วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"เอาเบรทินา" เด็กหญิงผู้ศักดิ์สิทธิ์เกินวัย



บุญราศีเอาเบรทินา เบรเคนบร๊อก
Bl. Albertina Berkenbrock
ฉลองในวันที่ : 15 มิถุนายน

เอาเบรทินาของเราคือ คำพูดที่ชาวสังฆมณฑลตูบารอง (Tubarão) เรียกเด็กสาววัย 12 ปี ที่ถูกฆ่าตายเพียงเพราะต้องการรักษาพรหมจรรย์ เช่นเดียวกับนักบุญมารีอา กอเร็ตตี ที่ ประเทศอิตาลี เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

เอาเบรทินา  เป็นบุตราสาวของตระกูลเบรเคนบร๊อก ตระกูลอันมีฝั่งบิดาเป็นชาวเยอรมัน ที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศบราซิล ท่านเกิดเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค..1919  ในหมู่บ้านเล็กๆนามเซา หลุยส์ รัฐซันตากาตารีนา ภาคใต้ของประเทศบราซิล และได้รับศีลล้างบาปในวันที่ 25 พฤษภาคม ปีเดียวกัน บิดามารดาของท่านคือนายแฮร์มันน์ กับ นางโจเซฟินา เกษตรกร ท่านเป็นลูกหัวปลีจากทั้งหมดลูกเก้าคนของครอบครัว


ในวัยเด็กท่านเรียนรู้ที่จะภาวนาด้วยการอุทิศตนอย่างลึกซึ่ง เข้มแข็งในการปฏิบัติตามความเชื่อคาทอลิก ด้วยวัย 6 ปี ท่านได้รับศีลกำลัง ซึ่งนำไปสู่การแก้บาปครั้งแรกอันเป็นประตูสู่การแก้บาปบ่อยครั้ง  และ ศีลมหาสนิทครั้งแรก ในวันที่ 16 สิงหาคม ค..1928  ขณะท่านอายุได้ 9 ปีมันเป็นวันที่สวยงามที่สุดในชีวิตของฉันเลยละ

ท่านได้รับการปลูกฝังการอุทิศตนต่อแม่พระผู้ที่ท่านยกว่าเป็นผู้แนะวิญญาณและความรอดนิรันดร์ของท่านกับนักบุญหลุยส์ กอนซากา องค์อุปถัมภ์ของวัดซึ่งท่านยกเป็นรูปแบบของความบริสุทธิ์ ผ่านจากทางบ้านและวัด ท่านสวดสายประคำพร้อมครอบครัวทุกๆวัน  และหากคราใดที่คุณพ่อมาทำมิสซาที่หมู่บ้านแล้วละก็ ท่านก็จะไม่พลาดโอกาสในการร่วมมิสซาของคุณพ่อเสมอ


การศึกษาของท่านเริ่มจากครอบครัวที่ หลังจากนั้นพออายุถึงเกณฑ์ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษาในระดับชั้นอนุบาล  ที่นั่นท่านเป็นที่ที่ยกย่องจากครูในโรงเรียนอนุบาลจากเรื่องฝ่ายวิญญาณและคุณธรรมที่เกินกว่าอายุของท่าน ซึ่งท่านนำมันมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ท่านไม่เคยขัดสนที่จะถ่อมตัว เป็นเด็กดี แม้บางครั้งท่านจะถูกเพื่อนๆแกล้ง ท่านก็จะเพียบเงียบ ไม่ตอบโต้ใดๆ ไม่แม้แต่จะโกธรพวกเขาเลย นอกเหนือจากนั้นท่านยังเป็นคนตรงไปตรงมา เรียบง่าย โดยไม่ต้องเสแสร้งท่านรู้จักที่จะเลือกความสวยงามตามประสาผู้หญิงรวมทั้งการแต่งกายด้วยความเรียบง่ายและพอประมาณตลอด

ท่านเข้าใจพระบัญญัติของพระเจ้าผ่านการเรียนคำสอน โดยเฉพาะบัญญัติข้อที่ 6 ที่กล่าวว่า อย่าผิดประเวณี  แม้ท่านจะเยาว์วัยนักแต่ท่านก็ปฏิบัติกิจเมตตาที่ใหญ่เกินตัวของท่านมากๆ  ด้วยวิธีง่ายๆ ตามประสาเด็ก ท่านเล่นและแบ่งปันขนมปังจากบ้านให้เด็กที่ยากไร้กินในโรงเรียน  เช่นเดียวกันกับที่โรงเรียนที่บ้าน ท่านก็คอยดูแลลูกจ้างผิวดำคนหนึ่งกับลูกๆของเขาทั้งทางด้านอาหารหรือบันเทิงที่ทำให้พวกเขามีความสุข  ท่านอุ้มลูกๆของเขาบ้าง หอมแก้มบ้าง เป็นต้น


กระนั้นหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อแม่ของท่านก็ไม่บกพร่องทั้งการทำงานบ้านและสวน  ซึ่งท่านทำมันด้วยอ้อนน้อมถ่อมตน เชื่อฟัง กตัญญู ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รับผิดชอบ อดทนและเสียสละอันเป็นคุณลักษณะของท่าน แม้บ้างครั้งจะถูกน้องชายแกล้ง ท่านก็จะเงียบและเข้าร่วมในพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าผู้ที่ท่านรักอย่างสุดใจ และเช่นเด็กทั่วไปท่านก็มีกิจกรรมที่ท่านชอบ นั่นก็คือการทำไม้กางเขนอันเล็กๆจากไม้ ไปปักไว้ตามหลุมน้อยๆที่ประดับด้วยดอกไม้ที่ท่านทำ

