หลายต่อหลายครั้งพระเป็นเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนของท่าน
ดั่งที่เคยกล่าวไปแรกในตอนที่ 1 ดังนั้นหลาย ๆ ครั้งจึงมีคนมาขอให้ท่านช่วยสวดให้เสมอ
ซึ่งก็มีพยานมากมายยืนยันถึงผลของคำภาวนาเหล่านี้ ซึ่งเราจะขอยกมาเพียงบางส่วน อาทิเช่น สตรีนางหนึ่งที่แต่งงานมาสิบปี
แต่ก็ยังไม่มีลูก เธอจึงตัดสินใจเดินทางมาหาท่านเพื่อขอให้ช่วยสวดให้
จนเวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเย็น ท่านก็บอกกับเธอว่า “เธอจะได้ตามสิ่งที่เธอปรารถนา
แต่เธอต้องแสดงความขอบคุณต่อแม่พระด้วยของขวัญหรือบางสิ่งให้พระนาง” ฝั่งสตรีนั้นจึงถามว่าจะให้ทำยังไง
ฝั่งท่านก็เลี่ยง ๆ ที่จะตอบ เธอจึงคะยั้นคะยอจนท่านยอมแนะให้ถวายหมวก เธอจึงตัดสินใจจะถวายมงกุฎทองแด่แม่พระ
และเพียงไม่นานเธอก็ตัดสินใจถวายกำไลทองคู่หนึ่งของเธอ พร้อมมอบไว้ให้ท่าน
แต่เมื่อกลับไป เธอก็ไปรับยาตามคำสั่งแพทย์มากิน
ฝั่งท่านที่รู้จึงดุทั้งเธอและบิดา เธอจึงตัดสินใจหยุดกินยานั้น “ฉะนั้นฉันจึงหยุดกินยา เพียงไม่นานฉันก็ให้กำเนิดบุตรชาย
ตอนนี้เขาเป็นหมอ และอยู่ที่อังกฤษ ครอบครัวเขาจะมาเยี่ยมคารวะหลุมศพของมารีอัม
เทรเซียทุกครั้งที่เขากลับบ้าน” เธอกล่าวสรุป
พยานอีกคนเล่าว่า
“สมาชิกห้าคนในครอบครัวของฉันป่วยเป็นโรคไข้รากสาดน้อย และหมอชาวเยอรมันชื่อ
ลอง จึงได้เข้ามาดูแลรักษาพวกเรา คนที่น่าห่วงที่สุดก็คือน้องสาวของฉันชื่อมารีอัม
เธอมีอาการหนักสุดและคุณหมอบอกว่าเธอไม่รอดแน่ แต่ทางกลับกันกับหมอ
ข้ารับใช้พระเจ้าให้ความมั่นใจเราว่าเธอจะรอด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1925
น้องสาวของฉันหายจากโรคและมีชีวิตอยู่จนถึงปี
ค.ศ.1948 ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะการเสนอวิงวอนและคำภาวนาของข้ารับใช้พระเจ้า”
หลังจากกล่าวถึงอัศจรรย์และชีวิตท่านไปมากแล้ว
ผู้เขียนก็นำท่านกลับมาสู่เหตุการณ์ต่อหลังจากอารามหลังใหม่สำเร็จแล้ว กล่าวคือไม่นานหลังคณะได้อารามหลังใหม่ ก็มีคำร้องขอให้ท่านไปตั้งอารามที่ทุมบูร์ จากเทกเกการะ ปาร๊อกการัน โลนา
กุนยุวารีด สัตบุรุษเขตวัดเวลายานัตตู เพราะเป็นบ้านเกิดของเขา โดยเขาได้เสนอจะยกที่ดินให้ท่าน
และให้ความช่วยเหลือตลอดระยะเวลาการก่อสร้างอารามหลังนี้ แต่…ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร
เขาก็ถูกชาวบ้านบางส่วนต่อต้านความคิดนี้ แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเขาได้
กุนยุวารีดยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะมีอารามที่ทุมบูร์
พยานคนหนึ่งเล่าว่า
“การปรากฏขึ้นของบ้านนักบวชเปลี่ยนท้องถิ่นไปในแนวเคร่งครัดขึ้น
นี่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทุมบูร์ ที่นั่น คุณแม่มารีอัม
เทรเซียได้รับการต้อนรับ และท่านมีผลต่อชาวบ้านที่นั่น
ท่านยังได้ทำให้พวกเขาบางคนกลับใจอีกด้วย” ดังที่เล่าไป
อาศัยความช่วยเหลือความช่วยเหลือคนละไม้คนละมือ
อารามหลังใหม่ก็แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเพียงสองปี และได้รับการเปิดเสกอย่างเป็นทางการในวันที่ 10
พฤษภาคม ค.ศ.1926 โดยมีพระคุณเจ้าวาชาปิลลีเป็นประธานในพิธี
การแต่งตั้งท่านเป็นนวกจารย์เป็นเหตุการณ์ที่นำความยินมาให้แก่บรรดานวกะเณรีทั้งหลาย
ซิสเตอร์ซูซานา หนึ่งในนวกะเณรีในขณะนั้น เขียนว่า “เมื่อคุณแม่กลายมาเป็นนวกจารย์ของพวกเรา
ความสุขของพวกเราก็ยากเกินจะบรรยายได้ วันนั้นท่านมาเล่นกับเราในช่วงสันทนาการ
รุ่งขึ้นเมื่อพวกเราต้องออกเดินทางไปบ้านศึกษาที่ทริชชูร์ ท่านได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรา และมาส่งเราจนถึงประตูโรงเรียน
ดังนั้นเองท่านจึงแสดงให้เราเห็นว่าท่านรักพวกเรามาก ๆ ” นวกะทุกคนมีความสุข
โดยที่ไม่อาจรู้เลยว่าความสุขนั้นจะอยู่กับพวกเธอเพียงไม่นาน และกำลังจะหายไป…
ขอย้อนกลับในเย็นวันเดียวกันกับที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นวกจารย์ของคณะ ท่านก็แสดงความขอบพระคุณผู้แทนแขวง
ฯพณฯ มัทธิว เอดากาลาทูร์ และคุณพ่อวิทยาทิล
ก่อนท่านจะวางมือของท่านบนมือของทั้งสอง พร้อมกล่าวกับทั้งสองเป็นนัย ๆ ว่า “คุณพ่อคะ ฝากดูแลลูก ๆ ของลูกให้ดีด้วยนะคะ” ซึ่งสร้างความฉงนสนเท่ห์แก่บรรดานวกะที่ได้ยิน
เพราะท่านก็ยังไม่ได้มีอายุมากเสียหน่อย ท่านจะตายไปตอนนี้ได้อย่างไรกัน แต่น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นเกินกว่าความคิดของมนุษย์ ดังที่พระเยซูเจ้าทรงเคยตรัสสอนไว้ ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระชนม์
วันหนึ่งที่อารามทุมบูร์
หลังจากเสกอารามได้ไม่กี่วัน ท่านที่มีอาการขาบวมขึ้นจากอุบัติเหตุในวันเปิดเสกอาราม ก็เรียกซิสเตอร์เมทิลดาให้ไปช่วยผสมปุ๋ยและสอนวิธีปลูกผักให้เธอ วันนั้นขณะกลับจากผสมปุ๋ยแล้ว ท่านก็พูดขึ้นกับซิสเตอร์เมทิลดาว่า “แม่จะอยู่อีกไม่นาน อาการป่วยที่ขาของแม่นี้ถูกส่งมาจากพระเจ้าเพื่อพาแม่ไปจากเธอ” ซิสเตอร์เมทิลดาจึงงแย้งท่านว่า “ทำไมคุณแม่อย่างนั้นละคะ
เพราะแผลบนขาคุณแม่นี้ คุณแม่ไม่ตายหรอกค่ะ”
ประมาณสองสามวันหลังพิธีเสกอารามทุมบูร์
ท่านจึงเดินทางกลับมาอารามกุสิกกัตตุสเสรี พร้อมแผลที่ขาซึ่งอักเสบหนัก ท่านจึงถูกส่งเข้ารับการผ่าตัดในทันที ดังนั้นแพทย์จากโรงพยาบาลชลากุดีจึงถูกตามตัวมา
แต่เมื่อมาถึงแพทย์ก็ลงความเห็นว่าอาการท่านหนัก แพทย์จึงมีความเห็นว่าต้องส่งท่านไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล
ทีแรกท่านบอกคุณพ่อวิทยาทิลว่ามันไม่ประโยชน์อะไร แต่ที่สุดท่านก็ยอมปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ ดังนั้นบรรดาซิสเตอร์จึงได้พาท่านขึ้นเกวียนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ คุณพ่อจอร์จ ชิราพนัธ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็กนักเรียก บันทึกว่า “(คุณครูแจ้งอาการป่วยของท่าน
นักเรียนทุกคนจึงขอออกไปดูท่าน และก็ได้รับอนุญาตให้ไปดูท่านตอนกำลังจะเดินทางไปโรงพยาบาล) ข้าพเจ้าจำได้ว่าเห็นคุณแม่ลากตัวของท่านด้วยความพยายามไปที่เกวียน
พวกเรารู้สึกว่าท่านกำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมาน พวกเราต่างเคารพรักคุณแม่
ดังนั้นพวกเราจึงรู้สึกเศร้าใจที่เห็นท่านเจ็บปวดเช่นนี้”
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล แพทย์จึงได้ฉีดยาให้ท่านและได้ตรวจพบว่าการอักเสบที่ขาของท่านกระจายเป็นวงกว้าง ไม่พอท่านยังมีอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ซึ่งยิ่งทำให้อาการท่านทรุดลงตามลำดับ
ท่านต้องรับทุกข์ทรมานเป็นอันมาก แต่ท่านก็น้อมรับมันด้วยความอดทนและความเงียบ
คุณพ่อจอร์จ ชิราเมล คุณพ่อปลัดวัดชลากุดี ที่มีโอกาสไปส่งศีลให้ท่านระหว่างรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
ได้บันทึกว่า “ผมมีความสุขที่ได้ไปส่งศีลให้เธอ (ขณะเธออยู่ที่ชลากุดี) เธอรับความเจ็บปวดนานา ด้วยความสงบที่งดงามและความสุภาพผิดธรรมดา
เธอไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการขาดความอดทนหรือความไม่พอใจ
มันดูเหมือนว่าเธอได้มอบทุกสิ่งให้พระเจ้าในความทุกข์ยากของเธอ”
ด้วยอาการป่วยของท่าน เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลรัฐที่รับผิดชอบเคสของท่านจึงตัดสินใจให้ท่านพำนักอยู่ที่อาคารของสังฆมณฑล
เพื่อว่าจะสามารถไปตรวจอาการท่านได้อย่างสะดวก และนับวันแทนที่แผลของท่านจะทุเลาลงเมื่อได้รับการรักษา
ตรงกันข้ามมันกลับมีหนองไหลออกมา และดูจะมีแต่แย่ลงเรื่อน ๆ เช่นนั้นเองเมื่อหมดปัญญาจะรักษาท่าน ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ.1926 คุณพ่อวิทยาทิลจึงได้ประกอบพิธีศีลเจิมให้ท่าน
และได้นำท่านกลับมาอารามกุสิกกัตตุสเสรี ซึ่งบัดนี้มีซิสเตอร์ในคณะจากทั้งทริชชูร์และทุมบูร์ตามมาสมทบอยู่แล้ว
ทุกคนที่มารวมตัวกันยังอารามกุสิกกัตตุสเสรีต่างมีน้ำใส ๆ
คลออยู่ในดวงตา หัวใจของพวกเธอทุกคนรวดร้าวด้วยความทุกข์ตรมอยู่ ๆ รอบตัวท่าน ซึ่งทันทีที่ท่านได้เห็นเช่นนั้น
ความเจ็บปวดที่ท่านประสบทั้งหมดก็มลายหายไปสิ้น ซิสเตอร์เยมมาเล่าถึงเวลานั้นว่า “แม้จะอยู่ในสภาพที่ทุกขเวทนาและเจ็บปวด
ท่านก็ไม่ลืมที่จะปลอบใจฉันถึงเรื่องการจากไปอันน่าเศร้าของคุณแม่ของดิฉันเมื่อวันที่
26 พฤษภาคม ปีเดียวกันนั้น”
ในวาระที่ชีวิตของท่านจะดับลงเต็มที
ท่านก็ได้เรียกซิสเตอร์ทุกคนมาพบ และได้ให้โอวาทสุดท้ายว่า “ลูก ๆ ที่รักของแม่ ไฉนหัวใจของลูกจึงทุกข์ตรมเหมือนคนมีความเชื่อน้อยเช่นนั้นเล่า ลูกรู้อยู่แล้วว่าแม่จะไม่รอดจากโรคนี้ หากมันเป็นพระประสงค์ของเจ้าบ่าวในสวรรค์ที่แม่จะไปจากลูกเร็ว ๆ นี้ตามคำเชิญของพระองค์
ก็จงปล่อยให้มันสำเร็จไปเถิด คณะของพวกเรายังคงแบเบาะนัก ลูกจึงต้องไม่ลืม ว่ามันเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของลูกในฐานะสมาชิกของคณะนี้
ที่จะส่งเสริมและผลักดันมัน จงปฏิบัติต่ออธิการด้วยความจริงใจและความรัก
จงรักคนอื่น จงช่วยเหลือคนอื่น”
เช้าวันที่
8
ธันวาคม ค.ศ.1926
ท่านยังคงรู้ตัว
และยังสามารถอวยพรคนรอบข้างได้ แต่ยิ่งเวลาเดินไปเท่าไร อาการของท่านก็มีแต่ก็จะทรุดลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ ท่านขอให้เอาท่านนอนบนเสื่อที่พื้น กระทั่งเวลาล่วงมาถึงเวลา 22.00
น. รายล้อมด้วยบรรดาซิสเตอร์และคุณพ่อวิทยาทิลซึ่งต่างพากันคุกเข่า
คุณพ่อนำท่องบทภาวนาสั้น ๆ ให้ท่าน ทันใดนั้นเองท่านก็ยกศีรษะขึ้นประหนึ่งเห็นบางสิ่ง
คุณพ่อวิทยาทิลจึงเข้าไปประคองศีรษะท่าน และวางมันลง ก่อนนำสวดว่า “เยซู มารีย์ ยอแซฟ
ลูกขอมอบหัวใจและร่างกายของลูกไว้ในมืออันเปี่ยมรักของพวกท่าน” ท่านในวัย 50 ปีก็สวดตามจนจบบทสวดนี้ ท่านจึงได้คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้า
เพื่อรับรางวัลในสวรรค์ ดั่งคำสัญญาในราตรีนั้นในที่สุด
คืนนั้นทั้งอารามเต็มไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความคิดถึง
‘คุณแม่’ ของพวกเขา มันช่างเป็นคืนที่ยากจะข่มตาหลับลงได้สำหรับพวกซิสเตอร์ทั้งหลาย และเมื่อเช้าวันใหม่เริ่มขึ้น ในสวนของอารามอัศจรรย์ประการหนึ่งก็บังเกิดขึ้น ดังย้ำเตือนถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคุณแม่ของพวกเธอ คือ ดอกมะลิสีขาวส่งกลิ่นหอมได้พร้อมใจกันบานขึ้นทั้งต้น
“ฉันเห็นมันกับตา” ซิสเตอร์ซูซันนายืนยัน
ดังนั้นเองในพิธีปลงศพ มงกุฎดอกมะลิจึงถูกวางไว้ที่ศีรษะของท่าน และถูกฝังไปพร้อมร่างของท่าน
ที่มิได้ผ่านการอาบน้ำศพ ตามคำสั่งของท่าน ที่ไม่ได้บอกจุดประสงค์ไว้
แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าท่านไม่ปรารถนาให้ใครเห็นรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่สีข้างของท่านนั่นเอง
พิธีปลงศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายโดยมีประธานคือ ฯพณฯ
มัทธิว เอดากาลาทูร์ เป็นประธาน มีผู้เทศน์คือคุณพ่อโยเซฟ กายะลากัม
ซึ่งได้เปรียบท่านกับนักบุญเทเรซา แห่ง ลิซิเออร์ ว่า “แม้ว่าพิธีปลงศพจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย
เวลานั้นจะมาถึง เวลาเมื่อนักบุญอีกองค์เช่น ‘ดอกไม้น้อย’(น.เทเรซา แห่ง ลิซิเออร์)จะลุกขึ้นจากหลุมศพนี้” และมีสัตบุรุษจากหลายวัดแห่กันมาร่วมงาน ทั้งยังเอาสายประคำ ของศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มาสัมผัสร่างกายของท่าน และขอของใช้ท่าน
จนคุณพ่อวิทยาทิลต้องออกมาปรามไว้
หลังจากนั้นอีก
51 ปี
เมื่อมีการขุดร่างของท่านในระหว่างกระบวนขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ
ก็ปรากฏว่าร่างของท่านนั้นคงสภาพดีเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เว้นแม้แต่มงกุฎดอกมะลิบนศีรษะของท่าน
ทั้งนี้ยังปรากฏกลิ่นหอมประหลาดลอยฟุ้งออกมาจากหลุมของท่านอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เพียงเท่านั้นตลอดหลายปีก่อนจะมีพิธีสถาปนาท่านเป็นบุญราศี
ก็มีรายงานอัศจรรย์อาศัยคำเสนอวิงวอนของท่านถึง 700 รายการถูกรายงานมายังอาราม
ปัจจุบันคณะพระวิสุทธิวงศ์ที่ท่านก่อตั้ง
มีแขวงของคณะเก้าแขวง ข้อมูลจากปี ค.ศ.2000 ระบุว่าคณะมีบ้าน 176
หลัง กระจายอยู่ในเกรละ , ภาคเหนือของอินเดีย , เยอรมัน , อิตาลี และกานา
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในยุคปัจจุบัน
ภายใต้จิตตารมณ์ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งนาร์ซาแร็ธ ความรักเห็นอกเห็นใจของคณะมาจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขนอย่างลึกซึ้ง
และพันธะกิจการสร้างความเท่าเทียมกระทำผ่านพันธกิจเรื่องครอบครัว
“ข้าแต่ท่านนักบุญมารีอัม เทรเซีย ช่วงวิงวอนเทอญ”