การรังควานของปีศาจ
เนื่องด้วยวิญญาณของท่านคือวิญญาณที่ถูกเตรียมไว้เพื่อช่วยวิญญาณจำนวนมาก พวกปีศาจจึงเกลียดท่านเป็นอันมาก และพยายามขัดขวางท่านจากพันธกิจนี้ไปตลอดชีวิตของท่าน ด้วยการรังควานท่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย พวกมันทั้งทุบตีด้วยกระบองตามแขนขาของท่าน เอาทรายเอากรวดไปใส่ในกับข้าว ปัดอาหารจากปากบ้าง หรือหนักเข้าพวกมันก็เล่นเอาเสียท่านต้องได้เลือดตกยางออกเลยทีเดียว เราทราบเหตุการณ์เหล่านี้จากบันทึกของท่าน ดังเช่นตอนหนึ้ง ท่านบรรยายถึงการต่อสู้นั้นว่า
“ปีศาจทรมานดิฉันมาก ๆ พวกมันทั้งแงะสิ่งที่ดิฉันถืออยู่ในมือ ขว้างก้อนหินใส่ดิฉันบนทางเท้า พวกมันกระชากมือของดิฉันและโยนออกไปข้าง ๆ แต่ด้วยความช่วยเหลือของแม่พระ พระนางได้มันใส่กลับและเยียวยาบาดแผล พวกมันยังโยนดิฉันลงมาจากหลังคาบ้าน แต่แม่พระทรงยกดิฉันขึ้นมา พวกมันมัดมือและขาของดิฉันด้วยเชือก พวกมันทุบและตีดิฉันทั่วร่างกาย พวกมันฉาบไปด้วยความเย็นชาในสายตาของดิฉัน ในขณะที่ดิฉันสวดภาวนาพวกมันก็พูดดูหมิ่นศาสนา บางทีเวลาดิฉันสวดสายประคำพวก มันก็มาคว้าเอาสายประคำไป พวกมันยังโยนสิ่งสกปรกลงในอาหารของดิฉัน พวกมันแสดงให้ดิฉันเห็นสิ่งตรงกันข้ามความบริสุทธิ์และทำให้ดิฉันอารมณ์เสียเป็นอันมาก”
การรังควานครั้งรุนแรงเริ่มในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.1902 ขณะที่ท่านมีอายุได้ 25 ปีย่างเข้า 26 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลานั้นพวกปีศาจจำนวนมากมายพร้อมด้วยผู้นำของมัน เจ้าลูซิเฟอร์ก็เริ่มลงมือทำร้ายท่านไม่ว่าจะด้วยการเตะต่อย เรื่อยไปจนถึงตี บ้างครั้งพวกมันก็จับท่านมัดมือมัดเท้า บ้างก็ทำร้ายจนท่านหมดสติ ฝั่งท่านเองเมื่อถูกรังควานเช่นนี้ ก็จะคอยไปเล่าให้คุณพ่อวิทยาทิล คุณพ่อวิญญาณรักษ์ผู้บริบูรณ์ไปด้วยความดีและความร้อนรนต่อการปฏิบัติหน้าที่สงฆ์ แต่ไม่ได้ช่ำชองในเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ ดังนั้นทุก ๆ ครั้งที่ท่านมาเล่า คุณพ่อก็จะเพียงบันทึกเรื่องราวลงไป ไม่ได้ลงลึกวิเคราะห์ใด ๆทั้งสิ้น
ท่านได้พบกับคุณพ่อวิทยาทิล เมื่อคราวคุณพ่อมาฟังแก้บาปให้เขตวัดในช่วงเข้าเงียบ ในปีเดียวกันกับที่ท่านถูกทดลอง โดยคล้ายว่าท่านจะได้รับการเผยว่าคุณพ่อจะได้มาประจำที่เขตวัดของท่าน เมื่อเข้าที่แก้บาปท่านจึงได้ขอท่านเป็นคุณพ่อวิญญาณ แต่คุณพ่อก็ไม่ได้ตอบอะไร กระทั่งคุณพ่อกลับไปวัดมาลาที่ท่าดูแล ในวันที่ 30 เมษายน ท่านก็ถูกย้ายมาวัดปุเทนชิระ ฝั่งท่านเมื่อคุณพ่อมาถึงก็ได้ขอให้คุณพ่อมาเป็นคุณพ่อวิญญาณของท่านอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ท่านก็ตอบรับ “แต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปี ค.ศ.1926 ผมก็กลายมาเป็นผู้นำวิญญาณของเธอ” คุณพ่อสรุปการมารู้จักท่านดังนี้
กลับมาที่การรังควานของพวกปีศาจ เมื่อพวกมันไม่สามารถจะทำให้ท่านไม่เชื่อ ไม่วางใจพระเจ้า และไม่ไปหาคุณพ่อวิญญาณได้ พวกมันก็พุ่งเป้าไปเป็นการทำลายคำปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ของท่าน ซึ่งขอเรียนให้ทราบว่าโดยปกติแล้ว ท่านและสหายจะไม่ออกบ้านไปพร้อมกลับชายแปลกหน้า โดยพวกมันใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนในการปฏิบัติภารกิจนี้ โดยพวกมันได้แสดงภาพอันลามกอนาจารของท่านต่อหน้าท่าน มันพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหลอกล่อให้ท่านละทิ้งพรหมจรรย์เกือบตลอดคืน
ซึ่งระหว่างการรังควานนี้ ท่านมิอาจปิดดวงตาหรือเบือนหน้าหนีจากภาพเหล่านั้นได้แม้ใจจริงท่านอยากจะทำมากแค่ไหนก็ตาม ท่านกล่าวแก่คุณพ่อวิญญาณรักษ์ถึงเรื่องนี้ว่า “ลูกจะต้องพบกับความทุกข์ยากแบบใดก็ได้ แต่ลูกกลัวการทดลองใจเรื่องความบริสุทธิ์ ลูกต้องการให้พวกมันเอามันออกไปเสีย” ฝั่งคุณพ่อวิทยาทิลก็ให้คำแนะนำที่ดีแก่ท่าน จนท่านมีกำลังสู้ทนกับการล่อลวงนี้อย่างแข็งขัน นานเข้านานเข้าพวกปีศาจเมื่อเห็นว่าทำอะไรพรหมจรรย์ท่านไม่ได้แล้ว มันก็ละแผนนี้ไป
ด้วยความเป็นห่วงท่าน
คุณพ่อวิทยาทิลจึงได้เรียนเรื่องการรังควานของปีศาจต่อท่านไปยังพระคุณเจ้าจอห์น
เมเนเชรี พระสังฆราชแห่งทริชูร์ ฝั่งพระคุณเจ้าเมื่อทราบ
จึงมีคำสั่งลงมาให้คุณพ่อประกอบพิธีไล่ผีให้ท่าน พร้อมให้นำคำสั่งนี้ไปติดไว้ที่หน้าห้องของท่าน
ด้วยว่าพระคุณเจ้ายังมีความสงสัยในพระหรรษทานพิเศษของท่านหลาย ๆ ประการ
ว่าเป็นการกระทำของปีศาจ
ดังนั้นเองคุณพ่อวิทยาทิลจึงน้อมรับคำสั่งและได้อ่านประกาศให้ท่านฟัง
“เธอถามหาคำประกาศ
ก่อนจูบมันด้วยความยินดี และพูดว่า ‘นี่คือของขวัญที่เต็มไปด้วยพระพรสำหรับลูกจริง ๆ’”
หลังจากนั้นคุณพ่อจึงดึงประกาศจากมือของท่าน และนำไปติดไว้ที่หน้าห้องของท่าน ดังนั้นเมื่อชาวบ้านแวะเวียนมาและได้อ่านประกาศ
จึงต่างพากันเยาะเย้ยและดูถูกท่าน
ฝั่งท่านนั้นก็น้อมรับคำครหาเหล่านั้นด้วยความชื่นชมยินดี
ทั้งยังขอให้คุณพ่อวิทยาทิลอ่านประกาศนี้ในวัด และติดสำเนามันไว้ที่ประตูหลักของวัด
แต่เนื่องจากไม่มีในคำสั่ง คุณพ่อจึงมิได้ปฏิบัติตาม
ปีศาจยังเจ้าเล่ห์นัก มันรู้ดีอีกว่าการรับศีลมหาสนิทเป็นการทำวิญญาณดวงนั้นยิ่งชิดสนิทพระเป็นเจ้ามากขึ้น มันจึงพยายามอย่างเต็มที่จะขัดขวางไม่ให้ท่านไปรับศีลด้วยกลวิธีสกปรกต่าง ๆ ตามนิสัยของมัน มีคราวหนึ่งมันถึงกับบันดาลให้ท่านตาบอดลงในระหว่างทางไปวัด แต่เดชะบุญเมื่อคุณพ่อวิทยาทิลทราบ คุณพ่อก็สั่งพวกมันในพระนามพระเจ้าว่าห้ามพวกมันมารังคานท่านระหว่างท่านอยู่ที่วัดหรือกำลังไปวัดเพื่อขวางท่านไม่ให้ได้รับศีลมหาสนิท พวกมันจึงต้องเลิกล้มที่จะขัดขวางท่านนี้ไป
“บรรดาจิตชั่วร้ายต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของคุณธรรมความดีของเธอ และได้เริ่มลงมือทำลายสิ่งเหล่านั้นลงให้สิ้นซาก ร่องรอยการทำร้ายเธอของพวกปีศาจไม่ได้ปรากฏเพียงแค่ในวิญญาณ แต่ยังปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากผู้พบเห็น” ข้อความที่ยกมาของคุณพ่อวิทยาทิล คงทำให้เราทราบดีว่าไม่เพียงแต่ท่านที่เห็นการรังควานของปีศาจเท่านั้น เพราะยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ เช่นนี้เองด้วยความที่ท่านไม่อยากให้ใครได้เห็นการรังควานของปีศาจเหล่านี้ ท่านจึงสวดภาวนาอย่างร้อนรนต่อแม่พระว่าไม่ให้การรังควานเหล่านี้เกิดขึ้นในระหว่านวันเป็นอันขาด
จนวันหนึ่งพระมารดาก็ทรงตอบรับคำภาวนานี้ กล่าวคือในเวลาต่อมาคุณพ่อวิทยาทิลก็มาพบท่านนอนสลบอยู่ในบ้าน แต่ก็กำลังสวดสายประคำอยู่ทั้งๆที่ตนไม่ได้สติจนจบสาย แม่พระก็ทรงตรัสผ่านท่านว่า “ตามคำภาวนาของเธอ แต่นี้ปีศาจจะไม่มารังควานเธอในระหว่างวัน แต่มันจะมาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว” และแต่นั้นมาพวกปีศาจก็มิได้มารังควานท่านในระหว่างวันอีก แต่เมื่อตะวันลาลับขอบฟ้าไปพวกมันก็เริ่มรังควานท่านต่อ จนรุ่งสางวันถัดมามันจึงละจากไป ทิ้งไว้แต่ตัวท่านที่อิ่มเอิบไปความยินดีและความบรรเทาใจภายใน ซึ่งท่านใช้มันในการรับมือกับพวกมันในวันต่อๆไป
ภาพนิมิตจากสวรรค์
1. ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ขณะเดียวกันกับที่ถูกรังควานอย่างหนัก ท่านก็ได้ได้รับพระพรมากมาย ครั้งหนึ่งเมื่อพวกปีศาจเข้ามาในห้อง และจับท่านมัดมือมัดขาแล้วดึงท่านขึ้นไปบนเพดานด้วยเชือกที่มัดตั้งแต่เท้าถึงคอ ก่อนจะปล่อยให้ท่านห้อยโตงเตงอย่างนั้น ท่านต้องทนทุกข์อยู่นานพอควร จนสักพักครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ก็ประจักษ์มาและช่วยแก้เชือกให้ท่าน ทั้งสามปลอบใจท่านว่า “จงน้อมรับความทุกข์ยากทั้งหลายด้วยความอดทนเถิด จงระลึกถึงความทุกข์ยากที่ผู้หนึ่งได้รับเพื่อลูกเถิด วันหนึ่งลูกจะได้รับการบรรเทา” หลังจากนั้นเมื่อท่านลงมาได้และล้มตัวลงนอนตามคำขอของทั้งสามแล้ว ทั้งสามก็ค่อย ๆอันตรธานหายไป และหลังจากนั้นมาครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ประจักษ์มาหาท่านอีกหลายครั้ง
อีกครั้ง เมื่อคุณพ่อวิญญาณของท่านพร้อมคุณพ่อจอห์น อัมบูกัน พระสงฆ์อาวุโสเจ้าวัดปาริยารัมได้เดินทางมาหาท่านตามคำขอของแม่พระผ่านท่าน วันนั้นเป็นเวลาห้าโมงเย็นของวันศุกร์ เมื่อทั้งสองมาถึงก็พบกับท่านกำลังในห้วงมหาทรมานในสภาพที่น่ากลัวเป็นยิ่งนัก สักพักหนึ่งท่านก็เรียกคุณพ่อวิญญาณพลางบอกว่า “ดูซิ พระเยซูเจ้า แม่พระ และนักบุญยอแซฟกำลังยืนอยู่เหนือหัวของลูก” คุณพ่อจึงบอกกับท่านว่า “ขอบคุณพวกท่านเสียสำหรับการเสด็จมาบ้านอันยากไร้นี้และการภาวนาเพื่อทุกความต้องการของลูก”
หลังจากนั้นแม่พระก็ทรงตรัสสั่งให้คุณพ่อวิทยาทิลสวดบทกิจการความรักพระเจ้าและบทสดุดี และยังทรงประทานคำแนะนำเป็นรายบุคคล ก่อนจะทรงให้ทุกคนร่วมกันสวดสายประคำ และเมื่อสวดจบพระนางก็ทรงสวดสามครั้งว่า “ข้าแต่พระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดอย่าปล่อยลูกไว้แต่เพียงลำพังไปจนกว่าลูกจะบรรลุถึงตัวพระแม่ ผู้เป็นที่หลบภัยของลูกทั้งหลาย” และนับแต่นั้นมาทั้งพระสงฆ์ทั้งสองก็จะสวดบทนี้เมื่อมิสซาของทั้งสองจบ และยังได้ชักชวนคนอื่น ๆ ให้สวดตามอีกด้วย
2. แม่พระ
คราวหนึ่งขณะท่านกำลังนอนหมดแรงจากต่อกรกับบรรดาปีศาจ ท่านก็ได้เห็นสตรีนางหนึ่งปรากฏมานั่งอยู่ใกล้กับท่าน บกตักของนางมีร่างของชายสภาพน่าเวทนาผู้หนึ่ง ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและทั่วร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด สตรีนั้นกล่าวกับท่านว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเห็นชายผู้นี้ไหม ความทรมานของหนูเทียบอะไรไม่ได้เลยกับเขา ฉะนั้นจงอย่าได้สิ้นหวังไปเลย จงมีความหวังในพระเจ้าเถิด พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ลูกได้รับการทดลองเกินกำลังความอดทนของลูกหรอก”
อีกวันหนึ่งคุณพ่อวิทยาทิลได้แวะมาเยี่ยมท่านและได้พบกับท่านนอนสลบอยู่ คุณพ่อจึงรีบไปนำน้ำเสกมาทำกางเขนที่หน้าผากของท่าน ใบหน้าของท่านก็ส่องสว่างออกมา และก็ปรากฏมีเสียงหนึ่งพูดกับคุณพ่อว่า “เรามาเพื่อปลอบโยนเธอ เธอได้รับความทุกข์ยากที่ไม่อาจจะมีใครช่วยได้ จนบัดนี้ก็สองชั่วโมงได้แล้วที่เรามาปลอบโยนเธอ” คุณพ่อวิทยาทิลจึงถามเสียงนั้นไปว่า “ท่านเป็นใครกัน” ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า “ถูกแล้ว เราคือมารีย์” คุณพ่อจึงถามอีกครั้งว่า “ท่านเป็นมารดาของพระเจ้างั้นหรือ” เสียงก็ตอบกลับว่า “ถูกแล้ว เธอต้องทนทุกข์ใจและเสียใจเป็นอันมาก ลูกต้องปลอบโยนเธอ หากเธอเอยู่ในอารามเธอก็คงจะได้รับความช่วยเหลือไปแล้ว”
หลังจากนั้นเสียงนั้นหรือก็คือแม่พระก็ได้บอกให้คุณพ่อคอยช่วยให้ท่านเข้มแข็ง ทั้งขอให้ไปบอกคนอื่น ๆ ให้ช่วยสวดให้ท่าน ก่อนจะทรงตรัสต่อว่าจะทรงกลับมาอีกครั้งในเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นไปต้นไป แต่จะไม่ทรงมาในระหว่างวัน เสร็จแล้วพระนางกลจึงทรงกล่าวอำลา คุณพ่อวิทยาทิลจึงเริ่มสวด ฝั่งแม่พระก็ทรงอวยพรทั้งสองและจากไป เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นพระปรีชาญาณของพระเจ้าอย่างแท้จริง กล่าวคือทรงทราบดีว่ามนุษย์ในบางเวลาก็ต้องการเพื่อนมนุษย์ด้วยกันคอยดูแลคู่ไปกับการดูแลของพระองค์
นอกจากนี้แม่พระยังทรงร้องขอให้ท่านตกแต่งห้องนอนเล็ก ๆ ของท่านด้วยดอกไม้ในวันศุกร์และให้เพื่อน ๆ ของท่านมาร่วมกันสวดสายประคำกัน ซึ่งเมื่อคุณพ่อวิญญาณรักษ์ได้ถามถึงจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ แม่พระได้ตรัสไขข้อข้องใจว่า “ในวันศุกร์ องค์พระเยซูเจ้า พระนางมารีย์และท่านโยเซฟจะยังมาที่นี่ในพระสิริรุ่งโรจน์ก่อนระฆังเย็น บรรดาผู้ที่ร่วมกันสวดสายประคำในเวลานั้นจะได้รับพระหรรษทานพระเจ้า บรรดาผู้ที่มาที่นี่ในวันอื่น ๆ และสวดสายประคำและบทภาวนาอื่น ๆ ร่วมกันก็จะได้รับพระหรรษทานพิเศษจากพระเจ้าเช่นกัน ยามใดก็ตามที่ลูกว่างเว้นจากภาระ ลูกต้องมาที่นี่เพื่อสวดสายประคำ สวดกิจการความรักพระเจ้าและโมทนาพระคุณร่วมกับคนอื่นๆเถิด” ท่าน คุณพ่อและเพื่อนจึงมีการทำเช่นนี้ทุก ๆ เย็นวันศุกร์เรื่อยมา
3. พระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้ายังทรงมักเผยพระองค์ให้ท่านเห็นในพิธีมิสซาอยู่บ่อย ๆ คุณพ่อวิทยาทิลเคยถามท่านว่าพระองค์จะทรงประจักษ์มาในช่วงไหน ท่านก็ตอบว่าช่วงร้องโฮซันนา ในโอกาสหนึ่งคือในวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน ค.ศ.1904 เมื่อพระสงฆ์ชูแผ่นศีลขึ้นและหันมาหาสัตบุรุษท่านก็แลเห็นพระกุมารประทับอยู่ในแผ่นปัง และอีกโอกาสหนึ่งก่อนช่วงรับศีลท่านก็ได้เห็นนิมิตพระคริสตเจ้าทรงรับทรมาน คุณพ่อวิทยาทิลบันทึกว่าครั้งหนึ่งเมื่อท่านล้มป่วยจนไม่อาจจะลุกไปร่วมมิสซาได้ พระเยซูเจ้าก็ทรงเสด็จมาทรงประกอบพิธีมิสซาขึ้นในห้องเล็ก ๆ ของท่าน และก็เป็นพระองค์เองเช่นกันที่เป็นคนส่งศีลให้ท่านได้รับ แต่ในโอกาสอื่นเมื่อท่านมาวัดไม่ได้ก็เป็นเพียงทูตสวรรค์ที่มาส่งศีลให้ท่าน (คราหนึ่งแม่พระยังสั่งให้ท่านไปบอกคุณพ่อให้เทศน์เกี่ยวกับเรื่องการทรุจารศีลอีกด้วย)
การรังควานครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย
วันหนึ่งเมื่อท่านมีอายุได้ประมาณได้ราว 26 ปี ท่านก็เข้าสู่สภาวะฌาน
แม่พระตรัสผ่านท่านว่า “เวลาที่ที่เจ้าปีศาจได้รับอนุญาตจากพระเจ้าจะสิ้นสุดลงในวันที่
23 มกราคม ค.ศ.1905
แต่นั้นมาแม่ปรารถนาให้เธอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ
เวลาเดียวกันหลายสิ่งก็จะเกิดขึ้นผ่านเธอ” คุณพ่อวิทยาทิลได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระคุณเจ้าเมนาเชรีฟัง
เมื่อคุณพ่อได้มีโอกาสไปพบพระคุณเจ้า และได้เล่าถึงการรังควานของปีศาจให้พระคุณเจ้าฟัง
ฝั่งพระคุณเจ้าจึงขอให้คุณพ่อ ไปทูลให้แม่พระทรงลดเวลาลงจากวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.1905 เป็นวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1904
คุณพ่อจึงได้ทูลเรื่องนี้ต่อแม่พระ
และวันรุ่งขึ้นพระนางก็ทรงตรัสผ่านท่านว่า “เนื่องด้วยคำขอของลูกเมื่อวานนี้
เวลาจะได้รับการลดหย่อนลงเป็นวันที่ 8 ธันวาคม แต่ระหว่างสามวันสุดท้ายจะบังเกิดความทุกข์ยากอย่างต่อเนื่อง
ปีศาจจะไม่ยอมปล่อยเธอแม้ว่าพวกมันจะถูกสั่งให้ออก
ดังนั้นลูกต้องคอยปลอบโยนเธอให้มาก ๆ
ในวันนั้นศีลมหาสนิทจะต้องถูกตั้งไว้ให้สัตบุรุษได้ถวายความเคารพ และลูกต้องบอกให้คนอื่น ๆ ให้ร่วมกันสวดภาวนา
ภายหลังวันนี้ไปแล้ว เธอจะต้องมีนามว่า มารีอัม เทรเซีย (เทรเซียของแม่พระ)”
และก็เป็นที่พระมารดาทรงดำรัสจริงๆ
เพราะในวันที่ 5 ธันวาคม
ปีนั้น การรังควานครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้น
พวกปีศาจได้เริ่มลงมือทำร้ายท่านอย่างหนักหน่วง
พวกมันกันท่านออกจากการรับประทานอาหารและน้ำ
คุณพ่อวิทยาทิลพยายามที่จะเอาน้ำหวานป้อนให้ท่าน พร้อมสั่งปีศาจไม่ให้ขัดขวาง
ทำให้คุณพ่อสามารถเอาน้ำหวานให้ท่านดื่มได้
ตลอดเวลาท่านพร่ำสวดว่า
“ข้าแต่ดวงพระหฤทัยอันอ่อนหวานของพระเยซูเจ้า โปรดประทานพระหรรษทานให้ลูกรักพระองค์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ข้าแต่ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ที่หลบภัยของลูก” ลุถึงวันที่ 7 ธันวาคม เจ้าปีศาจก็บันดาลให้ท่านกลายเป็นอัมพาตเพื่อขัดขวางท่านไม่ให้ไปร่วมเฝ้าศีลที่อารามอัมบาซาคคัดในตอนเช้า
แต่แม่พระก็ได้เสด็จมาบอกท่านว่ารุ่งขึ้นท่านจะหาย
วันที่
8 ธันวาคม
มีพระสงฆ์สององค์ตามมาสมทบกับคุณพ่อวิทยาทิล ที่เวลาสองทุ่มท่านนอนนิ่งไม่ต่างอะไรจากศพ
ก่อนจะถึงเวลาสามทุ่ม อาการของท่านก็ดีขึ้นตามลำดับ
ท่านสามารถขยับตัวได้และเริ่มพูดกับทุกคนได้เป็นปกติ ท่านเล่าให้คุณวิทยาทิลฟังว่า
“เจ้าปีศาจพูดว่า พวกเราแพ้แล้ว เจ้าชนะ ลูกจึงบอกกับพวกมันว่า
ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นพระเยซูเจ้าต่างหากที่ชนะ” ก่อนจะเป็นลมหมดสติไปอีก “ความทุกข์ยากของเธอจบลงแล้ว
บัดนี้เจ้าปีศาจเจ็ดตัวได้รับอนุญาตให้ยังอยู่และทดลองเธอ เพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการโมทนาคุณพระเจ้า
เธอจะต้องถูกเรียกว่า มารีอัม เทรเซีย แต่นี้ไปแม่จะไม่ประจักษ์มาหาเธอบ่อย
พระเยซูเจ้า นักบุญยอแซฟ และแม่จะอยู่กับเธอบางเวลา คุณพ่อเอ๋ย แม่ขออวยพรของแม่แก่ลูก”
พูดเช่นนั้นแล้ว
ท่านจึงฟื้นคืนสติขึ้นมา
และทันทีที่ฟื้นท่านก็รีบไปคุกเข่าให้พระสงฆ์สององค์นั้นอวยพร
ซึ่งภายหลังทั้งสองอวยพรท่านแล้ว คุณพ่อวิทยาทิลจึงอวยพรท่าน และพูดกับท่านว่า “แต่นี้ไปลูกจะมีชื่อว่า มารีอัม
เทรเซีย” และภายหลังคุณพ่อวิทยาทิลได้เขียนไว้ว่า “เทรเซียต่อกรกับกลยุทธ์ต่าง ๆ ของเจ้าปีศาจด้วยพระหรรษทานของพระเจ้าและก็ได้รับชัยชนะในที่สุด”
ภาพนิมิตสวรรค์และนรก
ดวงหทัยทั้งสาม
ครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1904 พระเยซูเจ้าทรงได้ประจักษ์มาหาท่านและได้ทรงสัญญาว่าจะทรงประทานดวงหฤทัยของพระองค์แก่ท่านในวัน 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน พระองค์ยังรับสั่งให้ท่านเตรียมจิตใจด้วยการอดอาหารแล้วรับประทานเพียงน้ำเป็นเวลาสามวัน และให้คุณพ่อวิญญาณของท่านมาเป็นพยาน ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาก็ขอให้คุกเข่าลงและโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าในวันนั้น
และเมื่อถึงเย็นของวันที่พระเยซูเจ้าทรงสัญญา ท่านก็เข้าสู่สภาวะฌานในท่าคุกเข่าเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมพระนางมารีย์และทูตสวรรค์ เมื่อมาถึง ณ เบื้องหน้าท่าน พระเยซูเจ้าก็ทรงประทานดวงพระหฤทัยของพระองค์แด่ท่าน และได้นำหัวใจของท่านออก หลังจากนั้นท่านก็ตกอยู่ในห้วงแห่งการภาวนาในท่าคุกเข่าเช่นนั้นนานถึงหกชั่วโมง จนเมื่อพระเยซูเจ้าทรงอวยพรท่านและอันตรธานหายไปแล้ว ท่านจึงออกจากสภาวะฌาน
หลังจากนั้นอีกสองปี ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.1906 ภายหลังจากร่วมมิสซาวันศุกร์ต้นเดือน แม่พระก็ทรงประทานดวงหฤทัยของพระนางแด่ท่าน โดยพระนางทรงวางมันไว้เบื้องขวาของดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ตามมาด้วยนักบุญยอแซฟ ก็ประจักษ์มาหาท่านในเวลาเจ็ดโมงครึ่งในวันพุธแรกของเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน และเช่นเดียวกันกับพระเยซูเจ้าและแม่พระ ท่านนักบุญยอแซฟก็มอบหัวใจของท่าน ให้กับท่านโดยได้วางมันไว้ที่เบื้องซ้ายของดวงพระหฤทัย
ประสบการณ์วิญญาณถูกแทงด้วยความรัก
เวลาเดียวกันนั้นเอง
เธอก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอแยกเป็นสองส่วน เธอรู้สึกเจ็บปวดและหวาดกลัวอย่างเหลือคณา
และขณะที่เธอนั่งอยู่ลำพังหลังประตูในห้องของเธอ
เธอก็ได้เห็นพระเยซูเจ้าทรงโน้มพระองค์ลงด้วยน้ำหนักของกางเขนในลักษณะที่น่าเวทนาเป็นยิ่งนัก
เธอจึงเริ่มร้องไห้ออกมาดัง ๆ และทูลว่า ‘พอเถิด โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้า พอเถิด ลูกไม่ปรารถนาเห็นสายพระเนตรเช่นนี้
ลูกจะแบกกางเขน ทั้งหมดนี้ลูกปรารถนาเพียงช่วยเหลือพระองค์’ ทูลเช่นนั้นแล้ว เธอก็ร้องไห้ต่ออย่างขมขื่น
โดยมิได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก แม้ว่าตอนนั้นเธอจะมีสติรู้ตัวดีก็ตาม เสียงร้องไห้และบทสนทนาของเธอจึงได้ยินไปถึงเพื่อน ๆ ของเธอที่อยู่ข้างนอก
ประสบการณ์แทงวิญญาณเช่นนี้ เท่าที่มีบันทึกยังเกิดขึ้นกับท่านอีกถึงห้าครั้ง มีครั้งหนึ่งในนั้นคือในวันพุธ ที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกันกับปรากฏการณ์ครั้งแรก ภายหลังจากทูตสวรรค์ได้แทงหอกลงไปในหัวใจของท่านในตอนเช้าแล้ว ก็ปรากฏจุดสีลุกลามตรงบริเวณที่ทูตสวรรค์ดึงหอกออก ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกเจ็บปดและตกใจเป็นอันมาก และในเวลาต่อมาเมื่อท่านเข้าฌาน คุณพ่อวิทยาทิลก็ได้โอกาสถามผ่านท่านถึงความหมายของประสบการณ์เช่นนี้ ฝั่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสผ่านท่านว่า “มันคือเครื่องแสดงถึงความรักของพระเจ้า หากเธอยังคงสัตย์ซื่อต่อไป เธอก็จะถูกแทงมากขึ้น”
ข้อมูลอ้างอิง