บุญราศีมารีอา อันโตเนีย บันเดรส อี เอโลเซกี
Bl. María
Antonia Bandrés y Elósegui
ฉลองในวันที่ : 27 เมษายน
คณะธิดาแห่งพระเยซูเจ้าเป็นอีกหนึ่งคณะที่เข้ามาทำงานในสังฆมณฑลเชียงใหม่
กับผู้อพยพที่เขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนร่วมกับคณะเยสุอิต ซึ่งคณะนี้เป็นคณะนักบวชสตรีจากประเทศสเปน ก่อตั้งโดยนักบุณกาดิดา
มารีอา แห่ง พระเยซูเจ้า ภคินีชาวสเปนผู้เล็งเห็นถึงปัญหาเรื่องการศึกษาของบรรดาเด็กและเยาวชนตามแบบวิถีคริสตชน และคณะนี้ในเวลาเพียงวันเดียว คณะก็ได้มีบุญราศีถึงสององค์พร้อมกัน นั่นก็คือ
บุญราศีกาดิดา ผู้ตั้งคณะ
และบุญราศีมารีอา อันโตเนีย บันเดรส เอโลเซกี ซิสเตอร์ที่เราอาจคิดว่าต้องเป็นร่วมก่อตั้งคณะแน่
แต่ผิดถนัด เพราะซิสเตอร์ผู้นี้ เป็นเพียงซิสเตอร์ธรรมดาๆในคณะ ผู้มีเรื่องราวเริ่มขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1898 ที่ จังหวัดกีปุซโกอา ภาคเหนือของประเทศสเปนในแคว้นบาสก์
เมื่อนางเทเรซา เอโลเซกี ภรรยาของนายรานมอน บันเดรส ทนายความ
ให้กำเนิดทายาทคนที่สองจากสิบห้าคนของตระกูล
ซึ่งภายหลังพวกเขามักเรียกทายาทผู้นี้ง่ายๆว่า “อันโตนีตา”
ที่บ้านของครอบครัวนี้ถือได้ว่าเป็นบ้านของคริสตชน เพราะที่นี่อุดมไปด้วยความเชื่อและความเมตตา โดยเฉพาะนางเทเรซา มารดาของท่าน นางถือได้ว่าเป็นสตรีที่สมควรยึดเป็นแบบอย่างและศักดิ์สิทธิ์ นางรู้ว่าจะทำให้ลูกๆของเธอเติบโตไปในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
แม่พระ คนยากจน และคนผู้น่าสงสาร นี่จึงนับเป็นเรื่องโชคดีนักสำหรับตัวท่าน ที่แต่เล็กๆก็ได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตคริสตชนที่ดีจากครอบครัว
กระนั้นก็ตามท่ามกลางความโชคดีด้านชีวิตฝ่ายจิต ชีวิตฝ่ายโลกของท่านก็ไม่ได้โชคดีเสียเท่าไร เพราะตั้งแต่เล็กๆท่านก็เป็นเด็กที่เจ็บออดๆแอดๆ จนนายรานมอนและนางเทเรซาต้องดูแลท่านเป็นพิเศษกว่าลูกคนอื่นๆ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของท่าน ที่เป็นเด็กที่กระตือรือร้น ในทำนองที่เกินพอดี ผสมเข้ากับการได้รับการเอาใจใส่มากๆ ก็ทำให้ในวัยเยาว์ท่านเป็นเด็กที่อ่อนไหวง่ายมากๆ มารดาของท่านเคยบ่นออกมาว่า “เด็กอะไรน่ารำคาญที่สุด ฉันต้องทุกข์กับคนแปลกๆอย่างนี้เท่าไรกันเนี่ย”
ต่อมาเมื่อท่านมีอายุถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน
ท่านก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนักบุญยอแซฟวิทยาลัยที่โตโลซา ก่อตั้งโดยนักบุญคุณแม่กาดิดา ดังนั้นโรงเรียนนี้จึงอยู่ในความดูแลขอคณะธิดาแห่งพระเยซูเจ้า
ซึ่งทำให้คุณแม่กาดิดามีโอกาสได้พบกับความน่ารักตามประสาเด็กสาวของท่าน ซึ่งถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กธรรมดาๆ แต่คุณแม่ก็สัมผัสได้ถึงความงดงามภายในของท่าน จนคุณแม่อดไม่ได้ที่เอ่ยเชิงทำนายถึงอนาคตของท่านเอาไว้ว่า “หนูจะเป็นธิดาของพระเยซูเจ้า”
ฝั่งท่านเมื่อได้ยินเช่นนี้ ภายในหัวใจดวงน้อยๆของท่านก็ไร้ซึ่งความสงสัยอันใด ท่านเก็บได้รักษาคำพูดนี้ไว้ข้างในตัว ด้วยความปรารถนาที่จะไล่ตามเสียงแห่งหัวใจ ที่ปรารถนาจะเป็นของพระเยซูเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ขณะเดียวกันก็ฟูมฟักความรักต่อแม่พระที่ได้รับเป็นมรดกจากมารดาของท่านให้เจริญเติบโตขึ้นอย่างงดงาม ผ่านทั้งการสวดภาวนาต่อพระแม่แห่งความรักอันงดงาม ซึ่งท่านให้ความศรัทธาเป็นพิเศษ และการนำแบบอย่างคุณธรรมของพระนางมาใช้ในชีวิต ควบคู่ไปกับการปฏิบัติกิจการเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
นอกจากความเชื่อที่ท่านได้รับเป็นมรดกจากครอบครัวแล้ว อีกสิ่งที่ท่านได้รับก็คือ ‘ความรักต่อคนยากจน’ท่านเรียนรู้จากบิดามารดาของท่านว่าการรักทุกๆคนคือหน้าที่
ท่านมักแบ่งปันเงินออมและทุกสิ่งที่ท่านมีแก่พวกเขาเสมอ
ท่านรู้ดีว่าจะปฏิบัติกิจแห่งความรักนี้อย่างไรโดยที่ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ท่านเยี่ยมคนยากคนจนครั้งแรกกับมารดาของท่าน
และนับจากนั้นท่านในวัยราวสิบสี่สิบห้าก็มักแวะไปเยี่ยมคนยากจนเสมอ
แม้ในสถานที่ที่อันตรายบ้างก็ตามที นอกนี้ท่านยังทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยคนยากจนในเขตชานเมืองโตโลซา
และในหมู่ชนชั้นแรงงานสตรีเพื่อประกาศข่าวดี และให้การช่วยเหลือพวกเขาอย่างเป็นธรรมซึ่งจัดได้ว่าหาได้ยากยิ่งนักในสมัยนั้น ชีวิตของท่านเป็นไปในทำนองที่ว่า ‘แตกต่างจากคนอื่น แต่ดีในทุกๆด้าน’
แม้จะมีความปรารถนาจะถวายชีวิตแด่พระเยซูเจ้าอยู่ในใจ ท่านก็ยังไม่อาจจะตัดสินใจที่จะละทิ้งครอบครัวเพื่อเป็นนักบวชได้ หรือแน่วแน่พอที่จะเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ กระทั้งในปี ค.ศ.1913 ในวัยสิบห้าปี ขณะท่านรับการฝึกหัดฝ่ายจิตตามแบบฉบับของท่านนักบุญอิกญาซิโอที่เมืองโลโยลา ท่านก็ระลึกได้ถึงคำพูดของคุณแม่กาดิดาที่เคยบอกกับท่านอีกครั้ง “หนูจะเป็นธิดาของพระเยซูเจ้า” และตัดสินใจที่จะไล่ตามเสียงเรียกของหัวใจซึ่งคือการเป็นธิดาของพระเยซูเจ้า มุ่งสู่ยอดเขาแห่งความครบครัน โดยแม้จะโดนหินตามทางบาดเท้าท่านก็หาได้หยุดพันแผลไม่ตรงข้ามท่านกลับมุ่งต่อไปมุ่งสู่พระคริสตเจ้าผู้ทรมานเพื่อมนุษย์ อย่างแน่วแน่
แต่กว่าท่านจะเข้าอารามจริงๆ ก็ใช้เวลาถึงสองปี ท่านจึงได้เข้าคณะธิดาแห่งพระเยซูเจ้า
ที่อารามประจำเมืองซาลามันกา ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1915 ขณะอายุได้ 17 ปี เวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่หินมากอีกครั้งสำหรับตัวท่าน เพราะท่านรักบิดามารดาและพี่น้องของท่านมาก แต่เพียงท่านก้าวขาเข้าไปยังอาราม ท่านได้ยินเสียงหนึ่งบอกกับท่านว่า “พระเจ้าเท่านั้นสำหรับชีวิตที่เหลือของลูก” ดังนั้นเองท่านจึงสามารถเอาชนะกางเขนนี้ และได้เข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกเมื่อวันที่ 31
พฤษภาคม ค.ศ.1918 “ไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะสามารถพรากลูกไปจากพระองค์
เพราะอาศัยน้ำใจอันดีและเด็ดเดี่ยวลูกได้มอบตัวลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
… โปรดกระทำกับลูกตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ด้วยลูกทราบดีว่าพระองค์ทรงรักลูก” ท่านกล่าวไว้
ท่านมีความฝันว่าจะได้เป็นธรรมทูตประกาศข่าวดี แต่นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยพระเป็นเจ้าสำหรับชีวิตของท่าน ช่างคล้ายหนึ่งว่าพระองค์ทรงเห็นสมควรแล้วที่จะทรงนำบุพผาดอกงามนี้กลับสู่สวรรค์ เพราะหลังจากพิธีได้ไม่นานท่านก็ล้มป่วยลง ซึ่งการล้มหมอนนอนเสื่อคราวนี้ ตัวท่านก็รู้ดีว่าท่านกำลังจะจากไป ซึ่งก่อนที่ท่านจะได้ลาโลกไปไม่กี่เดือนนั้นท่านก็ได้ชีวิตของท่านเป็นประดุจดั่งลูกแกะเพื่อการกลับใจและเพื่อชีวิตนิรันดรของนายอันตน บันเดรส คุณลุงและพ่อทูนหัวของท่าน ผู้เจริญชีวิตฝ่ายโลกมากกว่าฝ่ายจิต และไม่ชอบใจนักที่ท่านเข้าคณะ ซึ่งแน่นอนพระองค์ทรงตอบรับเครื่องถวายนี้อย่างเต็มใจ
ช่วงนั้นคุณหมอฟีลิเบรโต วิลลาโลโบส ผู้ทำการรักษาท่านได้ให้การว่า “ผมรู้สึกสะเทือนใจด้วยความเชื่อและความสงบในวิญญาณของเธอ
ซึ่งทำให้เธอมีความสุขมากๆในช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ” แพทย์อีกคนได้แสดงความคิดเห็นต่อทัศนคติของท่านในช่วงนั้น โดยอุทานว่า “เราใช้ชีวิตผิดพลาดได้ยังไงกัน นี่แหละ
ใช้แล้ว นี่คือความหมายของการจากไป…..”
ท่านมีความฝันว่าจะได้เป็นธรรมทูตประกาศข่าวดี แต่นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยพระเป็นเจ้าสำหรับชีวิตของท่าน ช่างคล้ายหนึ่งว่าพระองค์ทรงเห็นสมควรแล้วที่จะทรงนำบุพผาดอกงามนี้กลับสู่สวรรค์ เพราะหลังจากพิธีได้ไม่นานท่านก็ล้มป่วยลง ซึ่งการล้มหมอนนอนเสื่อคราวนี้ ตัวท่านก็รู้ดีว่าท่านกำลังจะจากไป ซึ่งก่อนที่ท่านจะได้ลาโลกไปไม่กี่เดือนนั้นท่านก็ได้ชีวิตของท่านเป็นประดุจดั่งลูกแกะเพื่อการกลับใจและเพื่อชีวิตนิรันดรของนายอันตน บันเดรส คุณลุงและพ่อทูนหัวของท่าน ผู้เจริญชีวิตฝ่ายโลกมากกว่าฝ่ายจิต และไม่ชอบใจนักที่ท่านเข้าคณะ ซึ่งแน่นอนพระองค์ทรงตอบรับเครื่องถวายนี้อย่างเต็มใจ
ท่านคืนดวงวิญญาณสู่พระเป็นเจ้าอย่างสงบในวันที่
27 เมษายน ค.ศ.1919 ซึ่งคือวันฉลองแม่พระแห่งมอนต์เซรรัตด้วยอายุ 21 ปี “นี้คือความตายงั้นหรือ
อะไรหนอจะหอมหวานเท่ากับการตายในฐานะนักบวชเล่า ดิฉันรู้สึกว่าแม่พระทรงอยู่ข้างๆดิฉัน
พระเยซูเจ้าทรงรักดิฉันและดิฉันก็รักพระองค์…..” ท่านได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศีพร้อมคุณแม่กาดิดาโดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ปอล ที่ 2 ในวันที่ 12 พฤษภาคม
ค.ศ.1996
“เมื่อเรารับภารกิจนี้จากพระเมตตาของพระเจ้า
เราจึงไม่ท้อถอย” (2 คร
4:1) ภารกิจของคริสตชนคืออะไร มันก็คือการไปบรรลุถึงพระเยซูเจ้า
ไปตามถนนแห่งไม้กางเขนโดยที่ไม่หยุดพักแม้จะเหน็ดเหนื่อย
เหมือนท่านที่มุ่งสู่ภูเขาแห่งความครบครัน อย่างมุ่งมั่นโดยมิหยุดพัก ในบางทีเราก็ต้องยอมรับว่าทางภูเขานี้ช่างยากนักทั้งสูงชัน
ลำบาก แต่คิดดูเถิดว่าผลของมันนั้นช่างน่าพิศวงแค่ไหน ทำไมนักบุญเปาโลจึงบอกว่าเราจึงไม่ท้อถอย
ก็เพราะในทางนั้นเต็มไปด้วยพระหรรรษทานมากมายจนยากที่เราจะตอบแทนได้เป็นพระหรรษทานซ้อนพระหรรษทานเลยทีเดียว
คำพูดและข้อคิดของบุญราศีมารีอา อันโตเนีย
“นั่นไม่ใช่ความสุขแท้จริงของชีวิต
แต่ในทางตรงกันข้ามเลย คือความยากลำบากและการเสียสละจำนวนมากต่างหาก
พวกเราจะต้องพร้อมเสมอและรอคอยกางเขนที่ผ่านมาหาเรา
และจะเป็นความสุขยิ่งถ้าเราโอบกอดมันอย่างไม่เห็นแก่ตัว ด้วยวันหนึ่งเมื่อประตูแห่งสิริรุ่งโรจน์เปิดแล้ว
เราก็จะไม่พรากจากมันไปไหน เวลาเดียวกันกับที่เรารอคอย
จงเป็นหนึ่งเดียวกับดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าและการเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์ผู้นิรมล
จงละทิ้งตนอย่างกล้าหาญ จงขึ้นไปบนกัลวารีโอของชีวิตอันน่าสมเพศเพื่อจะได้รับความสุขอันยิ่งใหญ่
ซึ่งพระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้อะไรมาพรากเราไปได้”
“พวกเราจะต้องเลียนแบบตัวอย่างของการตรึงกางเขน จงยึดกางเขนไว้ข้างกาย
จงต่อสู้กับโลก เนื้อหนังและปีศาจเหมืนทหารกล้าของพระคริสตเจ้า
จงกลับคืนชีพขึ้นมาอย่างรุ่งโรจน์ในกรุงเยรูซาเล็มใหม่(แปลตรงๆ กรุงเยรูซาเล็มสวรรค์)”
“ทุกวันล้วนมีสิ่งน่าผิดหวังยิ่งในชีวิต
ขอให้เรายกถวายมัน ขอให้เราแสวงหาการร่วมเป็นหนึ่งเดียวบนกางเขนและมอบความต้องการของพวกเรา
อย่าปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาและทรงบัญญัติ
การรับทรมานร่วมกับพระเยซูเจ้าช่างหวานหอมเสียยิ่งกระไร นี่เป็นความจริงที่มีค่าประเสริฐยิ่ง
แต่อย่าได้กลัวไป เพราะพระเยซูทรงเป็นพลังของพวกเรา จงกล้าหาญไว้”
“ลูกโอบกอดกางเขน จับชายผ้าคลุมของพระมารดา
และถวายตนเป็นผู้ต่ำต้อย เครื่องบูชา ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
เพื่อว่าลูกจะไม่พรากไปจากความรักและพระหรรษทานของพระองค์
ลูกปรารถนาจะเป็นข้ารับใช้พระองค์… นับแต่ย่ำรุ่ง ลูกก็ได้ถวายกางเขนและบรรดากางเขนประจำวันไว้ในพระหัตถ์ของพระมารดา
ด้วยคำพูดว่า ‘ข้าแต่พระมารดาที่รัก ขออย่าให้เวลาแม้นพียงวินาทีเดียวเสียไป
และโปรดช่วยให้ลูกให้พรั่งพร้อมไปด้วยการเสียสละและการเสียใจต่อสิ่งที่ทำผิดไปในวันนี้ด้วยเถิด’”
“ข้าแต่ท่านบุญราศีมารีอา อันโตเนีย บันเดรส อี เอโลเซกี ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง