คาระวียะซิลวีโอ
ดีสเซจนา
Ven. Silvio
Dissegna
ซิลวีโอ
ดีสเซจนา เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.1967 ที่ เมืองมอนกาลีแอรี จังหวัดตูริน
ประเทศอิตาลี ซึ่งตรงพอดีกับวันฉลองพระโลหิตประเสริฐ ท่านเป็นเด็กสุขภาพดี
ฉลาดและสดใสในบ้านของครอบครัวที่โปยารีโน ในจังหวัดเดียวกัน ไปพร้อมๆกับการ์โลน้องของท่าน
ที่เกิดหลังจากท่านหนึ่งปี
ในเวลาเดียวกันท่านก็ได้รับการปลูกฝังความเชื่อคริสตชนเป็นอย่างดีจากบิดามารดาของท่าน
คือ นายอ็อตตาวีโอ และ นางกาบรีเอลลา
คุณลองหลับตาแล้วจินตนาการถึงความสุขที่เกิดขึ้นดูสิ
เมื่อบิดามารดาของท่านสอนให้ท่านรู้จักกับชายคนหนึ่งที่มี่ชื่อว่า “เยซู”
และคอยพร่ำสอนให้ท่านหมั่นสวดภาวนาทุกเช้าค่ำ …. วันละนิด ละนิด
ระหว่างท่านกับชายที่ชื่อเยซู ก็ค่อยๆเกิดสายสัมพันธ์อันเข้มข้น มันคือ “ความเข้าใจความลับ”
และจากความสัมพันธ์นี้ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็น “การมีชีวิตร่วมกัน” อย่างจริงจังในวันแรกที่กายของชายนามเยซูได้เสด็จมาประทับยังตัวท่านผ่านการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก
ในวันที่ 7
กันยายน ค.ศ.1975
นับแต่เวลานั้นวันที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านรับกายของชายนามเยซูได้
ความปรารถนาสูงสุดของท่านก็เป็นการได้รับอาหารทิพย์นี้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยๆก็ทุกวันอาทิตย์ในมิสซา
ด้วยการเตรียมตัวเป็นอย่างดีจากการรับศีลแห่งการอภัยและจากความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงตัวให้ดีพร้อมสำหรับคุณพ่อคุณแม่
เพื่อน และผู้คนที่ท่านได้พบอย่างต่อเนื่อง
ที่โรงเรียน
ท่านโดดเด่นออกมาจากทุกคนด้วยความสามารถและความมุ่งมั่น แต่ก็ชอบที่จะเล่นฟุตบอล
โบลิ่ง ซ่อนแอบ และเดินป่า ท่านทำให้ทุกคนต้องหลงรัก ด้วยคำว่า “ขอบคุณ” และรอยยิ้มหวานเสมอ
บันทึกของท่านเต็มไปด้วยคำอธิบายถึงหน้าตาสิ่งต่างๆ เกมส์ ชีวิตครอบครัว
และเป้าหมายในอนาคต : “ผมสูงมาก ผมมีตาสีน้ำตาลและผมสีดำ … เล่นอย่างสนุกสนานและหากมีใครได้รับบาดเจ็บ
ผมก็จะออกจากเกมส์เพื่อไปดูแลเขา … ถ้าผมพบใครบางคนมาขอทาน ถ้าผมมีอะไร
ผมก็จะมอบแก่เขาด้วยความรัก … ผมพยายามที่จะดีกับทุกคน
แต่บางครั้งผมก็ทำไม่ได้” (4/ธ.ค./1976)
“โตขึ้นผมจะเป็นครู
เพราะผมรักที่จะสอนคนอื่น”(13/มี.ค./1976)
“พระเยซูทรงแสนดีผมจึงอยากเป็นเหมือนกัน”(18/ธ.ค./1976)
ท่านจัดว่าเป็นเด็กโตเกินวัยเป็นเอกลักษณ์
ซึ่งมี “ผล” ต่อญาติๆของท่าน ในวันคริสมาสต์ปี ค.ศ.1977
มารดาท่านก็ได้มอบเครื่องพิมพ์ดีดสำหรับเขียนให้ท่าน
ดังนั้นท่านจึงทดลองใช้มันดูด้วยการลอมพิมพ์ออกมาว่า “ขอบคุณครับแม่ เพราะแม่ได้นำผมมาสู่โลก
เพราะแม่ได้ให้ชีวิตผม ซึ่งเป็นสิ่งที่สวยงามมากๆเลยครับ”
มันช่างเป็นฤดูใบไม้ผลิอันสวยงามที่มวลดอกไม้ต่างพากันแย้มบาน
และเต็มไปด้วยความสุขและความหวังจริงๆ
แต่ขณะที่ดอกไม้ต่างกำลังแย้มบานอยู่นั้นเอง
พายุใหญ่ก็ได้โหมซัดเข้ามาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย ต้นปี ค.ศ.1978 ท่านก็เริ่มบ่นถึงอาการปวดที่ขาซ้าย
และได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของเมืองมอนกาลีแอรี ผลปรากฏว่าแพทย์ได้วินิจฉัยว่าท่านป่วยเป็นมะเร็งกระดูก
ท่านแม้จะมีอายุไม่ถึงสิบเอ็ดปีก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับท่านในเวลานี้
และไม่ได้มีความสิ้นหวังใดๆทั้งสิ้น ท่านปรารถนาจะได้รับการรักษา
แต่ก็มอบให้มันขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยพระบิดา และยังคงสวดภาวนาสม่ำเสมอ
21 พฤษภาคม
ปีเดียวกัน บนรถเข็น ท่านก็ได้ศีลกำลังในวัดประจำโปยารีโน ด้วยความสุขจากการได้รับพระคุณแห่งพระจิตเจ้า
อันคือการเป็นพยานและอัครสาวกของชายคนนั้นที่ท่านรัก “เยซู” หลังจากวันนั้นอาการป่วยของท่านก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั้งถึงวันที่ 4 มิถุนายน ท่านก็ได้ร้องขอว่า “ช่วยไปบอกคุณพ่อลุยจิให้มาส่งศีลแก่ผมที่บ้านทุกวันนะครับ” ทำให้นับจากนั้นในทุกๆวัน คุณพ่อลุยจิจึงได้ทำหน้าที่พาพระกายของชายนามเยซูมาส่งให้ท่านรับ
ซึ่งเป็นเวลาแห่งการสนทนาระหว่างหัวใจดวงน้อยกับหัวใจเปี่ยมรักมากล้น
เวลาแห่งความสุขของท่านกับชายที่ชื่อว่า เยซู
สายประคำคือสิ่งหนึ่งที่ท่านพกและใช้สวดอย่างร้อนรนต่อแม่พระ
ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปตลอดทางแห่งกางเขนอันยาวไกลของท่านที่ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน
ค.ศ.1978
ไปจนถึงเดือนมกราคม ค.ศ.1979 ระหว่างเวลานี้ท่านต้องเดินทางไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลกุสตาฟ
คูสซี ในปารีส พร้อมบิดาถึงเก้าครั้ง และ ณ โรงพยาบาลแห่งนั้น ครั้งหนึ่งท่านก็เจอคนไข้ที่เตียงข้างๆ
ที่วันๆเอาแต่สาบาน จนทำให้รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าน้อยๆของท่านสูญไป
เหลือแต่เพียงหยาดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย หลังจากนั้นเวลาของท่านก็ใช้ไปกับการสวดสายประคำและอ่านบทวันทามารีย์ไปหลายต่อหลายครั้ง
เท่าๆกับจำนวนคำหมิ่นประมาทที่ท่านได้ยินมา
จนกระทั้งเช้าวันรุ่งขึ้นท่านก็ปรับทุกข์กับบิดาว่า “พ่อครับ
ผมไม่สามารถชดเชยบทวันทามารีย์ให้ได้เท่ากับคำหมิ่นประมาทที่คนคนนี้ได้ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระได้ในปารีส
: ผมต้องการมากกว่าที่จะพูดเรื่องนี้เมื่อผมกลับอิตาลีแล้วครับ”
ท่านลืมความเจ็บปวดของท่านสิ้น
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการชดเชยความผิดบาปของผู้อื่น
ชายนามเยซูในศีลมหาสนิททำให้ท่านเข้าใจคุณค่าของการไถ่กู้ด้วยการรับทรมาน
ท่านรู้สึกถูกเรียกให้ท่านรับทรมานและรับทรมาน เพื่อชดเชยความผิดบาปของมนุษย์
ในฐานะเด็กน้อยแห่งฟาติมา แห่งนักบุญแบร์นาเด็ต และนักบุญเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู
ซึ่งท่านได้เคยฟังเรื่องราวเหล่านี้มา ท่านมักพูดว่า “วันนี้ผมถวายความทุกข์ยากของผมเพื่อสมเด็จพระสันตะปาปาและพระศาสนจักร” , “วันนี้
เพื่อการกลับใจของคนที่เหินห่างจากพระเจ้า” , “วันนี้ ถวายเพื่อทุกคนที่เป็นพี่น้องกัน” , “ถวาย เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อบรรดาธรรมทูต
เพื่อให้พระเยซูทรงเป็นที่รู้จักและที่รัก”
ระหว่างปี
ค.ศ.1978-ค.ศ.1979 เป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในพระศาสนจักรอีกครั้งอันคือการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่
6 และสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 1 และการได้พระสันตะปาปาใหม่คือสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ปอล ที่ 2 ฝั่งโลกก็เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความรุนแรงต่างๆ
การก่อการร้าย และสงครามในดินแดนที่แตกแยกกันเอง
แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความหวังจำนวนมาก ซึ่งในเวลานั้นแม้นท่านจะยังเป็นเพียงเด็กเล็กๆ
ท่านก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงเฝ้าแต่สวดภาวนาและถวายพลีกรรมแด่พระเจ้าไป
แต่ละค่ำคืนล่วงเลยไปด้วยความทุกข์ยากที่รุมเร้าดั่งไฟ
ซึ่งท่านก็สามรถผ่านมันไปได้ด้วยการสวดภาวนา สายประคำสามสายหลายสิบครั้ง ไม่ก็รำพึง
“ธรรมล้ำลึก”กับหนังสือเล่มเล็กๆ
ภายใต้แสงจากโคมไฟอันเล็กๆ วันหนึ่งเพื่อนของครอบครัวได้ขอให้ท่านเล่าความคิดของท่านแก่เธอเพื่อเผยแพร่ในสถานีวิทยุท้องถิ่น
ทันทีท่านตอบปฏิเสธว่า “ผมไม่มีอะไรจะพูด สำหรับกิจการเมตตา
และออกอากาศไปตามวิทยุ เพราะมันก็ไปได้แค่อิตาลี แต่ถ้าผมสวดวันทามารีย์ในห้องของผมมันไปไกลทั่วโลกเลยครับ”
มีคนหนึ่งเคยถามท่านว่า
“ซิลวีโอ ฉันรู้ว่าเธอต้องรับทรมานมากมายและได้ยกถวายมันทั้งหมดแด่พระเยซู
… ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่สูญเสียความเชื่อไป
เธอต้องการจะยกถวายความทุกข์ยากของเธอเพื่อบรรดาคนหนุ่มสาวเหล่านี้เพื่อว่าพวกเขาจะได้กลับมาหาพระองค์อีกครั้งไหม” ท่านก็ตอบอย่างแข็งขันว่า “ใช่ครับ ผมจะทำมัน” นับวันๆความทุกข์ยากก็ยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ
แต่ท่านก็ยังกลับโมทนาคุณของชายนามเยซู ผู้ถูกตรึงกางเขน ที่ทำให้ท่านเข้มแข็งยิ่งกว่าพายุที่โหมเข้ามา
ก่อนจะแปรเปลี่ยนมันเพื่อการไถ่กู้โลก ท่านก้าวไปเผชิญกับโรคร้าย ด้วยความเชื่อ
และความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้าอย่างอาจหาญ จนสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนไม้เว้นแม้แต่พระสงฆ์ที่ได้พบท่าน
และที่ชัดเจนกว่านั้นคือ
“รอยยิ้ม”
ที่ท่านมอบแก่ทุกคนทั้งแก่บิดามารดาน้องชาย หรือคุณหมอที่รู้สึกหมดหนทางจะรักษาท่าน
“ความทุกข์ยากทำให้ผมใกล้ชิดพระเจ้า” ท่านกล่าว “ผู้ได้ตระเตรีมสันติสุขและความยินดีในอาณาจักรของพระองค์
ในสวรรค์” และกล่าวกับบิดาของท่านว่า “ผมมีความสุข ก็ต่อเมื่อมีสถานที่ในสวรรค์แล้วครับ” ท่านรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเป็นปัจจุบันและดำรงอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ
ไม่สามารถช่วยตัวเอง
ชีวิตน้อยๆของท่านในเวลานี้ส่องสว่างเสียยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์
ท่านยังคงคอยส่งมอบคำภาวนาและรับความทุกข์ยากด้วยความเชื่อ “ผมต้องการอยู่คนเดียวกับพระเยซู
พูดคุยกับพระองค์ บอกพระองค์ทุกอย่างที่มีในใจผม ส่วนแม่ ไปพักผ่อนเถอะครับ แม่เหนื่อยมากแล้ว” , “ข้าแต่พระเยซู ผมรับทรมาน
เช่นเมื่อครั้งพระองค์ทรงรับแบกกางเขนและถูกรุมทำร้าย ขอให้ความทรมานของผมร่วมกับของพระองค์
พระเยซูเจ้าข้า โปรดเคียงข้างผม” , “แม่ครับ ผมกำลังอยู่บนทางสู่กัลวาลีโอ แต่หลังจากนั้น
ผมก็จะถูกตรึงบนกางเขน แม่ครับ โปรดเตรีมตัวให้พร้อมนะครับ” , “ผมต้องการสวดภาวนาเพียงอย่างเดียว เพราะพระเยซูทรงต้องการความทุกข์ยากและคำภาวนาจำนวนมากจากผมครับ” , “โอ้ พระเยซูเจ้า ทุกความทุกข์ยากของผมคือกิจการแห่งรักสำหรับพระองค์
” , “ข้าแต่พระเยซู ผมเชื่อว่าพระองค์ทรงรักผม”
ในเดือนพฤษภาคม
ค.ศ.1979 ขาซ้ายของท่านหัก
เกิดแผลเปิดขนาดใหญ่บนตัวท่าน ก่อนในเดือนถัดมาท่านก็สูญเสียการมองเห็น
เดือนกันยายนท่านก็เริ่มไม่ค่อยได้ยินอะไร
อย่างนั้นก็เถอะท่านก็มิได้ปริปากพร่ำบ่นถึงความทุกข์ยาก เพียงแค่ย้ำถึงความต้องการของท่านว่า
“ผมปรารถนาที่จะรับศีลทุกวัน ผมต้องการพระเยซู ผู้ที่ทุกๆวัน มอบกำลังมกมายให้แก่ผมและคุณพ่อคุณแม่ครับ”
และทุกๆวันเมื่อคุณพ่อลุยจิมาถึงพร้อมศีล ท่านก็จะกลายเป็นสดใสไปด้วยความสุข
เฉกเช่นคนกระหายในทะเลทรายที่กำลังมองหาน้ำ และได้พบและดื่มน้ำสมใจปรารถนา
เดือนสิงหาคมปีเดียวกันขณะอาการเจ็บป่วยทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ในมือของท่านก็ยังคงกำสายประคำหลากสีอันเป็นตัวแทนของแต่ละทวีปบนโลกแน่น และพร่ำสวด
“สายประคำธรรมทูต” และภาวนาให้ทั้งโลกได้รู้จักและรักชายชาวนาซาเร็ธที่ท่านรัก
และให้บรรดาธรรมทูตทุกคนทั้งที่รู้จักหรือไม่รู้จัก “พ่อครับ” ท่านพูดขึ้นในวันหนึ่ง “ผมอยากจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก … แล้วคุณพ่อจะได้รับความรักอย่างมากมายเลยครับ” ธรรมทูตน้อยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ขอนี้จะเป็นจริง
แต่ไม่ใช่ขณะมีชีวิตอยู่แล้ว ธรรมทูตยังคงเฝ้าสวดต่อไปด้วยความรักและความทรมาน
จนถึงวันจันทร์
ที่ 24 กันยายน
ค.ศ.1979 ในตอนเช้าท่านก็ได้รับศีลตามปกติ ท่านเปล่งประกายและดูแข็งแรงดี
และเป็นครั้งที่สามที่ท่านได้รับศีลเจิมผู้ป่วย ท่านร่วมสวดกับคุณพ่อวินเซนโซ
เจ้าวัด ท้ายสุดท่านก็ตอบรับออกมาดังๆว่า “อาแมน” เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าที่ทรงตรัสก่อนสิ้นพระชนม์บนกางเขนว่า
“สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” ขณะเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบนาที
ในค่ำคืนอันเงียบสงบวันนั้น ท่านก็ได้เดินทางไปพบกับชายที่ท่านรักที่สุดในสวรรค์อย่างสงบ
ด้วยวัย 12 ปี
ภายหลังจากมีการเผยแพร่ประวัติของท่านไปทั่วโลก
ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์
ค.ศ.1995 จึงมีการเปิดกระบวนการขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญพร้อมกับผู้รับใช้พระเจ้าอีกสี่ท่าน
และในวันที่ 7
พฤศจิกายน ค.ศ.2014
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก็ทรงรับรองคุณธรรมขั้นคาระวียะแก่ท่าน
เป็นก้าวต่อไปสู่การเป็นบุญราศีและนักบุญต่อไป
“เมื่อเรารับภารกิจนี้จากพระเมตตาของพระเจ้า
เราจึงไม่ท้อถอย” (2โคริทร์ 4:1)
นักบุญเปาโลเคยบอกว่าเราคือส่วนประกอบต่างๆที่รวมกันเป็นพระศาสนจักร
ทุกคนล้วนมีหน้าที่แตกต่างกันไปบ้างก็เก่งด้านการพูด บ้างก็เก่งด้านการเขียน
บ้างก็เก่งด้านก็ใช้แรง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพระหรรษทานเฉพาะจากพระเจ้าที่มอบแก่พวกเรา
โดยมีจุดหมายให้เราได้ร่วมกันประกาศถึงพระอาณาจักรของพระองค์
เพื่อให้พระองค์เป็นที่รู้จักและที่รัก เช่นเดียวกันกับคาระวียะซิลวีโอ
ที่มีภารกิจคือการเป็นกำลังหนุนด้านคำภาวนาให้บรรดาธรรมทูตและการกลับใจของผู้คน
เพราะท่านรู้ดีว่าความทุกข์ยากที่ท่านได้นับเป็นพระพรจากพระ
มิใช่เครื่องขัดขวางที่งานของพระ
ดังนั้นท่านจึงยกถวายมันเพื่อกิจการอันน่าพิศวงของพระองค์ แล้วทำไมท่านถึงต้องการให้พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักละ
ก็เพราะพระองค์ทรงแสนดีหนักหนา ท่านจึงปรารถนาจะให้คนอื่นได้สัมผัสกับความแสนดีของพระองค์นี้อย่างที่ท่านได้รับ
อย่างไม่ท้อแม้จะต้องทรมานแค่ไหนก็ตามที ดังนั้นถ้าภารกิจของซิลวีโอคือการสวดภาวนา
แล้วภารกิจของพี่น้องละคืออะไร? พี่น้องจะทำอย่างไรให้พระองค์เป็นที่รักและรู้จัก?
“ข้าแต่ท่านคาระวียะซิลวีโอ ดีสเซจนา
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง