การหมั้นหมายฝ่ายจิต
ดั่งที่เรารู้ ๆ กันดี
ว่าก่อนที่จะเข้าพิธีมงคลสมรส ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่บ่าวสาวที่มีใจสมัครักใคร่ ก็ต้องหมั้นหมายกันไว้ก่อน
องค์พระเยซูเจ้าเองก็ทรงหมั้นหมายท่านไว้เป็นของพระองค์เช่นกัน โดยพระองค์ทรงหมั้นท่านไว้ในคืนหนึ่ง
ในปี ค.ศ. 1905 เมื่อท่านมีวัยได้ 29 ปี ในคราวนั้นพระองค์ทรงตรัสอย่างยิ้มแย้มกับท่านว่า
“ให้เราสวมแหวนวงนี้ที่นิ้วของลูกเถิด” พร้อมยื่นแหวนในพระหัตถ์ออกมา ฝั่งท่านก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่ได้แสดงท่าทีอันใด
หลังจากนั้นเวลาล่วงเลยมา กระทั่งท่านตื่นนอนในคืนหนึ่ง ท่านก็พบว่าที่นิ้วของท่านมีแหวนวงหนึ่งประดับประดาด้วยหินอันมีค่า
ท่านจึงเร่งนำความนี้ไปเล่าให้คุณพ่อวิญญาณของท่านฟัง หลังจากนั้นวันหนึ่งแม่พระทรงเผยแก่ท่าน ว่าเป็นพระเป็นเจ้าเองที่ทรงสวมแหวนวงนี้ให้ท่าน และมันไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับของขวัญเช่นนี้
แต่ถึงจะรู้ดังนี้แล้วก็ตาม ท่านก็ยังรู้สึกเขินอายที่จะสวมมันอยู่ดี
อีกครั้งในค่ำคืนของวันที่
16 กันยายน
ปีหนึ่ง พระเยซูเจ้าก็ทรงเสด็จมาหาท่านอีกครั้ง
คราวนี้พระองค์ทรงถอดแหวนวงเดิมจากนิ้วของท่าน แล้วสวมท่านอีกรอบ หลังจากนั้นในค่ำคืนอีกคราหนึ่ง
พระองค์ก็ทรงแสดงให้ท่านเห็นแหวนทองวงหนึ่งให้ท่านเห็น
พลางตรัสถามว่าท่านอยากได้มันไหม “แล้วแต่พระองค์จะทรงพระกรุณา
พระเจ้าข้า” ท่านจึงทูลตอบ “เราจะมอบมันแก่ลูกในอนาคต” พระองค์ตรัสตอบเจ้าสาวของพระองค์
รอยแผลศักดิ์สิทธิ์
ในปี ค.ศ.1905 ด้วยวัย 28 ปี ท่านเริ่มได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก แต่เป็นลักษณะของรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น โดยแม่พระได้ตรัสผ่านท่านระหว่างท่านอยู่สภาวะฌานพระมหาทรมานกับคุณพ่อวิทยาทิลในครั้งแรกที่มาพบท่านถูกตรึงว่า “อย่าได้กลัวต่อสิ่งที่ได้เห็นเลย นี่คือรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแก่เธอ มันจะเริ่มตั้งแต่บ่ายวันศุกร์และจะจบลงในเวลาเที่ยงคืน สิ่งนี้จะเกิดในระหว่างเทศกาลมหาพรตเช่นเดียวกัน”
บาดแผลของท่านเกิดในหลายวาระโอกาส และลักษณะรอยแผลของท่าน บางครั้งก็มีหยดเลือดไหลออกมาจากบาดแผล แต่บางครั้งก็มีแต่เพียงรอยแผล คุณพ่อวิทยาทิล คือ หนึ่งในบรรดาพยานที่ได้เห็น คุณพ่อบันทึกว่า “เมื่อวันพุธที่ 27 มกราคม ค.ศ.1909 ในเวลารำพึงหลังเที่ยงคืน พระเยซูเจ้าก็ทรงประทานรอยแผลทั้งห้าของพระองค์ที่มองเห็นได้ให้แก่เธอ บาดแผลปรากฏบนมือและเท้าทั้งสองและสีข้าง ที่มือและขาดูราวกับถูกตรอกตรึง และที่สีข้างก็เหมือนถูกแทงด้วยหอก ตะปูหนึ่งดอกจากมือของเธอล่วงลงมา และเธอก็ได้แสดงมันให้คุณพ่อวิญญาณของเธอเห็น ตะปูบนขายังคงอยู่ทั้งคู่ บางเวลาก็มีเลือดซึมออกมาจากบาดแผลเหล่านี้ ส่วนในเวลาอื่นก็มีเพียงรอยเลือดให้ได้เห็นเท่านั้น”
