ซิสเตอร์มารี
เทเรเซีย แห่ง พระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์
Sister Mary
Theresia of the Holy Trinity
หมู่บ้านฟาซเซ็น
เมืองอาเพลโดร์น
ประเทศเนเธอร์แลนด์ วันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.1897 เทเรเซีย เอจส์ซูเดค์ ได้ถือกำเนิดขึ้น ในฐานะบุตรีหัวปลีจากห้าคนของนายคราดุซ เอจส์ซูเดค์ กับ นางโยฮันนา สโคลเท็น
แต่น่าเศร้าที่ไม่นานหนูน้อยก็ป่วยจนถึงขั้นเกือบตาบอด แต่ผ่านคำภาวนาต่อภาพนักบุญอันตนที่วัดใกล้ๆบ้าน
ของมารดาอย่างร้อนรน ในวันนั้นดวงตาที่ป่วยก็ถูกแทนด้วยดวงตาอันงดงามเมื่อมารดาได้กลับมาจากวัดและมองดูบุตรีในเปล
เราอาจบอกได้ว่าท่านเป็นเด็กขี้โรค
ท่านมีตุ่มเต็มตัวเกือบตลอดเวลา
แต่กระนั้นตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็พยายามทรมานตนเองและยืนอยู่เงียบๆเพื่อความรักของพระเจ้า
จนหลายๆครั้งท่านจึงมักถูกเหน็บแหนมจากคนรอบตัวท่านเองว่า “อา บางทีเธออาจต้องไปเข้าอารามนะ”
จากนั้นพออายุได้ราวๆสามปีบิดาของท่านก็พาครอบครัวท่านย้ายไปอยู่เมืองอ็อคโทป
ประเทศเยอรมัน ที่บิดาท่านได้งานทำ ทำให้ท่านได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่บริหารโดยซิสเตอร์
ซึ่งส่งให้ท่านเติบโตมาท่ามกลางความเชื่อบนโลกแห่งความสุข
แต่แล้วฝันร้ายแท้จริงก็ฉีกกระชากความสุขของท่านเมื่อบิดาท่านประสพอุบัติเหตุกับเครื่องจักรจนนิ้วหัวแม่มือขาด
ซึ่งพัฒนาเป็นอาการโลหิตเป็นพิษและพรากบิดาท่านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับในขณะที่ท่านมีอายุเพียงเก้าปีเท้านั้น
มารดาของท่านใช้เวลาไว้ทุกข์ประมาณปีหนึ่ง
ก็ตัดสินใจพาครอบครัวกลับมายังประเทศเนเธอร์แลนด์และได้เข้าพิธีสมรสอีกครั้งกับนายเฮรมานุส
อัลเบอรตุส ติเชเลอร์ เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถที่จะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดีแก่ครอบครัวน้อยๆนี้
พร้อมย้ายมาอยู่ที่เมืองเอ็นสคีเด เช่นกันทีเมืองนี้ท่านก็ได้เข้าโรงเรียนของอาราม
ที่ยามใดก็ตามเมื่อโรงเรียนเลิกเท่าที่ทำได้ท่านก็จะรีบวิ่งตรงไปที่วัดใกล้ๆ
เพื่อใช้เวลาในการเฝ้าศีล และเช่นเด็กทั่วไปท่านก็ย่อมมีการเล่นที่ชอบ ซึ่งมันก็คือการเล่นเป็น “ซิสเตอร์”
อันคือกระแสเรียกที่ท่านมีอย่างร้อนรน
แต่การจะไล่ตามกระแสเรียกของท่านนั้นช่างยากนะเพราะพ่อเลี้ยงไม่ต้องการปล่อยท่านไป
นอกจากนั้นยังสุขภาพของท่าน ท่านจึงขอคำแนะนำจากคุณพ่อวิญญาณก็บอกให้วางเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์เปี่ยมรักของพระเจ้า
และแน่นอนว่าไม่มีอะไรขัดขวางน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นบิดาเลี้ยงท่านก็ได้ไปคุยกับเพื่อนบ้านและได้สนทนากันเรื่องลูกๆของพวกเขา
กระทั้งมาถึงเรื่องของท่านบิดาเลี้ยงก็ได้กล่าวว่าท่านต้องการเข้าอาราม
แต่ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่เขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้ท่านไป ทันทีเพื่อนบ้านก็บอกกับเขาว่า
“ไม่เลยนะ ฉันจะไม่ทำเช่นนั้นเลย
ถ้าหนึ่งในลูกๆของฉันอยากไป ฉันก็จะปล่อยให้เขาไปในทันที” ทันทีหลังจากกลับบ้านเขาก็พูดกับท่านอย่างตรงๆว่า “เทเรเซีย ถ้าลูกต้องการเข้าอาราม ก็ได้เลย ” ตอนนี้ความสุขก็พลันแล่นเข้าสู่ดวงใจของท่าน เพราะแพทย์ก็ได้ออกใบรับรองเชิงบวกให้ท่าน
เหตุที่ว่าช่วงปีนั้นตุ่มของท่านก็หายแล้ว
และเมื่อได้รับความยินยอมแล้ว
ท่านก็ได้สมัครเข้าคณะคาร์เมไลท์แห่งพระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้าที่เมืองทิลเบริก ในปี ค.ศ.1917 ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังซาซัดเข้ามารอบๆประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้มีเด็กกำพร้ามากมายให้ซิสเตอร์ได้ดูแล
จากนั้นขณะเป็นเป็นผู้เตรียมบวชของคณะท่านก็ได้รับอนุญาตให้เลือกนามในการปฏิญาณตนของท่าน
ท่านจึงเลือกนามว่า “ซิสเตอร์มารี เทเรเซีย” ถัดมาในปี ค.ศ.1918 ขณะใกล้เข้าพิธีปฏิญาณตนในฐานะนวกะเณรี
ท่านก็ได้รับสิทธิ์ให้เลือกนามอีกครั้ง
แต่ท่านก็ยังคงหนักแน่นต่อนามนี้ดังนั้นท่านจึงได้รับนามว่า “ซิสเตอร์มารี เทเรเซีย แห่ง พระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์”
ชีวิตแห่งการเป็นธรรมทูตของท่านเริ่มขึ้น
ขณะเป็นนวกะเณรีเมื่อบรรดานวกะเณรีถูกถามว่ามีใครยินดีจะไปเป็นธรรรมทูตไปยังประเทศอเมริกาหลังจากปฏิญาณตน
และทันทีท่านตอบรับ ด้วยเหตุที่มันเป็นงานที่ท่านใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปฏิญาณตนในปี ค.ศ.1917 ท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ถูกคัดเลือกพร้อมซิสเตอร์อีกเจ็ดคนของคณะ ให้ลงเรือกลไฟที่มุ่งตรงสู่ดินแดนนามอเมริกาที่บุญราศีมารีอา
เทเรซา แห่ง นักบุญยอแซฟผู้ตั้งคณะได้ก่อตั้งบ้านเด็กกำพร้าและสูงอายุไว้จำนวน 11 หลังตั้งแต่ปี ค.ศ.1912
หน้าแรกในดินแดนอเมริกาของท่านเริ่มขึ้นเมื่อท่านขึ้นฝั่งที่นิวยอร์ก
ท่านก็ได้ไปทำงานที่บ้านคณะที่ชิคาโกตะวันออก ซึ่งที่นี่ท่านก็เริ่มมีอาการเจ็บป่วยเป็นระยะๆไปตลอด
ทำให้จึงมีการย้ายท่านไปที่อารามที่เป็นบ้านพักคนชราที่เคโนชา รัฐวิสคอนซิน
ใกล้กับทะเลสาบมิชิแกนเพราะเชื่อว่าท่านป่วยด้วยอากาศจากอุสาหกรรมที่ชิคาโก ซึ่ง ณ
ที่นั่นท่านก็มีโอกาสได้แสดงคำอำลาในโอกาสกลับบ้านแม่ของคณะ
ที่ประเทศฮอลแลนด์ของคุณแม่มารีอา เทเรซา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1920 หลังจากคุณแม่เดินทางมาตั้งคณะในอเมริกาอยู่หลายปี
แม้จะมีอาการป่วยออดๆแอดๆอยู่เสมอ
ท่านก็ยังคงซ่อนความทุกข์ทรมานภายนอกนั้นไว้เท่าที่เป็นไปได้
