การพบปะของมารดาผู้ทุกข์ทน
ตามคำบอกเล่าของบุญราศีแอน แคทเทอรีน อัมเมอริก
ภคินีชาวเยรมัน
ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
หลังจากนั้นแม่ผู้ทุกข์ใจก็ได้ออกจากศาล พร้อมกับยอห์นและสตรีอีกกลุ่มหนึ่ง
ทันทีที่ประโยคอันอยุติธรรมได้ถูกประกาศขึ้น
จากนั้นแม่ก็ได้ใช้เวลาตัวของแม่เองเดินตามสถานทรมานของพระบุตรและรินรดสถานที่เหล่านั้นด้วยหยาดน้ำตาของแม่
แต่เมื่อเสียงแตร การวิ่งของผู้คนและเสียงอึกทึกของม้าประกาศการเริ่มต้นของขบวนสู่กัลวาลิโอ
แม่ก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นความปรารถนาของแม่ที่จะได้เห็นพระบุตรที่รักของแม่อีกครั้ง
แม่ได้ขอร้องยอห์นให้พาแม่ไปยังสถานที่ที่พระบุตรทรงต้องผ่าน
ยอห์นจึงพาแม่ไปยังพระราชวัง
ซึ่งมีประตูที่ถนนที่พระบุตรต้องตัดผ่านหลังพระองค์ทรงหกล้มครั้งแรก
ดิฉันเชื่อว่าที่นั่นน่าจะเป็นที่อาศัยของมหาสมณะคายาฟาส ซึ่งมีศาลอยู่ตรงส่วนที่เรียกว่าซีโอน ที่นั่นยอห์นได้ขอและได้รับอนุญาตจากข้าราชการผู้ใจดีให้สามารถยืนอยู่
ณ ทางเข้ากับแม่และสหายของแม่
ในตอนนี้แม่ดูซีดเซียว
ตาของแม่แดงกล่ำด้วยการร่ำไห้ แม่คลุมผ้าอย่างมิดชิดด้วยผ้าคลุมสีฟ้าเทา
เสียงเอ็ดตะโรและดูถูกจากฝูงชนที่โกธรเกรี้ยวได้ยินมาแทบจะชัดถ้อยชัดคำ
ผู้ส่งสารประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้าผู้ร้ายสามคนนี้กำลังจะถูกตรึงกางเขนแล้ว” จากนั้นบ่าวรับใช้จึงเปิดประตูทันทีเสียงอันน่าสะพรึงกลัวก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นทุกขณะ
แม่ทิ้งตัวแม่คุกเข่าลง และหลังจากสวดภาวนาอย่างร้อนรน
แม่จึงหันไปหายอห์นแล้วถามว่า “แม่ควรจะอยู่ต่อดีไหม? หรือแม่ควรจะไปเลยเสียดีไหม? แม่จะมีพลังพอประคองตาได้หรือ?” ยอห์นจึงตอบแม่ว่า “ถ้าแม่ไม่อยู่จนเห็นพระองค์ผ่าน
แม่จะเสียใจในภายหลังนะครับ”
ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงยืนอยู่ที่ใกล้ประตู
พร้อมสายตาที่จ้องมองไปที่ขบวนซึ่งยังอยู่ห่างนัก ที่ค่อยเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ จนเมื่อบรรดาผู้กำลังแบกเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อใช้ตรึงกางเขนเดินเข้ามาใกล้
แม่ก็ได้เห็นความอวดดีและสายตาแห่งชัยชนะของพวกเขา
แม่ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของแม่ได้ แม่ได้แต่พนมมือของแม่ราวกับวิงวอนขอความช่วยเหลือจากสวรรค์
หนึ่งในบรรดาทหารจึงได้กล่าวกับสหายของเขาว่า “อะไรกันหรือที่ทำให้หญิงผู้นี้คร่ำครวญกันเล้า” สหายเขาจึงตอบไปว่า “อ้อ หล่อนคือแม่ของเจ้ากาลิลีน่ะ”
เมื่อเจ้าคนโหดร้ายที่ช่างห่างไกลจากคำว่าเห็นใจเสียนี่กระไรได้ยินดังนั้นแล้ว
พวกเขาก็เริ่มการละเล่นกับความเศร้าของแม่ พวกเขาชี้ไปที่แม่
หนึ่งในนั้นได้เอาตะปูสำหรับตอกพระบุตรกับไม้กางเขนไปถวายแม่อย่างดูถูก แต่แม่เบือนหน้าหนี
ไปมองแต่พระบุตรของแม่ที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที
พลางยันตัวแม่กับเสาเพื่อค้ำตัวแม่ไว้ ด้วยเกรงว่าแม่อาจเป็นลมอีกครั้งจากความเศร้าโศก
ในตอนนี้แก้มของแม่ดูซีดเซียวเหมือนคนตาย ริมฝีปากก็แทบจะเป็นสีฟ้าอยู่แล้ว
พวกฟาริสีขี่ม้าผ่านไปตามไปด้วยเด็กชายที่ถือคำจารึกเอาไว้
จากนั้นจึงเป็นพระบุตรที่รักของแม่ พระองค์ถูกกดพระวรกายลงด้วยน้ำหนักของไม้กางเขน
ที่พระเศียรของพระองค์ยังคงมีมงกุฎหนาม
ทรงหลบพระเนตรของพระองค์ลงเพราะความเจ็บปวดที่ไหล่ พระองค์ทรงทิ้งลักษณะของความเห็นใจและความเศร้าโศกลง
ณ แม่ ทรงเดินอย่างโซซัดโซเซ และทรงหกล้มลงเป็นครั้งที่สองด้วยพระหัตถ์แลพระชานุของพระองค์
ตอนนี้แม่บรรลุถึงความทุกข์ทรมานอย่างสมบูรณ์
แม่ลืมทุกๆสิ่ง แม่ไม่เห็นทั้งบรรดาทหารหรือเพชฌฆาตเลย แม่ไม่เห็นอะไรเลย แต่ด้วยความรักสุดจะพรรณนาต่อพระบุตร
แม่ได้ออกจากประตูแล้วฝ่าเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่ต่างพากันดูถูกและเหยียดหยามพระบุตรของแม่
และคุกเข่าลงพลางสวดกอดพระองค์อยู่ข้างๆพระองค์ คำเดียวที่ดิฉันได้ยินคือ “ลูกรัก” และ “แม่”
แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าคำพูดเหล่านี้จะจริงไหม
บางทีมันอาจเกิดจากใจของดิฉันเองก็ได้
ชั่วขณะเกิดความสับสนไปทั่ว
ยอห์นและพรหมจารีศักดิ์สิทธิ์พยายามจะพยุงแม่ขึ้นมาจากพื้น
จากนั้นแม่จึงถูกพลยิงธนูต่อว่าแม่ หนึ่งในพวกเขาพูดว่า “แกจะทำอะไรที่นี่ หญิงเอ๋ย มันจะไม่ต้องตกอยู่ในกำมือของเรา ถ้ามันได้รับการสั่งสอนให้ดีกว่านี้” มีทหารไม่กี่คนที่มองเหมือนล่วงเกิน ถึงแม้พวกเขาจำเป็นต้องกันแม่ให้กลับไปที่ประตู ไม่มีใครประคองมือแม่ไว้เลย จากนั้นขณะยอห์นและสตรีรายล้อมแม่ก็ล้มลงเพราะเป็นลมใกล้หินที่อยู่ใกล้ประตู
จนทำให้เกิดรอยฝ่ามือของแม่ขึ้น หินนั้นแข็งมากๆ และมันถูกย้ายออกไปอยู่ที่วัดหลังแรกของเยรูซาเล็มใกล้สระเบธไซดา
เมื่อนักบุญยากอบ องค์เล็ก เป็นพระสังฆราชของเมือง จากนั้นสาวกสองคนที่อยู่กับแม่จึงอุ้มแม่เข้าไปในบ้านและประตูก็ถูกปิดลง
“ข้าแต่พระมารดามหาทุกข์ ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง