บุญราศีซันดรา ซาบัตตินี
Bl. Sandra Sabattini
วันฉลอง: 2 พฤษภาคม
“ทุกวันนี้มีคริสตังที่ดีมีมากขึ้น ในขณะที่โลกนั้นต้องการนักบุญ” ถ้อยวลีดังกล่าว มาจากบันทึกตอนหนึ่งของอนาคตยุวนักบุญองค์ใหม่ ซึ่งในวันนี้พระศาสนจักรได้รับรองคุณธรรมขั้นคารวียะ และอัศจรรย์อาศัยคำเสนอวิงวอน จึงได้ยกท่านไว้ให้มีฐานะ ‘บุญราศี’ อันเป็นลำดับขั้นสุดท้ายก่อนการบันทึกนามคริสตชน ผู้ดำเนินชีวิตอย่าง ‘ศักดิ์สิทธิ์’ สมควรเป็นแบบอย่างของคริสตชนทั้งหลาย ในสารบบนักบุญอย่างสง่า หากแม้นมีอัศจรรย์อีกครั้งเดียวอาศัยคำเสนอวิงวอน บุญราศีองค์นี้มีนามว่า ‘ซันดรา ซาบัตตินี’ เยาวชนหญิงวัย 22 ปี จากสังฆมณฑลริมินี ประเทศอิตาลี ผู้มีชีวิตแสนจะธรรมดาเหมือนกับพวกเรา แต่ก็ไม่ธรรมดาด้วยวิถีอันพิเศษจากตัวท่าน และมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับพวกเราในเวลานี้
บุญราศีซันดรา ซาบัตตินี เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ที่โรงพยาบาลประจำเมืองริกโชเน จ. ริมินี ในแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี เมื่อท่านเกิดไม่ได้มีปรากฏการณ์อัศจรรย์ใดเกิดขึ้นกับท่าน มารดาหรือบิดามารดาของท่านมิได้ฝัน หรือเห็นนิมิตทูตสวรรค์หรือเครื่องหมายใด ๆ หรือมีเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นในวันที่ท่านถือกำเนิด อย่างเช่นเรื่องราวของบรรดานักบุญมากมายในพระศาสนจักรที่เราเคยได้ยินมา ท่านเป็นเพียงบุตรคนแรกจากทั้งหมดสองคนของนายยูเซปเป ซาบัตตินี และนางอักเนเซ โบดินี สองสามีภรรยาใจศรัทธา ซึ่งอาศัยอยู่ที่วัดพระมารดาแห่งความรักอันงดงาม หมู่บ้านมิซาโน เซลลา เมืองมิซาโน อาดรีอาติโก ที่มีคุณพ่อยูเซปเป โบดินี พี่ชายของนางอักเนเซทำงานอภิบาลอยู่ และสืบเนื่องจากที่หมู่บ้านมิซาโน เซลลาไม่มีโรงพยาบาล ทั้งสองจึงได้มาคลอดท่านที่โรงพยาบาลเมืองริโชเน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกัน และได้นำท่านรับศีลล้างบาปในวันรุ่งขึ้นที่วัดน้อยประจำโรงพยาบาลนั้น ด้วยนามว่า ‘ซันดรา มารีอา อัสซุนตา’ ก่อนให้หลังยี่สิบวันทั้งสองจึงพาท่านไปประกอบพิธีเล็ก ๆ เพื่อขอพรจากพระ และรับการต้อนรับเป็นสมาชิกใหม่ของชุมชนที่วัดพระมารดาแห่งความรักอันงดงาม หมู่บ้านมิซาโน เซลลา
สี่ปีต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1965 คุณพ่อยูเซปเป โบดินี จึงได้รับการแต่งตั้งจากทางสังฆณฑลริมินีให้มาทำงานอภิบาลที่เขตวัดใหม่ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนบริเวณชายฝั่งเมืองริมินี จ. ริมินี ที่เรียกกันว่า ‘มารีนา เชนโตร’ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อว่า ‘วัดนักบุญยิโรลาโม’ คุณพ่อจึงได้ย้ายมาพักที่เขตวัดใหม่ โดยในทีแรกคุณพ่อมิได้ประสงค์ให้ครอบครัวน้องสาวติดตามมาด้วย เนื่องจากคุณพ่อทราบดีว่าในขณะนั้นวัดนักบุญยิโรลาโมยังไม่มีทั้งตัววัด หรือแม้แต่พระแท่นถาวรในการประกอบพิธี คุณพ่อจึงได้ย้ายมาประจำแต่ลำพัง กระทั่งเมื่อนายยูเซปเปและนางอักเนเซได้พาท่านในวัย 4 ปี เดินทางขึ้นมาเยี่ยมคุณพ่อที่นี่ และได้เห็นอากัปกิริยาที่ท่านรีบกระโดดไปให้คุณพ่อกอดด้วยท่าทีมีความสุข ทั้งสองจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวติดตามคุณพ่อมายังวัดแห่งนี้ แม้จะมีความไม่สะดวกสบายอยู่บ้างก็ตาม ทำให้ท่านในวัย 4 ปี จึงได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่วัดนักบุญยิโรลาโม เมืองริมินี
เมื่อย้ายขึ้นมาอยู่ที่ริมินีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเติบโตขึ้นเช่นเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันทั่วไป ท่านได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ใกล้เคียงเริ่มตั้งแต่ชั้นอนุบาลเรื่อยไปจนถึงมัธยมศึกษาตามลำดับ ท่านเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่ง ร่าเริง ชอบวาดรูป เล่นเปียโน และเป็นนักวิ่งระยะสั้นในทีมนักกรีฑาของโรงเรียน และแน่นอนไม่ได้มีเหตุการณ์อัศจรรย์ใดเกิดขึ้นในช่วงชีวิตวัยเยาว์ของท่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นการประจักษ์มาของพระกุมาร แม่พระ นักบุญ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอื่น ๆ แต่ในท่ามกลางชีวิตที่ธรรมดาสามัญนั้นเอง ‘ความพิเศษ’ บางประการในวิญญาณดวงน้อย ๆ ของท่าน อันเป็นผลิตผลที่เกิดจากพื้นฐานครอบครัวคริสตชนที่ดี และบรรยากาศที่ใกล้ชิดกับวัดมาตั้งแต่เล็ก ๆ ก็ได้ฉายแววออกมาจากตัวของท่านให้คนรอบข้างได้เห็น นั่นคือ ‘สายสัมพันธ์’ ระหว่างท่านกับพระเป็นเจ้า ที่นับวันยิ่งร้อยรัดถักแน่นขึ้นตามวัยของท่าน
ท่านมีสายประคำไว้กับตัวเสมอ เป็นสายประคำเส้นเล็ก ที่มีประคำเม็ดใหญ่ 1 เม็ด และประคำเม็ดเล็กอีก 10 เม็ดรวมเป็น 1 ทศ คุณยายของท่านเล่าว่า ในตอนเย็นนางมักพบท่านผลอยหลับไปบนเตียงพร้อมด้วยลูกประคำในมือ ในขณะที่คนดูแลท่าน เมื่อท่านไปเข้าค่ายเมื่ออายุได้ 7 ปี ได้เป็นพยานว่า “ฉันมักเห็นเธอเดินเข้าไปที่วัดน้อยเพียงลำพัง โดยที่มีข้างหนึ่งถือตุ๊กตาไว้ ส่วนอีกข้างถือสายประคำ เธอจะคุกเข่าลงที่ม้านั่งตัวสุดท้ายและก้มศีรษะน้อย ๆ ของเธอลง เธอจะทำอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงจะออกมาและไปสมทบกับเพื่อน ๆ ด้วยท่าทีมีความสุข” นอกจากนี้ในสมัยท่านเรียนในระดับประถมศึกษา ยังมีพยานอีกจำนวนหนึ่งได้เคยเห็นท่านรำพึงอยู่หน้าตู้ศีลในตอนเช้าอีกด้วย พยานอีกรายให้การถึงเรื่องนี้ ก็คือคุณลุงของท่านที่ได้เล่าว่า “เธอจะตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อมานั่งรำพึงตามลำพัง บางครั้งในความมืด อยู่เบื้องหน้าศีลมหาสนิท ก่อนที่คนอื่น ๆ จะมาวัด ในวันขึ้นปีใหม่เธอจะมาอยู่เบื้องหน้าพระเยซูเจ้าด้วยความศรัทธา ตั้งเวลาตีหนึ่งถึงตีสอง เธอชอบที่จะนั่งสวดภาวนาอยู่ที่พื้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความนอบน้อมและยากจน”
เมื่อท่านมีอายุได้ 8 ปี ท่านจึงได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 หลังจากนั้นอีกสองปีท่านจึงได้ศีลกำลังในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1972 ซึ่งก่อนหน้าที่ท่านจะได้รับศีลกำลังเพียงไม่กี่เดือน ในวันที่ 24 มกราคม ปีเดียวกัน ท่านยังได้เริ่มเขียนบันทึก ที่ช่วยให้เราได้เห็นความคิด ประสบการณ์ และความงดงามภายในวิญญาณของท่าน ที่ถูกแฝงเร้นไว้ในชีวิตที่แสนจะธรรมดานี้ ท่านเริ่มบันทึกด้วยข้อความสั้น ๆ ว่า “ชีวิตที่ไร้พระเจ้าเป็นเพียงเวลาชั่วขณะ ที่ทั้งน่าเบื่อและสนุก ให้เราได้เล่นไประหว่างรอความตาย” ข้อความสั้น ๆ นี้สะท้อนให้เห็นว่า ท่านในวัยย่างจะสิบปีได้ตระหนักถึง ‘ความไม่แน่นอน’ ของชีวิตบนโลกที่ท่านนิยามว่า คือ ชีวิตที่ไร้พระเจ้า ได้เป็นอย่างดี และการตระหนักรู้เช่นนี้เองที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการที่ท่านจะดำเนินชีวิตติดตามพระคริสตเจ้าในทุก ๆ วัน ด้วยการเฝ้ารำพึงภาวนาต่อพระองค์ ดังที่ท่านเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า “จงทิ้งตัวไว้ในการรำพึงภาวนา การนมัสการบูชา การคอยท่าให้พระองค์ทรงเผยแสดงว่าทรงประสงค์สิ่งใดจากเธอ” (8 ตุลาคม ค.ศ. 1978)
คุณพ่อเบนซี (กลาง) และบุญราศีซันดรา (ขวาสุด)
ในการรอคอยด้วยคำภาวนาและความเชื่อ ที่สุดวันหนึ่งท่านก็ค้นพบหนทางติดตามพระคริสตเจ้าผ่านการรับใช้ผู้คน วันหนึ่งคุณพ่อโบดินี คุณลุงของท่านก็ได้เชิญคุณพ่อโอเรสเต เบนซีมาที่วัดเพื่อแนะนำกลุ่มสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ซึ่งพึ่งก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1971 คุณพ่อเบนซีผู้นี้เป็นคุณพ่อเจ้าวัดพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ที่ย่านกร็อตตา รอสซา ย่านชานเมืองริมินีบริเวณส่วนที่ขยายตัวไปตามแนวถนนที่มุ่งสู่สาธารณรัฐซานมารีโน และด้วยความสนใจเยาวชน เป็นพิเศษเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งด้วยปัญหาต่าง ๆ รวมถึงคนชายขอบสังคม คุณพ่อจึงได้ริเริ่มกลุ่มสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ซึ่งมีจิตตารมณ์หลักคือการเจริญชีวิตติดตามพระเยซูผู้ยากไร้ ผู้รับใช้และผู้รับความทุกข์ทรมาน อาศัยการแบ่งปันชีวิตกับผู้ต่ำต้อยโดยตรง ผ่านการอุทิศชีวิตในการดูแลพวกเขาเหล่านั้นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ท่านในวัย 12 ปี ที่มีโอกาสได้พบคุณพ่อเบนซีในโอกาสดังกล่าวก็รู้สึกประทับใจในจิตตารมณ์กลุ่มของคุณพ่อ ท่านจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มดังกล่าว
ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1974 หรือปีต่อมาหลังจากท่านพบคุณพ่อเบนซี ท่านก็มีโอกาสเดินทางไปร่วมเข้ากิจกรรมค่ายเยาวชนกับกลุ่มสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ที่จัดให้ผู้พิการที่บ้านมาดอนนา เดลเล เวตเต ซึ่งตั้งอยู่ท่ามใจกลางเทือกเขาโดโลไมท์ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในกิจกรรมดังกล่าวคุณพ่อเบนซีมุ่งมั่นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้พบกับพระเยซูเจ้า ด้วยประสบการณ์ที่เข้มข้นท่ามกลางธรรมชาติและการลงแรงดูแลผู้พิการในตลอดระยะเวลาช่วงหยุดยาวภาคฤดูร้อน ประสบการณ์เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ตราตรึงใจไม่น้อยสำหรับท่าน และช่วยทำให้ท่านเข้าใจกระแสเรียกในการรับใช้พระเจ้าสำหรับชีวิตท่านมากขึ้น เมื่อกลับถึงบ้านท่านได้บอกกับมารดาของท่านว่า “พวกเราทำงานตัวเป็นเกลียว แต่นั่นคือคนที่หนูไม่มีวันทอดทิ้งค่ะ” และนับแต่นั้นมาท่านก็ได้เริ่มใช้เวลาว่างจากภาระร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มด้วยความกระตือรือร้น ซึ่งนอกเหนือจากร่วมกิจกรรมของกลุ่ม ท่านยังได้เริ่มออกตามหาคนยากไร้ถึงที่บ้านและได้กระตุ้นให้คนในเขตวัดที่ท่านอยู่ ตระหนึกถึงความสำคัญในการเอาใจใส่คนพิการ ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อมีคนยากไร้มาขอความช่วยเหลือที่บ้านของท่าน ท่านไม่เคยพอใจแค่ช่วยเหลือพวกเขาพร้อมครอบครัว แต่ยังคอยวิ่งตามพวกเขาไป เพื่อนำเงินจำนวนหนึ่งที่ท่านอดออมไว้ไปให้เขาเพิ่ม
“เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต: พื้นฐานสำคัญคือการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าในการเจริญชีวิต เมื่อมองดูผู้คนฉันไม่ได้เห็นเพียงเขาคนนั้น แต่มองเห็นพระคริสตเจ้า ฉันปรารถนานำความรอดซึ่งคือองค์พระคริสตเจ้าไปให้พวกเขา” ดังที่ท่านเขียนไว้ในบันทึกลงวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1975 เมื่อได้เป็นสมาชิกกลุ่มสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ท่านมุ่งมั่นที่จะส่งต่อความรักอันศักดิ์สิทธิ์ อันคือความรอด คือองค์พระเยซูเจ้าเองไปยังคนยากไร้ คนติดยา และผู้ถูกทอดทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ตรงกันข้ามได้นำความสุขมากให้วิญญาณของท่าน เช่นที่ท่านเขียนไว้หลังจากไปเพื่อร่วมกิจกรรมให้ผู้พิการ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งกลุ่มทำงานของคุณพ่อเบนซีว่า “วันนี้ วันอาทิตย์ ฉันไปที่กร๊อตตา รอสซา เพื่อร่วมกิจกรรมสำหรับผู้พิการ หลังจากได้ร่วมกิจกรรมฉันมีความสุข ความสงบ ฉันรู้สึกได้ภายในวิญญาณของฉันถึงความสันติที่ฉันใฝ่หา” (11 เมษายน ค.ศ. 1976) ในเวลาเดียวกันท่านก็เคารพเสรีภาพของคน ดังที่ท่านเขียนว่า “ฉันไม่สามารถบังคับให้คนอื่นคิดแบบเดียวกับฉันได้ แม้ฉันจะคิดว่ามันถูกแล้วก็ตาม ฉันสามารถบอกได้เพียงความสุขของฉันกับพวกเขา” (4 ตุลาคม ค.ศ. 1977) กระนั้นท่านก็ไม่ย่อท้อที่จะส่งต่อความสุขของท่านให้ทุกคน ในช่วงเวลานี้บางโอกาสท่านก็ได้ไปพักอยู่บ้านของกลุ่ม เพื่อทำงานร่วมกลุ่มอีกด้วย
นอกจากการได้พบหนทางในการตอบสนองต่อกระแสเรียกการรับใช้ผู้ต่ำต้อย การเข้าร่วมกลุ่มสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ก็ยังทำให้ท่านในวัย 17 ปีได้พบกับ ‘กุยโด รอสซี’ ชายหนุ่มหนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่อายุแก่กว่าท่าน 2 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1978 ซึ่งทำให้ท่านได้พบกระแสเรียกเพิ่มเติม คือ ‘การแต่งงาน’ เพราะท่านและเขาได้เริ่มสานสัมพันธ์กันอย่างจริงจังในปีต่อมาและได้ตกลงเป็นแฟนกัน กุยโดที่หลงเสน่ห์ความโอบอ้อมอารีและความศรัทธาของท่าน เล่าถึงเดตแรกของเขากับท่านในการสัมภาษณ์ให้กับโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า “เดตแรกของพวกเรา คุณคิดว่าเธอจะไปเดตครั้งแรกกับแฟนของเธอที่ไหนละครับ เป็นเธอนี่เอง ที่แม้จะมีท่าทีที่เคร่งขรึมอยู่มาก แต่ก็เต็มไปด้วยพลัง ที่พาผมไปป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อมองดูภาพของหญิงชราที่ถูกลืมในสุสาน” ส่วนท่านเขียนถึงความรู้สึกที่ท่านมีต่อกุยโด ภายหลังจากคบกับเขาได้สี่ปีว่า “การหมั้นหมาย: คือบางสิ่งที่บริบูรณ์ด้วยกระแสเรียก สิ่งที่ฉันมีต่อผู้อื่นคือความพร้อมที่จะรับใช้และความรักคือสิ่งเดียวกับที่ฉันสัมผัสได้จากกุยโด สองสิ่งนี้สอดสลับกันไปมาอยู่ในระดับเดียวกัน แม้จะต่างกันไปบ้าง” (23 กรกฎาคม ค.ศ. 1983)