และช่วยงานในบ้านคณะเท่าที่ท่านทำได้ พร้อมเรียนภาษาอังกฤษ
ด้วยเหตุที่ท่านมาอเมริกาทั้งที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเลยซักนิดยามเมื่อมาถึงแผ่นดินอเมริกา
“โปรดภาวนาให้ดิฉันเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เร็วๆด้วยนะคะ” ท่านเขียนถึงคนในครอบครัวที่ประเทศเนเธอร์แลนด์
“ดิฉันกังวลมากๆที่จะเยี่ยมบ้านและทำงานธรรมทูตแท้จริง
พร้อมชนะวิญญาณทั้งหลายเพื่อพระเจ้า”
แต่หลังจากนั้นท่านก็ล้มป่วยหนักเหมือนเป็นโรคไขข้ออักเสบที่แพร่ไปทั่วร่างกายของท่าน
ชนิดที่ว่าท่านแทบจะไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวได้เวลาอาการปวดกำเริบ
ประการนี้ท่านจึงถูกกลับไปที่บ้านแม่ของคณะที่เวาวาโทซา ซึ่งท่านสามารถช่วยดูแดเด็กทารกได้ระยะหนึ่ง
แต่เพื่ออากาศที่อบอุ่นท่านจึงถูกส่งไปที่เซนต์ชาลส์ รัฐมิสซูรี พร้อมหน้าที่ใหม่ในครัวของอารามที่ท่านทำด้วยความสุข
แต่บ่อยครั้งบรรดาซิสเตอร์ก็จะเห็นท่านกัดฟันแน่นหรือเบ้ปากเพราะความเจ็บปวด
แต่ทันทีที่ท่านเห็นว่ามีคนเห็นท่านก็จะหัวเราะอย่างขับขันแบบที่ว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเมื่อตะกี้เลย
ท่านไม่ต้องการออกจากสำนักงาน(ครัว)ของท่านเลย
ที่สุดท่านก็ถูกพบว่าป่วยเป็นโรคไตในหกสัปดาห์ก่อนวันคริสต์มาส
ปี ค.ศ.1922 หลังจากนั้นหลังวันคริสต์มาสท่านก็ถูกส่งไปโรงพยาบาลเซนต์ หลุยสื
เพื่อเข้ารับการตรวจอย่างระเอียด
และพบว่าไตข้างหนึ่งของท่านเต็มไปด้วยหนองจนใช้การอะไรไม่ได้นอกจากต้องตัดทิ้งเสีย
ดังนั้นในวันที่ 6 มีนาคม
ปีถัดมาท่านจึงถูกส่งเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเซนต์ ชาลส์ แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจกับไตของท่านทั้งแพทย์และคนอื่นๆ
พยาบาลท่านหนึ่งบอกเลยว่าท่านทุกข์พอแล้วสำหรับสวรรค์
นอกจากนั้นซิสเตอร์ที่อยู่ข้างตอนให้ยาสลบท่าน ก็ได้ยินท่านเอ่ยพระนามของพระเยซูเจ้าตลอด
และหลังการผ่าตัดท่านก็พูดติดตลกว่า “เรียบร้อนชัวร์ๆ เธอคือเทเรซาแห่งพระเยซูเจ้า” ท่านยังคงอยู่ที่นั่นอีก 6
สัปดาห์โดยไม่เคยบ่นมีพยานมากมายรวมทั้งแพทย์ที่รักษาท่าน
ที่ถึงกับกล่าวชื่นชมความอดทนของท่าน
และหลังจากนั้นท่านก็กลายเป็นคนป่วยอย่างสมบูรณ์ไปวันๆในบ้านคณะที่เซนต์ชาลส์ แต่ก็ยังคงต้องทนกับความเจ็บปวดเป็นเวลานาน
ทำให้ท่านนอนไม่ค่อยหลับหลายๆคืน พยาบาลที่ดูแลท่านกล่าวว่า “มันจะไม่แปลกอะไรเลย
ถ้าวันหนึ่งเราจะพบซิสเตอร์เทเรเซียจากไปอยู่บนเตียง” แต่เพียงไม่นานในฤดูร้อนอาการก็ทุเลาลงบ้าง
ท่านจึงเริ่มทำงานบาอย่างอีกครั้ง จากนั้นท่านก็ได้มีโอกาสได้ปฏิญาณตนตลอดชีพที่นั่นในปี
ค.ศ.1924
แม้จะเจ็บป่วยท่านก็ยังคงทำงานตามที่ทำได้อย่างไม่หยุดหย่อน
ท่านไม่เคยบ่นเลยซักครั้ง พร้อมถวายความทุกข์ทรมานของท่านอย่างเงียบๆต่อพระเจ้า
