นักบุญราฟา
St.Rafqa
ฉลองในวันที่ : 23 มีนาคม
หมู่บ้านฮิมรายา
ประเทศเลบานอน วันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล
อัครสาวก ที่ 29 มิถุนายน ค.ศ.1832 ครอบครัวนายโมราด เอล ราเยส กับนางราฟคา เจมาเยล
ธิดาตัวน้อยได้ถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับได้รับศีลล้างบาปในวันที่ 7 กรกฎาคม ด้วยนาม “บูโทร์สซีช”
อันมีความหมายหากอ่านด้วยภาษาอาหรับว่า “ธิดาแห่งเปโตร”
ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยบิดามารดาก็คอยพร่ำสอนให้ท่านรักพระเจ้าและสวดภาวนาทุกๆวัน
แต่ไม่นานความสุขก็พลันจบลงเมื่อมารดาท่านมาด่วนจากท่านไป
ในขณะที่ท่านมีอายุได้เพียงแค่ 7 ปี มันเป็นความเศร้าที่ยิ่งใหญ่สำหรับท่านนัก
หลังจากนั้นท่านก็เติบโตขึ้นมาโดยขาดมารดา กระทั้งอายุได้ 11 ปี บิดาท่านก็ประสพปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก
เขาจึงส่งท่านไปทำงานเป็นคนใช้ที่ดามัสกัสเป็นระยะเวลาถึงสี่ปี ในบ้านของอาซซาอาด
อัล บาดาวี ชาวเลบานอน ที่นั่นท่านเติบโตมาเป็นสาวที่จัดได้ว่าสวย น่าพึงพอใจ
มีอารมณ์ขัน เกลี้ยงเกลา อ่อนโยนกับวาจาที่ดูสงบ
ท่านกลับมาบ้านและพบว่าบิดาท่านได้สมรสใหม่แล้ว
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของปัญหาเมื่อแม่เลี้ยงต้องการให้ท่านสมรสกับพี่ชายของเธอ
ส่วนคุณป้าฝ่ายมารดาของท่านก็ต้องการให้ท่านสมรสกับบุตรชายของเจ้าหล่อนเช่นเดียวกัน
ในฝั่งท่านนั้นท่านมิมีความปรารถนาจะสมรสกับมนุษย์คนใดเลย
ท่านค้นพบปัญหาการวิวาทนี้ ในวันหนึ่งหลังจากกลับจากตักน้ำที่น้ำพุ
ท่านก็ได้ยินพวกเขาเถียงกันอย่างยกใหญ่
ท่านจึงทูลขอให้พระเจ้าทรงโปรดแก้ปัญหานี้ที
ที่สุดท่านก็ตัดสินใจจะอุทิศชีวิตของท่านต่อพระสวามีเจ้าองค์เดียวพระคริสตเจ้าด้วยการเป็นซิสเตอร์อันเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของท่าน
ท่านทูลขอให้ความปรารถนาของท่านสำเร็จลงต่อพระเจ้าและเดินทางไปยังอารามพระมารดาแห่งอิสรภาพในบิคฟายา
ของคณะมาเรียเมตเตส (ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ธิดาพระมารดาผู้ปฏิสนธินิรมล)
“เมื่อฉันเข้าไปในวัด
ฉันรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่
ได้รับความบรรเทาใจที่ภายในและขณะมองภาพของแม่พระ
ฉันรู้สึกราวกับว่ามีเสียงมาจากภาพและ….บอกกับฉันว่า ลูกจะเป็นซิสเตอร์”
คุณแม่อธิการอนุญาตให้ท่านเข้าอารามได้เลย
โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ
ท่านสมัครเข้าอารามและปฏิเสธที่จะกลับบ้านไพร้อมกับบิดาและแม่เลี้ยงเมื่อพวกเขามากีดกันท่านจากการเป็นซิสเตอร์
ท่านเริ่มชีวิตในอารามในฐานะนวกะในวันฉลองนักบุญมาอ๊องที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1855 ในอารามที่กาซีร์ ด้วยนาม “อนิซซา” (อักแนส) ถัดจากนั้นท่านจึงถูกส่งไปแดร์ เอล แกมาร์ ในปี
ค.ศ. 1860 เพื่อช่วยสอนคำสอนในพันธกิจของคณะเยซูอิต
ที่นั่นท่านได้แลเห็นการนองเลือดที่เกิดขึ้นในเลบานอนขณะนั้น
และได้ทำสิ่งที่เสี่ยงที่สุดครั้งหนึ่งด้วยการช่วยเด็กชายคนหนึ่งไว้ใต้เสื้อคลุม
ซึ้งช่วยให้เขาพ้นจากความตายมาได้อย่างฉิวเฉียด
จากนั้นในปี ค.ศ. 1863 ท่านก็ถูกส่งตัวไปสอนที่โรงเรียนของคณะในบีโบล์ส หนึ่งปีหลังจากนั้นท่านย้ายไปประจำที่หมู่บ้านมาอาด เพื่อสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงด้วยความช่วยเหลือของนายอ็องตูน อิซซา เป็นระยะเวลาราว 7 ปี
หลังจากนั้นในปี
ค.ศ.1871 คณะของท่านก็ได้รวมกับคณะพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์ ดังนั้นซิสเตอร์ในคณะจึงมีทางเลือกสองอันคือเข้าคณะใหม่หรืออย่างใดก็ได้
ท่านรู้สึกสับสน ท่านจึงทูลต่อพระเจ้าเพื่อขอความสว่าง ท่านได้เข้าไปในวัดนักบุญจอร์จเพื่อการนี้ และพระเจ้าก็ได้ทรงตรัสกับท่านว่า “ลูกจะยังคงเป็นซิสเตอร์”
และในคืนวันเดียวกันนั้นเองท่านก็ฝันเห็นชายสามคน คนหนึ่งมีเคราสีขาว
อีกคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายทหารและอีกคนเป็นชายชรา มาหาท่านชายผู้หนึ่งกล่าวกับท่านว่า
“จงไปเป็นซิสเตอร์ในคณะบาลาดิตา”
หลังจากนั้นท่านก็ตื่นขึ้นด้วยดวงใจที่เออล้นไปด้วยความสุข
ท่านรับไปหาอ็องตูนเพื่อเล่าความฝันให้ฟังและทราบว่าทั้งผู้ที่กล่าวกับท่านนั้นคือนักบุญอันตน
อธิการ ส่วนอีกสองคนคือนักบุญจอร์จและนักบุญซีมอน สตีลิเตส
ดังนั้นด้วยการสนับสนุนด้านการเงินจากนายอ็องตูน
ท่านจึงออกเดินทางไปยังอารามนักบุญซีมอนในอัล คาร์น ของคณะบาลาดิตา คณะนักพรตของเลบานอนและได้เข้าเป็นนวกะด้วยวัย 39 ปี ในวันที่
12 กรกฎาคม ค.ศ.1871 ก่อนเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีพด้วยนาม “ซิสเตอร์ราฟคา”
ท่านเจริญชีวิตเป็นแบบอย่างของเพื่อนซิสเตอร์ทั้งหลายในอาราม
ท่านยึดมันตามกฎของคณะ ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยการเสียสละและความเข้มงวดเสมอมา
กระทั้งในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม ค.ศ.1885 ท่านก็ไม่ได้ตามบรรดาซิสเตอร์ไปเดินรอบๆอาราม
แต่ตัดสินใจที่จะสวดสายประคำเนื่องจากเป็นวันแรกของเดือนสายประคำ
ดังนั้นบรรดาซิสเตอร์จึงบอกท่านก่อนออกไปทุกๆคนว่า “สวดให้ฉันด้วยนะ ซิสเตอร์” หลังจากนั้นท่านจึงได้เข้าไปสวดภาวนาในวัดและได้สวดขอให้ตัวท่านได้สัมผัสกับพระมหาทรมานของพระองค์ “เหตุไฉนกันพระองค์จึงทรงออกห่างลูกและทิ้งลูกเล่า
