บุญราศีอิสิดอร์
บาก็องฌา
Bl. Isidore
Bakanja
ฉลองในวันที่ : 12 สิงหาคม
อิสิดอร์
บาก็องฌา ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศีโดยนักบุญสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล
ที่ 2 ในเดือนเมษายน ค.ศ.1994 เรื่องการดำเนินการสถาปนาเป็นบุญราศีของท่านนั้นได้รับการสนับสนุนจากทางคณะคาร์เมไลท์
เพราะทุกคนที่สวมใส่สายจำพวกสีน้ำตาลล้วนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคาร์แมลทั้งสิ้น อิสิดอร์ บาก็องฌา
เป็นหนึ่งในชาวแอฟริกันหลายคนที่ได้รับความทุกข์ยากในยุคอาณานิคมช่วงปลายศตวรรษที่
19
ในขณะที่ชาวแอฟริกันส่วนมากยังเชื่อภูตผี
เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ใช้ชีวิตเป็นพยานแห่งความจริง
บาก็องฌา
เกิดในเบลเยี่ยมคองโกหรือในปัจจุบันคือประเทศคองโก ประมาณปี ค.ศ.1889 ในชุมชนชาวประมงริมฝั่งแม่น้ำโบตาโต
บิดามารดาคือ อิย็องซวา กับ อินยูกา
ในวัยเยาว์เราสันนิษฐานได้ว่าท่านคงได้ช่วยงานเกษตรกรรมของมารดา
เพราะส่วนมากในแอฟริกาผู้หญิงมักมีหน้าที่ทำงานด้านเกษตรกรรม
และอาจได้ช่วยบิดากับชาวบ้านจับปลา
และแน่นอนท่านไม่เคยได้เรียนเขียนอ่านแต่ได้รับการปลูกฝังด้านความเชื่อและวัฒนธรรมอย่างเต็มเปี่ยมจนยากที่คิดได้ว่าอนาคตท่านจะหันไปจากสิ่งนี้
กระทั้งในราวปี
ค.ศ.1904
ในวัย 16 ปี
ท่านก็ตัดสินใจออกจากหมู่บ้านเพื่อมาแสวงโชคในเมือง
และได้เข้าทำงานเป็นคนงานก่อสร้างให้บริษัทของรัฐ
ขณะเดียวกันก็ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชื่อ แล็งก็องกา
ซึ่งเป็นคริสตชนและมีอิทธิพลอย่างมากในชีวิตของท่าน
ในการพบกันครั้งแรกแล็งก็องกาพึ่งจะได้รับศีลล้างบาปได้ไม่นาน
เราไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไร
เพราะเพียงไม่นานหลังจากมาถึงท่านก็เริ่มเรียนคำสอนกับคุณพ่อคณะทรัปปิสท์และได้รับศีลล้างบาปในวันที่
6
พฤษภาคม ค.ศ.1906
สองเครื่องหมายที่จะย้ำเตือนตัวตนของท่านที่ท่านรับคือชื่อล้างบาปคือ
“อิสิดอร์” และสายจำพวกสีน้ำตาของคาร์เมไลท์
ซึ่งเป็นที่รู้จักดีว่า “บ็องโกโต มาลีอา” หรือเสื้อศักดิ์สิทธิ์ของแม่พระ
อันนับเป็นเรื่องที่น่าสนมากที่ในสมัยนั้นธรรมทูตทรัปปิสท์สนับสนุนให้คริสตชนใหม่สวมใส่สายจำพวกและใช้อย่างจริงจัง
พร้อมสอนว่าการสวดสายประคำคือวิธีการยืนยันความเชื่อคริสตชนแก่ผู้อื่น
ซึ่งดูเหมือนว่าคำสอนที่จะตราตรึงในหัวใจของท่านมากๆ
เพราะนับจากเป็นคริสตชนแล้วท่านก็หมั่นสวดสายประคำทุกวันและอุทิศตนต่อพระแม่แห่งภูเขาคาร์แมลผ่านการสวดสายจำพวกของพระนางด้วยความภาคภูมิ
ท่านได้รับศีลกำลังในวันที่
25 พฤศจิกายน
ปีเดียวกัน ก่อนจะได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันที่ 8 สิงหาคม ปีถัดมา เราอาจสงสัยว่าท่านเป็นคนอย่างไรตามบันทึกแล้ว
ท่านเป็นคนจริงจัง นิสัยดี ซื่อตรง มีมารยาท
อ่อนโยน เอาการเอางาน ศรัทธา ท่านมักมีสายประคำในมือ และมักมองหาโอกาสที่จะแบ่งปันความเชื่อที่ท่านค้นพบนี้แก่ผู้อื่นโดยมิได้หวงแหน
จนมีหลายคนคิดว่าท่านเป็นครูคำสอน
และอาศัยคำพูดและตัวอย่างของท่านี้เองที่ได้ดึงดูดทั้งเพื่อนและคนรู้จักท่านมายังพระคริสตเจ้า
ไม่นานหลังจากได้รับศีลล้างบาป
ท่านก็กลับไปบ้านเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนกลับมาด้วยสาเหตุที่ไม่แน่ชัด
บ้างก็ว่าเพราะท่านไม่มีเพื่อนคริสตชนที่นั่น
อย่างไรเวลานี้ท่านได้มาทำงานเป็นเด็กรับใช้ในบ้านของนายหน้าบริษัทคนขาวผลิตยางยักษ์ใหญ่ชื่อ
the Société Anonyme Belge (SAB) ที่นั่นท่านพบว่าคนขาวทำให้ท่านสับสนแต่ท่านก็ไม่ได้ทำงานน้อยลงไปกว่าตอนท่านทำงานเป็นช่างตัดหินก่อสร้าง
เจ้านายใหม่คนนี้ของท่านเป็นชาวเบลเยี่ยม เรียกกันง่ายๆว่า เรนเดอร์
ท่านอยู่กับเขากระทั้งในปี
ค.ศ.1908
เมื่อเขาได้รับหน้าที่ใหม่ที่อีกีลี
ท่านจึงย้ายไปที่นั่น แต่ก่อนจะไปท่านก็ได้รับคำเตือนจากเพื่อนร่วมงานว่าคนผิวขาวที่นั่นไม่เหมือนที่นี่
แต่ท่านเชื่อนายจ้างและขจัดความกังวลนี้ก่อนเดินทางมายังที่นี่และเข้ารับงานเป็นเด็กรับใช้ให้นายอ็องเดร
วาน กูเตอร์ ผู้โหดเหี้ยม
ระดับที่ว่าเคยสั่งเผาทั้งหมู่บ้านมาแล้วด้วยเหตุชาวบ้านที่นั่นกรีดยางได้ไม่ถึงเป้า
เขาเป็นนายหน้าหน้าเลือดขนานแท้เลยทีเดียว
และสำคัญกว่าอื่นใดนอกจากนายอ็องเดรจะมีชื่อเสียงในด้านความโหดเหี้ยมแล้ว
เขายังเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาอย่างรุนแรง เพราะ เสียผลประโยชน์จากการที่บรรดาธรรมทูตได้ต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวพื้นเมือง
เขาจะเรียกทุกคนที่เกี่ยวกับศาสนาเชิงเยาเย้ยว่า “ม็อง แปร์” แต่ในเวลานนั้นชนพื้นเมืองที่อีกีลีไม่มีใครทราบความหมายสักคน
เพราะในเวลาที่ท่านไปถึงนั้นพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะยินเรื่องราวของคริสต์ศาสนาเลยด้วยซ้ำ
นี้แหละคือสภาพที่ท่านจะต้องพบในสถานที่ที่กฎหมายเอาผิดคนผิวขาวไม่ได้อย่างที่นี่
แต่ด้วยนิสัยรักการภาวนา
ไม่นานเพื่อนรวมงานของท่านก็ต่างรู้สึกทึ่งและเริ่มขอให้ท่านสอนเรื่องราวของพระคริสตเจ้า
การสวดภาวนา และขอร่วมสวดพร้อมกับท่าน
จนเมื่อเรื่องนี้ทราบไปถึงนายวาน กูเตอร์ เขาก็สั่งห้ามท่านสวดภาวนาคนเดียวหรือสวดแบบหมู่คณะ
“แกจะมีหมู่บ้านนักภาวนาและจะไม่มีอ้ายหน้าไหนต้องการทำงาน”
วันหนึ่งขณะท่านกำลังทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารให้นายจ้างของท่านอยู่นั้น
นายจ้างของท่านก็ได้เห็นว่าท่านสวมสายจำพวกอยู่ในเสื้อ เขาจึงสั่งให้ท่านเอามันออก
แต่เมื่อท่านปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น เขาก็กระฉากเสื้อท่านออก ก่อนเฆี่ยนท่าน 25 ครั้ง พร้อมบอกกับท่านว่าเขาจะไม่ยอมให้มีพวก “คุณพ่อ”
ในที่ดินของเขาเป็นอันขาด และดูเหมือนว่าจะยังไม่สาแก่ใจพอสำหรับนายจ้างท่าน
มีอะไรบางสิ่งในคำปฏิเสธอย่างภาคภูมิที่จะละทิ้งความเชื่อของท่านที่ได้จุดไฟโทสะในใจของเขาจนประทุ
เพียงไม่นานเท่าไรจากเหตุการณ์วันนั้น
เขาก็สั่งให้คนตามท่านและพามาหาเขาอีก
เช่นกันกับคราวทีแล้วเขาสั่งให้ท่านถอดสายจำพวกออก แต่ท่านก็ปฏิเสธเช่นเดิม
ด้วยโทสะครั้งนี้นายอ็องเดร วาน กูเตอร์ นายจ้างท่านจึงลงมือกระชาก “เสื้อศักดิ์สิทธิ์ของแม่พระ” ออกจากคอของท่านแล้วโยนให้ฝูงสุนัขของของด้วยตัวเอง
ก่อนจะลงมือสั่งให้คนของเขาจับท่านนอนคล้ำหน้าลงกับพื้น
เพื่อจะเฆี่ยนท่านอย่างไร้ความปรานีโดยใช้แส้แบบพิเศษที่มีตะปูอยู่ที่ปลายแส้
แต่แม้จะไม่เต็มใจนักที่จะทำตามคำสั่งของนายวาน
กูเตอร์ พวกเขาก็ต้องทำเพราะหากแม้นขัดคำสั่งแล้วชะตากรรมของพวกเขาก็คงไปต่างไปจากท่าน
ดังนั้นแทนที่จะยึดในหลักความยุติธรรม พวกเขาก็ต่างเฆี่ยนตีท่าน
ฉีกกระชากเนื้อจากกระดูก แทนที่จะมีเมตตานายวาน กูเตอร์กลับเพียงเตะท่าน ตีท่าน
และทำร้ายท่านต่างๆนานาอยู่ตลอดเวลา เพียงเพราะท่านยึดมั่นในพระคริสตเจ้า
จนกระทั้งบรรดาลูกจ้างเหล่านั้นสิ้นแรงจะเฆี่ยนท่านต่อ
พวกเขาก็ลากท่านไปขังไว้ในเรือนจำชั่วคราวซึ่งคือกระท่อมที่ใช้รมควันยางพาราพร้อมล่ามท่านไว้ด้วยโซ่
และทิ้งให้ท่านรับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเป็นเวลาประมาณหนึ่งวันเต็ม
กระทั้งมีผู้ตรวจการจากทางบริษัทเข้ามายังที่นี่
เหตุด้วยความกลัวว่าความชั่วช้าจะถูกเปิดเผยวาน กูเตอร์
จึงเร่งไปยังกระท่อมและลากท่านออกมา
ขณะเดียวกันก็สั่งให้ท่านเดินไปตามพุ่มไม้ไปยังเมืองใกล้เคียง
แต่เนื่องด้วยบาดแผลอันน่ากลัวของท่าน ท่านไม่สามรถจะยืน และแทบจะไม่สามารถลากตัวท่านเองได้
นายวาน
กูเตอร์มองท่านลากตัวกระทั้งท่านลับตาไป
โดยที่ไม่รู้เลยว่าท่านได้ไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้แถวๆนั้น และถูกพบโดยผู้ตรวจการณ์ชื่อ
ดคพินฮาอุส ผู้เที่ยงตรงผู้นั้น “ผมเห็นชายคนหนึ่งมาจากป่าพร้อมหลังที่ฉีกขาดเป็นรอยลึก หนอง เน่าเฟะ
สกปรก มีแมลงวันตอม เขายันบนไม้สองแท่งเพื่อจะได้อยู่ใกล้ผม เขาไม่ได้เดิน
เขาลากตัวเองมา” เขาบันทึก และเมื่อได้ทราบเรื่องของท่าน
เขาก็ให้ลูกทีมของเขานำตัวท่านขึ้นไปบนเรือและพาท่านไปยังสถานที่ปลอดภัยในอีซงโก
แม้จะมีบาดแผลหนักดคพินฮาอุสก็ดูแลท่านอย่างดีที่สุด แต่ก็ไม่อาจหยุดการติดเชื้อได้
ประตูแห่งความตายเข้ามาใกล้ท่านเต็มที ท่านมีอาการโลหิตเป็นพิษและถูกส่งไปยังบูซีรา
ที่ซึ่งท่านได้รับการดูแลจากครูคำสอนท้องถิ่น
และได้รับการเยี่ยมจากพระสงฆ์ธรรมทูตคณะทรัปปิสท์สององค์ในระหว่างวันที่ 24-25
กรกฎาคม ปี ค.ศ.1909 ทั้งสองขอให้ท่านอภัยผู้ทำร้ายท่าน
เมื่อฟังดังนั้นท่านจึงไม่รีรอที่จะประกาศว่า “แน่นอนผมจะสวดให้เขา
เมื่อผมอยู่ในสวรรค์แล้ว ผมก็จะสวดให้เขามากๆครับ”
หลังจากนั้นท่านจึงได้รับศีลเสบียงจากพระสงฆ์ทั้งสอง
และถึงแก่มรณกรรมในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน พร้อมสายจำพวกที่คอและสายประคำในมือ
ร่างของท่านถูกฝังอย่างเรียบง่าย และที่สุดในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ.1994 ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามท่านลงในสารบบบุญราศีอย่าสง่าพร้อมบุญราศีคุณแม่อีกสองคน
ท้ายสุดในโอกาสงานชุมนุมเยาวชนโลก 2013 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์
ก็แต่งตั้งท่านเป็นหนึ่งในองค์อุปถัมภ์ของงานนี้
“ท่านทั้งหลายจงประพฤติตนให้คู่ควรกับข่าวดีของพระคริสตเจ้า”(ฟิลิปปี 1:27)
เราจะประพฤติตนอย่างไรให้เหมาะกับข่าวดี
ง่ายๆก็คือการติดตามพระคริสตเจ้าด้วยการเป็นพระคริสต์ที่มีชีวิตคือ “รักพระรักเพื่อน” ดั่งเช่นท่านที่ได้สละชีวิตดีกว่าละทิ้งพระคริสตเจ้าซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าท่านรักพระมากแค่ไหน
และในเวลาเดียวกันท่านก็ได้ให้อภัยผู้ที่ทำร้ายท่านสุดหัวใจอันแสดงอย่างชัดเจนถึงการรักเพื่อนมนุษย์ของท่าน
ซึ่งไม่ได้แบ่งผิวว่าจะสีไหน หรือทำอะไรไว้กับท่านบ้าง พี่น้องที่รัก ขอให้เราพยายามจะเลียนแบบชีวิตของท่านบุญราศีที่จะปฏิบัติตัวให้คู่ควรกับข่าวดีของพระคริสต์ด้วยการรักพระอย่างสุดใจ
วางใจในพระองค์และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง
เพราะผู้ใดไม่รักเพื่อนที่มองเห็นได้แล้ว เขาจะรักพระที่เห็นไม่ได้ได้อย่างไรกัน พร้อมกันนั้นขอเรามองเห็นพระองค์ในเขาเสมอ
“ถ้าคุณพบคุณแม่ของผม หรือไปหาผู้พิพากษา หรือพบพระสงฆ์
โปรดบอกพวกเขาด้วยว่าผมกำลังจะตายเพราะผมเป็นคริสตชน”
คำสั่งเสียของท่านถึงดคพินฮาอุส
“ข้าแต่ท่านบุญราศีอิสิดอร์ บาก็องฌา
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง