสังฆราชทรงทำให้คณะของท่านได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากพระศาสนจักร ในวันที่ 10 มีนาคม ค..1857 ท่านยังคงทำงานตรากตรำมาเรื่อยกระทั้งในฤดูหนาวของเดือนมกราคม ค..1862 หลังจากไปโปรดศีลเจิมคนไข้แก่ลูกวัดในคืนที่หนาวจัดอย่างไม่เกรงกลัวต่ออากาศ ท่านก็ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่และถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบในวันที่ 27 มกราคม ค..1862 ด้วยอายุรวม 40 ปี



ท่านจากไปพร้อมกับคณะที่ก้าวหน้าด้วยจำนวนสมาชิกมากกว่าสองร้อยคนในสามสิบห้าที่  แม้ทุกคนจะอาลัยแต่ทุกคนรู้ดีว่าท่านคือนักบุญ เรื่องราวของท่านถูกเสนอและได้รับกานอนุมัติรับรองอัศจรรย์จากสันตะสำนักในรัชสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปากิตติคุณเบเนดิกต์ ที่ 16 อันนำไปสู่การแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นบุญราศีในวันที่ 22 ตุลาคม ค..2006 อย่างเป็นทางการในอาสนวิหาสเปเยอร์ ประเทศเยอรมัน

ผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย (โรม 2:13)  และพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าคือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง บุญเพาแสดงออกถึงเรื่องนี้ ท่านได้ฟังพระวาจาเช่นทุกคนที่เป็นคริสตชน หลังจากนั้นท่านจึงนำมันไปปฏิบัติให้งอกเงยจนเกิดผลด้วยการตั้งคณะเพื่อดูแลผู้ยากไร้ ดูเถิดว่าแม้นจะต้องพบคำครหาต่างๆ ในการตั้งคณะ แต่ที่สุดเวลาก็เผยความจริง พระเจ้าทรงมอบความชอบธรรมแก่ท่านที่จะดำเนินงานนี้ เช่นเดียวกันความชอบธรรมของพระเจ้าจะสถิตอยู่กับผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระองค์เสมอมิได้ขาดกระทั้งวันสิ้นพิภพ 


ข้าแต่ท่านบุญราศีเพา โยเซฟ นาร์ดินี  ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...