นักบุญนาร์ซิซา
เด เฆซุส มาร์ติลโล อี โมราน
St. Narcisa de Jesús Martillo y Morán
ฉลองในวันที่ : 30 สิงหาคม
นักบุญนาร์ซิซา
เป็นนักบุญองค์ล่าสุดของชาวเอกวาดอร์ แต่ก็ไม่ใช่นักบุญสตรีคนแรกของเอกวาดอร์ ร่างของท่านไม่เน่าสลายไปตามกาลเวลา แต่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างน่าอัศจรรย์ ณ สักการสถานนักบุญนาซิซา เมืองโนโบล จังหวัดกวายัส ประเทศเอกวาดอร์ ย่านเมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านซานโฮเซ สถานที่ที่ย้อนไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ.1832 ได้ต้อนรับเด็กหญิงคนหนึ่ง ผู้มีศักดิ์เป็นลูกคนที่หกจากเก้าคนของสองเกษตรกรใจศรัทธานาม
นายเปโดร มาร์ติลโล โมสเกรา กับ นางโฮเซฟินา โมราน เด็กหญิงผู้ที่ชาวโลกจะยกย่องเธอในฐานนะนักบุญของพระศาสนจักร
แต่อนิจจาเพียงหกปีให้หลังจากกำเนิดหนูน้อย นางโฮเซฟินาก็ถึงแก่อนิจกรรรมไป หนูน้อยนาร์ซิซาจึงถูกดูแลต่อโดยพี่มารีอาและคุณครู ท่านจึงสามารถอ่าน เขียน ร้องเพลง
เล่นกีตาร์ เย็บผ้า(ท่านเชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก) ทอผ้า ปักผ้าและปรุงอาหารได้ จากความทรงจำของพยานแวดล้อมท่านได้เล่า ตั้งแต่วัยเยาว์ ท่านเป็นเด็กที่ชอบฟังเพลง บ่อยครั้งที่คำภาวนาของท่านจึงมักจะออกมาเป็นบทเพลง ลักษณะที่ลึกซึ่งและเปี่ยมความเชื่อ ‘ถึงพระหฤทัยของพระองค์
ผู้ที่ดีสมควรได้รับมัน’ คือบทเพลงที่ท่านรักจะร้องในวัยเยาว์
เมื่ออายุได้ 7 ปี ท่านก็ได้รับศีลกำลังจากมือของพระคุณเจ้าฟรานซิสโก
ฆาเวียร์ เด กาไรกัว พระสังฆราชแห่งกวายากิล ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ.1839 ซึ่งเป็นวันฉลองพระรูปองค์พระผู้เป็นเจ้าอัศจรรย์ของเปรู และหลังจากนั้นสองปีถัดมาด้วยอายุ 9 ปี ท่านจึงได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก
“ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด
ท่ามกลางวงศ์ญาติ และ ในบ้านของตน”(มาระโก 6:4) พยานแวดล้อมในชีวิตที่หมู่บ้านของท่านกล่าวว่าท่านและพี่สาวต่างกันสุดขั้ว คือพี่สาวท่านเป็นคนชอบเต้นรำ และยังมีแฟนหลายคน บ่อยครั้งหล่อนมักชวนท่านไปงานเต้นรำในงานรื่นเริงที่ฟาร์ม
แต่ทุกครั้งท่านก็ไม่เคยมาเลย ท่านไม่เคยคิดแม้แต่จะโคจรไปในสถานเช่นนั้น
ดังนั้นท่านจึงมีอุบายหลบเลี่ยงจากการไปงานของพี่สาวเสมอ
เพราะท่านไม่ต้องการยุ่งกับบาปใดๆทั้งสิ้น ซึ่งพอท่นทำเช่นนี้บ่อยๆเข้า ครอบครัวทานก็ต่างพากันเยาะเย้ยท่านบ้าง เข้าใจท่านผิดบ้าง แม้กระทั้งเอาท่านไปอยู่ในวงนินทาเลยทีเดียว
ท่านยกจิตใจของท่านสู่พระเจ้าในวัดใกล้ๆบ้าน
บ่อยครั้งท่านมักไปใต้ต้นฝรั่งเปรี้ยวเขียวชอุ่มเพื่อภาวนา มีวันหนึ่งในฤดูหนาวอันแสนร้อนอบอ้าว ซึ่งช่างขัดกันจริงๆ
ท่านก็ได้เข้าไปหลบแดดใต้ร่มไม้เพื่อภาวนาตามปกติ แต่เพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับพระเยซูเจ้านานไปหน่อย
ท่านจึงไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้มีเมฆฝนตั้งเค้ามาและกำลังเริ่มตกในป่า ตัดกลับมาที่บ้าน เมื่อบิดาท่านเห็นฝนตั้งเค้าและเริ่มเทลงมา แต่ก็ยังไม่เห็นท่านกลับมา ก็เริ่มกระวลกระวายใจ ว่าบุตรสาวจะเป็นอะไรหรือเปล่า เขาจึงรีบออกไปตามหาบุตรสาว แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่า คงจะมีแต่ของฝากก็คือเสื้อผ้าที่เปียกโฉก แต่ท่ามกลางความวิตกกังวลของบิดานั้นเอง ไม่ช้าท่านก็กลับมาท่ามกลางเม็ดฝน ทุกคนจึงรีบวิ่งไปรับท่านและก็ต้องประหลาดใจเมื่อเสื้อผ้าของท่านกลับแห้งสนิท
ในบ้านของครอบครัว ท่านได้รับอนุญาตให้มีห้องเป็นของตนเอง ซึ่งห้องนี้ท่านก็ใช้ทำเป็นสถานภาวนาส่วนตัว และมักชอบใช้เวลาอยู่ในนั้นนานหลายชั่วโมง โดยมีประธานคือพระรูปพระกุมารเยซูองค์เล็กๆ จนหลายครั้งมีพี่น้องของท่านเคยสงสัยว่าท่านทำอะไรอยูาในห้อง และลองแอบฟังท่านดู ก็พบว่ามักได้ยินท่านพูดคุยกับใครบางคน จนบางครั้งเขาถามท่านว่าท่านพูดอยู่กับใครกัน ท่านก็จะตอบด้วยเสียงเรียบง่ายว่า “กับพระองค์ กับพระองค์”
บางทีเราอาจสงสัยว่าท่านเป็นคนยังไง ในเรื่องจากคำของบรรดาพยานก็ได้สรุปออกมาว่าท่านเป็นเด็กสาวที่น่ารัก รอบคอบ มีความสุข อ่อนหวาน เงียบสงบ เชื่อฟัง ใจกว้าง
เห็นอกเห็นใจผู้ยากไร้ เปี่ยมศรัทธา เป็นที่รักของเพื่อนบ้านทุกคน น่าดึงดูดดด้วยผมสีบลอนด์
ตาสีฟ้า สูง แข็งแรง คล่องแคล่ว และเป็นตัวอย่างครูคำสอนที่ดี ท่านไม่สามารถทำอะไรได้เลยหากขาดการวอนขอไฟแห่งความรักของพระเจ้า ให้กับครอบครัวของท่านและคนในละแวกใกล้เคียง นอกนี้ัยังเป็นคนขยันทำงานทำการทั้งในบ้านและในทุ่งอีกด้วย
ความโศกเศร้าที่ไม่มีใครอยากได้กกลับมาหาครอบครัวของท่านอีกครั้ง
เมื่อคุณพ่อคนดีของครอบครัวเสียชีวิตลง ในเดือนมกราคม ค.ศ.1852 ท่านซึ่งขณะนั้นอายุได้ 19 ปี จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่เมืองกวายากิลและอยู่ที่นั่นจนถึงปี ค.ศ.1868 เพื่อหาคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ที่จะให้คำแนะนำในเส้นทางแห่งวิญญาณของท่านนี้ และเหนือสิ่งอื่นใดเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของท่านให้ออกหากจากสิ่งกีดขวางต่างๆอันได้แก่พี่สาวของท่าน เป็นต้น โดยท่านได้ไมตรีจิตจากนางซิลวาเนีย เกลลิเบร์ท ช่วยออกเงินค่าที่ดินในให้บางส่วน เมื่อท่านพบสิ่งที่ท่านแสวงหาแล้ว
นอกจากการทำงานรับจ้างหาเงินเลี่ยงชิพแล้ว ท่านยังคอยช่วยเหลือผู้ป่วยผู้ยากไร้และเป็นครูคำสอน ท่านเชื่อฟังคุณพ่อวิญญาณของท่านอย่างอ่อนโยน ถ่อมตนและจริงใจ อันทำให้วิญญาณของท่านถูกประดับไปด้วยดอกไม้แห่งบุญลาภที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วแก่ผู้พบเห็น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ผู้คนที่กล่าวถึงท่านว่า “เป็นมิตรและร่าเริง” , “อ่อนหวานและอ่อนโยนโดยธรรมชาติ” , “ดีและเชื่อฟัง” , “เปี่ยมด้วยความเมตา” , “ห่วงใยและเห็นอกเห็นใจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ศรัทธามาก”
ในปี ค.ศ.1853 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ก็ได้ทรงสถาปนาลิลลี่แห่งกีโต
มารีอันนา เด เฆซุส เป็นบุญราศีคนแรกของชาวเอกวาดอร์
ส่งผลให้ทั่วประเทศเต็มไปด้วยคลื่นการอุทิศตนและกระตือรือร้นต่ออนาคตนักบุญคนแรกและศักดิ์ศรีของชาวเอกวาดอร์
ชีวิตของบุญราศีองค์ใหม่นี้คือการเกลียดชังความสุขทางโลกและโอบกอดไม้กางเขนของพระผู้ไถ่ผู้ทรงชำระวิญญาณ
ทรมานร่างกายอย่างรุนแรง ซึ่งคือแบบฉบับที่ท่านปรารถนาจะเลียนแบบ
บ่อยครั้งที่ท่านต้องสู้รบกับบรรดาปีศาจที่บางครั้งโจมตีท่านในขณะภาวนา
ทำเสียงรบกวนดูหมิ่นในห้องของท่านบ้าง แต่กระนั้นสุดท้ายท่านก็จะเป็นคว้าชัยเสมอ และเนื่องจากความต้องการของคุณพ่ออมาเดโอ
คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ท่านก็จำเป็นต้องเดินทางไปเควงคาด้วยล่อเป็นระยะเวลาถึงสามวันกว่าจะถึงที่หมายหลายๆครั้ง ซึ่งครั้งๆหนึ่งท่านก็อยู่ซักเดือนหนึ่ง ทำเช่นนี้จนกระทั้งคุณพ่ออมาเดโอจาดจากไปด้วยวัณโรคแล้วในปี ค.ศ.1867 ท่านจึงกลับมาทำงานกับเยาชนผู้ถูกทอดทิ้งและผู้ลี้ภัยในบ้านแห่งการเกี่ยวเก็บ กวายากิลที่บุญราศีเมร์เซเดส เด เฮซุส โมลินา สอนเด็กสาวกำพร้าเย็บผ้า ส่วนท่านก็ดูแลพวกเขาด้วยเสียงเพลง
ต่อมาตามคำแนะนำของคุณพ่อเปโดร
กวาล พระสงฆ์ฟรังซิสกัน คุณพ่อวิญญาณของท่าน
ท่านก็เดินทางมาถึงลิมา ประเทศเปรู ในปี ค.ศ.1868 พร้อมกับได้เข้าเป็นโดมินิกันขั้นสาม
และอาศัยอยู่ในฐานะฆราวาสในอารามที่ก่อตั้งในปี ค.ศ.1688 บนพื้นที่เลี้ยงสัตว์ของนักบุญฆวน มาซิแอส
แม้จะมาอยู่ฆราวาส ท่านก็มีวัตรปฏิบัติเช่นภคินีทั่วไป ท่านภาวนาอย่างร้อนรน ตัดซึ่งกิเลสและน้อมถวายตนเป็นยัญบูชาด้วยความปรารถนา เป็นเพียงผู้เดียวที่จะหลั่งน้ำตาเพื่อวอนขอพระเมตตาและการอภัยแก่คนบาปทั้งหลาย และเพื่อให้บรรลุซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ โดยมิต้องกังวลห่วงสิ่งใดอีก
และในช่วงนี้ที่ท่านได้รับพระพรมากมายไม่ว่าจะเป็นการเข้าฌาน
คำทำนาย ความเข้าใจภายในดวงใจและยังมีการประจักษ์มาทั้งของพระเยซูเจ้าและแม่พระอีก
เช่นในครั้งหนึ่งในวันโมทนาคุณพระเจ้า หลังจากรับศีลมหาสนิทแล้ว
ท่านก็ได้กลับมาพักผ่อนเช่นคนอื่น ทันทีที่ห้องของท่านพระเยซูเจ้ากษัตริย์เหนือกษัตริย์ก็ได้ทรงประจักษ์พร้อมความรุ่งโรจน์เกินพรรณนา
พระองค์ทรงใช้พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกของพระองค์
ก่อนนำพระหฤทัยของพระองค์อออกมาให้ท่านจูบ “ลูกมิเคยได้รับพระหรรษทานเดียวกันกับวิญญาณใดๆเลย” ท่านกล่าว
ท่านอาศัยอยู่ในอารามจนถึงวันที่ 24 กันยายน ค.ศ.1869 ท่านก็ได้รับการเผยแสดงว่าท่านจะเป็นยัญบูชาและพรหมจารี
พร้อมทั้งพระหรรษทานพิเศษสำหรับตัวท่านเอง ซึ่งแน่นอนท่านขอมันเพื่อเพื่อนบ้านของท่านเองและนับจากวันนั้นมาท่านที่เคยแข็งแรงก็กลายเป็นป่วยลงไปทุกวัน
จนถึงปลายเดือนกันยายนปีเดียวกันท่านก็เริ่มมีไข้สูง แม้การรักษาของแพทย์ก็ไม่อาจช่วยได้
อาการท่านทรงตัวไปเรื่อยๆจนถึงวันที่ 8
ธันวาคม วันฉลองแม่พระผู้ปฏิสนธินิรมลซึ่งตรงกับวันเปิดสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่
1 (ที่ท่านอุทิศความทุกข์ทรมานสุดท้ายเพื่อการนี้) ในวันนี้ท่านจัดการแต่งกายด้วยชุดสีขาว
ทำนพวารและร่วมพิธีมิสซาด้วยความสุขที่ยิ่งใหญ่ก่อนในตอนท้ายของวันท่านก็ได้กล่าวแก่ซิสเตอร์ว่าท่านกำลังจะเดินทางไปไกลมากๆ
แต่ไม่มีใครเชื่อและเอามันมาเป็นเรื่องตลกกัน จนเวลาล่วงถึงยามราตรีของวันนั้น เมื่อซิสเตอร์ท่านหนึ่งพร้อมเชิงเทียนในมือเดินไปยังบริเวณที่พักของโดมินิกันชั้น
3 แสงสว่างเกินบรรยายก็สาดลอดออกมาจากประตูห้องของท่าน ด้วยความตื่นกลัวสุดขีดเธอก็รับเรียกคุณแม่อธิการและสมาชิกคนอื่นๆในอารามมาดู ทันทีที่มาถึงทุกคนก็ต่างได้สัมผัสกับกลิ่นหอมประหลาดที่ฟุ้งไปทั่วอาราม และเมื่อเข้าไปก็ทั้งหมดก็ได้พบว่าท่านได้จากไปแล้วด้วยพิษไข้
ด้วยอายุรวม 37 ปี ในกลางคืนของวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1869 นับแต่นั้นมาจึงถึงวันฝังร่างของท่านก็มีอัศจรรย์อีก คราวนี้คือร่างของท่านยังคงอ่อนหนุ่มเหมือนคนตอนหลับไปจนถึงเวลาฝัง และก่ออัศจรรย์การรักษาหนูน้อยที่ป่วยด้วยมะเร็งลำคอ
เมื่อข่าวการจากไปของท่านแพร่ซะพัดเมืองลิมาก็ตกอยู่ในความสะเทือนใจที่พวกเขาสูญเสียนักบุญไปอีกองค์แล้ว เช่นเดียวกันกับประชาชนกวายากิลและโนโบล ทุกคนต่างตระหนักดีว่านักบุญของพวกเขาได้จากไปแล้ว ร่างของท่านถูกฝังยังอารามในลิมา
ก่อนถูกขุดขึ้นมาและพบว่าร่างของท่านยังอยู่ในสภาพเดิม โดยเฉพาะรอยยิ้ม และถูกย้ายไปเก็บรักษาไว้ที่วัดนักบุญยอแซฟ
ของคณะเยซูอิตที่กวายากิลในปี ค.ศ.1955 ก่อนที่จะถูกส่งกลับมาตุภูมิบ้านเกิดที่โนโบล ในวันที่
7 ธันวาคม ค.ศ.1972 พร้อมกับการเริ่มกระบวนการขอแต่งตั้งเป็นนักบุญ
ที่สุดสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ปอลที่ 2 ก็ได้อนุมัติอัศจรรย์การรักษาโรคมะเร็งของฮวน
เบาติสตา เปซานเตส เปญารานดา เป็นอัศจรรย์ประกอบการสถาปนาคารวียะนาร์ซิซาเป็นบุญราศี ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ.1967 หลังจากนั้นอีก 41 ปีถัดมาสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็ได้สถาปนาท่านเป็นนักบุญ ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร
ในวันที่ 12 ตุลามคม ค.ศ.2008 จากอัศจรรย์การรักษาเอเดรมินา หนูน้อยวัย 7 ปีที่ไม่อวัยวะเพศ ในปี ค.ศ.1992
“จงให้ความอ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว” (ฟิลิปปี 4:5)
นักบุญเปาโลชี้ถึงเรื่องความสุภาพนี้ให้เห็นชัดในจดหมายถึงชาวฟิลิปปี ฉบับที่
4 เช่นกันท่านก็ได้แสดงออกถึงคุณธรรมในข้อนี้อย่างชัดเจน
ดวงใจของท่านเปี่ยมด้วยคุณธรรมนี้ในการทำงานทุกๆงาน
ไม่ว่าจะเป็นงานเย็บผ้าหรืองานแพร่ธรรมของท่าน มันทำให้กลิ่นความอ่อนโยนของท่านหอมฟุ้งไปทั่วดังกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเก็ตถวา
แก่ผู้ที่ได้เคยสัมผัสท่าน
พี่น้องที่รักสิ่งหนึ่งที่เราจะขาดอีกไม่ได้เลยในการดำเนินวิถีคริสตชนก็คือความอ่อนโยนในการทำสิ่งต่างๆเช่นท่าน
“ข้าแต่ท่านนักบุญนาร์ซิซา เด
เฆซุส มาร์ติลโล อี โมราน ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง