บุญราศีวิกตอเรีย
ราซัวมานาริโว
Bl. Victoire Rasoamanarivo
ฉลองในวันที่ : 22 สิงหาคม
ณ ชาติเกาะในมหาสมุทรอินเดีย นาม “มาดากัสการ์” เด็กสาวตัวน้อยๆได้ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางการกวาดล้างชาวคริสต์ ที่เริ่มเข้ามาปักหลักประกาศศาสนา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1820
เมื่อครั้งกษัตริย์ราดามา ที่ 1
ทรงอนุญาตให้บรรดามิชชันนารีนิกายแองกลิกันเข้ามาเผยแพร่ในมาดากัสการ์ แต่เมื่อกษัตริย์ราดามาสิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ.1828 รานาวาโรนา พระมเหสีในกษัตริย์ราดามา ก็ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองเกาะต่อพระราชสวามี ซึ่งในการปกครองพระนางรานาวาโรนาทรงมีจิตใจที่ฝักใฝ่อยู่กลับการนับถือผีเช่นดั้งเดิม
ดังนั้นประการฉะนี้ในปี ค.ศ.1835 การกวาดล้างชาวคริสต์บนเกาะจึงเริ่มขึ้นตามคำสั่งของพระนาง
เด็กหญิงราซัวมานาริโวเกิดในเวลานี้ ในปี ค.ศ. 1848 ณ
อันตานานาริโว ในครอบครัวของนายเรนีอองดริอองต์ซิลาโว ข้าราชการทหารในพระราชวัง กับ นางรามบูอิโนโร ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระญาติของพระนางรานาวาโรนา ดังนั้นด้วยเหตุนี้ในวัยเด็กท่านจึงได้มีโอกาสเข้าร่วมพระราชพิธีบวงสรวงต่างๆของพระราชวังอยู่บ่อยครั้ง
สถานการณ์ตึงเครียดของคริสตชนในมาดากัสการ์ดำเนินต่อไปกระทั้งพระนางรานาวาโรนาทรงสิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ.1861 พระราชโอรสของพระนางจึงขึ้นดำรงพระยศต่อเป็นกษัตริย์ราดามา ที่ 2 และได้ทรงมีพระราชโอการเปิดประตูที่ปิดตายต้อนรับบรรดาธรรมทูตทั้งหลาย หนึ่งในนั้นก็คือธรรมทูตของคณะเยซูอิตและคณะภคินีแห่งนักบุญยอแซฟแห่งกลูว์นีจากประเทศฝรั่งเศสเดินทางมาด้วย ทำให้มีการจัดตั้งโรงเรียนในอันตานานาริโวขึ้นในปี ค.ศ.1862
ท่านที่ขณะนั้นมีวัยได้สักสิบสามปี จึงได้เข้าเป็นนักเรียนของโรงเรียนนั้นเป็นกลุ่มแรกๆ และ ณ ที่นั่นเอง ท่านจึงได้รู้จักกับพระคริสตเจ้าผ่านเรื่องราวต่างๆของพระองค์ จนทำให้ท่านตัดสินใจละทิ้งการถือผีดั้งเดิมที่เคยเชื่อถือ แล้วก้าวไปหาพระองค์ “ลูกมิได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ก่อนเลย เพราะลูกมิได้รู้จักพระเจ้า ลูกขอปฏิญาณว่าจะไม่ขอปฏิบัติพิธีกรรมอันมีแต่เดิมมาซ้ำอีกแล้ว”
ท่านกล่าวขณะร่ำไห้หลังจากได้อ่านเรื่องราวพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า
นอกนี้จากที่โรงเรียน ท่านยังได้จุดประกายไฟแห่งความศรัทธาต่อพระเยซูเจ้าในตู้ศีล ที่สมควรยิ่งที่เราจะยึดเป็นแบบอย่าง โดยท่านเล่าว่า“เมื่อฉันเดินเข้าไปในวัดพร้อมกินผลไม้ไปด้วย
สายตาของฉันก็จับจ้องไปที่ตู้ศีลและฉันตระหนักดีว่าเวลานี้มีใครบางคนมองมาที่ฉัน
ฉันรู้สึกละอายใจนัก ฉันโยนผลไม้ทิ้งไป ก่อนคุกเข่าลงและสวดภาวนา ดังนั้นฉันจึงบังเกิดความรักและความเคารพพระเยซูเจ้าในตู้ศีล”
“คุณแม่คะ ลูกจะไม่เป็นเหมือนก่อนแล้ว
ลูกคือบุตรตรีของพระเป็นเจ้าเพราะลูกจะได้รับศีลล้างบาป
ลูกจะมีตราประทับแห่งพระจิตเจ้า นามของลูกคือ วิกตอเรีย” นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวกับมารดาในฐานะผู้เตรียมเป็นคริสตชนเพื่อขออนุญาตรับศีลล้างบาปตามประสงค์ และแน่นอนมารดาท่านคงมิได้ขัดข้องแน่ เพราะต่อมาท่านจึงได้เข้ารับศีลล้างบาปในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.1863 พร้อมเยาวชนอีก 26 คน ในวัดแซ็งต์มารี ด็องดูอาลู ด้วยวัย 15 ปี ก่อนจะได้รับศีลมหาสนิทในอีกหนึ่งปีถัดมา
แต่ก็ไม่วายถูกทางญาติโน้มน้าวให้ละทิ้งพระศาสนจักรเสมอ เพราะญาติๆเล็งเห็นว่าท่านควรหันมารับเชื่อเป็นแองกลิกันดีกว่า ด้วยจะมีประโยชน์ในด้านการเมืองมากกว่าพระศาสนจักรคาทอลิกที่เป็นของพวกฝรั่งเศส แต่อย่างไรก็ตามท่านก็ยังคงหนักแน่นต่อทางที่ท่านเลือก ทำให้ที่สุดบรรดาญาติๆเหล่านั้นก็ต่างต้องยอมท่านไป
ท่านปรารถนาจะเป็นซิสเตอร์ แต่คุณพ่อธรรมทูตทราบดีว่าครอบครัวท่านต้องคัดค้านแน่ๆ จึงห้ามไป นอกนี้คุณพ่อธรรมทตยังเล็งเห็นว่าท่านสมควรจะเจริญชีวิตในฐานะฆราวาสที่อุทิศตนทั้งครบเพื่อพระเจ้ามากกว่า เพราะท่านจะได้มีดอกาสแพร่ธรรมทั้งในครอบครัวและในราชสำนัก เพราะท่านถือว่ามีหน้ามีตาในราชสำนัก และต้องเข้าสนองงานอยู่ทุกวัน ท่านจึงน้อมรับ และในเวลาต่อมาท่านจึงได้เข้าพิธีสมรมอย่างถูกต้องตามบัญญัติของพระศาสนจักรกับนายทหารบกชื่อ นายราเดรียกา บุตรชาคนโตของนายกเทศมณตรี ตามความประสงค์ของครอบครัวในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ.1864
ภาพวาดฝันหลังจากนั้นของแขกเหรื่อก็คงไม่พ้น ภาพชีวิตคู่ที่หวานชื่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่ช่างผิดกันลิบลับกับวามเป็นจริงเพราะนายราเดรียกามีพฤติกรรมที่เหลวแหล่สุดๆ เขาติดสุราและหาสนใจชีวิตครอบครัวไม่ ทำให้ชีวิตวันๆของท่านมีแต่ทุกข์ จนพระราชินี บรรดาเพื่อนๆ และครอบครัวของท่านต่างขอให้ท่านหย่ากับเขาเสีย แต่ท่านปฏิเสธเพราะท่านยึดมั่นในศีลแต่งงาน “เธอมิทราบดอกหรือว่าการสมรสของคริสตชนมิสามารถเลิกราได้ ความตายเท่านั้นแหละที่จะพรากเราไปได้” ท่านกล่าว
ท่านยังคงใช้ชีวิตเป็นศรีภรรยาที่ดีเสมอ ความเชื่อช่วยค้ำจุนท่านให้ก้าวไปในเวลาแห่งความทุกข์ แม้จะต้องทนแรงกดดันให้ละทิ้ง คำภาวนาช่วยหล่อเลี้ยงความเชื่ออันล้ำลึกของท่าน ท่านภาวนาถึงสามชั่วโมงต่อวันในวัดด็องดูอาลู มันช่วยให้ท่านมีความแข็งแกร่งต่อการกระทำต่อสามีมากขึ้น ท่านไม่เคยบ่น ตรงข้ามท่านสวดภาวนาเพื่อการกลับใจของเขาและเชื้อเชิญให้เพื่อนๆให้ร่วมวอนขอพระหรรษทานการกลับใจนี้ไปพร้อมๆกัน
เวลาต่อมาเมื่อสงครามมาดากัสการ์-ฝรั่งเศสปะทุขึ้น (1883-85 และ 1894-96)
บรรดาธรรมทูตทั้งหลายชาวฝรั่งเศสก็ถูกขับออกจากโรงเรียนและประเทศ ดังนั้นคุณพ่อคูซเซกีที่ต้องละจากดินแดนนี้ไป จึงได้ตัดสินใจมอบหมายพันธกิจประกาศพระนามนี้ให้ท่านดูแลงานต่างๆต่อ คุณพ่อกล่าวกับท่านว่า “ลูกสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้เพราะลูกเป็นธิดาของนายกเทศมนตรีและเปี่ยมล้นด้วยความเชื่อ” ท่านจึงตอบไปว่า “ลูกไม่รู้วิธีที่จะทำหลายต่อหลายอย่าง
คุณพ่อคะ
ลูกจะต้องพยายามด้วยหัวใจและพลังทั้งหมดของลูกจนกว่ามันจะเสร็จสิ้นให้ได้ค่ะ”
หลังจากการจากไปบรรดาธรรมทูต
การเบียดเบียคริสตชนอีกบทก็เริ่มขึ้นทั้งวัด โรงเรียนสังกัดคาทอลิกมากมายถูกสั่งปิด แต่แม้สถานการณ์จะเป็นดังนั้น ท่านก็หาเกรงกลัวไม่
แม้จะถูกขู่ฆ่าก็ตามที ท่านก็ยังคงลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความเชื่อในเกาะ ท่านทั้งก่อตั้งกลุ่มกิจการคาทอลิกในเกาะเพื่อประโยชน์แก่ชุมชนคาทอลิกที่ล้มลง และยังให้การสนับสนุนคริสตชนในชนบทผ่านการเดินทางไปเยี่ยมเพื่อพูดคุยหนุนใจอย่างไม่ลดละ นอกนี้ท่านยังได้ยื่นเรื่องต่อทั้งองค์พระราชินี
นายกเทศมนตรีในนามของพวกเขา ทั้งขอขอตั้งศาสนสถานขึ้น
และก็ได้รับคำตอบจากนายกเทศมนตรีว่า “ไม่มีกฎห้ามชาวคริสต์สวดภาวนาอยู่ในวัดของพวกเขานิ” ดั่งนั้นเองมันจึงเป็นชัยชนะของท่าน
แน่นอนว่าความสำเร็จในการประคับประคองพระศาสนจักรในมาดากัสการ์นี้
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามาทั้งจากตำแหน่งทางสังคมของท่าน และความอดทนของท่าน เวลาเดียวกันก็มาจากการความลับในวิญญาณของสตรีตัวน้อยผู้นี้
นั่นคือการชิดสนิทกับพระเป็นเจ้าผ่านคำภาวนา เปาโล โมลินารี บันทึกว่า “เธออยู่ที่วัดหกถึงเจ็ดชั่วโมง เวลาว่างทุกวันตอนกลางคืนเธอมอบหมดเพื่อการสวดภาวนา” และท่านถือว่าพระองค์ทรงเป็นจุดหมาย
และแบบฉบับในทุกๆกิจการแต่เพียงประการเดียวของท่าน
การเพียรอุทิศตนอย่างต่อเนื่องในฐานะ‘ผู้พิทักษ์’
และ ‘บิดามารดา’
ของพระศาสนจักรมาดากัสการ์ ก็ทำให้เมื่อบรรดาธรรมทูตได้รับอนุญาตกลับมาในปี
ค.ศ.1886 แทนที่พวกเขาจะพบความเชื่อที่เหี่ยวเฉาลง ตรงข้ามพวกเขากลับได้พบความเชื่อที่เติบโตและผลิบานโดยฝีมือของหญิงตัวน้อยๆคนหนึ่ง
ชัยชนะประการต่อมาของท่านภายหลังงานของพระศาสนจักร คือการที่พระเจ้าทรงตอบคำภาวนาอันยาวนานของท่าน กล่าวคือเมื่อสามีของท่านเกิดประสบอุบัติเหตุและถูกพาตัวมาบ้านในสภาพบาดเจ็บสาหัส ก่อนเขาจะสิ้นใจลงได้ไม่นาน เขาก็ขอรับศีลล้างบาป และได้รับศีลล้างบาปด้วยนาม “ยอแซฟ” แล้วหลังจากนั้น ในเวลาต่อมาเขาจึงสิ้นใจอย่างสงบในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1888
หลังจากนั้นในวัยราว
40 ปี เนื่องจากท่านไม่มีลูก แต่ท่านก็รักบ้านของท่านราวกับเป็นลูกของท่าน เมื่อสามีสิ้นใจลง ท่านจึงเริ่มทำงานแพร่ธรรมและกิจเมตตาดั่งที่เคยทำอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นการไปเยี่ยมผู้ป่วย หรือผู้ต้องขัง หรือคนโรคเรื้อนด้วยความอ่อนโยน และก็ด้วยการไม่มีภาระใดๆเช่นกัน ท่านจึงมีเวลาว่างพอที่จะสวดภาวนา เพื่อยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าบ่อยขึ้น
แต่เวลาเดียวกันนั้น เมื่อทุกอย่างเข้าทีเข้าทาง คือหลังจากธรรมทูตได้กลับมา อาการป่วยต่างๆก็เริ่มรุมเร้าท่าน แต่ท่านก็มิได้ปริปากบ่น ท่านยังคงเจริญชีวิตอย่างสรรมถะเช่นปกติ จนกระทั้งล้มป่วยหนักได้ไม่นาน ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ.1894 ด้วยอายุรวม 46 ปี ซึ่งทันทีที่ข่าวการสิ้นบุญของท่านเป็นที่รู้กัน น้ำตาแห่งความวิโยคก็ดังไปทั่วทั้งเกาะจากชาวมาลากาซี และแม้ท่านประสงค์จะให้ฝังร่างไว้ที่สุสานวัด ร่างของท่านก็ถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานของบรรพบุรุษวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้เข้าไปคารวะร่างของท่าน
แต่เวลาเดียวกันนั้น เมื่อทุกอย่างเข้าทีเข้าทาง คือหลังจากธรรมทูตได้กลับมา อาการป่วยต่างๆก็เริ่มรุมเร้าท่าน แต่ท่านก็มิได้ปริปากบ่น ท่านยังคงเจริญชีวิตอย่างสรรมถะเช่นปกติ จนกระทั้งล้มป่วยหนักได้ไม่นาน ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ.1894 ด้วยอายุรวม 46 ปี ซึ่งทันทีที่ข่าวการสิ้นบุญของท่านเป็นที่รู้กัน น้ำตาแห่งความวิโยคก็ดังไปทั่วทั้งเกาะจากชาวมาลากาซี และแม้ท่านประสงค์จะให้ฝังร่างไว้ที่สุสานวัด ร่างของท่านก็ถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานของบรรพบุรุษวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้เข้าไปคารวะร่างของท่าน
แต่ก็ไม่อาจจะทำให้เรื่องราวอัศจรรย์ของท่านถูกลืมไปได้ เพราะถึงแม้ไม่อาจจะเข้าคารวะหลุมท่านได้ คริสตังมาลากาซก็ยังจดจำท่านได้เสมอ และในเวลาต่อมาจึงมีการเปิดกระบวนการแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นนักบุญ ซึ่งนำไปสู่การบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศีในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1989 โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ขณะทรงเสด็จเยี่ยมมาดากัสการ์ ซึ่งในวันนั้นพระองค์ทรงยกย่องท่านว่าเป็น “ธรรมทูตแท้จริง” และ “รูปแบบของฆราวาสในปัจจุบัน” ส่วนร่างของท่านในวันที่
22 สิงหาคม ค.ศ.1993 ก็ได้รับการย้ายมาฝังไว้ที่วัดด็องดูอาลู และอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบัน
“พระเจ้าจะทรงตอบสนองทุกคนตามสมควรแก่การกระทำของพวกเขา”(โรม 2:6) วิถีของท่านเป็นวิถีของความเชื่อ
ไม่ได้มีอัศจรรย์วิเศษวิโสอะไรเป็นแค่เพียงฆราวาสธรรมดา ท่านมิได้ยิ่งใหญ่ด้วยการปลุกผู้ตายให้ฟื้นขึ้น แต่ยิ่งใหญ่ด้วยอัศจรรย์แห่งคำภาวนาน้อยๆด้วยความเชื่อและความเชื่อนี้เองที่ทำให้พระเจ้าให้สามีท่านกลับใจ
ชัยชนะของท่านผลตอบแทนจากความเชื่อ พระเจ้าทรงตอบแทนเราเสมอ ขอแค่เรามีความเชื่อ
ความวางใจ ที่ขนาบไปกับการปฏิบัติกิจเมตตาเช่นท่านก็พอ
เป็นคนดีทั้งของพระและของโลก
“ข้าแต่ท่านบุญราศีวิกตอเรีย ราซัวมานาริโว
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง