วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

"กาตาลีนา" นักบุญชาวเกาะ


นักบุญกาตาลีนา โตมัส
St. Catalina Tomás
ฉลองในวันที่ : 5 เมษายน

กาตาลีนา โตมัส เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค..1531 เป็นบุตรคนที่สองจากเจ็ดคนของไฆเม โตมัส กับ มาร์เกซีนา กัลลาร์ด  เกษตรกรที่อาศัยอยู่ในเมืองวัลล์เดโมสซา บนเกาะมายอร์กา ของประเทศสเปน  มีตำนานมากมายเล่าถึงอัศจรรย์ในวัยเด็กของท่านอยู่มาก เราอาจเรียกได้ว่าเป็นตำนานทองของท่านก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ผิดที่จะกล่าวว่าท่านเติบโตพร้อมอัศจรรย์

ชีวประวัติของท่านมิอาจรวบรวมได้จนหมด แต่ก็มากพอที่จะทำให้เราเห็นชีวิตของท่าน เรื่องเล่าที่เป็นที่นิยมก็อาทิ ครั้งหนึ่งขณะท่านกำลังเก็บรวงข้าวพระเยซูเจ้าก็ทรงประจักษ์มาหาท่านในลักษณะถูกตรึงกางเขน อีกเรื่องก็คือมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งท่านได้หลบออกมาจากงานเลี้ยงเพราะท่านไม่ชอบงานประเภทนี้ ทันทีพระมารดามารีย์ พระมารดาพระเจ้าก็ทรงประจักษ์มาหาท่านและบอกกับท่านว่าพระบุตรของพระนางนั้นได้ทรงเลือกท่านไว้แล้ว ยังมีอีกเรื่องเล่าว่าวันหนึ่งท่านเสียใจอย่างหนัก เพราะท่านต้องการแต่งกายเช่นซิสเตอร์ ทันทีนักบุญแพร็กซิดิสและนักบุญแคเทรีน มรณสักขี ก็ได้ประจักษ์มาปลอบใจท่าน



ในหนังสือบางเล่มยังบันทึกถึงเรื่องเล่าดังต่อไปนี้อีกว่า มีวันหนึ่งท่านตื่นมากลางดึกและพบว่าทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยแสงสีขาว  สีฟ้า ที่สวยงาม คืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญพอดี จนทำให้ท่านเข้าใจผิดว่าเช้าแล้ว ดังนั้นท่านจึงรีบลุกจากเตียงเพื่อไปยังบ่อน้ำใกล้ๆ ประจวบกับตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนด้วย ทำให้ที่อารามฟรังซิสกันจึงลั่นระฆัง ทันทีท่านจึงเริ่มกลัว และร้องไห้  แต่บัดดลนักบุญอันตน อธิการ ก็ได้ประจักษ์มาจากสวรรค์ และจูงมือท่านไปส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย

กลับมาที่ชีวิตธรรมดาๆของท่านบ้าง ท่านนั้นมิได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือ หรือแม้แต่การสวดสายประคำ ดังนั้นท่านจึงใช้การนับจำนวนใบของกิ่งมะกอกแทนการนับเม็ด นอกจากนั้นท่านมักเดินเท้าเปล่าเสมอ แม้จะผ่านพงหนามแหลมก็ตาม ... ชีวิตของท่านนั้นก็เช่นเดียวกัน มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอดทาง เพราะเมื่อท่านมีวัยได้เพียงสามปีบิดาของท่านก็มาด่วนจากไป แต่แทนที่ท่านจะเสียใจอย่างเดียวตรงข้ามท่านกลับเริ่มสวดเพื่อบิดาของท่านอย่างร้อนรน และทูตสวรรค์ก็ได้ประจักษ์มาแจ้งว่าตอนนี้บิดาท่านได้รับความรอดแล้ว



และเหมือนนางมาร์เกซีนาจะรับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของบุตรสาวของเธอเป็นอย่างดี เพราะในวาระสุดท้ายเธอได้บอกกับท่านว่า ลูกสาวของแม่ แม่ถึงเวลาแล้ว แม่รอคำภาวนาของลูกเพื่อเข้าสู่พระสิริอยู่ ดังนั้นท่านจึงเร่งภาวนาและเพียงสามชั่วโมงหลังจากนั้นทูตสวรรค์ก็ได้ประจักษ์มาอีกครั้งและแจ้งเช่นเดียวกับคราวบิดาของท่านคือในตอนนี้มารดาของท่านอยู่ในพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาดังนี้ ท่านในวัย 7 ปีจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ต้อนร่อนเร่ไปพักกับญาติๆ กระทั้งถูกพาไปอยู่กับคุณลุงของท่านที่ฟาร์มที่ไกลจากวัลล์เดโมสซาประมาณหกถึงเจ็ดไมล์เมื่อมีวัยได้ราว 10 ปี จึงจัดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของท่านอีกครั้งเพราะมันหมายถึงการไม่มีมิสซาทุกวัน ท่านแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย เพราะ ต้องเลี้ยงสัตว์ ทำงานบ้าน ซักผ้าเอย เย็บผ้าเอย กวาดบ้านเอย เพื่อแลกกับข้าวเที่ยง  แต่กระนั้นท่านก็มีหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอด ทั้งยังมีหัวใจที่เปิดกว้างรับทุกคน



และด้วยสถานที่ตั้งของบ้านใหม่นี่เอง ท่านจึงมีโอกาสได้ร่วมมิสซาในวันอาทิตย์ ไม่ก็วันธรรมดาเพียงซักวันแทนที่จะเป็นทุกวันเหมือนแต่ก่อน ที่วัดพระตรีเอกภาพของอารามฤาษี แต่กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้บั่นทอดความสนิทสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้าไปได้ ท่านได้สร้างพระแท่นเล็กๆที่ใต้ต้นมะกอก เพื่อใช้สวดในความสันโดษของทุ่งหญ้าแทน และเวลาต่อมาพระเป็นเจ้าก็ทรงส่งคนๆหนึ่งที่จะทำให้คำทำนายในวัยเยาว์ของท่านเป็นจริง นั่นก็คือ คุณพ่ออันโตนิโอ กาซตาเญดา ฤาษีผู้กำลังแสวงหาการชิดสนิทกับพระเป็นเจ้า และดำรงชีวิตบนภูเขาด้วยการขอทาน ที่เดินทางมาที่ฟาร์ม และอานา มาสได้แนะนำให้ท่านได้รู้จัก

ทำให้นับจากนั้นมาท่านก็มักไปเยี่ยมคุณพ่อที่อารามที่วัดพระตรีเอกภาพเสมอ และได้เปิดเผยกับคุณพ่อว่าท่านต้องการเข้าอาราม ซึ่งในการคุยครั้งที่สองคุณพ่อก็เชื่อแน่นอนว่าท่านมีกระแสเรียก แต่เรื่องความฝันท่านก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะ เมื่อลุงท่านทราบว่าท่านอยากเข้าอาราม เขาก็ค้านชนิดหัวเด็ดตีนขาด ทำให้ไม่มีใครช่วยเหลือท่านเลยในการเข้าอาราม นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนที่จัดว่าสวยมาก จึงทำให้มีหนุ่มมากมายต่างพากันทอดสะพานมาหาท่าน แต่จะเจออย่างนั้นท่านก็ยังคงอดทนรออย่างแน่วแน่ แต่แล้วความยากลำบากอีกครั้งก็ซาซัดมาเมื่อคุณพ่อกาซตาเญดา ตัดสินใจไปจากเกาะมาร์ยอกา



ในวันที่ต้อจากท่านได้ล่ำลาคุณพ่อด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ เหมือนท่านรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และก็เป็นเช่นนั้น เพราะไม่นานเรือที่คุณพ่อโดยสารไปก็ประสบกับพายุหนักจนไม่สามารถไปยังบาร์เซโลนาได้ และจำต้องเลี้ยวลำกลับมาที่วัลล์เดโมสซา ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้น คุณพ่อจึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะช่วยท่านให้เข้าอารามให้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในสมัยนั้นหญิงสาวชาววัลล์เดโมสินา หากต้องการเข้าอารามจะต้องไปเข้าอารามที่เมืองปัลมา เมืองท่าสำคัญของของเกาะมาร์ยอกาเพียงแห่งเดียว

ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการสานฝันนี้ ขั้นแรกท่านจึงเดินทางไปที่เมืองปัลมา และเข้าทำงานเป็นคนใช้ที่บ้านของดอน มาเตโอ ซาโฟรเตซา ตากามาเน็นต์ จนได้มีโอกาสรับใช้นางอิซาเบล ซึ่งในเวลาต่อมาเธอเป็นผู้สอนให้ท่านรู้จักอ่านเขียน การเย็บปักถักร้อย และอื่นๆ นอกนี้แล้วระหว่างทำงานอยู่ที่นี่ ท่านยังกินเพียงน้ำและขนมปัง เฆี่ยนตีร่างกายด้วยขนเม่น ทั้งยังสวมเข็มขัดเหล็กที่มีด้านหนามเข้าหาร่างกายหรือที่เรียกว่าชิลีโช(cilicio) ในภาษาอิตาเลี่ยนอีกด้วย



และที่สุดเวลาแห่งการรอคอยขอท่านก็จบลง แต่ก็ไม่วายก็มีอุปสรรคอีกครั้ง คราวนี้เป็นด้านการเงิน เพราะตัวท่านไม่มีสินสอด ซึ่งเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากเพราะอาราม มิอาจรับผู้สมัครที่ไม่นำความช่วยเหลือใดๆมาได้ ไม่จะอารามนักบุญมักดาเลนา อารามนักบุญเจโรนิโม หรืออารามนักบุญมาร์การิตาต่างปฏิบัติดังนี้ ข้อปฏิบัตินี้ทำให้ท่านหมดกำลังใจเป็นอันมาก แต่กระนั้นก็ดี ท่านก็ยังวางใจในการสวดภาวนา และได้สวดต่อพระเป็นเจ้าอย่างร้อนรน จนเวลาต่อมาเมื่ออารามทั้งสามได้ทราบถึงเรื่องราวของท่าน ทั้งสามอารามก็ต่างตัดสินใจไม่สนเรื่องสินสอด และพร้อมรับท่านเสมอ

ตามตำนานท้องถิ่นเล่าสืบๆกันว่าในช่วงนั้นท่านมักมานั่งอยู่บนก้อนหินในตลาด พลางร่ำไห้ด้วยความเศร้าและเปล่าเปลี่ยว และก็เล่ากันว่าเป็นที่หินก้อนเดียวกันนี้เอง ที่ท่านได้รับข่าวดีเรื่องอารามทั้งามพร้อมรับท่านโดยไม่เอาสินสอด (ปัจจุบันหินก้อนนี้อยู่ที่ผนังด้านนอกห้องซาคริสเตีย ของวัดนักบุญนิโคลัส) หลังจากนั้นเมื่อได้ทราบข่างดีเช่นนี้แล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปเยี่ยมทั้งสามอาราม และตัดสินใจสมัครเข้าอารามนักบุญมักดาเลนา ของคณะกาโนเนซาซ แห่ง นักบุญออกัสติน ในวันที่  13 พฤศจิกายน ค..1552



หลังจากนั้นอีกสองเดือนกับอีกสิบสามวันท่านจึงได้รับผ้าคลุมหน้าสีขาว ต่อจากนั้นท่านจึงเข้าเป็นนวกะของคณะซึ่งอาจจะมาจากปัญหาด้านสุขภาพของท่านที่ไม่สู้ดี ท่านจึงอยู่ในสถานะนี้นานถึงสองปีเจ็ดเดือน  แต่ที่สุดแล้วท่านก็เข้าพิธีปฏิญาณเป็นเจ้าสาวของพระคริสตเจ้าภายใต้ธรรมนูญของนักบุญออกัสติน ในวันที่ 24 สิงหาคม ค..1555 ด้วยอายุ 24 ปี 

ในฐานะสมาชิกของอาราม ท่านได้เจริญชีวิตอย่างถ่อมตน สวดภาวนาด้วยความร้อนรน (ที่ในห้องของท่านจะมีหินที่ใช่คุกเข่าสวดเป็นเวลาหลายๆชั่วโมและต่อสู้กับการทดลงของปีศาจร้ายที่ภายในอย่างกล้าหาญ จนทีละนิดๆความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็เป็นที่ประจักษ์ กล่าวคือในหมู่ซิสเตอร์ด้วยกัน ก็ต่างพากันชื่นชมในความร้อนรนต่อการสวดภาวนาของท่าน ส่วนภายนอกอาราม กำแพงที่สูงใหญ่ก็ยังไม่อาจจะปิดบังความศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ จนผู้คนมากมายเริ่มหลั่งไหลมาหาท่าน ทั้งเพื่อพบ ขอคำปรึกษาบ้าง คำภาวนาบ้าง แต่กระนั้นท่านก็ปฏิเสธที่จะออกจากห้องรับแขกของอาราม หรือของขวัญใดๆทั้งสิ้น แม้นหากท่านได้มาเมื่อใด ทันทีท่านก็จะยกให้ซิสเตอร์คนอื่นไปแทน


แท้จริงท่านไม่ค่อยชอบพบปะผู้คนเท่าใดนักดอก แต่ถ้าเป็นคำสั่งท่านก็จะทำในทันที และออกไปเพื่อมอบความรักของพระที่ท่านสัมผัสได้ไปยังทุกๆคนไม่ว่าพวกเขาจะมาด้วยความกังวลหรือความยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม ท่านเต็มไปด้วยพระพรแห่งการหยั่งรู้จิตใจคน ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเสียใหม่ หนึ่งในคนที่มักแวะมาขอคำปรึกษากับท่านก็คือพระคุณเจ้ายูวานนี บัตติสตา กัมเปกโจ พระสังฆราชแห่งมาร์ยอกา

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นท่านดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมตน ยากจน นบนอบ พรหมจรรย์ ในระดับที่น่าสรรเสริญเสมอ ครั้งหนึ่งคุณแม่อธิการตัดสินใจทดสอบท่านด้วยการสั่งให้ท่านไปยืนกลางแดดเปรี้ยงๆ ในหน้าร้อน จนกว่าจะถูกเรียกกลับมา ซึ่งทันทีท่านไม่พูดแม้คำเดียว และเดินไปที่ที่เหมาะสมและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนทำให้คุณแม่อธิการถึงกับชื่นชมในความอดทนของท่านและมีคำสั่งให้ท่านเข้ามาได้ ซึ่งเรื่องความนบนอบของนี้ต่อคุณแม่อธิการนี้เป็นเรื่องที่ท่านไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยจริงๆ แม้ขณะนั้นท่านจะอยู่ในสภาวะเข้าฌานอยู่ก็ตามที


ท่านมีความศรัทธาพิเศษต่อพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า พระผู้เป็นเจ้าบ่าวของท่าน ยามใดก็ตามที่ท่านรำพึงถึงเรื่องราวนี้ ท่านก็มิอาจกลั้นน้ำตาของท่านไว้ได้ทั้งในห้องนอน ในกลุ่มนักขับ หรือแม้กระทั้งในห้องอาหาร นอกนี้ท่านยังมอบความรักของต่อศีลมหาสนิท ท่านมักเดินไปที่ตู้ศีลบ่อยๆเท่าที่ทำได้ ทั้งยังสวดภาวนาเพื่อทุกๆคน มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 5 เสด็จสวรรณคต ท่านก็ทราบและแจ้งกับคุณพ่อวิญญาณของท่านก่อนข่าวจะมาถึงที่เกาะเสียอีก

เป็นที่น่าเศร้าที่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตอันอัศจรรย์ของท่านมีหลงเหลือน้อย แต่กระนั้นเราก็พอสรุปชีวิตของท่านได้ว่าในช่วงท้ายของชีวิต ท่านเริ่มเข้าฌานบ่อยขึ้น ครั้งที่กินระยะเวลานานที่สุดเกิดขึ้นในปี ค..1571 กินเวลาถึงยี่สิบเอ็ดวัน และในช่วงเวลานี้แม้ท่านจะพยายามซ่อนเท่าไรความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็ยิ่งกระจายไปมากมากขึ้น ท่านอยากให้คนคิดว่ามันแค่เรื่องโง่ๆ แต่ก็ไม่มีใครจะคิดเช่นนั้น หลักฐานที่แสดงชัดก็นเช่นในปี ค..1571  เมื่อตำแหน่งคุณแม่อธิการว่างลง ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการของอาราม แต่ด้วยความถ่อมตนของท่าน ภายในบ่ายวันนั้น ท่านก็สละตำแหน่งลงทันที



วาระสุดท้ายของท่านนั้นใกล้เข้ามาเต็มทีและท่านก็รับรู้ดี เพราะพระเจ้าได้ทรงเผยแสดงแก่ท่านแล้วว่าท่านจะตายในวันไหน ในวันที่ 28 มีนาคม ซึ่งตรงเทศกาลมหาพรต ปี ค..1574  พี่สาวของท่านก็ได้แวะมาเยี่ยมท่าน ในวันนั้นท่านก็เข้าสู่สภาวะฌาน ก่อนวันรุ่งขึ้นท่านก็ได้ขอรับศีลเสบียง แต่แพทย์ยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรง กระนั้นพระสงฆ์ก็เดินทางมาส่งศีลให้ท่าน และขณะที่คุณแม่อธิการสวดอยู่ข้างๆท่าน ท่านก็ได้กล่าวขอโทษคุณแม่และซิสเตอร์ทุกคน ก่อนเข้าสู่สภาวะฌานอีกครั้งจนถึงวันที่ 4 เมษายน และสิ้นใจในอย่างสงบด้วยอายุ 43 ปี ในวันที่ 5 เมษายน ค..1574

ไม่นานหลังท่านสิ้นใจชีวประวัติของท่านก็ได้รับการสอบสวนเพื่อยื่นขอแต่งตั้วเป็นนักบุญจากพระศาสนจักรโดคณะสงฆ์แห่งมายอร์กา แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสองร้อยปีกว่าพระศาสนจักรจะรับรองอัศจรรย์หกประการที่เกิดตามคำเสนอวิงวินของท่าน ซึ่งนำไปสู่การบันทึกนามท่านในสารบบบุญราศีเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค..1792 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 6 และใช้เวลาอีกร่วมเกือบร้อยปีอีกครั้ง แต่ที่สุดในวันที่ 22 มิถุนายน ค..1930  สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 11 ก็ทรงรับรองให้ท่านขึ้นเป็นนักบุญของพระศาสนจักรอย่างเป็นทางการ 



องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆเช้าพระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน (อสย 50:4) ณ ตรงนี้ขอยกแบบฉบับในการมอบความรักที่สัมผัสจากพระได้ไปยังคนอื่นของนักบุญกาตาลีนา ที่มอบแด่ทุกๆคนที่มาหาทั้งด้วยความเศร้าและความสงสัย เช่นกันในฐานะคริสตชนเราต้องมอบความรักของพระเจ้าที่เราสัมผัสได้ไปยังทุกๆคน ความรักที่เรามองเห็นเมื่อมองไม้กางเขน ด้วยปากนี้ และด้วยชีวิตนี้ พระองค์ทรงรักเราเท่าไรเราก็ต้องรักทุกๆคนเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่เท่าเพราะพระรักเรามากๆ แต่เราก็ต้องพยายามส่งความรักนี้ให้แพร่ไปด้วยปากของเรา และชีวิตของเรา


ข้าแต่ท่านนักบุญกาตาลีนา โตมัส ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...