และด้วยพระพรนี้เอง ก็ทำให้ทุกวันศุกร์ ผู้คนบริเวณที่ท่านอยู่ก็จะพากันมาอออยู่ที่บ้านของท่าน เพื่อว่าจะได้เห็นท่านลอย และถูกตรึงบนกำแพงดุจพระเยซูเจ้าถูกตรึงบนกางเขน ซึ่งพระพรนี้ก็ไม่เพียงเกิดที่บ้านของท่านเท่านั้น เพราะคราวหนึ่งขณะท่านเดินทางไปเยี่ยมบ้านคนรู้จักที่ธุระวูร์ ท่านก็เข้าสู่สภาวะฌานพระมหาทรมานอย่างกะทันหัน พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าว่า “ฉันขอเป็นพยานถึงความทรมานของเธอ อันเป็นการมีส่วนในพระมหารทานขององค์พระผู้เป็นเจ้า วันหนึ่งข้ารับใช้พระเจ้าได้มาที่บ้านของพวกเรา ขณะที่พวกเราทุกคนนั่งและพูดคุยกันอยู่นั้น เธอก็อยากที่จะล้มตัวลงนอน ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย ๆ ทันใดนั้นเองเธอก็เป็นลมหมดสติไป … พวกเรายิ่งตกใจขึ้นไปกว่านั้นอีก เมื่อพวกเราเห็นเสื้อคลุมบริเวณช่วงหน้าอกของเธอชุ่มไปด้วยเลือด ที่กลางฝ่ามือทั้งสองและเท้าเท่าที่มองเห็นได้ดูคล้ายกับถูกเจาะ แต่ไม่มีหยดเลือดไหลออกมาให้เห็น รอบ ๆ ศีรษะของเธอมีรอยหยดเลือดเป็นรูปมงกุฎ แต่กระนั้นก็ตามมันก็ไม่ได้ไหลย้อยลงมา เวลาผ่านไปได้สักระยะ เธอจึงฟื้นและได้ดื่มน้ำไปชามใหญ่ จากนั้นเธอจึงเปลี่ยนเสื้อที่เปื้อนเลือดของเธอ เธอดูเหมือนหมดแรง คุณพ่อของฉันได้รับเสื้อผ้านั้นไว้และเก็บไว้อย่างดี จนปัจจุบันมันก็ยังคงถูกเก็บอยู่ที่บ้านหลังนั้น”
พระพรนี้ยังคงอยู่ตลอดชีวิตของท่าน ตราบจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิตของท่าน และแม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าท่านมีพระพรเช่นนี้ ท่านก็ปรารถนาที่จะซ่อนมันจากสายตาของคนอื่น ๆ ในเวลาปกติที่ท่านยังมีสติ เพราะท่านไม่ชอบให้ใครรู้ถึงพระหรรษทานพิเศษของท่าน ทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นรอยแผลของท่านชัด ๆ เต็ม ๆ ในตลอดชีวิตของท่าน แต่กระนั้นก็พอให้สรุปได้ว่า ในเวลาปกติบาดแผลของท่านนั้นจะดูเหมือนแผลที่หายแล้วโดยทั่ว ๆ ไป
การลอย
ในพระศาสนจักรพระพรเกี่ยวกับการลอยถือไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
เพราะถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและได้รับการรับรองจากพระศาสนจักรมานานแล้ว
ตัวอย่างผู้ที่ได้รับการรับรองก็เช่น นักบุญยูเซปเป แห่ง กูเปร์ตีโน
พระสงฆ์คณะภารดาน้อยกอนเวนทัวลี ชาวอิตาลี , นักบุญมาเรียม แห่ง
พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน ชีลับชาวปาเลสไตน์ ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
และนักบุญคุณพ่อปีโอ พระสงฆ์ชาวอิตาลีผู้โด่งดัง
เช่นนั้นเองปรากฏการลอยของท่านจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด แต่มันมีลักษณะที่พิเศษและต่างออกไป
กล่าวคือโดยปกติแล้วบุคคลที่มีโอกาสได้เข้าร่วมกับพระเยซูเจ้าในการตรึงกางเขน
โดยปกติจะเพียงแค่มีรอยแผลต่าง ๆ ปรากฏชัดขึ้น แล้วทำท่าเหมือนถูกตอกตรึงบนพื้นหรือเตียง
แต่สำหรับท่านนั้น เมื่อท่านได้มีโอกาสร่วมในการตรึงกางเขน ร่างของท่านจะลอยขึ้นไปตรึงอยู่บนผนังของบ้านสูงจากพื้นไม่กี่ฟุต
แล้วปรากฏมีเลือดไหลออกมาจากบริเวณรอยแผลที่มือ เท้า และศีรษะ ในวันศุกร์
มีพยานหลายคนที่เห็นเหตุการณ์นี้
ดั่งที่ได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือคุณพ่อวิทยาทิล
ที่เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ.1906
เธอไม่ดื่มอะไรเลยนอกเสียจากน้ำเปล่า
ในวันศุกร์ ตั้งแต่เวลาบ่ายสามโมง อาการปวดก็ทวีขึ้นตลอดร่างกายของเธอ
จนเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป เธอก็จะตรึงอยู่บนผนังในสภาพที่ขาไม่แตะฟื้น
และมือเหยียดออก เธอรู้สึกได้ว่ามือและขาของเธอถูกตอกตรึง
และมีเลือดไหลซึมออกมาจากพวกมัน เวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าเส้นประสาทขดงอ
และอาการปวดอย่างปัจจุบันทันด่วน”
การตรึงกางเขน
ท่านเคยบอกกับคุณพ่อวิทยาทิล
ในบ่ายวันศุกร์ช่วงมหาพรต ที่คุณพ่อแวะมาหาว่า พระเยซูเจ้าพร้อมทูตสวรรค์ถือตะปูและค้อนอยู่ในห้องของท่าน
หลังจากนั้นทูตสวรรค์จึงเอาตะปูนั้นมาตรึงมือและเท้าของท่านไว้ จนเส้นประสาทต่าง ๆ ของท่านตึง
และหัวใจของท่านก็ถูกแทง
มีผู้คนเป็นจำนวนมากเป็นพยานถึงปรากฏการณ์นี้
มีทั้งฆราวาส นักบวช และพระสงฆ์ พยานคนหนึ่งได้ให้การในการกระบวนการสอบสวนฯว่า “แม่ของฉันได้เล่าเหตุการณ์ที่ท่านเห็นให้ฉันฟัง
ขณะที่ข้ารับใช้พระเจ้าอายุได้ 25 ปี แม่ของฉันก็ได้เดินทางไปเยี่ยมท่าน
ในครั้งนั้นแม่ของฉันก็พบท่านนอนนิ่งอยู่บนเตียง มีทั้งสองจับขอบเตียงแน่น
ท่านนอนคว่ำหน้าอยู่ แม่ของฉันจึงเข้าไปเขย่าตัวเธอ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ท่าน(แม่ของพยาน)ไม่สามารถจะขยับมือที่กำนั้นได้”
อีกคนที่ได้เป็นพยานถึงเหตุการณ์นี้ก็คือ
ฯพณฯ จอห์น เมเนเชรี และคณะซิสเตอร์จากอารามพระหฤทัยพระเยซูเจ้า
โดยเหตุการณ์มีดังนี้ “วันหนึ่งในตอนสายๆ ฯพณฯ จอห์น เมเนเชรี
พระสังฆราชแห่งทริชชูร์ ก็เดินทางมายังอารามพระหฤทัยพระเยซูเจ้า ท่านบอกกับเราว่าเทรเซีย
มันคิดิยันจะเข้าสู่สภาวะฌานทุก ๆ วันศุกร์
และที่ตรงมือและเท้าของเธอจะสามารถเห็นรอยตะปูได้ชัดเจน ท่านถามว่าพวกเราอยากเห็นมันไหม
หลังจากท่านก็บอกให้พวกซิสเตอร์พาบรรดานวกะไปด้วยเมื่อจะไป
ดังนั้นเองพวกเราจึงเดินทางไปยังอารามที่โอลลูร์ พวกเราบางคนก็เดินเท้า บางคนก็นั่งเกวียนไป
ซิสเตอร์สูงอายุเป็นคนเดินทางไปก่อน หลังจากนั้นจึงเป็นพวกเรา จึงไม่เหลือใครอยู่ที่อารามเลย
เมื่อเราไปถึงที่หมาย
พวกเราก็พบกับเทรเซียกำลังกางแขนออก มืออยู่ระดับศีรษะบนผนังประดุจหนึ่งถูกตรึงไว้
เท้าของเธอวางซ้อนกัน เหมือนถูกตรึง พวกเราไม่ได้มองเห็นตะปูชัด ๆ มีเลือดนิดหน่อยไหลซึมออกมาจากฝ่ามือไปข้อมือและจากเท้า
พวกเราพยายามยกหรือขยับมือและขาของเธอช้า ๆ แต่พวกมันก็ไม่ขยับ เทรเซียครางเล็กน้อยเหมือนมีอาการเจ็บปวด
ก้อนเลือดเห็นได้ที่พวกมัน และที่รอบศีรษะของเธอ เหมือนถูกสวมมงกุฎหนาม มีเลือดไหลออกมาเพียงเล็กน้อยบริเวณหน้าผาก
ตาของเธอปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง”
วันหนึ่งพระสวามีเจ้าได้ทรงเชื้อเชิญให้ท่านมีส่วนร่วมในพระมหาทรมานของพระองค์ โดยการที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์มาหาท่านในสภาพพระวรกายเต็มไปด้วยบาดแผล พระองค์ทรงแบกกางเขนมา และขอให้ท่านมีส่วนร่วมในพระมหาทรมานของพระองค์สำหรับความผิดบาปของมนุษย์ นี่เองจึงเป็นคำเชื้อเชิญของเจ้าบ่าวผู้ทุกข์ทรมานให้คู่สมรสของพระองค์ตรึงตัวไว้เพื่อทุก ๆ คน เช่นนั้นเองด้วยการมอบหมายของพระเยซูเจ้าและคำแนะนำของแม่พระ ภารกิจเป็นยัญบูชาของท่านจึงได้เริ่มขึ้น
เริ่มจากการประจักษ์มาของแม่พระในวันหนึ่ง วันธรรมดา ๆ ที่พระมารดาทรงร้องขอ ให้ท่านสวดภาวนาเพื่อคนบาปคนหนึ่งที่ได้ละทิ้งความเชื่อไป ท่านเองที่เวลานั้นยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก ก็เริ่มสวดภาวนาตามที่พระนางขอ และหลังจากนั้นอีกโอกาสหนึ่ง พระนางก็ทรงขอให้ท่านสวดเป็นพิเศษเพื่อการกลับใจของคนบาปอีก ซึ่งท่านเองก็น้อมรับและสวดอย่างร้อน
และเพียงไม่กี่วันถัดมา ในเวลาประมาณเที่ยงคืน ประตูบ้านพักของคุณพ่อก็ถูกเคาะรัวโดยชายคนหนึ่งที่พึ่งวิ่งมาจากบ้านของคนบาปคนหนึ่ง เพื่อแจ้งแก่คุณพ่อว่าชายที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านต้องการรับการโปรดศีลอภัยบาปและศีลเจิมคนไข้ ดังนั้นคุณพ่อจึงรีบไปที่นั่นพร้อมโปรดศีลอภัยบาปให้เขาและสัญญาว่าจะนำศีลมหาสนิทมาให้เขาในวันรุ่งขึ้น เวลาล่วงผ่านมาจนถึงเช้าวันต่อมา คุณพ่อท่านนั้นก็รีบเชิญศีลมหาสนิทมาให้ชายผู้นั้นอย่างเร่งด่วน แต่เมื่อคุณพ่อจะส่งศีลให้ เขาก็หมดสติไปและพูดขึ้นว่า “ผมพินาศแล้ว ห้องนี้เต็มไปด้วยไฟ” คุณพ่อจึงตัดสินใจหยุดทรงศีล และนำแผ่นศีลวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะขอให้ทุกคนคุกเข่าลงและสวดภาวนาเพื่อคนป่วย ทุกคนจึงเริ่มสวดสายประคำ ท่านเองก็สวดภาวนาด้วยเช่นกัน จนกระทั่งเที่ยงของวันถัดมาเขาจึงฟื้น
ฝั่งเจ้าปีศาจร้ายเมื่อรู้ว่ามันได้เสียดวงวิญญาณไปในเวลาเที่ยงแล้ว ในตอนบ่ายของวันนั้นมันจึงพากันมาลงมือทำร้ายอย่างโกธรเกี้ยว แม่พระได้แจ้งแก่คุณพ่อวิทยาทิลว่า “คุณพ่อ พวกปีศาจมันบ้าคลั่งไปด้วยความโกธร และได้ทำร้ายเทรเซียจนบาดเจ็บ มีเลือดมากมายไหลซึมจากร่างกายของเธอ และเธอเองก็หวาดกลัวมากทีเดียว แผลหนึ่งยาวถึงเก้านิ้วและแม่ก็ได้รักษาให้หายแล้ว”
นอกเหนือจากนั้น มีอีกครั้งหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงประทานพระพรแห่งความหยั่งรู้สถานะวิญญาณให้กลับท่าน เมื่อมีสตรีนางหนึ่งเข้ามาในห้อง ซึ่งท่านกำลังรับทุกข์ทรมานอยู่ ท่านก็ได้กลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว และเมื่อมองไปที่ใบหน้าของสตรีนั้น ท่านก็พบว่าเธอมีใบหน้าที่ดูสลดหดหู่ ท่านจึงถามออกไปว่าทำไมเธอถึงดูเศร้าใจนัก สตรีนั้นก็เล่าว่า เธอได้ปกปิดบาปประการในระหว่างการแก้บาป ท่านจึงให้คำแนะนำฝ่ายจิตแก่เธอ แต่เธอก็ไม่กล้าไปแก้บาปนั้น ทั้งยังฝืนจะไปรับศีลมหาสนิท ท่านจึงค้านเธอไม่ให้ไปรับศีล จนท้ายที่สุดสตรีนั้นจึงตำหนิท่านอย่างรุนแรงด้วยความโกธร
ฝั่งท่านที่เห็นว่ารั้งไปก็เปล่าประโยชน์ จึงเลือกที่จะน้อมรับความทุกข์นี้อย่างเงียบ ๆ และสวดพร้อมพลีกรรมให้เธอ จนที่สุดแล้วสตรีนั้นจึงกลับใจและได้ไปแก้บาปอย่างดีในที่สุด และก็ด้วยพระพรเหล่านี้เอง ท่านจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการเตรียมผู้จะไปรับศีลอภัยบาปและรับศีลมหาสนิท และการแนะนำเรื่องสัตบุรุษการรับศลีฝ่ายจิตเป็นครั้งคราวไป
พันธกิจเพื่อวิญญาณที่ใกล้จะตาย
เช่นคราวหนึ่งพระนางทรงขอให้ท่านเดินทางไปหาชายชื่อ ยาก๊อบ ผู้อาศัยอยู่ที่ตำบลคูซิคคัททุสเสรี ซึ่งกำลังป่วย ณ ที่นั่นท่านได้เห็นปีศาจร้ายยืนอยู่ใกล้ศีรษะของเขา และกำลังชักนำวิญญาณของเขาให้สิ้นหวังต่อการไปสวรรค์ ท่านจึงเร่งสวดให้เขา และได้ขอให้เขาดื่มน้ำมะพร้าวที่ท่านซื้อมา หลังจากนั้นท่านจึงเดินทางกลับบ้าน และสวดภาวนาให้เขาต่อ กระทั่งไม่กี่วันถัดมา ยาก๊อบก็สิ้นใจ แม่พระได้เผยให้ท่านรู้ว่าก่อนเขาจะสิ้นใจ เขาได้กลับใจแล้ว
เย็นวันเดียวกันขณะท่านตกอยู่ในภวังค์ แม่พระก็ทรงตรัสกับคุณพ่อวิทยาทิลว่า “ลูกไม่ได้ดุและตำหนิเธอให้มากพอ นั่นแหลเหตุผลที่เธอไม่ได้ไปในที่ที่เธอได้รับคำขอให้ไป หลังจากเห็นคนป่วยนอนอย่างหมดหวัง เธอก็กลับบ้านพร้อมคิดว่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ แต่เธอก็ไม่ได้กลับไปเพราะความกลัว” คุณพ่อจึงถามต่อว่าวิญญาณดวงนั้นได้รับความรอดไหม แม่พระก็ตรัสต่อว่า “ลูกจะรู้ผ่านเธอเอง” ก่อนทรงอวยพรคุณพ่อพร้อมตรัสว่า “แม่ไปละ” ฝั่งท่านเวลาเดียวกันจึงฟื้นคืนสติ ส่วนคุณพ่อวิทยาทิลก็มิได้พูดอะไรกับท่าน ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้ และได้เดินทางกลับวัดในทันที
พันธกิจเพื่อวิญญาณที่ในไฟชำระ
คุณพ่อวิทยาทิลบันทึกถึงจุดเริ่มต้น ‘ความศรัทธาพิเศษต่อวิญญาณในไฟชำระ’ ของท่านว่า วันหนึ่งภายหลังทูตสวรรค์นำสนิทมาส่งให้ท่าน และเมื่อท่านรับแล้วน้อมตัวลงด้วยความสำนึกพระคุณ แม่พระก็ทรงประจักษ์มา และทรงพาท่านไปยังแดนผู้ตาย ณ ที่แห่งนั้น ท่านได้แลเห็นดวงวิญญาณมากมายกำลังเกลือกกลิ้งอยู่ในหลุมไฟ ซึ่งท่านก็สัมผัสได้ถึงความร้อนจากไฟเหล่านั้น แม่พระตรัสกับท่านว่า “เทียบกับความทุกข์ทรมานของวิญญาณเหล่านี้แล้ว ความทุกข์ยากของลูกนั้นช่างเล็กน้อยนัก เช่นนั้นลูกไม่คิดจะช่วยพวกเขาเลยหรือ”
วิญญาณไฟชำระก็เหมือน ๆ เรามนุษย์โลก คือต้องการคำภาวนา และเมื่อได้คำภาวนาแล้วก็มักมาขอบคุณหรือตอบแทนผู้ช่วยเสมอ เช่นคราวหนึ่งวิญญาณดวงหนึ่งก็ได้ปรากฏมาหาท่านพร้อมกับแม่พระและทูตสวรรค์ วิญญาณนั้นกล่าวกับท่านว่า “ขอบคุณนะสำหรับพระคุณการุณย์ที่เธอมอบให้ฉัน ฉันได้ออกจากไฟชำระและกำลังไปสวรรค์แล้วนะ ฉันน่ะถูกตัดสินให้อยู่ในไฟชำระตั้งแต่เจ็ดสิบปีที่แล้ว” พูดเสร็จวิญญาณดวงนั้นก็ลอยขึ้นไปยังสวรรค์
แต่บางครั้งวิญญาณก็จะยังขอให้ทำสิ่งหนึ่งให้ เช่นการไกล่เกลี่ยและการไปแจ้งให้ครอบครัวของตนภาวนาให้ เป็นต้น ดั่งเช่นคราวหนึ่ง วิญญาณดวงหนึ่งซึ่งมีสภาพปวดร้ายได้ปรากฏมาท่าน วิญญาณดวงนั้นขอให้เธอไปบอกบิดาและน้องชายของเขาให้ขอมิสซาให้เขา พร้อมตรวจสอบบัญชีการเงินของเขา เพื่อจะได้ไปชำระหนี้สินต่างๆ เพื่อว่าระยะเวลาในไฟชำระของเขาจะลดลง ท่านจึงถามเขาว่าเป็นใคร วิญญาณนั้นจึงบอกกชื่อพร้อมที่อยู่ แล้วค่อยอันตรธานหายไป
ฝั่งท่านเมื่อทราบความต้องการนี้ ก็นำเรื่องไปแจ้งให้คุณพ่อวิญญาณของท่านฟัง แต่ด้วยภาระงานในฐานะสงฆ์ก็ทำให้คุณพ่อวิญญาณท่านลืม ไม่กี่วันถัดมาดวงวิญญาณนั้นจึงกลับมาหาอีกครั้ง และร้องขอแบบเดิมอีกครั้ง นอกจากนี้เขายังขอให้ท่านบริจาคเงินเป็นจำนวนสามรูปีเพิ่มอีกด้วย ฝั่งท่านเมื่อได้รับการรบเร้าอีกครั้ง ท่านจึงนำเรื่องนี้ไปเตือนความจำคุณพ่อ จนที่สุดคำขอนี้ก็ถูกส่งไปจนถึงบิดาและน้องชายของวิญญาณดวงนั้น ซึ่งพอทราบ ทั้งสองก็ได้จัดแจงทำตามคำขอนั้นทุกอย่างจนเป็นที่เรียบร้อย และแล้ววันหนึ่งท่านจึงได้เห็นวิญญาณดวงนั้นถือสายประคำทศสุดท้ายในมือของแม่พระ ลอยขึ้นไปยังสวรรค์พร้อมกับทูตสวรรค์
ข้อมูลอ้างอิง