เหมือนบุตรีแห่งคาร์แมลแห่งลีซีเออร์
จากนั้นในเดือนพฤษภาคม
ค.ศ.1925
อยู่ๆท่านก็กล่าวกับคุณแม่อธิการว่า “ตอนนี้ลูกไม่สามารถทำต่อไปได้แล้ว ลูกกำลังนั่งอยู่บนด้านบนของบันไดและไม่สามารถทำต่อไปด้วยความเหนื่อยหล้า(ขัดฝุ่น) ยามมันดูเหมือนลูกที่บางคนพูดกับลูกว่า แค่เวลาอีกนิดหนึ่ง ทำให้ลูกเข้มแข็งพอที่จะมีกำลังทำมันจนเสร็จ(ปัดฝุ่น)ทั้งบันได”
คุณแม่อธิการจึงกำชับท่านว่า “ดีแล้ว จากนี้ไป ลูกไม่ต้องแตะ(หรือทำ)อะไรอีกต่อไปแล้วนะ แต่ถ้าลูกยังพอทำอะไรได้ ก็จงเพียงแต่ทำงานที่เกินกำลังน้อยๆหน่อย(อาทิ เย็บปักถักร้อย)”
และเมื่อแพทย์ตรวจท่านอีกครั้งเขาก็ยืนยันว่าท่านคงจะมีชีวิตได้อีกราวสี่สัปดาห์
ในตอนนี้ความแข็งแรงของท่านก็เริ่มลดน้อยลงไปชนิดที่เห็นได้ชัดเลยทีเดียว
ทำให้ต้องอยู่ที่ห้องแต่เพราะห้องท่านมีอากาศที่ร้อนอบอ้าวนั้น
ท่านจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันไปกับการนั่งๆนอนๆอยู่ในสวนของระเบียงทางเดินอาราม
ซึ่งถ้ามีโอกาสท่านก็จะทำงานเย็บปักถักร้อยไปจนบ่อยครั้งเข็มจึงมักตกจากมือท่าน
แต่เมื่อฤดูร้อนอันแสบอบอ้าวใกล้จะจบลงเต็มที ท่านก็กลับไม่สามารถลงมาที่สวนได้อีก
แต่อย่างไร ท่านก็ยังลงมาร่วมมิสซาทุกวันเสมอ จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม ในวันฉลองนักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลา
นับจากนั้นพระสงฆ์ก็จะขึ้นไปส่งศีลท่านเสมอ ท่านไม่เพียงแต่ต้องทุกข์ทรมานภายนอกเท่านั้น
แต่ความทุกข์ภายในของท่านก็มิได้ขาดหายไปไหน
ท่านมีความรักต่อนักบุญเทเรซา
แห่ง พระกุมารเยซู ซึ่งในวาระฉลองการประกาศนามบุตรีคาร์แมลแห่งลีซีเออร์เป็นนักบุญในวันที่
17 พฤษภาคม ค.ศ.1925 บรรดาซิสเตอร์ก็ต่างพากันจัดนพวารเพื่อให้ท่านหาย
และในช่วงบ่ายวันนั้นซิสเตอร์คนหนึ่งก็ได้แนะนำให้ท่านไปสวดภาวนาหน้ารูปของบุตรีแห่งลีซีเออร์ หลังจากภาวนาท่านก็กลับมาพร้อมเล่าว่า “ดูเหมือนว่าดิฉันจะได้ยินเสียงจากท่านว่าดิฉันจะไม่หาย
ดิฉันจะมีชีวิตอยู่ในเพียงเวลาสั้นๆ แต่ดิฉันยังต้องทนทุกข์ทรมานอีกมาก”
ในเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ.1926 ตรงตามที่ธิดาแห่งลีซีเออร์บอกไว้ สุขภาพท่านก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
จนต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลในวันที่ 6
มีนาคม ท่านกล่าวว่า “นี่คือการเสียสละครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าผู้แสนดีทรงเรียกดิฉัน” อย่างไรก็ตามในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ.1926 อาการท่านก็ทรุดหนักลงจนถึงขั้นโรงพยาบาลต้องโทรแจ้งไปยังอาราม
ทันทีซิสเตอร์สองคนจึงรีบรุดมาและถึงโรงพยาบาลในเวลาบ่ายสอง ซึ่งมันเป็นความยินดีของท่านที่จะได้เห็นพี่น้องที่รักของท่านอีกครั้ง
ทันทีพวกเขาจุดเทียนและนำสายจำพวกวางที่ไหล่ของท่าน
พร้อมให้ท่านรื้อฟื้นคำปฏิญาณเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มสวดบทเพื่อผู้ตายซึ่งท่านคอยตอบรับตลอดด้วยเสียงน้อยๆเพราะความอ่อนแอ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนท่านจะจากไปเห็นจะได้ท่านก็กล่าวขึ้นว่า “โอ้ ตอนนี้ดิฉันรู้สึกไม่ดีเลย” หลังจากนั้นท่านก็กล่าวอย่างเหยงๆอีกว่า “อะไรกันจะเกิดขึ้นในวันนี้คะ” ทันทีคุณแม่อธิการก็ตอบท่านว่า “องค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้พระทัยดีจะมาและรับลูกไปยังสวรรค์ในวันนี้” ตอนนี้เสียงท่านดูอ่อนแรงมากขึ้น
ที่สุดเพียงห้านาทีก่อนเวลาสิบแปดนาฬิกาในวันนั้น ในวัยเพียง 28
ปี ในโรงพยาบาลเซนต์ หลุยส์ ท่านก็ได้ละลมหายใจสุดท้ายจากโลกนี้ไปอย่างสงบเหมือนทารกที่ผลอยหลับไปในอ้อมอกมารดา ร่างของท่านได้พักกายอย่าสงบในสุสานของคณะที่มิลวอกี ท่ามกลางความสุขภายในของทุกคนในอาราม หลังจากนั้นก็มีรายงานว่าเพื่อนซิสเตอร์ของท่านว่าท่านได้ประจักษ์มาหาเธอแล้วบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์แล้ว
และท่านจะตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้รับจากคณะนี้ ไม่นานก็เป็นดังนั้นโดยเริ่มจากคำวิงวอนของซิสเตอร์ที่ดูแลท่านที่เซนต์ชาลส์
ก่อนกระจายไปทั่วบ้านของคณะทั้งในอเมริกาและยุโรป
บิดาของท่านเล่าในหนังสือที่ตีพิมพ์หลังจากเจ็ดปีมรณกรรมของท่านว่าเมื่อเสื้อผ้าของท่านถูกวางเหนือผู้ป่วยในทันทีผู้ป่วยคนนั้นก็จะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว
รวมถึงเกษตรกรรายหนึ่งซึ่งประสพอุบัติเหตุจากม้า
เด็กชายที่ติดเชื้อจนสูญเสียการได้ยิน เป็นต้น นอกจากนั้นบุญราศีมารีอา เทเรซา
เชื่อเสมอว่าท่านคือนักบุญ คุณแม่มักวิงวอนผ่านท่านและก็ได้เสมอ คุณแม่กล่าวในจดหมายหนึ่งว่า
“ดิฉันเชื่อว่าซิสเตอร์มารี
เทเรเซียที่รักจะอวยพรคุณที่นั่น”
คุณแม่กล่าวว่าท่านคือรูปแบบของความศักดิ์สิทธิ์ที่ควรยึดถือ
“ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา
และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า”(1 ยอห์น 4:10) เช่นกันท่านไม่เพียงแต่รักพระเจ้าแต่ท่านยังรักทุกคนเพราะท่านตระหนักถึงความรักของพระเจ้าดี
ท่านจึงได้ตัดสินใจไปเป็นธรรมทูตในดินแดนที่ท่านไม่รู้จัก ไม่รู้ภาษา สุขภาพแย่ แม้จะกังวลใจอยู่บ้างแต่ท่านก็ไปเพื่อพระเจ้า
ด้วยความวางใจ แม้จะเป็นชีวิตที่สั้นๆ ท่านก็ได้แสดงออกถึงความวางใจ
และความรักในพระอย่างเต็มเปี่ยม ชนิดน่ายกย่องเป็นแบบอย่างเลยทีเดียว
“ข้าแต่ท่านซิสเตอร์มารี เทเรเซีย แห่ง
พระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์ ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง