บุญราศีมารีอา โฟรตูนาตา
Bl.Maria
Fortunata Viti
ฉลองในวันที่ : 20 พฤศจิกายน
“ความถ่อมใจ นี้เป็นคุณธรรมแบบอย่างของมารีอา
โฟรตูนาตา การไม่มีความหมายนี้คือความยิ่งใหญ่ของท่าน ทำให้เราได้ระลึกบทมักนีฟีกัตและคำพูดมากมายนี้ถึงฐานะของคริสตชนแท้และความเข้มข้นของจิตวิญญาณที่ครบครันของมารีอา
โฟรตูนาตา ความอ่อนน้อมตนนั่นแหละคือข้อความของท่าน….” เสียงของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่หก ดังก้องไปทั่วมหาวิหารอันงดงามที่หาใดเปรียบได้ในโลก
ในระหว่างพิธีสถาปนาบุญราศีองค์ใหม่ของพระศาสนจักร ผู้มาจากคณะเบเนดิกติน
ผู้คนมากมายอาจต่างพากันคิดว่าบุญราศีองค์ใหม่นี้คงต้องเป็นซิสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่แบบนักบุญสกอลัสติกาแน่ๆ
ท่านคงต้องมาจากตระกูลที่ร่ำรวย
ท่านต้องสร้างอัศจรรย์อาจปลุกคนตายให้ฟื้นมา หรือเป็นอธิการิณีที่ศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ
แต่ไม่ใช่เลยตรงข้ามชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์นี้เริ่มขึ้นเมื่ออันนา โบโน ดิ เฟเรนตีโน
ให้กำเนิดทารกเพศหญิง ผู้เป็นสมาชิกคนที่สามจากเก้าคนของครอบครัวของเธอกับลุยจิ วีติ เจ้าของที่ดิน พ่อนักพนันและนักดื่มจนพาครอบครัวจากพอกินไปสู่ความยากจน
ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1827 ที่บ้านในเมืองเวรอลี ในแคว้นลาซีโอ ประเทศอิตาลี ทารกหญิงนี้ได้รับนามว่า “มารีอา เฟลิเชีย วีติ”
แต่อนิจจาเพียงท่านมีอายุได้
14 ปี พระก็ได้ยกคุณแม่ของท่านไปอย่างสงบ
ทำให้ท่านต้องคอยดูแลน้องๆที่คลานตามท่านมา
และเพื่อจุนเจือครอบครัวท่านจึงไปทำงานเป็นแม่บ้านของครอบครัวโมบีลี ที่ มอนเต ซาน
จูวานนี กัมปาโน แต่ที่สุดเมื่อเห็นว่าครอบครัวไม่จำเป็นต้องพึ่งท่านอีกต่อไป และด้วยใจที่รักพระยิ่ง ในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.1851 ด้วยวัย 24 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจเข้าอารามซานตา
มารีอา เด ฟรานโกนี ของคณะเบเนดิกตินประจำเมือง แม้ในเวลานั้นจะพ่อหนุ่มจากอาลาตรีมาขายขนมจีบพร้อมหยิบยื่นความมั่งมีในชีวิตแต่งงานให้ก็ตามที
“มารีอา โฟรตูนาตา” คือนามใหม่ในอารามของท่าน เอาตามตรงท่านแทบไม่รู้หนังสือเลยซักกะตัวบวกกับหลายๆเหตุผลทำให้ท่านไม่สามารถเป็นคณะนักขับในเวลาทำวัตรของอารามได้เลย ดังนั้นเองในงานในอารามสำหรับท่านจึงมีแต่งานแม่บ้านทั้งหลายได้แก่การปั่นด้าย เย็บผ้า ซักผ้า และปะชุนเสื้อผ้า
ซึ่งแม้จะเป็นงานต่ำต้อย แต่ท่านก็ทำมันด้วยความขยัน เงียบสงบ
ถ่อมตนอยู่เสมอ“ดิฉันปรารนาจะเป็นนักบุญค่ะ” คือความปรารถนาเมื่อเข้าอารามของท่าน
แม้จะไม่โดดเด่นอะไรเลยในภายนอก
แต่ปีศาจก็พยายามราวีท่านหลายต่อหลายครั้งทั้งในระหว่างภาวนาหรือทำงาน เช่นคราหนึ่งขณะกำลังจะเดินไปจัดเครื่องเรือนในวัดน้อยของอาราม
จู่ๆทางเดินที่เคยเห็นเป็นตามปกติก็พลันก็มืดลงและคราคุ้งไปด้วยหมอกหนาที่มาพร้อมกับกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนชวนอ้วก
จนทำให้ท่านรู้สึกหายใจลำบากมากขึ้น ทันทีแม้จะไม่มีความรู้อะไรมากท่านก็ตระหนักทันทีว่านี่คือแผนงานของพวกปีศาจอย่างแน่นอน
ท่านจึงรีบเปล่งพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าในทันที
พร้อมทำสำคัญมหากางเขนด้วยความมั่นใจ พลันหมอกหนาที่เคยคละคลุ้งไปทั่วไปสลายหายไป
แต่เอาจริงๆเจ้าพวกปีศาจทั้งหลายมักเอาเรื่องกระแสเรียก
ความโง่เขลา ความเซ่อซ่าของท่านมาติติงท่านอย่างเมามัน
ท่านถึงกับเคยปรับทุกข์กับเพื่อนซิสเตอร์อารามเดียวกันด้วยกันถึงการรังควานของเจ้าพวกปีศาจทั้งหลายทั้งกลางวันและกลางคืนทั้งเยาเย้ยท่านบ้าง
ตีท่านบ้างเพื่อทดลองความอดทนอดกลั้นและความถ่อมตนของท่าน คุณพ่อแก้บาปของท่าน
คุณพ่อยอห์น ปาสกัวลีตี ได้บันทึกไว้ว่า “พร้อมกับหยาดน้ำตาในดวงตาของเธอ ซิสเตอร์โฟรตูนาตาปรับทุกข์กับผมว่า
เจ้าปีศาจได้โจมตีเธอด้วยความต่ำช้าและสำนวนที่หยาบกระด้างที่สุด
บ่อยครั้งมันคุกคามและทำให้ชีวิตของเธอยากขึ้น แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยหมดหวัง
การสบประมาทเหล่านี้กลายเป็นบ่อยขึ้นเรื่อยๆเมื่อท่านนักบุญอยู่ใกล้มรณกรรมของเธอ
การรบกวนหลายต่อหลายสิ่งเหล่านี้ได้ยินและได้เห็นโดยเพื่อนซิสเตอร์ทั้งหลายของเธอเอง”
นอกนี้แล้ว พระเป็นเจ้ายังทรงประทานพระพรแห่งการหยั่งรู้ให้ท่านในหลายๆโอกาส เช่นเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่เล่าสืบๆกันมาว่าวันหนึ่งขณะท่านร่วมพิธีมิสซาของอารามตามปกติ
หยาดน้ำตาหยดใสๆมากกมายก็เริ่มพลั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้นของท่านระหว่างพิธีมิสซา ซึ่งก็เป็นเพราะท่านเห็นภาพว่าพระสงฆ์ผู้กำลังหันหลังประกอบพิธีมิสซาอย่างสง่าภายใต้กาซูลาปักลายงามผืนนี้กำลังจะทิ้งกระแสเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ผู้แทนของพระคริสตเจ้าไปเสียนี่
ท่านรู้สึกทรมานเพื่อเขาจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอีกเรื่องว่าท่านได้เคยทำนายว่าพระสงฆ์องค์หนึ่งจะออกจากสมณะศักดิ์ผู้แทนของพระคริสตเจ้า
แต่เขาจะสำนึกได้และกลับมาในที่สุด
หากเรามองข้ามฝ่ายกายของท่านไปในวิญญาณของท่านเราก็จะพบว่าวิญญาณของท่านนั้นเบ่งบานสู่ความรุ่งโรจน์อันงดงาม
ผ่านการสวดภาวนาทุกๆเวลาแม้ในเวลาที่ยากลำบากที่สุดของวิญญาณ
ท่านวิงวอนพระองค์ด้วยความรักและอุทิศตน ท่านอุทิศตนต่อศีลมหาสนิท พี่น้องในอารามหรือแม้บรรดาฆราวาส
ท่านมักอุทานเป็นนิสัยว่า “ความรักและพระอำนาจของพระเจ้า” เมื่อรำพึงถึงสวรรค์ ดวงอาทิตย์
ยามได้แลเห็นความงดงามของธรรมชาติที่ถูกแต่งแต้มบนโลก
ท่านอยู่อารามได้ราวเจ็ดสิบปีท่านก็เริ่มป่วยด้วยโรคไขข้อจนต้องนอนแต่ที่เตียง
ในวัย 95 ปี ท่านกลายเป็นซิสเตอร์ผู้ตาบอด
หูหนวกและเป็นอัมพาต ที่สุดในวันที่
20 พฤศจิกายน ค.ศ.1922 ซิสเตอร์ธรรมดาๆ ผู้เรียบง่าย
ผู้ไม่เคยดำรงตำแหน่งใดเลยในอารามตลอดเจ็บสิบปี เป็นแค่ซิสเตอร์เย็บผ้า
คนดูแลห้องพยาบาลและคนรับแขกของอารามคราหนึ่งที่ปลอบประโลมผู้คนที่มาหาด้วยพระพรที่แห่งความหยั่งรู้
แม้จะพยายามหลบคนก็ไปหา ก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับอย่างสงบ
ทันทีในวันถัดมาร่างของท่านก็ถูกฝังอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทราบนอกจากบรรดาซิสเตอร์
ไม่มีพิธีรีตองอะไร ไม่มีชาวเมืองแห่แหนมาดูร่าง
พร้อมสายประคำหรือผ้าเพื่อสัมผัสร่าง
กระทั้งสิบสามปีต่อมาอัศจรรย์มากมายก็ได้เกิดผ่านการเสนอวิงวอนของซิสเตอร์ผู้ไม่ได้เด่นดีอะไรเลย
ทำให้ร่างของท่านถูกขุดขึ้นมาและได้ฝังอย่าสง่าในวัดท่ามกลางความปรีดีของชาวเมือง
และที่สุดซิสเตอร์ผู้ธรรมดาก็ได้รับเกียรติยกขึ้นเป็นบุญราศี ณ
มหาวิหารนักบุญเปโตร โดย สมเด็จพระสันตะปาปาปอล ที่ หก เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ.1967
“ความเย่อหยิ่งย่อมนำหน้าหายนะ
ความถ่อมตนนำหน้าเกียรติยศ”(สุภาษิต 18:12)
เรามองดูชีวิตท่านเราอาจเรียกได้เลยว่าธรรมดาสุดๆ
ท่านไม่เคยดำรงตำแหน่งอะไรเลย ท่านดำเนินชีวิตในความเรียบง่าย คือ
ทำหน้าที่ด้วยความขยัน แต่ดั่งพระวาจาด้วยความเรียบง่ายนี้ก็ทำให้ท่านยิ่งใหญ่ได้
ความยิ่งใหญ่แท้จริงของคริสตชนไม่ได้มาจากการหยิ่งยโสโอหังถือทิฐิตามแนวทางของพวกปีศาจ
แต่มันมาจากความถ่อมตนรับฟังคนอื่น รับฟังพระเจ้า ให้พระองค์นำในทางกางเขนที่ต้องอาศัยความถ่อมตนเป็นที่สุด
ดังนั้นขอเพียงเราถ่อมใจวางใจพระแม้จะยากแต่นั่นแหละคือหนทางสู่สวรรค์นิรันดร์
“ข้าแต่ท่านบุญราศีมารีอา โฟรตูนาตา ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง