วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

"ปีนา" แบบอย่างสัตบุรุษ


บุญราศีจูเซปปีนา ซูรีโน
Bl. Giuseppina Suriano
ฉลองในวันที่ : 19 พฤษภาคม

ยังมีอีกหลายเส้นทางความศักดิ์สิทธิ์ที่ลูกจะได้รับใช้พระศาสนจักร คำพูดนี้ในบทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิส กับบรรดาผู้เข้ารับการอบรมเป็นสงฆ์คาทอลิกแห่งสถาบันอนานญี่ (Anangni) ที่มาเข้าเฝ้าในวาติกัน ทำให้ผู้เขียนนึกถึงบุญราศีขึ้นมาองค์หนึ่ง ท่านมีชื่อว่า บุญราศีปีนา ซูรีอาโนดังนั้นผู้เขียนจึงอยากจะหยิบยกเรื่องราวของบุญราศีผู้นี้ออกมาให้ผู้อ่านได้ฟังกัน

จูเซปปีนา ซูรีอาโน เป็นธิดาของนายจูเซปเป กับ นางกราเซียลลา โกสตันตีโน ท่านเกิดที่ปาร์ตีนีโก ศูนย์กลางทางการเกษตรของจังหวัดปาแลร์โม บนเกาะซิซิลี จังหวัดปาแลร์โม ประเทศอิตาลี ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค..1915 และได้รับศีลล้างบาปเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีเดียวกัน ที่วัดประจำเมือง ท่านมักถูกเรียกง่ายๆจากทุกคนว่า ปีนา” 



ท่านเป็นเด็กที่เชื่อฟังบิดามารดา บ้านของท่านในอบอวลไปด้วยความรัก สันติภายในวิญญาณของท่านดึงท่านไปสู่สิ่งที่เรียบง่ายในชีวิต และท่านสามารถรับรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในทุกๆสิ่งที่อยู่รอบๆตัวของท่าน การศึกษาของท่านนั้นเริ่มจากครอบครัวในเรื่องความเชื่อ และเมื่ออายุได้สี่ปีท่านก็ได้เข้าโรงเรียนอนุบาลที่ดูแลโดยซิสเตอร์แห่งนักบุญอันตน

หลังจากนั้นในปี ค..1921ท่านจึงเข้ารับการศึกษาต่อในโรงเรียนของรัฐในปาร์ตีนีโก และเป็นที่ชื่นชมจากคุณครู ต่อมาในปีถัดมาท่านจึงได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกและศีลกำลัง ซึ่งในปีเดียวกันนั้นท่านก็ได้เข้ากลุ่มกิจการคาทอลิก และเมื่อท่านมีวัยได้ 12 ปี ท่านก็เริ่มที่จะมีส่วนร่วมในงานต่างๆนานของเขตวัดและในกลุ่มกิจการคาทอลิก วัดจึงกลายเป็น ศูนย์กลาง ของทุกๆกิจกรรมของท่าน ท่านให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับคุณพ่อเจ้าวัด คุณพ่ออันโตนีโอ กาตัลโด ซึ่งคุณพ่อองค์นี้ก็ยังเป็นคุณพ่อวิญญาณของท่านอีกด้วย


ในฐานะสมาชิกกลุ่มกิจการคาทอลิก ในระหว่างปี ค..1939-..1948 ท่านก็ดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการของกลุ่ม และระหว่างปี ค..1945-..1948  ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานกลุ่มกิจการคาทอลิกเยาวชน การเข้ากลุ่มกิจการคาทอลิกคือรากฐานะชีวิตฝ่ายจิตของท่าน และเป็นสิ่งสำคัญงานแพร่ธรรมของท่าน ท่านมักจะดึงความแข็งแกร่งและแรงบันดาลใจจากการสวดภาวนาในชีวิตประจำ การรำพึง ศีลศักดิ์สิทธิ์ พระวาจา และคำสอนของพระศาสนจักร หลังจากนั้นในปี ค..1948 ท่านจึงได้ริเริ่มกลุ่มธิดามารีย์ ซึ่งท่านเป็นประธานไปจวบจนสิ้นชีวิต

ท่านยังทำหน้าที่เป็นผู้เตรียมคู่สมรสในเขตวัด เล่นออร์แกน เพื่อนๆของท่านจึงต่างประทับใจท่านทั้งในการอุทิศตน ความซื่อสัตย์ ความเป็นมิตรและความรวดเร็ว ท่านเป็นคริสตชนที่ดี ร้อนรนในงานแพร่ธรรม รอบคอบเรื่องพระวรสารและเปี่ยมด้วยพระพรในการสถานให้คำแนะนำที่เหมาะสมและทันเวลา ในการปลอบประโลมผู้ทุกข์ใจ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ขจัดความโกธร และในการปลูกฝังความเชื่อ ท่านพูดกับทุกคนด้วยคำพูดที่ชัดเจนและทันใจ ท่านมีรอยยิ้มและความเรียบง่าย พยานกล่าวถึงท่านว่าท่านคือ หัวใจของเขตวัด



มองภายนอกนั้นท่านเปี่ยมไปด้วยสันติและความสุข ที่จะรับใช้ครอบครัว วัด และกลุ่มกิจการคาทอลิก แต่ภายในของท่านนั้นเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ตลอด ท่านรู้สึกถึงกระแสเรียกที่จะถวายตัวเองทั้งครบเพื่อพระในชีวิตนักบวช แต่ความปรารถนานี้ก็ยังมิได้ทำเสียที เพราะมารดาของท่านนั้นต้องการให้ท่านแต่งงานและปักหลัก เธอเป็นศัตรูกับทุกๆศาสนกิจของท่าน

ท่านเคยสารภาพว่า เหตุผลหลักที่ทำไมลูกยอมให้ความสิ้นหวังและความไม่สามารถดึงตัวลูกเองออกจากมันก็เป็นเพราะกระแสเรียกของลูก กระแสเรียกของท่านไม่ได้เป็นเพียงผลอันมาจากความต้องการและความตั้งใจของท่าน ท่านรู้สึกถึงกระแสเรียกการเป็นนักบวชอย่างแท้จริงและผ่านการปรึกษากับคุณพ่อวิญญาณมันก็ทำให้ท่านยิ่งเข้าใจว่านี่คือน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า



มันเป็นเวลาและเวลาอีกครั้ง ท่านพยายามที่จะโอบกอดชีวิตนักบวชและตระหนักว่าพระเยซูเจ้าทรงต้องการตัวท่านในฐานะเจ้าสาวของพระคริสตเจ้า แต่ครอบครัวของท่านอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย พวกเขายังคงต้องการให้ท่านแต่งงานอยู่วันยันค่ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มีลูกสาวที่ตายแล้วยังดีเสียกว่ามีลูกเป็นซิสเตอร์

ท่านยอมรับความล้มเหลวของท่านอย่างอาจหาญเพื่อการคืนดี แม้ไม่สามารถบรรลุถึงกระแสเรียกก็ตาม ท่านอยากที่จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าเพียงผู้เดียวและออกจากความควบคุมของตัวเองไปสู่ชีวิตและการยอมรับ สภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้เพื่อความรักของเจ้าบ่าวของท่าน



ท่านมีบันทึกที่เผยแสดงถึง คืนมืดของวิญญาณบางตอนในนั้นท่านเขียนว่า ใครหนอจะรู้ถึงการดึงออกและการเสียสละอันเจ็บปวดนี้ที่ดิฉันเจอและหยาดน้ำตาที่ดิฉันหลั่งในความเงียบเล่า วิญญาณดิฉันร่ำไห้และอยู่ในอันตรายจากการตกสู่หลุมลึก ……. มันคือการเสียสละอย่างแน่วแน่ของหัวใจ ท่านยังแสดงให้เห็นถึงความเดียวดายของท่านอีกว่า ดิฉันรู้สึกว่าอยู่คนเดียวและไร้ซึ่งความช่วยเหลือ จากทั้งคนและพระเอง ถูกทอดทิ้งแม้โดยผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวในชีวิตของดิฉัน ดิฉันอยู่ท่ามกลางความเงียบและการไม่ได้รับการตอบกลับ ดิฉันถวายทุกสิ่งนี้ให้ขึ้นอยู่กับพระองค์แต่อย่างไรท่านก็เข้าใจว่าท่านถูกเรียกไปสู่ความรัก ความรักเพื่อศีลศักดิ์สิทธิ์ ความรักเพื่อไม้กางเขน ความรักเพื่อวิญญาณที่ต้องการแบบอยากที่ดีของพวกเรา

จากนั้นในวันที่ 29 เมษายน ค..1932 คุณพ่อวิญญาณก็อนุญาตให้ทำปฏิญาณถือศีลบนการเป็นพรหมจรรย์ ซึ่งท่านก็รื้อฟื้นมันทุกๆเดือน หลังจากนั้นมาท่านจึงปฏิเสธการแต่งงานจากชายหนุ่มที่หมายปองท่าน ไม่ว่าจะมาไม้ไหนก็ตามคำตอบของท่านก็คือ ไม่  เป็นชนวนให้มารดาของท่านถึงกับโกธรเป็นฟืนเป็นไฟ จนถึงขั้นไปจิกผมท่านให้ออกจากวัด ทั้งยังขังท่านไว้ในห้องเพื่อให้ทำศาสนกิจใดๆทั้งสิ้น



ที่สุดแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ ค..1940 แสงแห่งความหวังก็ได้สาดส่องลงมายังวิญญาณของท่าน เมื่อบิดามารดาของท่านอนุญาตให้ท่านไล่ตามกระแสเรียกได้ ท่านจึงได้โบกมืออำลาครอบครัว เพื่อนๆในกลุ่มกิจการคาทอลิก และเข้าคณะธิดาแห่งนักบุญอันนา ใน ปาแลร์โม แต่เพีงแปดวันท่านก็ถูกส่งกลับ เพราะ แพทย์ตรวจพบว่าความผิดปกติในการเต้นของหัวใจท่าน

เมื่อกลับมาท่านก็ยังคงเป็นแม่งานและแบบอย่างของกิจการคาทอลิกเยาวชนและธิดามารีย์ ท่านทำให้มันกลายเป็นจุดหมายของท่านเพื่อยอมรับมันและเปลี่ยนมันให้เป็นความรัก ต่อมาในวันอังคารปัสกา ที่ 30 มีนาคม ค..1948 ท่านกับหญิงสาวอีกสามคน ท่านก็ได้ถวายตัวท่านเป็นยัญบูชาเพื่อความรอดของพระสงฆ์



ในเดือนเดียวกันปีนั้นตั้งแต่ต้นเดือนมาท่านก็เริ่มป่วยด้วยโรครูมาตอยด์ จากนั้นในวันที่ 19 พฤษภาคม ค..1950 ท่านก็ถูกพระรับไปจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ในขณะกำลังเตรียมตัวไปร่วมมิสซา ด้วยอายุรวม 35 ปี ร่างของท่านถูกฝังในสุสานของเขตวัด ก่อนในวันที่ 18 พฤษภาคม ค..1969 จึงได้มีการย้ายร่างของท่านมาไว้ในวัดพระหฤทัย ของ ปาร์ตีนีโก หลังจากนั้นในวันที่ 5 กันยายน ค..2004 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี

พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงมั่นคง อย่าหวั่นไหว จงออกแรงทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้มากยิ่งขึ้นเสมอ ท่านรู้อยู่แล้วว่า งานหนักของท่านไม่สูญเปล่าสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า(1คร15:58) บุญราศีปีนา เป็นตัวอย่างอีกอันในการทำงานพระในเขตวัดอย่างแข็งขัน ตามแบบวิถีชุมชนวัด พี่น้องที่รักงานของพระนั้นมีมากมายเราไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวชก็ทำได้ แต่ขอแค่เราทำมันด้วยใจจริง ใจที่รักพระ เท่านั้นแหละไม่ว่า มันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามพระก็ไม่ละเลยมันแน่นอน ขอให้เราทำงานเพื่อพระอย่างสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดวิญญาณ สุดปรีชาญาณของเรา


ข้าแต่ท่านบุญราศีจูเซปปีนา ซูรีโน ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

"กาตาลีนา" นักบุญชาวเกาะ


นักบุญกาตาลีนา โตมัส
St. Catalina Tomás
ฉลองในวันที่ : 5 เมษายน

กาตาลีนา โตมัส เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค..1531 เป็นบุตรคนที่สองจากเจ็ดคนของไฆเม โตมัส กับ มาร์เกซีนา กัลลาร์ด  เกษตรกรที่อาศัยอยู่ในเมืองวัลล์เดโมสซา บนเกาะมายอร์กา ของประเทศสเปน  มีตำนานมากมายเล่าถึงอัศจรรย์ในวัยเด็กของท่านอยู่มาก เราอาจเรียกได้ว่าเป็นตำนานทองของท่านก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ผิดที่จะกล่าวว่าท่านเติบโตพร้อมอัศจรรย์

ชีวประวัติของท่านมิอาจรวบรวมได้จนหมด แต่ก็มากพอที่จะทำให้เราเห็นชีวิตของท่าน เรื่องเล่าที่เป็นที่นิยมก็อาทิ ครั้งหนึ่งขณะท่านกำลังเก็บรวงข้าวพระเยซูเจ้าก็ทรงประจักษ์มาหาท่านในลักษณะถูกตรึงกางเขน อีกเรื่องก็คือมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งท่านได้หลบออกมาจากงานเลี้ยงเพราะท่านไม่ชอบงานประเภทนี้ ทันทีพระมารดามารีย์ พระมารดาพระเจ้าก็ทรงประจักษ์มาหาท่านและบอกกับท่านว่าพระบุตรของพระนางนั้นได้ทรงเลือกท่านไว้แล้ว ยังมีอีกเรื่องเล่าว่าวันหนึ่งท่านเสียใจอย่างหนัก เพราะท่านต้องการแต่งกายเช่นซิสเตอร์ ทันทีนักบุญแพร็กซิดิสและนักบุญแคเทรีน มรณสักขี ก็ได้ประจักษ์มาปลอบใจท่าน



ในหนังสือบางเล่มยังบันทึกถึงเรื่องเล่าดังต่อไปนี้อีกว่า มีวันหนึ่งท่านตื่นมากลางดึกและพบว่าทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยแสงสีขาว  สีฟ้า ที่สวยงาม คืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญพอดี จนทำให้ท่านเข้าใจผิดว่าเช้าแล้ว ดังนั้นท่านจึงรีบลุกจากเตียงเพื่อไปยังบ่อน้ำใกล้ๆ ประจวบกับตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนด้วย ทำให้ที่อารามฟรังซิสกันจึงลั่นระฆัง ทันทีท่านจึงเริ่มกลัว และร้องไห้  แต่บัดดลนักบุญอันตน อธิการ ก็ได้ประจักษ์มาจากสวรรค์ และจูงมือท่านไปส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย

กลับมาที่ชีวิตธรรมดาๆของท่านบ้าง ท่านนั้นมิได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือ หรือแม้แต่การสวดสายประคำ ดังนั้นท่านจึงใช้การนับจำนวนใบของกิ่งมะกอกแทนการนับเม็ด นอกจากนั้นท่านมักเดินเท้าเปล่าเสมอ แม้จะผ่านพงหนามแหลมก็ตาม ... ชีวิตของท่านนั้นก็เช่นเดียวกัน มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอดทาง เพราะเมื่อท่านมีวัยได้เพียงสามปีบิดาของท่านก็มาด่วนจากไป แต่แทนที่ท่านจะเสียใจอย่างเดียวตรงข้ามท่านกลับเริ่มสวดเพื่อบิดาของท่านอย่างร้อนรน และทูตสวรรค์ก็ได้ประจักษ์มาแจ้งว่าตอนนี้บิดาท่านได้รับความรอดแล้ว



และเหมือนนางมาร์เกซีนาจะรับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของบุตรสาวของเธอเป็นอย่างดี เพราะในวาระสุดท้ายเธอได้บอกกับท่านว่า ลูกสาวของแม่ แม่ถึงเวลาแล้ว แม่รอคำภาวนาของลูกเพื่อเข้าสู่พระสิริอยู่ ดังนั้นท่านจึงเร่งภาวนาและเพียงสามชั่วโมงหลังจากนั้นทูตสวรรค์ก็ได้ประจักษ์มาอีกครั้งและแจ้งเช่นเดียวกับคราวบิดาของท่านคือในตอนนี้มารดาของท่านอยู่ในพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาดังนี้ ท่านในวัย 7 ปีจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ต้อนร่อนเร่ไปพักกับญาติๆ กระทั้งถูกพาไปอยู่กับคุณลุงของท่านที่ฟาร์มที่ไกลจากวัลล์เดโมสซาประมาณหกถึงเจ็ดไมล์เมื่อมีวัยได้ราว 10 ปี จึงจัดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของท่านอีกครั้งเพราะมันหมายถึงการไม่มีมิสซาทุกวัน ท่านแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย เพราะ ต้องเลี้ยงสัตว์ ทำงานบ้าน ซักผ้าเอย เย็บผ้าเอย กวาดบ้านเอย เพื่อแลกกับข้าวเที่ยง  แต่กระนั้นท่านก็มีหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอด ทั้งยังมีหัวใจที่เปิดกว้างรับทุกคน



และด้วยสถานที่ตั้งของบ้านใหม่นี่เอง ท่านจึงมีโอกาสได้ร่วมมิสซาในวันอาทิตย์ ไม่ก็วันธรรมดาเพียงซักวันแทนที่จะเป็นทุกวันเหมือนแต่ก่อน ที่วัดพระตรีเอกภาพของอารามฤาษี แต่กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้บั่นทอดความสนิทสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้าไปได้ ท่านได้สร้างพระแท่นเล็กๆที่ใต้ต้นมะกอก เพื่อใช้สวดในความสันโดษของทุ่งหญ้าแทน และเวลาต่อมาพระเป็นเจ้าก็ทรงส่งคนๆหนึ่งที่จะทำให้คำทำนายในวัยเยาว์ของท่านเป็นจริง นั่นก็คือ คุณพ่ออันโตนิโอ กาซตาเญดา ฤาษีผู้กำลังแสวงหาการชิดสนิทกับพระเป็นเจ้า และดำรงชีวิตบนภูเขาด้วยการขอทาน ที่เดินทางมาที่ฟาร์ม และอานา มาสได้แนะนำให้ท่านได้รู้จัก

ทำให้นับจากนั้นมาท่านก็มักไปเยี่ยมคุณพ่อที่อารามที่วัดพระตรีเอกภาพเสมอ และได้เปิดเผยกับคุณพ่อว่าท่านต้องการเข้าอาราม ซึ่งในการคุยครั้งที่สองคุณพ่อก็เชื่อแน่นอนว่าท่านมีกระแสเรียก แต่เรื่องความฝันท่านก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะ เมื่อลุงท่านทราบว่าท่านอยากเข้าอาราม เขาก็ค้านชนิดหัวเด็ดตีนขาด ทำให้ไม่มีใครช่วยเหลือท่านเลยในการเข้าอาราม นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนที่จัดว่าสวยมาก จึงทำให้มีหนุ่มมากมายต่างพากันทอดสะพานมาหาท่าน แต่จะเจออย่างนั้นท่านก็ยังคงอดทนรออย่างแน่วแน่ แต่แล้วความยากลำบากอีกครั้งก็ซาซัดมาเมื่อคุณพ่อกาซตาเญดา ตัดสินใจไปจากเกาะมาร์ยอกา



ในวันที่ต้อจากท่านได้ล่ำลาคุณพ่อด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ เหมือนท่านรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และก็เป็นเช่นนั้น เพราะไม่นานเรือที่คุณพ่อโดยสารไปก็ประสบกับพายุหนักจนไม่สามารถไปยังบาร์เซโลนาได้ และจำต้องเลี้ยวลำกลับมาที่วัลล์เดโมสซา ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้น คุณพ่อจึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะช่วยท่านให้เข้าอารามให้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในสมัยนั้นหญิงสาวชาววัลล์เดโมสินา หากต้องการเข้าอารามจะต้องไปเข้าอารามที่เมืองปัลมา เมืองท่าสำคัญของของเกาะมาร์ยอกาเพียงแห่งเดียว

ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการสานฝันนี้ ขั้นแรกท่านจึงเดินทางไปที่เมืองปัลมา และเข้าทำงานเป็นคนใช้ที่บ้านของดอน มาเตโอ ซาโฟรเตซา ตากามาเน็นต์ จนได้มีโอกาสรับใช้นางอิซาเบล ซึ่งในเวลาต่อมาเธอเป็นผู้สอนให้ท่านรู้จักอ่านเขียน การเย็บปักถักร้อย และอื่นๆ นอกนี้แล้วระหว่างทำงานอยู่ที่นี่ ท่านยังกินเพียงน้ำและขนมปัง เฆี่ยนตีร่างกายด้วยขนเม่น ทั้งยังสวมเข็มขัดเหล็กที่มีด้านหนามเข้าหาร่างกายหรือที่เรียกว่าชิลีโช(cilicio) ในภาษาอิตาเลี่ยนอีกด้วย



และที่สุดเวลาแห่งการรอคอยขอท่านก็จบลง แต่ก็ไม่วายก็มีอุปสรรคอีกครั้ง คราวนี้เป็นด้านการเงิน เพราะตัวท่านไม่มีสินสอด ซึ่งเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากเพราะอาราม มิอาจรับผู้สมัครที่ไม่นำความช่วยเหลือใดๆมาได้ ไม่จะอารามนักบุญมักดาเลนา อารามนักบุญเจโรนิโม หรืออารามนักบุญมาร์การิตาต่างปฏิบัติดังนี้ ข้อปฏิบัตินี้ทำให้ท่านหมดกำลังใจเป็นอันมาก แต่กระนั้นก็ดี ท่านก็ยังวางใจในการสวดภาวนา และได้สวดต่อพระเป็นเจ้าอย่างร้อนรน จนเวลาต่อมาเมื่ออารามทั้งสามได้ทราบถึงเรื่องราวของท่าน ทั้งสามอารามก็ต่างตัดสินใจไม่สนเรื่องสินสอด และพร้อมรับท่านเสมอ

ตามตำนานท้องถิ่นเล่าสืบๆกันว่าในช่วงนั้นท่านมักมานั่งอยู่บนก้อนหินในตลาด พลางร่ำไห้ด้วยความเศร้าและเปล่าเปลี่ยว และก็เล่ากันว่าเป็นที่หินก้อนเดียวกันนี้เอง ที่ท่านได้รับข่าวดีเรื่องอารามทั้งามพร้อมรับท่านโดยไม่เอาสินสอด (ปัจจุบันหินก้อนนี้อยู่ที่ผนังด้านนอกห้องซาคริสเตีย ของวัดนักบุญนิโคลัส) หลังจากนั้นเมื่อได้ทราบข่างดีเช่นนี้แล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปเยี่ยมทั้งสามอาราม และตัดสินใจสมัครเข้าอารามนักบุญมักดาเลนา ของคณะกาโนเนซาซ แห่ง นักบุญออกัสติน ในวันที่  13 พฤศจิกายน ค..1552



หลังจากนั้นอีกสองเดือนกับอีกสิบสามวันท่านจึงได้รับผ้าคลุมหน้าสีขาว ต่อจากนั้นท่านจึงเข้าเป็นนวกะของคณะซึ่งอาจจะมาจากปัญหาด้านสุขภาพของท่านที่ไม่สู้ดี ท่านจึงอยู่ในสถานะนี้นานถึงสองปีเจ็ดเดือน  แต่ที่สุดแล้วท่านก็เข้าพิธีปฏิญาณเป็นเจ้าสาวของพระคริสตเจ้าภายใต้ธรรมนูญของนักบุญออกัสติน ในวันที่ 24 สิงหาคม ค..1555 ด้วยอายุ 24 ปี 

ในฐานะสมาชิกของอาราม ท่านได้เจริญชีวิตอย่างถ่อมตน สวดภาวนาด้วยความร้อนรน (ที่ในห้องของท่านจะมีหินที่ใช่คุกเข่าสวดเป็นเวลาหลายๆชั่วโมและต่อสู้กับการทดลงของปีศาจร้ายที่ภายในอย่างกล้าหาญ จนทีละนิดๆความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็เป็นที่ประจักษ์ กล่าวคือในหมู่ซิสเตอร์ด้วยกัน ก็ต่างพากันชื่นชมในความร้อนรนต่อการสวดภาวนาของท่าน ส่วนภายนอกอาราม กำแพงที่สูงใหญ่ก็ยังไม่อาจจะปิดบังความศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ จนผู้คนมากมายเริ่มหลั่งไหลมาหาท่าน ทั้งเพื่อพบ ขอคำปรึกษาบ้าง คำภาวนาบ้าง แต่กระนั้นท่านก็ปฏิเสธที่จะออกจากห้องรับแขกของอาราม หรือของขวัญใดๆทั้งสิ้น แม้นหากท่านได้มาเมื่อใด ทันทีท่านก็จะยกให้ซิสเตอร์คนอื่นไปแทน


แท้จริงท่านไม่ค่อยชอบพบปะผู้คนเท่าใดนักดอก แต่ถ้าเป็นคำสั่งท่านก็จะทำในทันที และออกไปเพื่อมอบความรักของพระที่ท่านสัมผัสได้ไปยังทุกๆคนไม่ว่าพวกเขาจะมาด้วยความกังวลหรือความยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม ท่านเต็มไปด้วยพระพรแห่งการหยั่งรู้จิตใจคน ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเสียใหม่ หนึ่งในคนที่มักแวะมาขอคำปรึกษากับท่านก็คือพระคุณเจ้ายูวานนี บัตติสตา กัมเปกโจ พระสังฆราชแห่งมาร์ยอกา

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นท่านดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมตน ยากจน นบนอบ พรหมจรรย์ ในระดับที่น่าสรรเสริญเสมอ ครั้งหนึ่งคุณแม่อธิการตัดสินใจทดสอบท่านด้วยการสั่งให้ท่านไปยืนกลางแดดเปรี้ยงๆ ในหน้าร้อน จนกว่าจะถูกเรียกกลับมา ซึ่งทันทีท่านไม่พูดแม้คำเดียว และเดินไปที่ที่เหมาะสมและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนทำให้คุณแม่อธิการถึงกับชื่นชมในความอดทนของท่านและมีคำสั่งให้ท่านเข้ามาได้ ซึ่งเรื่องความนบนอบของนี้ต่อคุณแม่อธิการนี้เป็นเรื่องที่ท่านไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยจริงๆ แม้ขณะนั้นท่านจะอยู่ในสภาวะเข้าฌานอยู่ก็ตามที


ท่านมีความศรัทธาพิเศษต่อพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า พระผู้เป็นเจ้าบ่าวของท่าน ยามใดก็ตามที่ท่านรำพึงถึงเรื่องราวนี้ ท่านก็มิอาจกลั้นน้ำตาของท่านไว้ได้ทั้งในห้องนอน ในกลุ่มนักขับ หรือแม้กระทั้งในห้องอาหาร นอกนี้ท่านยังมอบความรักของต่อศีลมหาสนิท ท่านมักเดินไปที่ตู้ศีลบ่อยๆเท่าที่ทำได้ ทั้งยังสวดภาวนาเพื่อทุกๆคน มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 5 เสด็จสวรรณคต ท่านก็ทราบและแจ้งกับคุณพ่อวิญญาณของท่านก่อนข่าวจะมาถึงที่เกาะเสียอีก

เป็นที่น่าเศร้าที่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตอันอัศจรรย์ของท่านมีหลงเหลือน้อย แต่กระนั้นเราก็พอสรุปชีวิตของท่านได้ว่าในช่วงท้ายของชีวิต ท่านเริ่มเข้าฌานบ่อยขึ้น ครั้งที่กินระยะเวลานานที่สุดเกิดขึ้นในปี ค..1571 กินเวลาถึงยี่สิบเอ็ดวัน และในช่วงเวลานี้แม้ท่านจะพยายามซ่อนเท่าไรความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็ยิ่งกระจายไปมากมากขึ้น ท่านอยากให้คนคิดว่ามันแค่เรื่องโง่ๆ แต่ก็ไม่มีใครจะคิดเช่นนั้น หลักฐานที่แสดงชัดก็นเช่นในปี ค..1571  เมื่อตำแหน่งคุณแม่อธิการว่างลง ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการของอาราม แต่ด้วยความถ่อมตนของท่าน ภายในบ่ายวันนั้น ท่านก็สละตำแหน่งลงทันที



วาระสุดท้ายของท่านนั้นใกล้เข้ามาเต็มทีและท่านก็รับรู้ดี เพราะพระเจ้าได้ทรงเผยแสดงแก่ท่านแล้วว่าท่านจะตายในวันไหน ในวันที่ 28 มีนาคม ซึ่งตรงเทศกาลมหาพรต ปี ค..1574  พี่สาวของท่านก็ได้แวะมาเยี่ยมท่าน ในวันนั้นท่านก็เข้าสู่สภาวะฌาน ก่อนวันรุ่งขึ้นท่านก็ได้ขอรับศีลเสบียง แต่แพทย์ยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรง กระนั้นพระสงฆ์ก็เดินทางมาส่งศีลให้ท่าน และขณะที่คุณแม่อธิการสวดอยู่ข้างๆท่าน ท่านก็ได้กล่าวขอโทษคุณแม่และซิสเตอร์ทุกคน ก่อนเข้าสู่สภาวะฌานอีกครั้งจนถึงวันที่ 4 เมษายน และสิ้นใจในอย่างสงบด้วยอายุ 43 ปี ในวันที่ 5 เมษายน ค..1574

ไม่นานหลังท่านสิ้นใจชีวประวัติของท่านก็ได้รับการสอบสวนเพื่อยื่นขอแต่งตั้วเป็นนักบุญจากพระศาสนจักรโดคณะสงฆ์แห่งมายอร์กา แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสองร้อยปีกว่าพระศาสนจักรจะรับรองอัศจรรย์หกประการที่เกิดตามคำเสนอวิงวินของท่าน ซึ่งนำไปสู่การบันทึกนามท่านในสารบบบุญราศีเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค..1792 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 6 และใช้เวลาอีกร่วมเกือบร้อยปีอีกครั้ง แต่ที่สุดในวันที่ 22 มิถุนายน ค..1930  สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 11 ก็ทรงรับรองให้ท่านขึ้นเป็นนักบุญของพระศาสนจักรอย่างเป็นทางการ 



องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆเช้าพระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน (อสย 50:4) ณ ตรงนี้ขอยกแบบฉบับในการมอบความรักที่สัมผัสจากพระได้ไปยังคนอื่นของนักบุญกาตาลีนา ที่มอบแด่ทุกๆคนที่มาหาทั้งด้วยความเศร้าและความสงสัย เช่นกันในฐานะคริสตชนเราต้องมอบความรักของพระเจ้าที่เราสัมผัสได้ไปยังทุกๆคน ความรักที่เรามองเห็นเมื่อมองไม้กางเขน ด้วยปากนี้ และด้วยชีวิตนี้ พระองค์ทรงรักเราเท่าไรเราก็ต้องรักทุกๆคนเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่เท่าเพราะพระรักเรามากๆ แต่เราก็ต้องพยายามส่งความรักนี้ให้แพร่ไปด้วยปากของเรา และชีวิตของเรา


ข้าแต่ท่านนักบุญกาตาลีนา โตมัส ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

"เอลีอา" ลาเวนเดอร์น้อยของพระเจ้า


บุญราศีเอลีอา แห่ง นักบุญเคลเมนต์
Bl.Elia di San Clemente
ฉลองในวันที่ : 29 พฤษภาคม

ต้นดอกไม้แห่งภูเขาคาร์แมลน้อยๆอีกต้นเริ่มผลิยอดอ่อนเล็กๆของมันในผืนดินของจูเซปเป ฟรากาสโซ จิตรกรและมัณฑนากร กับแม่บ้านผู้มีงานบ้านมากมายอย่างปาสกัว ชานชี เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค..1901 ในเมืองชายฝั่งทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอิตาลีนาม บารี  หลังจากผลิกลีบอ่อนได้สี่วันดอกไม้น้อยๆก็ได้รับน้ำแห่งศีลล้างบาปจากคุณลุงฝั่งบิดาคุณพ่อชาร์ลส์ ฟรากาสโซ ในวัดนักบุญยากอบ

เทโอโดรา คือนามของดอกไม้น้อยๆนั้น ท่านเป็นลูกคนที่สามจากเก้าของครอบครัว ซึ่งรอดมาจริงๆเพียงห้าคนเท่านั้น อย่างไรก็ตามผืนดินนี้ก็อุดมไปด้วยความเชื่อที่หล่อเลี้ยงต้นอ่อนน้อยนี้ๆอย่างดี ถัดจากนั้นในปี ค..1905 บิดามารดาของท่านก็ได้ตัดสินใจย้ายจากบ้านแถวจัตุรัสนักบุญมัทธิวไปที่วิอา ปิชชีนนี ที่บ้านธรรมดาๆที่มีสวนเล็กๆ ที่นั่นในวัยราวสี่ถึงห้าปี ท่านก็ได้เห็นแม่พระได้เสด็จมาท่ามกลางแถวของดอกบัวที่แย้มบาน แล้วก็หายไปในลำแสง ซึ่งเรื่องนี้ได้จุดประกายต้นกล้าน้อยๆให้ตั้งมั่นว่าซักวันถ้าโตเมื่อไร ก็จักถวายตนในฐานะซิสเตอร์



ด้วยฐานะที่ดีพอสมควรดอกไม้น้อยจึงได้รับความรู้ในโรงเรียนอนุบาลไปจนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ดำเนินงานโดยซิสเตอร์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ และตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติของคริสตชนเมื่อท่านอายุได้ 11 ปี หลังจากการเตรียมตัวอย่างดีพิธีรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของท่านก็ถูกกำหนดขึ้นในวันที่ 8 พฤษภาคม ค..1911 และในระหว่างคืนก่อนหน้านั้นท่านก็ได้ฝันเห็นนักบุญเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู พูดกับท่านว่า หนูจะเป็นซิสเตอร์เหมือนดิฉัน ซึ่งเป็นดั่งคำพยากรณ์ถึงอนาคตของดอกไม้น้อยไม้ดอกนี้

หลังจากนั้นท่านก็เริ่มเข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการเย็บปักถักร้อยที่ใกล้ๆสถาบันของซิสเตอร์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นท่านยังเป็นสมาชิกของสมาคมบุญราศี อิเมลดา ลัมเบรตีนี  กับ กองทัพทูตสวรรค์แห่งนักบุญโทมัท อไควนัส และยังรวมตัวกับมิตรสหายของท่านในหอพักเพื่อรำพึงและสวดภาวนาร่วมกัน และอ่านพระวรสารบ้าง หนังสือจำลองแบบพระคริสต์บ้าง  The Eternal Maxims บ้าง สิบห้าเสาร์ของแม่พระบ้าง หรือไม่ก็ประวัตินักบุญต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตชีวประวัติของดอกไม้น้อยๆแห่งลิซิเออร์



ผ่านคำแนะนำของคุณพ่อเปโตร ฟีโอริลโล จากคณะโดมินิกกัน คุณพ่อวิญญาณของท่าน ดอกไม้น้อยๆที่เคยสับสันว่ามันควรจะบานในที่ใดดีก็ได้ตัดสินใจไปเบ่งบานภายใต้สีดำขาวของโดมินิกกันขั้นสาม ซึ่งยอมรับท่านในฐานะนวกเณรีในวันที่ 20 เมษายน ค..1914 ด้วยนามใหม่ว่า อักเนส ก่อนในวันที่  14 พฤษภาคม ค..1915 ท่านจึงได้เจริญรอยตามแบบฉบับของนักบุญแคทเทรีน แห่ง ซีเอนา และนักบุญโรซา แห่ง ลีมา ด้วยการปฏิญาณตน ผ่านการยกเว้นเป็นพิเศษจากอายุที่ยังน้อยของท่าน

หลังจากนั้นท่านก็ต้องพบกับปีอันยากลำบากจากสภาพสงคราม(..1915-..1918) มีมากมายหลายเรื่องที่เกินความสามารถของครอบครัวและประสบการณ์ของท่าน ซึ่งเป็นดั่งปุ๋ยที่ช่วยเพิ่มพูนด้านงานแพร่ธรรมและงานคำสอนและกิจเมตตาของท่าน และไม่มีอะไรที่จะรั้งความปรารถนาอันกระตือรือร้นที่ต้องการจะช่วยเหลือเพื่อนบ้านของท่านได้เลย



คุณพ่อแซร์โจ ดี จอยอา คือนามคุณพ่อเยซูอิต คุณพ่อวิญญาณคนใหม่ของท่าน ท่านพบเขาในช่วงท้ายของปี ค..1917 เมื่อท่านต้องการคำแนะนำ ซึ่งในปีต่อมาคุณพ่อก็ได้ตัดสินจำนำทางท่านและเพื่อนของท่านแคลร์ เบลโลโม (อนาคต ซ.ดิโอมีรา แห่ง ความรักของพระเจ้า) ไปยังอารามคณะคาร์เมไลท์แห่งนักบุญยอแซฟ วิอา เด รอซซี ใน บารี ซึ่งพวกท่านได้ไปเยี่ยมที่นั่นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ค..1918

ผ่านกิจกรรมวิญญาณอันเข้มข้นในปี ค..1919 ภายใต้คำแนะนำของคุณพ่อวิญญาณคนใหม่ของท่านนี้ ท่านได้เตรียมพร้อมที่จะมุ่งสู่ผืนดินแห่งภูเขาคาร์แมล ซึ่งได้เปิดรับท่านก้าวสู่ประตูในฐานะผู้ฝึกหัดในวันที่ 8 เมษายน ค..1920 ก่อนจะได้อยู่ภายใต้ชุดคณะด้วยการรับชุดคณะสีน้ำตาลพร้อมผ้าคลุมสีขาวในวันที่ 24 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน พร้อมทั้งนามใหม่ตามประเพณีที่สืบๆต่อมาในคณะว่า ซิสเตอร์ เอลีอา แห่ง นักบุญเคลเมนต์



ก่อนในวันที่  4 ธันวาคม ค..1921  ท่านจึงได้เข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรก ด้วยวลีที่ตราติดในดวงใจและริมฝีปากว่า เพียงผู้เดียว ณ แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขน ลูกมองดูพระองค์เป็นเวลานาน และราวกับว่าลูกได้มองลูกได้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นทั้งชีวิตของลูก และนอกจากดอกไม้น้อยๆในหุบเขาคาร์แมลดอกจะเจริญตามรอยของนักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลลาแล้ว ทางสายน้อยของนักบุญเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู ท่านก็ได้นำมาใช้เป็นแนวทางอีกด้วย ทางสายน้อยของจิตวิญญาณแบบเด็กน้อย ไม่ว่าสถานแห่งไหนดิฉันก็รู้สึกได้รับ-การรับรองความสุข-เสียงเรียกโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนพิธีปฏิญาณตลอดชีพของท่านนั้นถูกจัดขึ้นในวันที่  11 กุมภาพันธ์ ค..1925

การเดินทางครั้งใหม่ของดอกไม้น้อยภายใต้สีน้ำตาลและขาว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในเดือนแรกของนวกเณรีท่านต้องพบกับโขดหินมากมาย ซึ่งท่านได้รับด้วยพระหรรษทานวิญญาณแห่งความเชื่อ แต่ปัญหาจริงๆที่เปรียบดั่งศิลาขนาดมหึมาสุดๆเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ในปี ค..1923 หลังจากคุณแม่อธิการิณี  คุณแม่อันเจลิกา ลามเบรตี แต่งตั้งให้ท่านไปทำงานกับงานปักในโรงเรียนกินนอนหญิงที่ติดอยู่กับอาราม



รองหัวหน้า ช่างเป็นผู้เผด็จการและเข้มงวดนักด้วยความเข้าใจเพียงเล็กน้อยของคนอื่น ไม่เคยยอมเห็นความดีและความดีกับท่านที่ปฏิบัติต่อนักเรียนทั้งหลายของท่าน ท่านจึงทำหน้าที่นี้เพียงสองปีจึงถูกย้าย ซึ่งในขณะทำหน้าที่นี้ท่านก็ถือกฎและหน้าที่อย่างจริงจัง ท่านมักใช้เวลาส่วนมากอยู่ในห้องของท่าน ทุ่มเทเวลาเพื่องานปักที่ได้รับมอบหมาย

อย่างไรคุณแม่อธิการก็เห็นความพิเศษของท่านเสมอ ในปี ค..1927 คุณแม่จึงให้ท่านไปทำงานที่ห้องซาคริสเตียนของอาราม อันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่านเริ่มล้มป่วยด้วยไข้หวัด(เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมปีนั้น) ผสมกับอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงบ่อยๆ อย่างไรท่านก็ไม่บ่นซักคำหรือเบื่อเวลาไม่มียา และในระหว่างนี้มีเพียงคุณพ่อเอลีอา แห่ง นักบุญอัมโบรส ผู้แทนอธิการของคณะคาร์เมลไลท์ เท่านั้นที่เป็นพระหรรษทานของการปลอบประโลมใจของท่าน ซึ่งท่านได้พบครั้งแรกเมื่อคุณพ่อมาเยี่ยมอารามในปี ค.. 1922 นับจากนั้นท่านก็คอยแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆกับเขาเสมอ



วันคริสมาสของปีใกล้เข้ามาอีกนิดเหมือนชีวิตท่านที่ยิ่งใกล้สินสุดลงซักที เพราะเพียงไม่กี่วันก่อนวันคริสมาสคือวันที่ 21 ธันวาคม ท่านก็ล้มป่วยหนักด้วยอาการไข้หวัดที่รุนแรงและการรบกวนต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นเรื่อง ลอยแพ ตามปกติของท่านสำหรับอาราม แต่อย่างไรนับวันอาการของท่านก็ยิ่งน่าเป็นกังวลมากขึ้นมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นในวันที่ 24 ธันวาคม แพทย์จึงถูกตามมาตรวจท่านและวินิจฉัยว่าท่านอาจป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือไขสันหลังอักเสบ เขาก็มิได้ทำอะไรมาก เพียงแต่ในเช้าวันถัดมาสองคุณหมอก็กลับมาพร้อมกับคำว่าท่านมิอาจหายได้

ดิฉันจะจากไปในวันฉลองค่ะ ในเวลา 12.00 น. ของวันสมโภชพระคริสตสมภพ ประจำปี ค..1927 ในวัย 26 ปี ดอกไม้น้อยก็ได้ถูกนำไปไว้ ณ เมืองสวรรค์อย่าสงบ แล้ว
                     “      ลูกปรารถนาจะพักเกศกา       ณ แทบชานุองค์ทรงอดิศร
                     พลางพักผ่อนกายาแลหลับนอน        พลางเอยอ้อนวาจาจากปากนี้
                            ให้ประจักษ์ถึงรักมั่นที่ลูกมี        แต่สิ่งที่ลูกจะไม่เอ่ยพาที
                     คงเพียงแค่ขอพระองค์ทรงศรี             คือวาทีนิ่มนวลจากพระองค์
                            จากนั้นลูกจะกล่าวซักพันครั้ง    หายับยั้งด้วยความอายองค์ทรง
                     ด้วยวลีองค์ทรงสองผู้มั่นคง                พระองค์เจ้าลูกรักพระองค์เอย     
เซอร์ เอลีอา แห่ง นักบุญเคลเมนต์
หลังจากนั้นนามของดอกไม้น้อยๆก็ได้ถูกประดับในแจกกันของบุญราศีในวันที่ 18 มีนาคม ค..2006  โดย สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16



ผู้ใดมีความเชื่อในพระบุตรย่อมมีชีวิตนิรันดร ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรจะไม่พบชีวิตนั้น(ยอห์น 3:36) เหมือนที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ลูกได้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นทั้งชีวิตของลูก เราต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งในชีวิตของเราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ขอแค่เราเชื่อและปฏิบัติตามพระองค์ พยามเลียนแบบพระองค์ให้เหมือนที่สุด ด้วยการฟังพระ เราต้องเชื่อและวางใจอย่างสุดกำลังสุดวิญญาณในพระองค์ เพราะความวางใจและความเชื่อคือกุญแจสำคัญที่จะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์กับพระบุตร เราต้องทำให้พระเยซูเจ้าทรงเป็นทุกสิ่งในชีวิตของเราด้วยการ เชื่อ


ข้าแต่ท่านบุญราศีเอลีอา แห่ง นักบุญเคลเมนต์ ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...