ทุกอย่างยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ  ดอกไม้น้อยๆของพระเจ้าก็เช่นกัน จนกระทั้งในวันที่  15 มิถุนายน ค..1931 ตามคำสั่งของบิดามารดา ท่านซึ่งตอนนี้เติบโตเป็นเด็กสาววัย 12 ปี ที่มีผมสีบลอนด์น้ำตาล ดวงตาสีเขียวเข้ม ตัวสูงแข็งแรงเช่นเด็กสาวบ้านไร่  ก็จำต้องออกเดินตามหาวัวที่หายไปของครอบครัวไปตามที่ต่างๆ พรางร้องตะโกนเรียกชื่อมัน ปินตาโด ปินตาโด ปินตาโด ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งท่านเดินไปพบ มาเนโก ปาลิวซา (Maneco Palhoça) ลูกจ้างผิวดำที่ท่านคอยช่วยดูแลลูกๆของเขา


ครั้งแรกท่านเข้าใจว่าคือวัวที่หายไป ท่านจึงรีบวิ่งมาและพบว่ามันไม่ใช่วัวของท่าน แต่กระนั้นที่ใกล้กันๆท่านก็พบมาเนโก กำลังขนถั่วขึ้นเกวียนอยู่ท่านจึงได้รับเข้าไปถามหาวัวที่หายไปของท่าน ด้วยความใคร่เป็นทุนเดิม เขาจึงชี้หลอกท่านไปในสถานที่ที่เขาจะบรรลุเป้าหมายของเขาเอง ด้วยใจที่คิดว่า หากเอาเบรทินาไม่ยอม เราจะมีดนี้ละ

ด้วยความไว้วางใจเขา ท่านจึงไปตามที่เขาบอกในป่า กรอบ แกรบ เสียงใบไม้แห้งถูกเหยียบดังขึ้นฉุดให้ท่านที่กำเดินอยู่ต้องหันมาด้วยใจที่คิดว่านั่นต้องเป็นวัวแน่ๆเลย แต่ผิดถนัดเพราะภาพที่ปรากฏต่อสายตาของท่านนั้นมันทำให้ท่านถึงกลับตัวแข็งเป็นหิน มันไม่ใช่อะไรเลย คือ มาเนโก ที่แอบตามท่านมาเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขาต่างหากละ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาจึงได้แจ้งความต้องการของเขากับท่านเสีย

ใช่แล้ว เขาต้องการพรากพรหมจรรย์ของท่าน สิ่งที่ท่านหวงแหน ด้วยดวงใจที่แน่วแน่ของท่านท่านตอบปฏิเสธคำขอของเขา เพราะ ท่านตระหนักดีว่ามันเป็นบาป เมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาก็ตัดสินใจใช้กำลังบังคับท่านแทน แต่ท่านงั้นหรือจะยอม ท่านทั้งเตะทั้งต่อยเขาสุดแรงด้วยกำลังสาวบ้านไร่ การต่อสู้ของท่านดำเนินไปเป็นระยะเวลานานด้วยความหวาดเสียว แต่แล้วท่านก็พลาดล้มและตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา กระนั้นท่านก็ยังคงขัดขืนเขา เถียงเขา จนที่สุดเขาก็แพ้ทางศีลธรรมของท่าน แต่ด้วยความเครียดแค้นเขาก็ตัดสินใจคว้าผมท่านขึ้นมาและจับท่านปาดคอเสีย ณ ตอนนั้นเลย

หลังจากที่ลงมือฆ่าท่านเรียบร้อยแล้ว มาเนโก ก็ได้ซ่อนมีดของเขาที่ใต้เกวียน ก่อนทำทีไปบอกกครอบครัวของท่านว่าพบศพท่านนอนจมกองเลือด ทุกคนจึงรีบผละจากงานไปยังที่เกิดเหตุและพบร่างของท่านนอนแน่นิ่ง ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยสันติสุขแห่งสวรรค์ มาเนโก ใครฆ่าเอาเบรทินา คำถามถูกยิงไปที่มาเนโก มันเป็นคนผิวดำ มีเครา สวมหมวกฟาง เขาตอบอย่างแนบเนียน


ข่าวท่านถูกฆ่าตายทำให้ชุมชนเงียบสงบอย่างเซา หลุยส์ กลายเป็นอึกทึกไปด้วยเสียงม้าวิ่งของเหล่าชายอาวุธครบมือนำโดยบิดาของท่าน ที่พากันออกตามหาเจ้าฆาตกรร้ายไปทั่วทิศ จนกระทั้งกองตามล่าไปพบกับยวง คาดินโฮ (João Cândido) ที่กำลังกำจัดวัชพืชอยู่ พวกเขาก็เข้าใจว่านั้นแหละคือไอ้เจ้าฆาตกรร้ายและยิ่งแน่ใจยิ่งขึ้นเมื่อมาเนโกย้ำว่า มันนี่ละเป็นคนฆ่าเอาเบรทินา

ทำให้ยวง ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยถูกประณามว่ามันนี้แหละคือไอ้ฆาตกรใจทราม แม้นว่าเขาจะพูดความจริงแค่ไหนก็ไม่มีใครเชื่อเขาเลยซักคน เขาถูกลากมาเรื่อยจนถึงศพของท่าน ผมไม่เคยเห็นเธอคนนี้เลย เขากล่าวแต่เหมือนจะไร้ผล เขายังคงถูกนำไปขังไว้ในโรงนาที่มีเวรยามอีกตลอดคืนจนกว่าตำรวจจะเดินทางมาถึง


ตอนนี้ทุกอย่างกับมาเป็นเดิม ความโกธรเริ่มบรรเทาลง คงเหลือแต่หยาดน้ำตาของความเศร้าที่ไหลเออดวงตาของผู้เป็นมารดาอย่างโจเซฟินา น้ำตาที่กลั่นจากใจ ไม่ต้องเศร้านะแม่ ลูกไปดีแล้ว เราก็จับคนร้ายได้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตำรวจก็จะมารับมันไปรับกรรมของมันเอง แม่อย่างร้องเลยนะ แฮร์มันน์กล่าวพลางโอบภรรยาของเขาไว้ใกล้ๆ

สวรรค์ย่อมมีตา ทำสิ่งใดไว้ย่อมปิดบังมิมิด เช่นกันแม้จะจับคนร้ายได้แล้วก็ตาม แต่ไม่นานนักความสงสัยในใจของใครหลายคนก็เริ่มผลุดขึ้น ไม่ หรือมาเนโกจะเป็นฆาตกร? ทำไมกันละ?” เพราะเขาเข้าๆออกๆห้องที่ไว้ร่างของท่านเกือบทุกๆชั่วโมง และทุกๆครั้งไปแผลที่ลำคอของท่านก็จะปรากฏมีเลือดไหลซึมออกมาเสมอ ความสงสัยยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยตลอดทั้งคืน มาเนโกก็เริ่มวางแผนหลบหนีของเขาเช่นกัน


สองวันหลังจากนั้นนายอำเภออิมารี (Imaruí) ก็เดินทางมาถึงเพื่อยับยั้งเหตุการณ์ เขาได้นำตัวของยวงผู้ถูกกล่าหากับไม้กางเขนไปที่บ้านของท่าน ที่มีร่างซึ่งยังมีเลือดที่ลำคอยังคงไหลซึมอยู่ของท่าน ก่อนนำไม้กางเขนวางลงที่หน้าอกของท่าน พร้อมสั่งให้ยวงคุกเข่าและวางมือสาบานบนไม้กางเขนว่าเขาบริสุทธิ์จริง ฉับพลันเลือดที่ไหลซึมอยู่ของท่านก็หยุดลงอย่างน่าอัศจรรย์ ทันทีเมื่อเป็นเช่นนั้นมาเนโกที่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ก็รีบวิ่งออกไป

มันทำให้ความกระจ่างแก้ข้อสงสัยทุกอย่าง จับเขา!” สิ้นเสียงชายทุกคนที่อยู่ที่นั่นพากันรีบวิ่งออกไปตามล่าหาไอ้ฆาตกรตัวจริง ที่สุดพวกเขาก็พบเขา ทำให้ที่สุดคดีของท่านจึงคลี่คลายลง มาเนโกถูกจับและรับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าท่านเอง หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งลากูนา ที่นั่นเขาถูกตัดสินและถูกจำคุกและสิ้นใจในเรือนจำแห่งนั้นเอง


ร่างน้อยๆของท่านเมื่อหมดหน้าที่แล้วก็ถูกฝังตามพิธีในวันเดียวกันคือวันที่ 17 มิถุนายน ท่ามกลางเม็ดฝนที่ตกจากนภา ณ ใจกลางสุสานของหมู่บ้าน จากนั้นจึงมีการเปิดกระบวนการของแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ค..1952 แต่ก็ต้องล่าช้าไป กระนั้นในรัชสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ข้ารับใช้พระเจ้าเอาเบรทีน่า ก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบุญราศีในฐานะพรหมจารีย์ มรณสักขี เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค..2007 และล่าสุดในงานเยวชนโลกประจำปี ค..2013 ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในองค์อุปถัมภ์ของงานนี้พร้อมผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกหลายท่าน

ท่านเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเยาวชนคริสตชนที่ดี แม้ท่านจะมีวัยที่น้อยนักแต่วิญญาณของท่านกับถูกประดับไปด้วยคุณธรรมต่างๆ  ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคุณธรรมในด้านการให้อภัย ท่านไม่เคยถือโทษเพื่อนที่ล้อเลียนหรือน้องชายที่แกล้งท่านเลย ดังพระวาจาที่ว่า และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่านในพระคริสต์นั้น (เอเฟซัส 4:32)  การให้อภัยคือสิ่งที่ดีที่สุด แม้บางครั้งมันก็ยากที่จะทำ แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินกำลังหรอกถ้าเราพยายามไปพร้อมกับพระเจ้า ทำทุกสิ่งด้วยความวางใจ วางใจและวางใจ 



ข้าแต่ท่านบุญราศี เอาเบรทีน่า เบรเคนบร๊อก ช่วงวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้าอิง


วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"อันโตเนีย เมซีน่า" บุปผาชาติแห่งโอรโกโซโล




บุญราศีอันโตเนีย เมซีน่า
Bl. Antonia Mesina
ฉลองในวันที่ : 17 พฤษภาคม
องค์อุปถัมภ์ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการข่มขืน

เสียงขับขานทำนอนเพลงพื้นบ้านจากกลุ่มนักขับเมซินา ดังก้องไปทั่วเมืองโอรโกโซโล(Orgosolo) เพื่อประกาศถึงเรื่องราววีรกรรมของเด็กสาวตัวน้อยๆจากเกาะซาดิเนียนาม อันโตเนีย เมซินาให้ผู้คนทั้งเมืองได้รับรู้ อันโตเนีย เมซินา เป็นบุตรคนที่สองจากสิบคนของครอบครัวที่นายตำรวจนาม อาโกสติโน เมซินา  กับ กราเซีย ลูบานู ท่านเกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.1919 ณ เมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงนาม โอรโกโซโลในจังหวัดนูโอโร แคว้นปกครองตนเองซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี และได้รับศีลล้างบาปในเขตวัดนักบุญเปโตร

ในวัยเด็กท่านเติบโตขึ้นมาท่ามกลางครอบครัวที่ศรัทธา และได้รับศีลมหาสนิทเมื่ออายุได้ 7 ปี ท่านได้รับการศึกษาในโรงเรียนท้องถิ่นเพียงสี่ปี ท่านก็จำต้องออกมาช่วยงานบ้านของมารดาที่เริ่มป่วยจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ แต่แม้นจะเป็นเพียงเวลาไม่นานในโรงเรียน ความทรงจำในฐานะนักเรียนของท่านก็ไม่ได้เบือนหายไปไหน หนึ่งในครูที่สอนท่านได้กล่าวว่าท่านเป็นเด็กธรรมดาๆ มีบทบาท ใจกว้างเอื้อเฟื้อ มีชีวิตชีวา แต่อยู่ในโอวาท เคารพทุกคนไม่ว่าจะบิดามารดา การศึกษาหรือเพื่อนๆ 


นางกราเซียมารดาของท่านมักเรียกท่านว่า ดอกไม้ในชีวิตของฉัน  และยังกล่าวถึงท่านอีกว่า ไม่เคยแย้งฉัน ท่านเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทและทำงานหนักด้วยความเต็มใจและขยันขันแข็งอยู่เสมอ ทั้งยังมีความรับผิดชอบเหมือนผู้ใหญ่ในการดูแลงานบ้านต่างๆอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปรุงอาหาร อบขนมปัง ทำความสะอาด ซักผ้า ดูแลน้องที่ทยอยตามออกมา หาบน้ำเข้าบ้าน และการหาฟืนในการอบขนมปัง ท่านก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

เมื่ออายุได้ 10 ปี ท่านก็ได้เข้าร่วมกับกลุ่มเยาวชนที่ชื่อว่า กลุ่มกิจการคาทอลิกและเป็นสมาชิกจนถึงปี ค..1931 (ท่านคิดว่ามันคือประสบการณ์ที่สวยงามซึ่งในฐานะสมาชิก ท่านก็เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนๆ  ท่านปฏิบัติหน้าที่ในฐานสมาชิกของกลุ่มอย่างกระฉับกระเฉง แถมยังคอยชักชวนบรรดาเยาวชนในหมู่บ้านให้มาเข้าร่วมกลุ่มอีกด้วย 


ศีลมหาสนิทและการอุทิศตนแด่พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าและดวงหฤทัยนิรมลของแม่พระ คอยผลักดันความแข็งแกร่งของวิญญาณท่านในทุกๆวัน นอกนี้ท่านยังพัฒนาชีวิตแห่งความเชื่อและความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมในด้านการถือครองพรหมจรรย์มาโดยตลอก ท่านรักการสวดสายประคำ ยูลิโอน้องชายของให้การในระหว่างกระบวนการว่า หลายๆครั้งที่ผมพบเธอคุกเข่าอยู่ในห้องของเธอกับสายประคำในมือ

จากพยานที่มีโอกาสได้อยู่ร่วมสมัยกับท่าน ยังทำให้เราทราบอีกว่าท่านเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างแปลก ท่านไม่ชอบความบันเทิง การแต่งการด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่ ท่านจึงใส่ชุดพื้นเมืองของท่านได้ไม่กี่ครั้ง ท่านก็ยกให้คนอื่นที่ต้องการไป แต่กระนั้นก็เราก็ยังมีภาพท่านใส่ชุดประจำหมู่บ้านอยู่ของมารดา ซึ่งถ่ายโดยศาสตราจารย์ผู้หนึ่งเพื่อให้บิดาของท่านเก็บไว้ ก่อนท่านจากไปเพียงสามเดือนหลงเหลือมาอยู่จนถึงปัจจุบัน


หากจะกล่าวถึงชีวิตของท่าน แล้วไม่กล่าวถึงเรื่องของนักบุญมารีอา กอแร็ตตีก็จะเป็นการผิดพิธีไป ในชีวิตสั้นๆของท่าน ท่านรู้จักมารีอา กอแร็ตตีเป็อย่างดี และมีหนังสือประวัติของเธอเก็บไว้ ในคราหนึ่งท่านมีโอกาสร่วมสมนาหัวข้อ สงครามครูเสดเพื่อพรหมจรรย์ที่ริเริ่มโดยกลุ่มเยาวชนสตรีแห่งกิจการคาทอลิกที่ท่านอยู่ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากวีรกรรมอันกล้าหาญของมารีอา และในเวลาอื่นๆ ท่านยังถูกคนมักทักบ่อยๆว่าท่านเองก็จะชีวิตเช่นเดียวกับมารีอา และท่านเองก็มีความปรารถนาจะเป็นเช่นนั้น  ท่านเคยบอกกับเพื่อนของท่านว่าท่านปรารถนาจะทำในสิ่งเดียวกันกับเธอ และกล่าวกับมารดาของท่านอีกหลายครั้งว่า ตายดีกว่าทำบาป หนูชอบที่จะตายและถูกแยกเป็นชิ้นๆ เสียดีกว่าขัดเคืองพระทัยของพระเจ้าค่ะ

ท่านฟูมฟักความปรารถนาที่จะเจริญชีวิตเหมือนมารีอา กอเร็ตตีให้งอกงามาตลอด จนกระทั้งในวันที่ 17 พฤษภาคม ค..1935 ขณะท่านอายุ 16 ปี หลังจากจบพิธีมิสซาในตอนเช้าแล้วและกลับมาบ้านแล้ว ท่านก็ออกไปซื้อนมสำหรับอาหารเช้าของน้องฝาแฝดและมารดา ก่อนแวะที่บ้านเพื่อนเพื่อซื้อเบคอนไม่กี่ออนซ์ กาแฟ น้ำตาลและแป้งสำหรับทำขนมปังกับพาสต้า แต่เพราะไม่มีฟืนทำอาหาร ในช่วงบ่ายๆท่านกับอันเนตตา คัสตันเจียเพื่อนสาวของท่าน ก็ได้พากันไปเก็บฟืนสำหรับใช้ในบ้านกันที่บริเวณโอวัดดูไต  แต่ขณะท่านรวบรวมฟืนอยู่ดีๆในป่าของพระสงฆ์ ท่านก็ถูกชายวัย 21 ปี นามยูวานนี อิกนาซิโอ คาตยู  ซึ่งหมายตาท่านตั้งแต่ขณะท่านกับเพื่อนเดินไปเก็บฟืนแล้ว จนได้โอกาสที่ท่านแยกลับเพื่อน เข้ามาและกล่าวกับท่านว่าท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนี้ ท่านจึงโต้เขาไปว่ามันเป็นเรื่องปกติในชนบทที่จะเก็บกิ่งไม้แห้งที่อยู่ตามพื้น


สิ้นคำตอบนั้นเอง เจตนาที่ชัดเจนของเขาก็เผยออก เขาต้องการจะขืนใจท่าน ด้วยความกลัวท่านจึงร้องด้วยความกลัวจนทำให้อันเน็ตตาเพื่อนของท่านรีบตามมาดู ฝั่งยูวานนีเมื่อเองขณะที่ท่านส่งเสียงเรียกเพื่อน ก็ตรงหรี่เข้าไปพยายามจะค่อมท่านลงกับพื้น แต่ท่านก็พยายามขัดขืนเขาอย่างสุดชีวิต พร้อมๆกับส่งเสียเรียกเพื่อนและบิดาอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไร้ผล เพราะแม้เสียงนี้จะเรียกอันเน็ตตามา แต่เด็กหญิงก็ไม่อาจช่วยเพื่อนได้ คงทำได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว พร้อมๆกับตะโกนว่า ลุงอาโกสติโน ลุงอาโกสติโน  ด้วยคิดว่าการตะโกนเช่นนี้จะทำให้เจ้าผูู้ร้ายละจากเพื่อนของตนไป พลางรีบวิ่งออกมาพร้อมกรีดร้องทั้งน้ำตา โดยเชื่อว่าท่านจะสามารถหลบหนีออกมาได้ เธอวิ่งมาเรื่อยๆกระทั้งมาหยุดที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง เธอจึงปีนขึ้นไปเพื่อดูว่าเป็นยังไงต่อ แต่ ดิฉันไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินก็เพียงแต่เสียงร้องที่สิ้นหวังเป็นสัตว์ที่ฆ่า

ตัดกลับไปที่ป่าที่เกิดเหตุ ไม่กี่นาทีเมื่อกี้ ฆาตกรหนุ่มก็ได้ตัดสินใจลงมือทุบท่านซ้ำแล้วซ้ำด้วยหิน ด้วยความโกธรสุดขีดหลังจากท่านพยายามขันขืนเขาถึงสามครั้งใหญ่และพยายามหนี(แต่ก็ดันมาล้มลงไปเสียก่อน) แต่ก็ไม่อาจฆ่าชีวิตท่านได้ในทันที เขาจึงตัดสินใจอำพรางหลักฐานด้วยการลากร่างชุ่มไปด้วยเลือดของท่านที่นอนหายใจรวยรินไปยังบ่อย่ำองุ่นและซ่อนท่านไว้หลังพุ่มไม้ที่ลับตาคน แล้วจึงลงมือทุบท่านด้วยหินอีกครั้งเพื่อปิดปากท่านเสีย กระทั้งเก็นว่าท่านขาดใจแน่นอน เขาก็จึงทิ้งร่างไร้วิญญาณของท่านไป เพื่อเอาเสื้อผ้าเปรอะเลือดของท่านไปล้างที่ลำธารบริเวณใกล้เคียงเพื่ออำพรางคดี 


กลับมาที่ฝั่งอันเน็ตตาเมื่อสิ้นเสียงกรีดร้องของท่านแล้ว ก็รีบมารายงานเรื่องแก่ชาวบ้าน ทำให้ทั้งตำรวจ ทหาร ญาติ และไทมุงที่ทราบเรื่องก็ต่างพากันแห่ไปยังที่เกิดเหตุพร้อมอันเนตตา เพื่อค้นหาศพของท่าน กระทั้งพบศพท่านนอนหงายในสภาพหัวและใบหน้าแหลกจนน่ากลัวจากบาดแผลถึง 74 แผล ใกล้กันปรากฏกองเลือดพร้อมหินเปื้อนเลือดขนาดใหญ่ และระยะสามเมตรจากกองเลือดพวกเขาพบต่างหูของท่านกับหิน และในระยะสามสิบฟุตจากนั้นก็พบหินก้อนเล็กที่เปื้อนเลือด พร้อมผ้าคลุมของท่าน

เอวังเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ร่างของข้ารับใช้พระเจ้าผู้ได้ใช้ชีวิตของตนเพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์ตามแบบฉบับของมารีอา กอแร็ตตีจึงได้รับการนำกลับไปประกอบพิธีปลงศพท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว และคำสดุดีวีรกรรมของชาวบ้าน ส่วนเจ้าฆาตรกรร้ายที่คิดจะหลบหนีความผิดก็ถูกจับกุมได้ในไม่กี่วันต่อมา และถูกสั่งประหารชีวิตในปี ค..1937 


ร่างของท่านถูกฝังยังสุสานของหมู่บ้าน สถานอันเป็นที่สร้างวีรกรรมของท่านกลายเป็นที่แสวงบุญของคนในหมู่บ้าน จากนั้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค..1939 ร่างของท่านก็ถูกขุดขึ้นมาและถูกฝังในโลงใหม่ ณ สุสานเดิม ภายใต้อนุสาวรีย์ที่เป็นเกียรติแด่ท่าน ก่อนในวันที่ 4 ตุลาคม ค..1983 ร่างของท่านจะถูกขุดขึ้นอีกครั้งเพื่อย้ายไปไว้ในวัดของโอรโกโซโล พร้อมๆกับการตั้งไม้กางเขนขึ้นที่จุดวีรกรรมของท่าน และหลังจากการยื่นเสนอวีรกรรมของท่าน คารวียะอันโตเนีย เมสซินา ก็ถูกบันทึกนามในสารบบบุญราศี โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อวันที่ 4 ตุลามคม ค..1987

ท่านเป็นถืออีกเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเยาวชนที่ดี ลูกที่ดีของบิดามารดาและพระด้วยการเชื่อฟัง ท่านรู้ว่าการทำบาปเป็นสิ่งที่ผิด ท่านจึงพยายามปกป้องตัวของท่านให้พ้นจากบาปทั้งหลายตามแบบฉบับของนักบุญมารีอา กอเร็ตตี ดังคำในจดหมายของนักบุญเปาโลที่ว่า โอ ผู้เป็นคนของพระเจ้า แต่ท่านจงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ (1 ทิโมธ 6:11)  พี่น้องที่รักการเป็นลูกที่ดีของพระตามแบบฉบับของท่านคือการไม่กระทำการใดเป็นที่ขัดเคืองพระทัยของพระบิดานิรันดร์ด้วยใจที่พร้อมแบกกางเขนตามมรรคาสู่สวรรค์


ข้าแต่ท่านบุญราศีอันโตเนีย เมสซีน่า ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แม่คือต้นแบบ "มรณสักขี แห่ง อัลเคเมซี"


บุญราศีมรณสักขี แห่ง อัลเคเมซี
Beatas Mártires de Algemesí
ฉลองในวันที่ : 25 ตุลามคม

อัลเคเมซี (Algemesí) คือ สถานย่านเมืองตำบลแห่งหนึ่งในแคว้นบาเลนเซีย ประเทศสเปน สถานอันอยู่ใต้การอารักข์ของแม่พระแห่งสุขภาพแห่งอัลเคเมซี อีกทั้งนั้นมันยังเป็นสถานที่ที่กำเนิดของนางเอกของเรื่องราวของเราที่จะเล่าต่อไปนี้ เรื่องราวที่มาจากเรื่องจริง เรื่องที่จะถูกขับต่อไปเช่นสายธารที่ไหลไป

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อัลเคเมซี หนูน้อยมารีอา เทเรซา เฟรราคูด รอยจ์ ถือกำเนิดและได้รับการล้างบาปกำเนิดผ่านศีลล้างบาปจากมือพระสงฆ์ในเขตวัดนักบุญยากอบอัครสาวกในวันที่ 14 มกราคม ค..1853  ดังผืนผ้าขาวนวลเธอได้รับการแต่งแต้มด้วยสีต่างๆ สีแห่งวิถีคริสตชนที่ดี จากปลายพู่กันของครอบครัวเธอเอง



มารีอา เป็นหญิงที่เคร่งศาสนา  เธอรับพระกายพระคริสต์เจ้าผ่านศีลมหาสนิททุกวัน อดอาหารเป็นประจำเสริมสร้างวิญญาณผ่านกิจบริการเพื่อนบ้าน  เธอมีความเข็มแข็งด้วยการฝึกวิญญาณและอ่านพระคัมภีร์ นอกจากนั้นเธอยังอุทิศตัวของเธอแก่ศีลมหาสนิท แม่พระผ่านการสวดสายประคำและพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า สวดภาวนาทุกวันพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้ในฐานะสมาชิกคณะวินเซนต์ เดอ ปอล ซึ่งภายเธอกลายมาเป็นประธานของกลุ่ม

เมื่อเธอเติบโตมาเป็นสาวแรกรุ่นเยาวมาลย์วัย 19 ปี เธอก็ได้เข้าประตูวิวาห์กับนายวิเซนต์ มาซิอา เฟรราคูด (Vicent Masià Ferragut) และร่วมกับวางรากฐานครอบครัวแห่งความเชื่อแก่ลูกๆของพวกเขา ในฐานะคุณแม่ของลูกๆเก้าคนที่รอดเพียงหกคนและภรรยาที่ดี ด้วยการวางรากฐานเช่นนี้ทำให้บรรดาลูกของเธอต่างได้ถวายตนรับใช้พระเจ้าทั้งสิ้น  ซึ่งจากสี่ในหกนั้นจะเป็นผู้สร้างตำนานพร้อมกับเธอเอง คือ



1. มารีอา วินเซนตา มาซิอา เฟรราคูด (Maria Vincenta Masià Ferragud) เกิดและได้รับการลบมลทินแต่บาปกำเนิดจากศีลล้างบาปโดยคุณพ่อยออากิม กาบาเนส เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค..1882 และรับพระคุณ 7 ประการของพระจิตเจ้า ผ่านมือพระคุณเจ้าเซบาสเตียน เฆรเรโร เอสปิโนซา พระอัครสังฆราชประจำบาเลนเซียในเขตวัดนักบุญยากอบในวันที่  19 พฤษภาคม ค..1889 หลังจากนั้นด้วยวัย 18 ปี ในวันที่ 13 ธันวาคม ค..1900 เธอก็ได้เข้าอารามคณะกลาริสของอัลเคเมซี และปฏิญาณตนในวันที่ 26 มกราคม ค..1902 พร้อมนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มารีอา เฆซุส

2. มารีอา ยออากิมนา มาซิอา เฟรรากูด (Maria Joaquina Masià Ferragud) เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค..1884 ได้รับศีลล้างบาปกำเนิดจากมือของคุณพ่อโยเซฟ ซานชิส เบเนฟิกิอาโด  (Josep Sanchis Beneficiado) และศีลกำลังในปี ค..1899 เช่นเดียวกันกับพี่สาวเธอได้สมัครเข้าอารามกลาริส และได้เข้าพิธีปฏิญาณตนพร้อมรับชุดคณะในวันที่ 18 มกราคม ค..1903 ในนาม ซิสเตอร์มารีอา เวโรนิกา 

3.มารีอา เฟลิซิดาด มาซิอา เฟรรากูด (Maria Felicitat Masià Ferragud) เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค..1890 และเช่นเดียวกันกับพี่สาวทั้งสาม เมื่ออายุพอเธอก็สมัครเข้าอารามกลาริสที่เดียวกับพี่ ในวันที่ที่ 17 เมษายน ค..1909 และเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีพ เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค..1913



4.โฆเซฟา ราโมนา มาซิอา เฟรรากูด (Josefa Ramona Masià Ferragud) เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค..1897  เช่นเดียวกันกับพี่สาวเธอสัมผัสได้ถึงกระแสเรียกของเธอ แต่มันไม่ใช่กระแสเรียกการเป็นธิดาของนักบุญคลารา แต่มันคือกระแสเรียกการเป็นธิดาของนักบุญออกัสตินต่างหาก ประการฉะนี้เธอจึงตัดสินใจสมัครเข้าอารามออกัสติเนี่ยนไม่สวมรองเท้าที่เบนิคานอิม  และได้เข้าพิธีปฏิญาณตนและรับเครื่องแบบของคณะพร้อมชื่อใหม่ว่า ซิสเตอร์โฆเซฟา แห่ง การชำระ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค..1905

จากความทรงจำของซิสเตอร์ที่เคยอยู่อารามกลาริสเดียวกับพวกเธอกล่าวว่า พวกเธอไม่เคยบ่น พวกเธออ่อนน้อมถ่อมตนมากๆและพร้อมเสมอที่จะเสียสละตัวเองเพื่อซิสเตอร์คนอื่นๆ พวกเธอภาวนา อุทิศตนต่อศีลมหาสนิท แม่พระ และพระมหาทรมานของพระเจ้า พระเจ้าทรงแสดงองค์อยู่ในตัวพวกเธอ ส่วนจากความทรงจำของซิสเตอร์ในอารามออกัสติเนี่ยนเดียวกัน ก็กล่างถึงซิสเตอร์โฆเซฟา ว่าเธอเป็นคนขยัน เงียบๆ มีวิญญาณของความยากไร้จนน่าทึ่ง ซิสเตอร์โฆเซฟาเคยบันทึกไว้ว่า เพื่อความรักของพระองค์ พระเยซูเจ้าที่รัก ลูกปรารถนาจะเป็นคนบ้า เป็นคนโง่และคนที่ถูกดูหมิ่น(…)ดำเนินชีวิตอยู่โดยไม่ใครรู้จัก ซ่อนเร้นอยู่ในการทำงานท่ามกลางความเงียบและการนบนอบ และปฏิบัติตัวตามน้ำพระทัยของพระองค์



แต่แล้วในปี ค..1930 สงครามกลางเมืองประเทศสเปนก็โผล่ขึ้นมาพร้อมการกดขี่ทางศาสนาที่รุนแรง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงมีการส่งซิสเตอร์ทั้งสามกลับมาก่อน เพราะซิสเตอร์โฆเซฟาปรารถนาจะอยู่ในอารามที่รักของเธอ  แต่เพราะไม่ใครสนับสนุนเธอจึงจำต้องกลับมาอยู่บ้านพร้อมมารดาและพี่สาวทั้งสามของเธอ สถานที่ที่มารดาของพวกเธอก้างแขนอ้ารับลูกสาวของเธอด้วยความรักและความปรารถนาจะปกป้องพวกเธอ ให้บ้านเป็นดั่งอาราม และชีวิตทั้งหมดเพื่อการภาวนา

จนกระทั้งวันที่ 19 ตุลามคม เวลาประมาณ 16.00. กลุ่มกบฏก็ได้นำหมายจับแม่ชีมายังบ้านของเธอ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ของ มารีอา เทเรซา แม้จะถูกสั่งให้หลับไป เธอก็ไม่หลบและยังคงยืนหยัดที่จะปกป้องลูกสาวน้อยๆของเธอ พลางประกาศด้วยเสียงแห่งความรักว่า นี่คือบุตรสาวของดิฉัน จะต้องเป็นดิฉัน



ด้วยเหตุนี้เธอและลูกสาวทั้งสี่คนจึงถูกจับและขังไว้อารามคณะซิสเตอร์เซียน ของอัลเคเมซี เป็นระยะเวลาแปดวัน ท่ามกลางความสงบทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาต้องตายเป็นแน่แล้ว ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นเพราะในวันสมโภชพระคริสต์กษัตริย์สากลจักรวาล ที่ 25 ตุลาคม ..1930 ทหารก็ได้ยื่นขอเสนอการเป็นอิสระแก่คุณแม่มารีอาที่สูงอายุมากแล้ว แต่ไม่คุณแม่ยังคงยืนยันที่จะไปกับลูกสาวทั้งสี่ของเธอเช่นเดิม ดังนั้นพวกเธอจึงถูกพาขึ้นรถบรรทุกที่มุ่งหน้าไปสู่กางเขนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่นอกเมืองบาเลนเซีย  สถานที่ใช้เป็นเครื่องหมายทางภูมิศาสตร์ในศตวรรษที่สิบสี่ ที่ผู้คนเรียกว่าครูซ คูเบียรตา (Cruz Cubierta)

เมื่อมาถึงพวกเขาก็หมายจะยิงคุณแม่มารีอา เทเรซาผู้ชรา เป็นคนแรก แต่ด้วยอาจะเป็นความรักและความห่วงใยลูกทั้งสี่ของเธอ เธอจึงกล่าวกับพวกเขาว่า ดิฉันอยากจะทราบว่าพวกคุณจะทำอะไรกับลูกสาวของดิฉันและถ้าคุณกำลังจะยิง ดิฉันปรารถนาให้ดิฉันเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะหันไปให้โอวาทครั้งสุดท้ายกับลูกๆของเธอว่า ลูกเอ๋ย จงซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสของลูกในสวรรค์ของลูกและอย่าประสงค์หรือยอมรับในคำเยินยอของพวกเขา อย่ากลัว ความตายเป็นเรื่องของช่วงเวลาและสวรรค์นั้นนิรันดร์ ก่อนที่ทุกคนจะถูกพรากลมหายใจไปทีละคนด้วยกระสุนสังหาร พร้อมคำประกาศกึกก้องธรณินท์และนภาที่ตอนนี้ฉาบไปด้วยสีดำแห่งราตรีด้วยใจที่ให้อภัยว่า ขอพระคริสต์ราชา ทรงพระเจริญเทอญ



แม่วัย 83 ปีคนหนึ่งตอนนี้กำลังมองลูกสาวตัวน้อยล้มไปกองกับพื้นทีละทีละคน และที่ที่สุดก็ถึงคิวเธอ แต่ก่อนที่เขาจะเหนี่ยวไกปืนอยู่ๆก็มีคนถามเธอว่า พี่สาว ไม่กลัวตายหรือไง ทันทีเธอตอบ ทั้งชีวิตของดิฉัน ดิฉันอยากจะทำอะไรเพื่อพระคริสต์บ้างและตอนนี้ดิฉันจะไม่หันกลับไปแล้ว โปรดฆ่าดิฉันด้วยเหตุผลเดียวกับพวกเธอเถิด สำหรับการเป็นคริสตชน ที่แห่งใดหนอลูกสาวของดิฉันกับดิฉัน  ปัง ปัง ปัง ขอพระคริสต์ราชา ทรงพระเจริญเทอญ

พระเจ้าทรงประทานการพักผ่อนนิรันดร์แก่มารดาและบุตรทั้งสี่ภายใต้นภาสีดำแล้ว ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาถูกฝังในอาซิรา ก่อนถูกย้ายกลับเขตวัดนักบุญยากอบในปี ค..1961 และถูกย้ายอีกครั้งไปยังเขตวัดนักบุญปีโอ ที่ 10  จากนั้นเรื่องราวของพวกเธอก็รับการเปิดกระบวนการขอแต่งตั้งเป็นบุญราศีและที่สุดสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ในวันที่ 11 มีนาคม ค..2001 ในกลุ่มของมรณสักขีแห่งบาเลนเซีย


รายนามมรณสักขีครอบครัวเฟรรากูด
1.บุญราศีมารีอา เทเรซา เฟรราคูด รอยจ์ ขณะสิ้นใจอายุได้ 83 ปี
2.บุญราศีซิสเตอร์มารีอา เฆซุส (มารีอา วินเซนตา มาซิอา เฟรราคูด) ขณะสิ้นใจอายุได้ 58 ปี
3.บุญราศีซิสเตอร์มารีอา เวโรยิกา (มารีอา ยออากิมนา มาซิอา เฟรรากูด) ขณะสิ้นใจอายุได้ 56 ปี
4.บุญราศีซิสเตอร์มารีอา เฟลิซิดาด มาซิอา เฟรรากูด ขณะสิ้นใจอายุ 40 ปี
5.บุญราศีซสเตอร์โฆเซฟา แห่ง การชำระ (โฆเซฟา ราโมนา มาซิอา เฟรรากูด) ขณะสิ้นใจอายุ 33 ปี

และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน และจงพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลงหรือลุกขึ้น (เฉลยธรรมบัญญัติ 6 : 7) คือหน้าที่ของพ่อแม่คริสต์ชนที่ดี หน้าที่ซึ่งมิอาจจะละเลยได้เลย หน้าที่ที่จะสั่งสอนลูกให้อยู่ในมรรคาศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ผ่านพระวาจา เรื่องเล่าง่ายๆ การปฏิบัติที่ไม่ตึงเกินและไม่หย่อนเกินไป บุญราศีมารีอา เทเรซา คือตัวอย่างของมารดาที่ดีดั่งพระวาจา เธอสอนลูกๆของเธอให้ศรัทธา เธอเป็นตัวอย่างแก่พวกเขา เช่น การไปมิสซาทุกวัน การภาวนา ด้วยการชวนเขาทำตาม มันจึงเป็นดั่งรากฐานของชีวิตลูกของเธอจนใครก็ต่างกล่าวถึงครอบครัวเธอว่า ในครอบครัวของเขาทุกคนล้วนศักดิ์สิทธิ์ จึงสรุปได้ว่าความศรัทธาและกระแสเรียกที่ดีเริ่มต้นที่บ้าน



ข้าแต่ท่านบุญราศีมรณสักขี แห่ง อัลเคเมซี ช่วยวิงวอนเทอญ
ขอพระคริสต์ราชา ทรงพระเจริญเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...