กุยโด รอสซี แฟนหนุ่มของบุญราศีซันดรา
เมื่อจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาจากสายการเรียนวิทยาศาสตร์ด้วยคะแนน 59 จาก 60 คะแนน ท่านเริ่มลังเลใจว่าท่านควรจะดำเนินชีวิตเช่นไรต่อไประหว่างการเดินทางไปเป็นธรรมทูตที่แอฟริกาในทันที หรือเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์สักที่ก่อน ท่านจึงได้นำความกังวลใจนี้ไปปรึกษาคุณพ่อวิญญาณของท่านและคุณพ่อเบนซี ซึ่งทั้งสองก็ต่างให้ความเห็นตรงกัน คือ ท่านเลือกที่จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาเสียก่อน ดังนั้นใน ค.ศ. 1980 ท่านจึงตัดสินใจเลือกที่จะสมัครเข้าเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโบโลญญา ด้วยความมุ่งหวังว่าท่านจะสามารถนำวิชาความรู้ในศาสตร์นี้ไปใช้การไปเป็นธรรมทูตที่แอฟริกาในอนาคต เป็นผลให้ท่านต้องแบ่งเวลาชีวิตให้ดียิ่งขึ้นทั้งสำหรับการเรียน ครอบครัว งานพิเศษ และคนยากไร้ ซึ่งท่านก็สามารถบริหารจัดการเวลาได้เป็นอย่างดี จึงทำให้แม้ท่านจะมีภาระงานอื่น ๆ มาก ท่านก็สามารถสอบได้คะแนนดีเสมอ
ในวัย 21 ปี ท่านเริ่มใช้เวลาในช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อน ใน ค.ศ. 1982 เป็นต้นมาไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานที่ชุมชนสำหรับบำบัดผู้ติดสารเสพติดที่อิเยอา มารีนา ชุมชนแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาโดยคุณพ่อเบนซี ตามคำขอของฯพณฯ โยวันนี โลกาเตลลี พระสังฆราชแห่งริมินี ซึ่งเล็งเห็นปัญหาเรื่องการใช้สารเสพติดในกลุ่มเยาวชน และในเวลาต่อมาเมื่อชุมชนดังกล่าวย้ายที่ตั้งมายังหมู่บ้านตราริวี ไม่ไกลจากเมืองริมินี ท่านก็ได้ย้ายตามมาช่วยงานที่ชุมชนดังกล่าวในช่วงหยุดฤดูร้อนอย่างขยันขันแข็ง ท่านตระหนักได้ว่า “มีความพยายามของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่จะทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ โดยการล่อลวงพวกเขาด้วยเสรีภาพจอมปลอม ความจอมปลอมที่มาในนามความกินดีอยู่ดี ดังนั้นมนุษย์จึงจมลงในวังวนของสิ่งที่ย้อนแย้งกันในตัวมันเอง มนุษย์ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาต้องการพบเป้าหมายใหม่ ไม่ใช่การปฏิวัติที่นำไปสู่ความจริง แต่เป็นความจริงต่างหากที่นำไปสู่การปฏิวัติ” ดังนั้นท่านจึงอุทิศตนในการช่วยเหลือบรรดาเด็ก ๆ ที่ตกเป็นทาสของยาเสพติด
ที่ชุมชนเพื่อผู้ติดยานี้ ท่านอุทิศเวลาที่มีเพื่อพูดคุยกับบรรดาเด็ก ๆ และเยาวชน ด้วยความมุ่งหวังที่จะทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงหน้าที่ของพวกเขา ท่านรับฟังเรื่องราวชีวิตที่แสนจะยากลำบากและเจ็บปวดของพวกเขาด้วยความสงบนิ่งและความอดทน เพราะท่าน ‘ค้นพบ’ องค์พระเยซูเจ้าในพวกเขา ท่านเขียนเล่าถึงประสบการณ์นี้ว่า “เหล่าเด็กชายสร้างแรงกระตุ้นให้ลูกมาก พวกเขาขอให้ลูกเสมอต้นเสมอปลายในสิ่งที่ลูกทำ เอาจริงเอาจังในการที่จะเดินเข้าไปหาพวกเขา เพราะมันทำให้พวกเขาได้ลืมตามาพบพระองค์ ทำให้พวกเขาได้เข้าใจว่าสิ่งที่ลูกทำนี้จากสิ่งที่ยิ่งใหญ่และนั่นทำให้พวกเขามั่นใจ ลูกรู้สึกรักพวกเขาแต่ละคนอย่างที่สุด เพราะในช่วงเวลาเหล่านั้นลูกได้พบพระองค์ในพวกเขา ในความเรียบง่ายของยูลีอาโน ความต้องการความอ่อนโยนของกาซาเร ความต้องการความรักของมาริโอ การแสวงหาความถูกต้องของสเตฟาโน ความต้องการการรับฟังและความเข้าใจของเปียโร ความพยายามแรกที่จะแสวงหามิตรภาพแท้ของโยวันนี” (8 ตุลาคม ค.ศ. 1982)
อาจกล่าวได้ว่าเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตและกิจการของท่าน คือ ‘ความรัก’ ท่านเขียนเตือนตนเองในบันทึกว่า “ซันดรา จงรักทุกสิ่งที่เธอทำ รักให้ลึกทุกนาทีที่เธอยังมีชีวิต ซึ่งเธอได้รับอนุญาตให้มี จงพยายามยินดีกับปัจจุบันขณะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสที่เข้ามา” (14 ตุลาคม ค.ศ. 1981) จากข้อความนี้แสดงให้เห็นชัดว่าความรัก ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความรักที่ท่านมีต่อพระเจ้า ผู้ที่ท่านได้พบในผู้คน ดังที่ท่านได้โมทนาคุณพระเจ้าไว้ว่า “ขอขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะตั้งแต่ลูกมีชีวิตถึงเวลานี้ลูกได้รับแต่สิ่งที่สวยงาม ลูกมีทุกอย่าง แต่มากกว่านั้น ลูกขอขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเปิดเผยพระองค์ให้ลูกรู้จัก ลูกจึงได้พบพระองค์” (12 พฤษภาคม ค.ศ. 1977) เป็นแกนกลางในการดำเนินชีวิต
ท่านตระหนักว่า “หากเป็นความรักแท้ จะทนได้อย่างไรที่หนึ่งในสามของมนุษย์ต้องตายไปเพราะความอดอยาก ในขณะที่ฉันยังรักษาชีวิตที่ปลอดภัยหรือมีกินมีใช้ต่อไปงั้นหรือ ถ้าทำดังนั้น ฉันก็เป็นคริสตังที่ดีแต่ไม่ใช่นักบุญ ทุกวันนี้มีคริสตังที่ดีมีมากขึ้น ในขณะที่โลกนั้นต้องการนักบุญ” สิ่งนี้เมื่อรวมเข้ากับการตระหนักรู้ของท่านถึงความไม่แน่นอนของชีวิต และความปรารถนาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระเจ้า ทำให้ท่านมุ่งมั่นที่จะรับใช้ผู้คนในโอกาสต่าง ๆ ที่เข้ามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย โดยเฉพาะคนที่ไม่มีใครนึกถึงที่ทวีปแอฟริกา ด้วยท่านเล็งเห็นว่าด้วยวิถีทางนี้ท่านได้พบและได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ความฝันที่จะได้ไปแอฟริกาของท่านใกล้จะเป็นจริงเรื่อย ๆ ใน ค.ศ. 1984 เมื่อท่านได้หมั้นกับกุยโด เพราะทั้งสองวางแผนกันว่าหลังจากที่ทั้งสองได้สมรสกัน ทั้งสองจะเดินทางไปเป็นธรรมทูตด้วยกันที่ทวีปแอฟริกา แต่พระเจ้าทรงมิได้ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น
เวลา 9 นาฬิกาของวันที่ 29 เมษยายน ค.ศ. 1984 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ปัสกา ขณะท่านลงจากรถที่นั่งมากับกุยโดและเพื่อนอีกคนเพื่อร่วมประชุมกลุ่มสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ที่อิเยอา มารีนา ท่านและเพื่อนก็ถูกรถยนต์ที่แล่นมาจากอีกทางพุ่งเข้าชน ร่างของท่านที่โดนปะทะอย่างจังลอยไปที่กระโปรงหน้ารถก่อนจะร่วงลงพื้น คุณพ่อเบนซีที่ทราบเรื่องรีบเรียกรถพยาบาลและได้เปิดปากท่านไว้ เพื่อให้ท่านสามารถหายใจได้สะดวก ท่านถูกส่งตัวอย่างเร่งด่วนจากเมืองริมินีไปที่โรงพยาบาลเบลลาเรีย เมืองโบโลญญาเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน แต่ภายหลังโคม่าเป็นระยะเวลาสามวัน ท่านในวัย 22 ปี ก็ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 2 พฤษภาคม โดยไม่มีคำพูดสุดท้ายใด ๆ แต่สองวันให้หลังก่อนอุบัติเหตุท่านได้เขียนในบันทึก ซึ่งกลายเป็นข้อความสุดท้ายของบันทึกว่า “ชีวิตนี้ซึ่งไม่ใช่ของลูก เติบโตขึ้นไปตามลำดับ ด้วยลมหายใจเข้าออกซึ่งก็ไม่ใช่ของลูก ถูกชุบชูด้วยวันอันแจ่มใส ซึ่งไม่ใช่ของลูกเช่นกัน ไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นของเธอ ซันดรา จำไว้ จงดูแลของขวัญที่เธอได้รับนี้ ทำให้มันงดงามยิ่งขึ้น และเต็มเปี่ยมเมื่อเวลานั้นมาถึง” และสี่วันก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นท่านได้เล่าให้มารดาฟังว่า ท่านฝันเห็นงานปลงศพและหลุมศพของท่านที่เต็มไปด้วยมวลหมู่ดอกไม้
ท่านจากไปโดยไม่ได้มีเครื่องหมายอัศจรรย์ดังเรื่องเล่าของนักบุญในอดีต ไม่มีกลิ่นหอมประหลาดลอยล่องจากร่างของท่าน ไม่มีเสียงระฆังปริศนาที่ดังกังวานเองยามท่านสิ้นลม หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติใด ๆ นอกจากกลิ่นหอมของความศักดิ์สิทธิ์ที่แทรกซึมออกมาจากชีวิตสั้น ๆ ในโลกนี้ พิธีปลงศพของท่านถูกจัดขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม ณ วัดนักบุญยิโรลาโม ในวันนั้นคุณพ่อเบนซีได้เทศน์ในตอนหนึ่งว่า “ซันดราได้ทำสิ่งที่พระเจ้าทรงส่งเธอมา โลกไม่แบ่งเป็นดีและชั่ว แต่แบ่งเป็นใครรักและไม่รัก และซันดรา พวกเราต่างรู้ รักมาก” วันเดียวกันมารดาของท่านได้เข้าใจบอกกับพี่ชายของเธอว่า “คุณพ่อคะ พวกเรามีนักบุญอยู่ในบ้านและพวกเราก็ไม่รู้ตัว ให้เราเอาอย่างและสวดให้เหมือนที่ซันดราทำเถอะค่ะ” ภายหลังพิธีปลงศพร่างของท่านถูกนำกลับไปฝังที่สุสานของวัดนักบุญอันเดอา หมู่บ้านมิซาโน เซลลาอย่างเรียบง่าย และเป็นสถานที่นี้เองที่พระเจ้าได้ทรงทำเครื่องหมายอัศจรรย์
ภายหลังจากที่คุณพ่อเบนซีก็ได้เริ่มเผยแพร่ชีวประวัติของท่านจนนำไปสู่การเปิดกระบวนการของแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ ใน ค.ศ. 2006 จึงได้มีการขุดร่างของท่านในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2009 เพื่อเตรียมย้ายไปยังวัดนักบุญยิโรลาโม ตามขั้นตอนของการแต่งตั้งนักบุญ ในวันนั้นท่ามกลางสายฝนรายล้อมด้วยสักขีพยานอันมีครอบครัว เพื่อน เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ และคุณพ่อโบดินี คุณลุงของท่าน เมื่อเจ้าหน้าที่ขุดจนพบแผ่นไม้ ทุกคนต่างยินดีที่ใกล้พบร่างของท่าน แต่ทันทีที่เจ้าหน้านำแผ่นไม้ที่ถูกคาดว่าเป็นฝาโลงของท่านนั้นขึ้นมา กลับปรากฏเพียง ‘ความว่างเปล่า’ กล่าวคือไม่พบชิ้นส่วนร่างของท่าน และแม้จะทำการขุดอย่างละเอียดก็ไม่มีการค้นพบสิ่งใด นอกเหนือจากถุงพลาสติกหุ้มเท้าของโรงพยาบาลที่ท่านสวม แถบพลาสติกใสที่ใช้ผูกดอกไม้ซึ่งวางอยู่ในโลงศพก่อนฝัง และเศษไม้จากโลงศพ
เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ที่หลุมของท่านที่วัดนักบุญยิโรลาโม จึงมีเพียงเศษไม้ที่ค้นพบบรรจุอยู่ และภายหลังจากเกิดอัศจรรย์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านใน ค.ศ. 2007 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจึงได้ทรงรับรองการบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี และเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 จึงทำให้พิธีสถาปนาอย่างเป็นทางการที่สังฆมณฑลริมินีถูกเลื่อนออกไปจากกำหนดการณ์เดิม คือ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2020 เป็นวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2021 โดยพิธีดังกล่าว นอกจากยูเซปเป บิดาของท่านในวัยชรา ยังมีกุยโด รอสซี อดีตคู่หมั้นของท่าน ซึ่งปัจจุบันได้บวชเป็นสังฆานุกรถาวร ทั้งได้สมรสและมีบุตรธิดาถึงสองคนได้เป็นผู้ทำหน้าที่อ่านพระคัมภีร์ในพิธีวันนั้น ที่จัดขึ้น ณ อาสนวิหารนักบุญโกลอมบา เมืองริมินี
“มิใช่ท่านทั้งหลายที่เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล” (ยอห์น 15: 16) อาจกล่าวได้ว่าประสบการณ์การได้พบพระเจ้าผ่านการเป็นคริสตชน คำภาวนา และเพื่อนมนุษย์เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้บุญราศีซันดราตระหนักว่าพระเจ้าทรงเผยพระองค์ให้ท่านได้พบและรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพื่อมอบผลแห่งการไถ่กู้ให้กับท่าน คือ สิทธิ์ในการเข้าสู่สวรรค์ แต่ยังทรงมอบหมายภารกิจสำคัญ คือ ‘ภารกิจแห่งรัก’ ดังที่พระวาจาในบทเดียวกันในข้อถัดไป พระเยซูเจ้าหลังได้ทรงเผยว่าเป็นเพราะทรงเลือกและมอบภารกิจให้บรรดาอัครสาวก พระองค์ได้ทรงสั่งกับบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงรักกัน” (ยอห์น 15: 17) ที่ท่านต้องทำให้สำเร็จในชีวิตที่ผ่านมาในโลกเพียงอยู่ชั่วขณะ บุญราศีซันดราจึงใช้ทุกวันที่มีโอกาสทำภารกิจนี้ ด้วยการพยายามส่งต่อความรักแท้จริงไปสู่โลกด้วยความมุมานะและความรัก เป็นพิเศษในการรับใช้คนด้อยโอกาส คนที่กำลังหลงผิดเพื่อให้พวกเขาได้พบองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงเผยพระองค์ให้มนุษย์ได้พบในหลากหลายสิ่ง เพื่อมอบความรอดของวิญญาณและพันธกิจแห่งรัก ขอให้แบบอย่างของบุญราศีซันดรา ช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการตอบสนองเสียงเรียกในการทำภารกิจแห่งรักนี้ ขอให้เราเรียนรู้ที่จะรัก รักให้มากเหมือนท่าน รักด้วยหนทางแบบของเราเอง เพราะแม้พระเจ้าจะทรงมอบพันธกิจเดียวกัน แต่พระองค์ก็ทรงมอบเงินตะลันต์ไว้ให้เรามากน้อยแตกต่างกันไป และสุดแท้แต่เราจะจัดการให้ออกดอกออกผลในวันที่พระองค์ผู้ทรงเป็นนายจะกลับมาจากการเดินทาง อาแมน
รูทราย, เทเรซีโอของพระเยซู
13 พฤษภาคม ค.ศ. 2023
“ข้าแต่ท่านบุญราศีซันดรา ซาบัตตินี ช่วยวิงวอนเทอญ”
รายการอ้างอิง
https://www.sandrasabattini.org
https://www.santiebeati.it/dettaglio/94078
https://www.catholicnewsagency.com/news/249391/this-new-blessed-spent-her-short-life-loving-the-poor-and-marginalized
https://thedeaconsbench.com/the-holy-fiance-sandra-sabattini-is-now-a-blessed-and-her-former-fiance-is-a-deacon/
https://www.archyworldys.com/the-testimony-of-the-groom-of-the-churchs-first-blessed-bride/
http://secretariat.synod.va/content/synod2018/it/giovani-testimoni/sandra-sabattini--la-fidanzata-morta-in-un-incidente-d-auto-dich.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Sandra_Sabattini