วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กุหลาบที่ยิ่งใหญ่อีกดอกแห่งภูเขาคาร์แมล "ซิสเตอร์มารี เทเรเซีย"


ซิสเตอร์มารี เทเรเซีย แห่ง พระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์
Sister Mary Theresia of the Holy Trinity

หมู่บ้านฟาซเซ็น เมืองอาเพลโดร์น ประเทศเนเธอร์แลนด์ วันที่ 13 พฤศจิกายน ค..1897 เทเรเซีย เอจส์ซูเดค์ ได้ถือกำเนิดขึ้น  ในฐานะบุตรีหัวปลีจากห้าคนของนายคราดุซ เอจส์ซูเดค์ กับ นางโยฮันนา สโคลเท็น แต่น่าเศร้าที่ไม่นานหนูน้อยก็ป่วยจนถึงขั้นเกือบตาบอด แต่ผ่านคำภาวนาต่อภาพนักบุญอันตนที่วัดใกล้ๆบ้าน ของมารดาอย่างร้อนรน ในวันนั้นดวงตาที่ป่วยก็ถูกแทนด้วยดวงตาอันงดงามเมื่อมารดาได้กลับมาจากวัดและมองดูบุตรีในเปล

เราอาจบอกได้ว่าท่านเป็นเด็กขี้โรค ท่านมีตุ่มเต็มตัวเกือบตลอดเวลา แต่กระนั้นตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็พยายามทรมานตนเองและยืนอยู่เงียบๆเพื่อความรักของพระเจ้า จนหลายๆครั้งท่านจึงมักถูกเหน็บแหนมจากคนรอบตัวท่านเองว่า อา บางทีเธออาจต้องไปเข้าอารามนะ



จากนั้นพออายุได้ราวๆสามปีบิดาของท่านก็พาครอบครัวท่านย้ายไปอยู่เมืองอ็อคโทป ประเทศเยอรมัน ที่บิดาท่านได้งานทำ ทำให้ท่านได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่บริหารโดยซิสเตอร์ ซึ่งส่งให้ท่านเติบโตมาท่ามกลางความเชื่อบนโลกแห่งความสุข แต่แล้วฝันร้ายแท้จริงก็ฉีกกระชากความสุขของท่านเมื่อบิดาท่านประสพอุบัติเหตุกับเครื่องจักรจนนิ้วหัวแม่มือขาด ซึ่งพัฒนาเป็นอาการโลหิตเป็นพิษและพรากบิดาท่านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับในขณะที่ท่านมีอายุเพียงเก้าปีเท้านั้น

มารดาของท่านใช้เวลาไว้ทุกข์ประมาณปีหนึ่ง ก็ตัดสินใจพาครอบครัวกลับมายังประเทศเนเธอร์แลนด์และได้เข้าพิธีสมรสอีกครั้งกับนายเฮรมานุส อัลเบอรตุส ติเชเลอร์ เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถที่จะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดีแก่ครอบครัวน้อยๆนี้ พร้อมย้ายมาอยู่ที่เมืองเอ็นสคีเด เช่นกันทีเมืองนี้ท่านก็ได้เข้าโรงเรียนของอาราม ที่ยามใดก็ตามเมื่อโรงเรียนเลิกเท่าที่ทำได้ท่านก็จะรีบวิ่งตรงไปที่วัดใกล้ๆ เพื่อใช้เวลาในการเฝ้าศีล และเช่นเด็กทั่วไปท่านก็ย่อมมีการเล่นที่ชอบ ซึ่งมันก็คือการเล่นเป็น ซิสเตอร์ อันคือกระแสเรียกที่ท่านมีอย่างร้อนรน



แต่การจะไล่ตามกระแสเรียกของท่านนั้นช่างยากนะเพราะพ่อเลี้ยงไม่ต้องการปล่อยท่านไป นอกจากนั้นยังสุขภาพของท่าน  ท่านจึงขอคำแนะนำจากคุณพ่อวิญญาณก็บอกให้วางเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์เปี่ยมรักของพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่มีอะไรขัดขวางน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นบิดาเลี้ยงท่านก็ได้ไปคุยกับเพื่อนบ้านและได้สนทนากันเรื่องลูกๆของพวกเขา กระทั้งมาถึงเรื่องของท่านบิดาเลี้ยงก็ได้กล่าวว่าท่านต้องการเข้าอาราม แต่ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่เขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้ท่านไป ทันทีเพื่อนบ้านก็บอกกับเขาว่า ไม่เลยนะ ฉันจะไม่ทำเช่นนั้นเลย ถ้าหนึ่งในลูกๆของฉันอยากไป ฉันก็จะปล่อยให้เขาไปในทันที ทันทีหลังจากกลับบ้านเขาก็พูดกับท่านอย่างตรงๆว่า เทเรเซีย ถ้าลูกต้องการเข้าอาราม ก็ได้เลย ตอนนี้ความสุขก็พลันแล่นเข้าสู่ดวงใจของท่าน เพราะแพทย์ก็ได้ออกใบรับรองเชิงบวกให้ท่าน เหตุที่ว่าช่วงปีนั้นตุ่มของท่านก็หายแล้ว

และเมื่อได้รับความยินยอมแล้ว ท่านก็ได้สมัครเข้าคณะคาร์เมไลท์แห่งพระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้าที่เมืองทิลเบริก ในปี ค..1917 ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังซาซัดเข้ามารอบๆประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้มีเด็กกำพร้ามากมายให้ซิสเตอร์ได้ดูแล จากนั้นขณะเป็นเป็นผู้เตรียมบวชของคณะท่านก็ได้รับอนุญาตให้เลือกนามในการปฏิญาณตนของท่าน ท่านจึงเลือกนามว่า ซิสเตอร์มารี เทเรเซีย ถัดมาในปี ค..1918 ขณะใกล้เข้าพิธีปฏิญาณตนในฐานะนวกะเณรี ท่านก็ได้รับสิทธิ์ให้เลือกนามอีกครั้ง แต่ท่านก็ยังคงหนักแน่นต่อนามนี้ดังนั้นท่านจึงได้รับนามว่า ซิสเตอร์มารี เทเรเซีย แห่ง พระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์



ชีวิตแห่งการเป็นธรรมทูตของท่านเริ่มขึ้น ขณะเป็นนวกะเณรีเมื่อบรรดานวกะเณรีถูกถามว่ามีใครยินดีจะไปเป็นธรรรมทูตไปยังประเทศอเมริกาหลังจากปฏิญาณตน และทันทีท่านตอบรับ ด้วยเหตุที่มันเป็นงานที่ท่านใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปฏิญาณตนในปี ค..1917 ท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ถูกคัดเลือกพร้อมซิสเตอร์อีกเจ็ดคนของคณะ ให้ลงเรือกลไฟที่มุ่งตรงสู่ดินแดนนามอเมริกาที่บุญราศีมารีอา เทเรซา แห่ง นักบุญยอแซฟผู้ตั้งคณะได้ก่อตั้งบ้านเด็กกำพร้าและสูงอายุไว้จำนวน 11 หลังตั้งแต่ปี ค..1912

หน้าแรกในดินแดนอเมริกาของท่านเริ่มขึ้นเมื่อท่านขึ้นฝั่งที่นิวยอร์ก ท่านก็ได้ไปทำงานที่บ้านคณะที่ชิคาโกตะวันออก ซึ่งที่นี่ท่านก็เริ่มมีอาการเจ็บป่วยเป็นระยะๆไปตลอด ทำให้จึงมีการย้ายท่านไปที่อารามที่เป็นบ้านพักคนชราที่เคโนชา รัฐวิสคอนซิน ใกล้กับทะเลสาบมิชิแกนเพราะเชื่อว่าท่านป่วยด้วยอากาศจากอุสาหกรรมที่ชิคาโก ซึ่ง ณ ที่นั่นท่านก็มีโอกาสได้แสดงคำอำลาในโอกาสกลับบ้านแม่ของคณะ ที่ประเทศฮอลแลนด์ของคุณแม่มารีอา เทเรซา ในเดือนกรกฎาคม ค..1920  หลังจากคุณแม่เดินทางมาตั้งคณะในอเมริกาอยู่หลายปี



แม้จะมีอาการป่วยออดๆแอดๆอยู่เสมอ ท่านก็ยังคงซ่อนความทุกข์ทรมานภายนอกนั้นไว้เท่าที่เป็นไปได้ และช่วยงานในบ้านคณะเท่าที่ท่านทำได้ พร้อมเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุที่ท่านมาอเมริกาทั้งที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเลยซักนิดยามเมื่อมาถึงแผ่นดินอเมริกา โปรดภาวนาให้ดิฉันเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เร็วๆด้วยนะคะ ท่านเขียนถึงคนในครอบครัวที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ดิฉันกังวลมากๆที่จะเยี่ยมบ้านและทำงานธรรมทูตแท้จริง พร้อมชนะวิญญาณทั้งหลายเพื่อพระเจ้า

แต่หลังจากนั้นท่านก็ล้มป่วยหนักเหมือนเป็นโรคไขข้ออักเสบที่แพร่ไปทั่วร่างกายของท่าน ชนิดที่ว่าท่านแทบจะไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวได้เวลาอาการปวดกำเริบ ประการนี้ท่านจึงถูกกลับไปที่บ้านแม่ของคณะที่เวาวาโทซา ซึ่งท่านสามารถช่วยดูแดเด็กทารกได้ระยะหนึ่ง แต่เพื่ออากาศที่อบอุ่นท่านจึงถูกส่งไปที่เซนต์ชาลส์ รัฐมิสซูรี พร้อมหน้าที่ใหม่ในครัวของอารามที่ท่านทำด้วยความสุข แต่บ่อยครั้งบรรดาซิสเตอร์ก็จะเห็นท่านกัดฟันแน่นหรือเบ้ปากเพราะความเจ็บปวด แต่ทันทีที่ท่านเห็นว่ามีคนเห็นท่านก็จะหัวเราะอย่างขับขันแบบที่ว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเมื่อตะกี้เลย ท่านไม่ต้องการออกจากสำนักงาน(ครัว)ของท่านเลย



ที่สุดท่านก็ถูกพบว่าป่วยเป็นโรคไตในหกสัปดาห์ก่อนวันคริสต์มาส ปี ค..1922 หลังจากนั้นหลังวันคริสต์มาสท่านก็ถูกส่งไปโรงพยาบาลเซนต์ หลุยสื เพื่อเข้ารับการตรวจอย่างระเอียด และพบว่าไตข้างหนึ่งของท่านเต็มไปด้วยหนองจนใช้การอะไรไม่ได้นอกจากต้องตัดทิ้งเสีย ดังนั้นในวันที่ 6 มีนาคม ปีถัดมาท่านจึงถูกส่งเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเซนต์ ชาลส์  แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจกับไตของท่านทั้งแพทย์และคนอื่นๆ พยาบาลท่านหนึ่งบอกเลยว่าท่านทุกข์พอแล้วสำหรับสวรรค์ นอกจากนั้นซิสเตอร์ที่อยู่ข้างตอนให้ยาสลบท่าน ก็ได้ยินท่านเอ่ยพระนามของพระเยซูเจ้าตลอด และหลังการผ่าตัดท่านก็พูดติดตลกว่า เรียบร้อนชัวร์ๆ เธอคือเทเรซาแห่งพระเยซูเจ้าท่านยังคงอยู่ที่นั่นอีก 6 สัปดาห์โดยไม่เคยบ่นมีพยานมากมายรวมทั้งแพทย์ที่รักษาท่าน ที่ถึงกับกล่าวชื่นชมความอดทนของท่าน

และหลังจากนั้นท่านก็กลายเป็นคนป่วยอย่างสมบูรณ์ไปวันๆในบ้านคณะที่เซนต์ชาลส์ แต่ก็ยังคงต้องทนกับความเจ็บปวดเป็นเวลานาน ทำให้ท่านนอนไม่ค่อยหลับหลายๆคืน พยาบาลที่ดูแลท่านกล่าวว่า มันจะไม่แปลกอะไรเลย ถ้าวันหนึ่งเราจะพบซิสเตอร์เทเรเซียจากไปอยู่บนเตียง แต่เพียงไม่นานในฤดูร้อนอาการก็ทุเลาลงบ้าง ท่านจึงเริ่มทำงานบาอย่างอีกครั้ง จากนั้นท่านก็ได้มีโอกาสได้ปฏิญาณตนตลอดชีพที่นั่นในปี ค..1924 แม้จะเจ็บป่วยท่านก็ยังคงทำงานตามที่ทำได้อย่างไม่หยุดหย่อน ท่านไม่เคยบ่นเลยซักครั้ง พร้อมถวายความทุกข์ทรมานของท่านอย่างเงียบๆต่อพระเจ้า เหมือนบุตรีแห่งคาร์แมลแห่งลีซีเออร์



จากนั้นในเดือนพฤษภาคม ค..1925 อยู่ๆท่านก็กล่าวกับคุณแม่อธิการว่า ตอนนี้ลูกไม่สามารถทำต่อไปได้แล้ว ลูกกำลังนั่งอยู่บนด้านบนของบันไดและไม่สามารถทำต่อไปด้วยความเหนื่อยหล้า(ขัดฝุ่น) ยามมันดูเหมือนลูกที่บางคนพูดกับลูกว่า แค่เวลาอีกนิดหนึ่ง ทำให้ลูกเข้มแข็งพอที่จะมีกำลังทำมันจนเสร็จ(ปัดฝุ่น)ทั้งบันได คุณแม่อธิการจึงกำชับท่านว่า ดีแล้ว จากนี้ไป ลูกไม่ต้องแตะ(หรือทำ)อะไรอีกต่อไปแล้วนะ แต่ถ้าลูกยังพอทำอะไรได้ ก็จงเพียงแต่ทำงานที่เกินกำลังน้อยๆหน่อย(อาทิ เย็บปักถักร้อย)”

และเมื่อแพทย์ตรวจท่านอีกครั้งเขาก็ยืนยันว่าท่านคงจะมีชีวิตได้อีกราวสี่สัปดาห์ ในตอนนี้ความแข็งแรงของท่านก็เริ่มลดน้อยลงไปชนิดที่เห็นได้ชัดเลยทีเดียว ทำให้ต้องอยู่ที่ห้องแต่เพราะห้องท่านมีอากาศที่ร้อนอบอ้าวนั้น ท่านจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันไปกับการนั่งๆนอนๆอยู่ในสวนของระเบียงทางเดินอาราม ซึ่งถ้ามีโอกาสท่านก็จะทำงานเย็บปักถักร้อยไปจนบ่อยครั้งเข็มจึงมักตกจากมือท่าน แต่เมื่อฤดูร้อนอันแสบอบอ้าวใกล้จะจบลงเต็มที ท่านก็กลับไม่สามารถลงมาที่สวนได้อีก แต่อย่างไร ท่านก็ยังลงมาร่วมมิสซาทุกวันเสมอ จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม ในวันฉลองนักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลา นับจากนั้นพระสงฆ์ก็จะขึ้นไปส่งศีลท่านเสมอ ท่านไม่เพียงแต่ต้องทุกข์ทรมานภายนอกเท่านั้น แต่ความทุกข์ภายในของท่านก็มิได้ขาดหายไปไหน



ท่านมีความรักต่อนักบุญเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู ซึ่งในวาระฉลองการประกาศนามบุตรีคาร์แมลแห่งลีซีเออร์เป็นนักบุญในวันที่ 17 พฤษภาคม ค..1925 บรรดาซิสเตอร์ก็ต่างพากันจัดนพวารเพื่อให้ท่านหาย และในช่วงบ่ายวันนั้นซิสเตอร์คนหนึ่งก็ได้แนะนำให้ท่านไปสวดภาวนาหน้ารูปของบุตรีแห่งลีซีเออร์ หลังจากภาวนาท่านก็กลับมาพร้อมเล่าว่า ดูเหมือนว่าดิฉันจะได้ยินเสียงจากท่านว่าดิฉันจะไม่หาย ดิฉันจะมีชีวิตอยู่ในเพียงเวลาสั้นๆ แต่ดิฉันยังต้องทนทุกข์ทรมานอีกมาก

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค..1926 ตรงตามที่ธิดาแห่งลีซีเออร์บอกไว้ สุขภาพท่านก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลในวันที่ 6 มีนาคม ท่านกล่าวว่า นี่คือการเสียสละครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าผู้แสนดีทรงเรียกดิฉัน อย่างไรก็ตามในวันที่ 10 มีนาคม ค..1926 อาการท่านก็ทรุดหนักลงจนถึงขั้นโรงพยาบาลต้องโทรแจ้งไปยังอาราม ทันทีซิสเตอร์สองคนจึงรีบรุดมาและถึงโรงพยาบาลในเวลาบ่ายสอง ซึ่งมันเป็นความยินดีของท่านที่จะได้เห็นพี่น้องที่รักของท่านอีกครั้ง



ทันทีพวกเขาจุดเทียนและนำสายจำพวกวางที่ไหล่ของท่าน พร้อมให้ท่านรื้อฟื้นคำปฏิญาณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มสวดบทเพื่อผู้ตายซึ่งท่านคอยตอบรับตลอดด้วยเสียงน้อยๆเพราะความอ่อนแอ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนท่านจะจากไปเห็นจะได้ท่านก็กล่าวขึ้นว่า โอ้ ตอนนี้ดิฉันรู้สึกไม่ดีเลย หลังจากนั้นท่านก็กล่าวอย่างเหยงๆอีกว่า อะไรกันจะเกิดขึ้นในวันนี้คะ ทันทีคุณแม่อธิการก็ตอบท่านว่า องค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้พระทัยดีจะมาและรับลูกไปยังสวรรค์ในวันนี้ ตอนนี้เสียงท่านดูอ่อนแรงมากขึ้น

ที่สุดเพียงห้านาทีก่อนเวลาสิบแปดนาฬิกาในวันนั้น ในวัยเพียง 28 ปี ในโรงพยาบาลเซนต์ หลุยส์ ท่านก็ได้ละลมหายใจสุดท้ายจากโลกนี้ไปอย่างสงบเหมือนทารกที่ผลอยหลับไปในอ้อมอกมารดา ร่างของท่านได้พักกายอย่าสงบในสุสานของคณะที่มิลวอกี ท่ามกลางความสุขภายในของทุกคนในอาราม หลังจากนั้นก็มีรายงานว่าเพื่อนซิสเตอร์ของท่านว่าท่านได้ประจักษ์มาหาเธอแล้วบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์แล้ว และท่านจะตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้รับจากคณะนี้ ไม่นานก็เป็นดังนั้นโดยเริ่มจากคำวิงวอนของซิสเตอร์ที่ดูแลท่านที่เซนต์ชาลส์ ก่อนกระจายไปทั่วบ้านของคณะทั้งในอเมริกาและยุโรป



บิดาของท่านเล่าในหนังสือที่ตีพิมพ์หลังจากเจ็ดปีมรณกรรมของท่านว่าเมื่อเสื้อผ้าของท่านถูกวางเหนือผู้ป่วยในทันทีผู้ป่วยคนนั้นก็จะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว รวมถึงเกษตรกรรายหนึ่งซึ่งประสพอุบัติเหตุจากม้า เด็กชายที่ติดเชื้อจนสูญเสียการได้ยิน เป็นต้น นอกจากนั้นบุญราศีมารีอา เทเรซา เชื่อเสมอว่าท่านคือนักบุญ คุณแม่มักวิงวอนผ่านท่านและก็ได้เสมอ คุณแม่กล่าวในจดหมายหนึ่งว่า ดิฉันเชื่อว่าซิสเตอร์มารี เทเรเซียที่รักจะอวยพรคุณที่นั่น คุณแม่กล่าวว่าท่านคือรูปแบบของความศักดิ์สิทธิ์ที่ควรยึดถือ

ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า(1 ยอห์น 4:10) เช่นกันท่านไม่เพียงแต่รักพระเจ้าแต่ท่านยังรักทุกคนเพราะท่านตระหนักถึงความรักของพระเจ้าดี ท่านจึงได้ตัดสินใจไปเป็นธรรมทูตในดินแดนที่ท่านไม่รู้จัก ไม่รู้ภาษา สุขภาพแย่ แม้จะกังวลใจอยู่บ้างแต่ท่านก็ไปเพื่อพระเจ้า ด้วยความวางใจ แม้จะเป็นชีวิตที่สั้นๆ ท่านก็ได้แสดงออกถึงความวางใจ และความรักในพระอย่างเต็มเปี่ยม ชนิดน่ายกย่องเป็นแบบอย่างเลยทีเดียว


ข้าแต่ท่านซิสเตอร์มารี เทเรเซีย แห่ง พระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์ ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...