นักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์
St. Jeanne de Valois
ฉลองวันที่: 4 กุมภาพันธ์
เหตุการณ์ในวันนั้นคุณพ่อกาเบรียล มารี คุณพ่อวิญญาณองค์ใหม่ของท่านคือผู้ที่ได้นำข่าวนี้ไปแจ้งกับท่าน โดยคุณพ่อได้ซ่อนคำตัดสินนี้ไว้ใต้แขนเสื้อของคุณพ่อ ก่อนจะออกปากถามท่าน ด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า “ท่านหญิงขอรับ วันนี้พ่อได้นำของบางสิ่งใต้เสื้อแขนยาวมาขาย ท่านประสงค์จะรับมันไหม มันเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนามาโดยตลอด” ฝั่งท่านจึงตอบคุณพ่อว่า “คุณพ่อ โปรดบอกลูกเพียงว่าลูกไม่ใช่ราชินีแห่งฝรั่งเศสแล้วใช่ไหม” แล้วบัดดลนั้นความทุกข์ครั้งใหญ่ก็ถามโถมสู่ตัวท่าน ชนิดท่านมิอาจจะเก็บไว้ข้างในได้ สีหน้าของท่านซีดลง ร่างของท่านเริ่มสั่น และทำท่าจะเป็นลมไปเสียตรงนั้น แต่ไม่นานท่านก็ระงับอาการเหล่านั้นและกล่าวเตือนตนเองว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ขอถวายพระพรแด่พระเป็นเจ้า เหตุลูกรู้ว่าพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเพื่อแยกตัวลูกจากเรื่องฝ่ายโลก และบันดาลให้มอบมรรคาแห่งการรับใช้ที่ดีกว่า ซึ่งลูกยังไม่เคยทำในยามนี้”
แต่ขณะที่ท่านน้อมรับน้ำพระทัยครั้งนี้ด้วยความเชื่ออย่างอาจหาญ ความตระหนกก็แผ่ไปทั่วประชาชนในเมืองที่ติดตามข่าวการพิจารณาครั้งนี้ และเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่านี่คือข่าวจริง ฝูงชนมากมายก็ต่างพากันไปยังวัดนักบุญเดนิสเพื่ออ่านสำเนาคำตัดสินครั้งนี้ที่ติดไว้หน้าวัด เพราะในขณะที่ผู้คนที่มีอำนาจต่างพร้อมกันให้หลังให้กับราชินีทุพพลภาพอย่างไม่แยแส ผู้คนที่ไร้อำนาจบาตรใหญ่กลับรักราชินีองค์นี้ ที่เปี่ยมพระเมตตาต่อพสกนิกร ดังนั้นข่าวการตัดสินครั้งนี้จึงสร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนเป็นอันมากมิน้อย และก็ดูเหมือนว่าไม่เพียงแต่คนธรรมดาสามัญเท่านั้นที่พากันสะเทือนถึงข่าวนี้ ฟ้าดินเองก็ดูเหมือนไม่อาจรับได้ต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในวันนั้น เพราะในวันนั้นทั้ง ๆ ที่เป็นเหมันตฤดู ก็กลับปรากฏลมพายุใหญ่ เมฆฝนตั้งเค้า เสียงฟ้าร้องดังระงม และความมืดทะมึกปกคลุมไปทั่วเมือง ชนิดฝูงชนที่ไปอ่านคำตัดสินที่วัด จำต้องจุดคบไฟเพื่ออ่านคำประกาศ และต่างพากันลงความเห็นว่าแม้ฟ้าเองก็รับคำตัดสินอันอยุติธรรมนี้ไม่ได้
รุ่งขึ้นหลังมีการประกาศความเป็นโมฆะในศีลสมรสของท่านกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 พระราชหัตถเลขาปิดผนึกจากสมเด็จพระสันตะปาปาอนุญาตให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 กับพระนางแอนน์ แห่ง บริตานีเข้าพิธีสมรสตามกฏหมายพระศาสนจักรได้ก็เดินทางมาถึงราชสำนักฝรั่งเศส ดังถูกจัดวางไว้ พิธีอภิเษกสมรสครั้งใหม่จึงได้ถูกตระเตรียมขึ้นสำหรับพระราชาและพระราชินีองค์ใหม่ของพระองค์ และในขณะที่งานพิธีได้ถูกตระเตรียมขึ้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ก็มิได้ทรงละเลยที่จะดูแล ‘อดีต’ ของพระองค์ให้สมพระเกียรติ โดยพระองค์ได้โปรดพระราชทานให้ท่านดำรงพระยศเป็น ‘ดัชเชสแห่งแบร์รี’ พร้อมให้ไปประทับที่เมืองบูร์ช มีที่ดินและทรัพย์ที่พึงได้ตามฐานนันดร และเมื่อถึงเวลาที่ท่านจะอำลาอดีตพระราชสวามีที่มิได้ไยดีหรือเห็นคุณค่าหรือความงามภายในจิตใจของท่านเลย ท่านก็ได้ทูลลา ณ เบื้องหน้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ว่า “หม่อมฉันเป็นหนี้พระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงปล่อยให้หม่อมฉันเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งศตวรรษ โปรดทรงพระราชทานอภัยสำหรับความบกพร่องของหม่อมฉัน บัดนี้ชีวิตของหม่อมฉันจะคือการสวดภาวนา เพื่อพระองค์และฝรั่งเศส”
ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1499 ท่านผู้เคยดำรงพระยศเป็นพระราชินีแห่งฝรั่งเศส ก็เสด็จมาถึงประตูเมืองบูร์กเพื่อรับตำแหน่งเป็นดัชเชส ผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือเมืองบูร์ช ท่ามกลางเสียงย่ำระฆังเสียงกังวานจากหอระฆังยามเช้าจากอาสนวิหารประจำเมือง และชาวบ้านชาวเมืองที่ต่างพากันหยิบเอาชุดเก่งประจำตัวมาสวมใส่ แล้วรีบออกมารอรับผู้ปกครองคนใหม่ของพวกเขา ที่แรกที่ขบวนเสด็จของท่านเคลื่อนไปก็คือ
อาสนวิหารประจำเมืองนาม ‘วัดนักบุญสเตเฟน’ ซึ่ง ณ ที่นั่นท่านได้คุกเข่าลงทูลขอ
ให้พระเป็นเจ้าทรงช่วยให้กิจการนานาที่ท่านจะประกอบขึ้นสำเร็จไปเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
หลังจากนั้นท่านจึงเสด็จไปยังบ้านหลังใหม่ของท่าน นั่นก็คือ
ปราสาทหลังโตของผู้ดำรงยศเป็นดยุคแห่งแบร์รี ซึ่งดูละหม้ายคล้ายป้อมปราการอันเข้มแข็ง
ด้วยกำแพงขนาดมหึมาซึ่งรายล้อมตัวปราสาทไว้ จนเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก
ในฐานะ ‘ดัชเชสแห่งแบร์รี’ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของผู้คนภายในเมือง ท่านตั้งปณิธานว่าจะอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อความผาสุกของชาวเมืองที่อยู่ใต้การปกครองของท่าน ทำให้ในความทรงจำที่ติดแน่นของชาวเมือง ภาพของท่านจึงเป็นภาพของสตรีผู้ได้บริหารข้อราชการต่าง ๆ อย่างชาญฉลาดและมอบความยุติธรรมแก่ทุกคนที่ร้องหา และสิ่งที่เน้นถึงย้ำความทรงจำนี้ ก็คือการที่ชาวเมืองต่างพากันซ้องนามท่านว่า ‘ท่านดัชเชสผู้แสนดี’
“ความทุกข์ของชาวเมืองของพระนางก็เหมือนความทุกข์ของพระนางเอง ในหัวใจของพระนาง พระนางได้ทรงแบกปัญหาเหล่านี้ไว้ พระนางทรงเมตตาคนที่หลงผิด ทรงพยายามยิ่งที่จะช่วยพวกเขากลับตัว ทั้งพร้อมให้การสนับสนุนเขาทุกสิ่ง พระนางทรงถือว่าปัญหาของพวกเขาก็คือของพระนาง และทรงปฏิบัติทุกสิ่งเท่าที่จะทรงทำได้ พระนางช่างอ่อนหวานทั้งในวาจาและในราชกรณียกิจของพระนาง ยามพระนางทรงบรรเทาผู้ระทมทุกข์ พระนางทรงเมตตากับทุกคน และทรงน้อมรับความผิดและความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวพระนางด้วยความอ่อนโยน ทั้งนี้ด้วยน้ำพระทัยอันเมตตา พระนางทรงปฏิบัติสิ่งดีสู้กับสิ่งชั่วร้าย พระนางดำรงอยู่ในสันติและความเมตตารักเป็นอาจิณ หากพระนางทรงระลึกได้ว่าทรงสร้างปัญหาไว้กับผู้ใด พระนางจะมิทรงหยุดที่จะหาทางออก จนกว่าพระนางจะได้แก้ไขขอผิดพลาดนี้ น้ำพระทัยของพระนางช่างประเสริฐนัก และไม่อาจทนทอดพระเนตรเห็นใครปรารถนาในสิ่งที่พระนางสามารถจะมอบให้ได้ พระนางเคยถอดฉลองพระองค์เพื่อประทานแก่คนยากจน ซึ่งแม้นไม่อาจช่วยได้ด้วยกิจการ พระนางก็จะทรงช่วยทางวิญญาณผ่านคำภาวนา พระนางทรงกรรแสงร่วมกับบรรดาผู้ที่ทุกข์ใจ ทรงแบกรับอันตรายและความเสียหายของผู้อื่น เป็นพิเศษกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวิญญาณไว้ในดวงหทัยของพระนางเอง และด้วยพระกำลัง พระเมตตา และพระทัยปรารณีสงสารทั้งหมด พระนางได้คอยประทานคำแนะนำและการบรรเทาใจ” คุณพ่อกาเบรีย มารี บันทึก
ความรักต่อพระคริสตเจ้ารุนเร้าให้ท่านได้อุทิศชีวิตให้กับงานดูแลคนยากจนและคนป่วยยากอย่างไม่ถือพระองค์ ความรักนี้เองที่ทำให้แม้แต่ชีวิตที่หรูหราในปราสาทราชวัตรโอ่อ่าหรือยศถาบรรดาศักดิ์ไม่อาจจะฉุดรั้งตัวท่านไว้มิให้ท่านก้าวจากตัวเอง และมอบชีวิตเพื่อผู้อื่นที่ลำบากกว่าตนเองได้ ดั่งปรากฏคำบันทึกหนึ่งว่า “พระนางฌานทรงถูกนำด้วยความเมตตาต่อบรรดาสตรีหม้ายผู้ยากไร้ และเด็กกำพร้า พระนางทรงช่วยพวกเขาในทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ” และมีบันทึกอีกว่า เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ท่านใช้ในชีวิตต่างทำขึ้นอย่างเรียบง่ายและประหยัด ทั้งคราใดก็ตามที่คนรับใช้จัดอาหารที่ท่านโปรดมาให้ ท่านก็จะไม่แตะ และสั่งให้นำไปให้คนยากไร้ได้รับประทาน
ท่านยังจัดให้มีกลุ่มอาสาสมัครเล็ก ๆ ที่คอยตระเวนหาคนยากไร้ที่ไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือจากใคร เพื่อท่านจะได้ช่วยเหลือพวกเขา และทุกวันพฤหัสบดีท่านจะจัดให้คนยากไร้จำนวนสิบสองคนเข้ามากินอาหารสเลิศที่ปราสาทของท่าน โดยก่อนจะเริ่มกินนั้นท่านก็จะเลียนแบบพระคริสตเจ้าในสิ่งที่ทรงกระทำในอาหารค่ำมื้อสุดท้าย คือจะล้างเท้าพวกเขาทั้งหมดด้วยตัวท่าน และเมื่อถึงเวลารับประทานอาหารท่านก็จะคอยยกอาหารมาให้พวกเขารับประทานจนอิ่มหนำกับมื้ออาหารอันโอชะ
ในปี ค.ศ. 1499 เมื่อเกิดโรคระบาดร้ายแพร่ไปทั่วเมืองบูร์ช แทนที่ท่านจะเอาแต่หลบโรคร้ายในปราสาทดยุกแห่งแบร์รีหรือเสด็จหนีไปประทับที่อื่นเป็นการชั่วคราว ตรงกันข้ามท่านกลับเดินออกมาช่วยเหลือบรรดาผู้ป่วยเหล่านั้นอย่างไม่ถือองค์ ท่านทรงคุกเข่าลงเบื้องหน้าผู้ป่วยที่มีบาดแผลน่ารังเกียจ แล้วใช้พระหัตถ์ค่อย ๆ บรรจงทาขี้ผึ้งรักษาแผลนั้นอย่างเบาพระหัตถ์ จนเวลานั้นมีคนป่วยที่ยากไร้หลายคนต่างเชื่อว่าหากท่านนั้นได้สัมผัสใครแล้ว อาการป่วยของคนนั้นก็จะหายในเร็ววัน
นอกจากการดูแลฝ่ายร่างกายแก่ประชาชนในเมืองแล้ว ท่านยังเอาใจใส่ดูแลวิญญาณของพวกเขาให้กลับมางดงามไปพร้อมกัน เมื่อท่านดูแลร่างกายที่อ่อนล้าด้วยปัญหาต่าง ๆ ท่านก็คอยเล่าถึงความรักของพระเป็นเจ้าให้พวกเขาฟัง และคอยช่วยให้พวกเขาได้กลับมาคืนดีกับพระอีกครั้ง ทั้งนี้แล้วหากท่านพบว่าตัวท่านไม่อาจจะช่วยวิญญาณของใครได้ด้วยคำพูดหรือกิจการ ท่านก็จะปฏิบัติตามสิ่งที่แม่พระได้ทรงตรัสสอนท่านเหมือนมารดาสอนธิดาของเธอว่า “ถ้าลูกพบคนบาปบางคน ขอให้ลูกทูลต่อพระเป็นเจ้าในใจลูกว่า ‘โปรดช่วยมนุษย์ผู้น่าสงสารด้วยเถิด’” ไม่เพียงเท่านั้นเพื่อดูแลวิญญาณของผู้คนในเมืองที่ไม่ใช่คนเจ็บคนป่วยหรือคนทุกข์ยาก ท่านยังจัดให้มีการสอนหนังสือตามแบบคริสตชนให้แก่เยาวชนและการสอนคำสอนให้กับผู้ใหญ่ในเมืองอีกด้วย
นอกจากการดูแลงานภายนอกปราสาทได้อย่างดีเลิศ ในส่วนของการดูแลปกครองภายในปราสาท ท่านก็สามารถบริหารได้อย่างไม่ข้อขาดตกบกพร่อง ท่านปกครองบรรดาคนใต้บังคับบัญชาของท่านเหมือนมารดาที่คอยเฝ้าดูแลบุตร ไม่ใช่เจ้านายผู้สูงส่งกับคนรับใช้ที่ต่ำต้อย จนไม่น่าแปลกที่บรรดาคนรับใช้ของท่านจะต่างพากันมีใจยินดีที่จะสนองงานตามคำสั่ง เพราะคำสั่งและสันติที่แผ่ออกมาจากตัวท่านนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำพระทัยที่เมตตาต่อทุกคน และเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้
ดังนั้นเองทีละนิดจากเมืองที่ความเชื่อคริสตังถูกละเลย ด้วยทีละนิดผ่านการมาถึงของ ‘ท่านดัชเชสผู้แสนดี’ ผู้ตรากตรำทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ด้วยวรกายที่ไม่สมบูรณ์หรืองดงามตามแบบมนุษย์ชอบ แต่มีหทัยที่ล้ำค่าดั่งบุหงาเม็ดงาม เมืองบูร์ชก็พลิกโฉมกลายเป็นเมืองคริสตังที่เข็มแข็งด้านความเชื่อมากที่สุดในราชอาณาจักรฝรั่งเศสในเวลานั้น
เมื่อไม่มีพันธะของการเป็นราชินีหรือศรีภรรยา ท่านก็ยังมีเวลามากขึ้นที่จะยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าอย่างที่ท่านชอบทำ ท่านเริ่มใช้เวลาสวดภาวนาเป็นเวลานาน ๆ บางครั้งก็ทั้งคืน ทั้งยังอดอาหาร และทวีการพลีกรรมด้วยการทรมานร่างกายบ่อย ๆ นอกนี้ในส่วนลึกที่สุดของสวนในปราสาท ภายใต้ร่มใหญ่ที่ให้ความร่มเย็น ท่านก็มีเขากัลวาลีโอจำลอง ที่ท่านใช้เวลารำพึงภาวนาถึงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าพลางขอร้องให้พระองค์ทรงอภัยโทษคนบาปทั้งหลายอยู่ที่ตีนกางเขนนั้นอยู่บ่อย ๆ
และหลาย ๆ ครั้งในเวลาที่ท่านสวดภาวนา แม่พระก็ทรงสอนท่านถึงเรื่องต่าง ๆ ดุจมารดาสอนธิดาน้อยที่ไม่รู้ประสา ดั่งเช่นเรื่องความศรัทธาต่อศีลมหาสนิท ที่ปรากฏในพงศาวดารของคณะแม่พระรับสาร ว่าท่านนั้นมีความศรัทธายิ่งต่อศีลศักดิ์สิทธิ์ ต้องขอบคุณงานเขียนเรื่องพระสัญญต่อความศรัทธาพิเศษ ที่คุณพ่อกาเบรียล มารีได้เขียนให้กับชมรมพระนางมารีย์ เพราะมันได้ช่วยเผยว่าความศรัทธานี้ของท่าน ก็มีส่วนมาจาการนำของแม่พระ โดยพระนางได้ทรงตรัสสอนท่านว่า “มีสามสิ่งที่แม่รักยิ่งกว่าสิ่งใด สามสิ่งนั้นคือ หนึ่งการฟังพระบุตรของแม่ ทั้งพระวาจาและคำเทศน์สอนของพระองค์ (…) สองการรำพึงถึงบาดแผล ไม้กางเขน และพระมหาทรมานของพระองค์ และสาม ศีลมหาสนิทบนบนพระแท่นหรือในมิสซา ซึ่งแม่ให้ความเคารพและศรัทธาเป็นพิเศษสูงสุด” ทั้งนี้คุณพ่อได้อรรถธิบายต่อว่า “กิจศรัทธาพิเศษทั้งสามประการของพระนางมารีย์ก็คือศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งพระแท่นนั่นเอง”
พระนางยังสอนให้ท่านมีความเคารพศีลมหาสนิทว่า “ในระหว่างมิสซาหรือเบื้องหน้าศีลมหาสนิท จงพยายามแสดงถึงความเคารพของลูกโดยการหาโอกาสมาร่วมมิสซาอย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างวันหากลูกทำได้ และเมื่อใดก็ตามที่พระวรกายของพระคริสตเจ้าถูกเชิญแห่หรือนำไปให้คนป่วย จงร่วมขบวนแห่นั้นไปด้วยความเคารพ (…) พระบุตรของแม่และตัวแม่เองจะมีความยินดียิ่ง เมื่อคริสตชนเข้ามาหาศีลมหาสนิทด้วยความเคารพ” และวิถีที่ท่านแสดงถึงความเคารพต่อศีลมหาสนิท ก็คือการที่ท่านมอบความรักหมดหัวใจของท่านให้กับองค์พระเยซู ผู้เร้นพระองค์ในศีลมหาสนิท ดังปรากฏเหตุการณ์หนึ่งดังนี้
วันหนึ่งองค์พระเยซูเจ้าและแม่พระทรงประจักษ์มา และเชื้อเชิญให้ท่านร่วมงานเลี้ยงของพระองค์ ท่านเล่าว่า “องค์พระผู้ไถ่และพระมารดาของพระองค์ได้ทรงตระเตรียมงานเลี้ยงไว้สำหรับลูก … มีหัวใจสองดวงวางอยู่บนจานและแม่พระทรงตรัสสั่งให้ลูกรับประทานมันเข้าไป” ในนิมิตนั้นหัวใจของท่านรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดวงพระหฤทัยขององค์พระเยซู และหลังจากท่านได้รับหัวใจนั้นไปแล้ว “องค์พระเยซูก็ทรงขอหัวใจของลูกให้แด่พระองค์ ดังนั้นลูกจึงเอื้อมมือที่หน้าอกของลูกเพื่อจะเอามันออกมา แต่ลูกก็ต้องประหลาดใจเพราะลูกไม่พบมันอยู่ที่นั่น” เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจึงหันกลับมาหาองค์พระเยซู ผู้ทอดพระเนตรมายังท่านด้วยสายพระเนตรอันอ่อนหวานอีกครั้ง ผู้เขียนประวัติคณะแม่พระรับสารได้สรุปภาพนิมิตนี้ว่า “ฌานไม่อาจจะหาหัวใจของเธอที่อกของเธอได้ ก็เพราะมันอยู่กับองค์พระเยซูมากกว่าอยู่ที่ตัวของเธอ ซึ่งมีชีวิต ” และมีบทพรรณนาที่งดงามอีกบทเขียนโดยมงซิญอร์ อังเดร ยีราร์ด ในหนังสือ ‘มงคลสมรสฝ่ายจิตของนักบุญฌานแห่งฝรั่งเศส’ ว่า “เดชะการรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าและรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ท่านฌานได้พบสมบัติอันล้ำค่าที่สุดจะหยั่งถึงของความรักของดวงหทัยขององค์พระเยซูเจ้าและแม่พระ”
“ลูกก็จะก่อตั้งคณะที่ใฝ่หาแต่บทเพลงสรรเสริญพระเจ้า และสัตย์ซื่อต่อการเดินตามรอยเท้าของแม่” พระดำรัสของแม่พระยังคงดังก้องอยู่ภายในใจของท่านเสมอ และในเวลานี้ท่านก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ท่านจะต้องทำเป็นอันดับต่อไป นั่นก็คือ ‘การตั้งอารามนักพรต’ สักหลังขึ้นเพื่อถวายเกียรติต่อแม่พระ ดังนั้นเองท่านจึงไม่ลังเลใจ หรือรีรอที่จะนำความปรารถนานี้ไปเผยแก่คุณพ่อวิญญาณของท่าน แต่แม้ตัวคุณพ่อกาเบรียลเองจะมีความศรัทธาพิเศษต่อแม่พระ คุณพ่อก็มิเห็นด้วยกับโครงการนี้และได้ขอให้ท่านเลิกคิดเรื่องนี้เสีย ฝั่งท่านจึงตอบคุณพ่ออย่างสุภาพว่า “คุณพ่อคะ หากแม้นเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าและองค์พระมารดาแล้วไซร้ ทั้งสองพระองค์ก็ทรงช่วยลูกเอง”
คณะนักบวชที่แม่พระทรงประสงค์ให้ท่านตั้งขึ้นมาจะสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างไร เมื่อเพียงท่านเอ่ยปากกับพระสงฆ์วิญญาณณารักษ์ของท่าน ท่านก็กลับถูกปฏิเสธ อุปสรรคอีกมากมายเพียงใดที่ท่านจะต้องเผชิญต่อไปเพื่อให้การก่อตั้งคณะนักบวชนี้ บททดสอบอีกเท่าไรที่ท่านจะต้องประสบ และท้ายที่สุดท่านจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปได้อย่างไร พระเป็นเจ้าจะทรงใช้วิธีการใดที่จะทรงทำให้ราชธิดา ผู้บัดนี้พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเธอจากพันธการของการสมรสบนโลก กลายมาเป็นเจ้าสาวของพระองค์ ผู้จะก่อตั้งคณะนักพรตที่ปัจจุบันยังคงเป็นเครื่องมือแห่งสันติของพระองค์ และเป็นเกลือดองแผ่นดินในพระศาสนจักรตราบถึงเวลานี้