พระองค์มิเคยเสด็จไปเยี่ยมลูกกับอาการเจ็บป่วยเลย ลูกมิควรที่จะได้รับมันดอกหรือ”
และภายในคืนนั้นพระเยซูเจ้าก็ทรงรับคำทูลขอท่าน
ความเจ็บปวดพลันเกิดที่ศีรษะของท่านในยามราตรีของคืนหลังวันนั้น
ก่อนที่มันจะค่อยๆไล่มาที่ตาทั้งสองของท่าน เมื่อคุณแม่อธิการทราบเรื่องของท่าน
คุณแม่ก็จึงนำตัวท่านไปรักษา เป็นระยะเวลาเกือบสองปีที่ท่านต้องทนทุกข์ทรมานที่ดวงตา
ไม่ว่าจะแพทย์คนไหนในท้องถิ่นก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย กระนั้นท่านยังคงยิ้มไปพร้อมวลีที่ว่า
“ในความสนิทกับพระมหาทรมานของพระองค์ พระเยซูเจ้า”
ที่สุดจึงมีการตัดสินใจส่งท่านไปเบรุตเพื่อรับการรักษา และผ่านวัดนักบุญยอห์น มาร์คัส
ในบีโบลส์ สหายเก่าท่านได้รู้ว่ามีแพทย์ชาวอเมริกันในพื้นที่
ดังนั้นพวกเขาจึงพาท่านไปหาเขาและเมื่อทำการตรวจ
เขาจึงสั่งให้ท่านต้องผ่าตัดตาขวาในทันที
ในการเข้ารับการผ่าตัดครั้งนั้นท่านปฏิเสธการใช้ยาสลบ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อหมอนำมีดไปผ่าตัดที่ดวงตาขวาของท่าน
เป็นมัน ตาขวาของท่านโผล่และหลุดตกลงมาที่พื้นห้อง แต่กระนั้นท่านก็หาบ่นไม่ ท่านเพียงแต่กล่าวว่า
“เพื่อพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า
ขอพระเจ้าโปรดทรงอวยพระพรมือของคุณและขอให้พระองค์ทรงตอบแทนคุณกลับด้วยนะค่ะ” พร้อมยิ้ม
และหลังจากนั้นดวงตาข้างซ้ายของท่านก็ค่อยๆจมลงไปในเบ้าและทำให้ตาบอดในที่สุด
จากนั้นท่านก็มีอาการตกเลือดที่บริเวณเบ้าตาทั้งสองประมาณอาทิตย์ 2-3 ครั้งเสมอ นอกจากนี้ท่านยังต้องทนกลับอาการเลือดไหลบ่อยที่บริเวณศีรษะ
คิ้ว จมูก “ราวกับว่าพวกมันกำลังถูกแทงด้วยเข็มร้อนสีแดง” พยานผู้เห็นเหตุการณ์กล่าว
อย่างไรความเจ็บปวดก็ไม่ได้พรากท่านจากชีวิตคณะ ท่านยังคงปั่นขนสัตว์ ฝ้าย
ถักถุงเท้าให้บรรดาซิสเตอร์ทั้งหลาย ร่วมร้องเพลงทำวัตรด้วยความถ่อมตนเสมอ
เนื่องจากอารามนักบุญซีมอนในฤดูหนามมีอากาศที่หนาวเย็นมาก
ดังนั้นท่านจึงได้รับอนุญาตที่จะย้ายไปพักในชายฝั่งของเลบานอนที่มีอากาศที่อบอุ่นกว่าเยอะในฐานะของแขกของคณะภคีนีเมตตาธรรม
แต่ท่านมิสามารถที่จะปฏิบัติตามกฎของที่นั่นได้
ท่านจึงขอให้ส่งท่านไปที่อารามนักบุญเอลีอุส ที่ เอล ราสซ์ ของคณะท่านเอง
ที่สุดในปี ค.ศ.1897 ท่านก็ได้อนุญาตให้ย้ายไปอยู่ในอารามนักบุญยอแซฟ อัล ดาฮร์ ใน จราบาตา
พร้อมซิสเตอร์อีกหกคน นำโดยซิสเตอร์อุร์สุลา อย่างถาวร ในอารามใหม่เอี่ยมของคณะ
ถัดจากนั้นเพียงสามปีท่านก็สูญเสียการมองเห็นไปตลอดและกลายเป็นอัมพาต
ต้องนอนตะแคงขวาตลอดเวลา เดินเหินไปไหนมาไหนไม่ได้อีกตลอดไป
ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งเจ็บปวด ซ้ำร้ายไม่พอท่านยังมีอาการบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย “สำหรับบาดแผลที่ไหล่ของพระเยซูเจ้า” ท่านกล่าว
ยิ่งกว่านั้นกระดูกสันหลังของท่านปูดออกมาจนเห็นเป็นเด่นชัด ร่างกายท่านเบา
ราวกับเป็นเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น
แต่มือทั้งสองของท่านก็ยังใช้ถักถุงเท้าเพื่อคนอื่นต่อไป พร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มที่สะท้อนความสงบและความอ่อนโยน
คู่การโมทนาขอบพระคุณสำหรับพระหรรษทานของพระเจ้าที่โปรดให้ท่านได้มีส่วนร่วมในพระมหาทรมานของพระองค์
จากการตรวจของแพทย์ได้ชี้ชัดให้เห็นว่าท่านป่วยด้วยโรควัณโรคกระดูกและข้อ
บันทึกความทรงจำของบรรดาซิสเตอร์ที่เคยอยู่ร่วมท่านในอารามแห่งนี้อีกเรื่อง
คือเรื่องที่เกิดขึ้นในวันสมโภชพระคริสต์วรกายครั้งหนึ่ง
ท่านปรารถนาที่จะร่วมพิธีพร้อมกับพี่น้องในอาราม
แต่แน่นอนความเจ็บป่วยนั้นเหนี่ยวรั้งให้ท่านมิได้ดังใจปรารถนา
ท่านทำได้แต่เพียงรอให้คุณพ่อมาส่งศีลให้เมื่อเขามาเยี่ยม แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้
ทันทีที่เสียงของบรรดาซิสเตอร์ทั้งหลายดังขึ้น
ท่านก็วอนขอพระเจ้าให้โปรดทรงช่วยท่านให้ได้ไปรับศีลด้วย
ฉับพลันท่านก็สามารถลงจากเตียงมาได้ แม้ร่างกายส่วนใหญ่ของท่านยังคงเป็นอัมพาตอยู่
จากนั้นท่านก็ค่อยลากตัวเองไปยังวัดอย่างช้าๆท่ามกลางความเจ็บปวดสุดจะบรรยาย
แต่ที่สุดท่านก็ได้รับศีลตามความปรารถนา
ยังความประหลาดใจมาแก่ซิสเตอร์ทุกคนนักต่อภาพที่เห็น
แต่ไม่นานท่านก็กลับมาเป็นอัมพาตเช่นเดิม
อัศจรรย์การมองเห็นแม้นไม่มีดวงตา
ครั้งหนึ่งเมื่อท่านกล่าวกับคุณแม่อุร์สุลาว่า “ลูกปรารถนาที่จะมองเห็นอย่างน้อยซักหนึ่งชั่วโมงก็ดี
เพื่อให้สามารถมองเห็นคุณแม่ค่ะ”
รอยยิ้มน้อยอันเปี่ยมสุขระบายขึ้นบนหน้าท่านพร้อมวลีอันเปี่ยมสุขว่า “ดูซิ ลูกมองเห็นแล้ว” ทันทีคุณแม่อุร์สุลายังไม่ปักใจเชื่อ
กระทั้งลองให้ท่านทายของหลายๆอย่างที่เธอชี้หรือถาม
ซึ่งท่านก็สามารถตอบได้หมดอย่างถูกต้อง หลังจากนั้นท่านก็ได้จ้องมองคุณแม่อุร์ซุลาและทิวทัศน์ของชนบทผ่านหน้าต่างในห้องเป็นระยะเวลาได้ราวชั่วโมง
ท่านจึงตกอยู่ในสภาวะหลับสนิทราวสองชั่วโมงได้ มันทำให้คุณแม่อุร์ซุลาเป็นกังวลมาก
เธอพยายามปลุกท่านหลายครั้ง กระทั้งท่านตื่นและเล่าว่าท่านได้ไปในสถานที่แห่งหนึ่ง
ที่มีขนาดใหญ่มาก ตัวอาคารการตกแต่งที่สวยงามด้วยอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำและมีผู้คนมากมายเบียดเสียดไปที่มัน
ท่านก็ได้ไปกับพวกเขา
ถึงจุดนี้พลันก็เกิดความสงสัยในใจของคุณแม่อุร์สุลาเธอจึงถามว่าเหตุ”ฉนท่านถึงกลับมาละ
ทำไมไม่เดินต่อไป “คุณแม่เรียกลูก ลูกเลยมาไงละค่ะ” ท่านตอบ
ความนบนอบของท่านนั้นท่านยึดมั่นตลอด
แม้ท่านจะมีสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยนัก
ท่านก็ไม่เคยทำสิ่งใดเลยโดยที่ไม่ได้รับคำอนุญาตจากคุณแม่อธิการ
ดั่งเรื่องราวที่เล่าไปข้างต้น
ขณะที่ใกล้ถึงปลายทางแห่งไม้กางเขนขึ้น
ท่านก็ได้ตัดสินใจบอกเล่าเรื่องราวของท่านแก่คุณแม่อธิการ คุณแม่อุร์ซุลา และที่สุดแล้วหลังจากเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมานในวันที่
23 มีนาคม ค.ศ.1914
หลังจากรับศีลเจิมคนไข้ได้ราวสี่นาทีท่านก็ได้สิ้นใจอย่างสงบด้วยอายุราว 81 ปี
ร่างของท่านถูกฝังในสุสานของอารามอย่างเรียบง่าย
แต่กระนั้นตลอดระยะเวลาสามคืนก็พลันบังเกิดแสงอันสุกสกาวที่หลุมของท่านตลอดเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจนัก
“ลูกมิกลัวความตายที่ลูกรอคอยมานาน
องค์พระเจ้าจะทรงให้ลูกมีชีวิตอยู่ด้วยความตายของลูกเอง” ท่านกล่าวหลังรับศีลมหาสนิทสามวันก่อนที่ท่านจะจากไป
เรื่องราวของท่านได้รับการจดจำและถูกนำไปสู่การดำเนินเรื่องขอแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศีและที่สุดในวันก่อนสมโภชพระจิตเจ้าที่
16 พฤศจิกายน ค.ศ.1985 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ได้ทรงแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศี
ระหว่างนั้นพระองค์ยังทรงยกย่องท่านให้เป็นแบบอย่างของความรักต่อศีลมหาสนิทในปีปิติมหาการุณย์
ค.ศ.2000 ก่อนหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีพระองค์จึงทรงสถาปนาท่านขึ้นไว้ในทำเนียบนักบุญ
เป็นนักบุญหญิงอีกคนจากเลบานอน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน
ค.ศ.2001
เรื่องราวชีวิตอันสง่าของท่านเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการน้อมรับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าด้วยใจยินดี
ท่านไม่เคยบ่นแม้จะต้องนอนเป็นอัมพาต ตาบอด ถ้าเป็นคนหลายๆคนคงบ่นด่าว่าพระเจ้าว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร
แต่ไม่ใช่ท่านกลับขอบพระคุณพระองค์ด้วยซ้ำ ตามพระวาจาที่ว่า “ ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง
จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา” (มัทธิว 16:24)
ดังนั้นวิธีการไปสวรรค์ในแบบนักบุญหลายต่อหลายท่านสรุปได้อีกข้อหนึ่งคือ การยอมรับน้ำพระทัยของพระด้วยใจยินดี
ขอบคุณพระองค์สำหรับความทุกข์บนโลก ระลึกว่ามันดีกว่าการต้องไปติดอยู่ที่แดนไฟชำระเป็นวันเป็นเดือนหรือเป็นปี
เพราะในนั้นช่างทรมานนักเกินจะหาคำใดๆในโลกมาอธิบายได้
“ข้าแต่ท่านนักบุญราฟา ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง