Serva di Dio
Maria Giuseppina Benvenuti
“โมเรตตา โมเรตตา” คือคำเรียกหญิงสาวผิวดำผู้หนึ่งผู้มีนามว่า “เซอีนาบ อาลิฟ” ผู้เกิดเมื่อราวปี ค.ศ.1845 มีถิ่นเดิมที่หมู่บ้านโครโดฟาน ของประเทศซูดาน
แต่เหมือนโชคชะตาของท่านจะมิได้เจริญเติบโตมาเพื่อเป็นเพียงสตรีเผ่าธรรมดาๆ
เมื่ออยู่ๆท่านก็ถูกพวกพ่อค้าทาสอาหรับลักพาตัวมาขายในตลาดทาสเมื่อท่านมีวัยได้เพียง
8 ปี ก่อนถูกขายให้นายที่โหดร้าย
แต่หลังจากนั้นท่านก็ได้รับการไถ่เป็นไทโดยข้ารับใช้พระเจ้าคุณพ่อนิกโกโล
โอลิเวียริ และเมื่อได้รับการเป็นไทแล้วคุณพ่อก็ได้พาท่านมาสู่ดินแดนที่ท่านไม่เคยรู้จัก
ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ในดินแดนที่ทุกคนล้วนมีผิวสีขาวนาม “อิตาลี” พร้อมมอบท่านไว้ในความดูแลของอารามกลาริสของเบลเวเดเร
โอสเตรนเซ ตั้งแต่ในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ.1856 เพื่อให้ช่วยสอนคำสอน และที่สุดในวันที่ 24 กันยายน ปีนั้น
ท่านก็ได้ขอรับศีลล้างบาปและได้รับศีลล้างบาปในวันนั้นด้วยนามใหม่ว่า “มารีอา จูเซปปีนา” พร้อมได้นามสกุลใหม่ตามคุณแม่ทูนหัวว่า “เบนเวนูติ”
ส่วนฉายา “โมเรตตา” ก็มาจากสีผิวของท่านเอง หากจะกล่าวถึงนิสัยของท่าน
ท่านก็เป็นหญิงสาวชาวซูดานทั่วไป ท่านเป็นคนมีชีวิตชีวา ฉลาด
สมเหตุสมผลและเป็นที่รักใครของหลายๆคน
แต่ท่านก็ค่อนข้างเป็นคนที่อยู่ไม่ค่อยสุขนัก
แต่อย่างไรท่านก็พยามยามจะปรับมันด้วยความถ่อมตนและความน่ารัก ท่านจัดได้ว่ามีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี
ดังนั้นไม่นานท่านก็สามารถเล่นออร์แกนได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
ชนิดเหนือกว่าคนที่สอนท่านเสียอีก
ด้วยเทคนิคการเล่นของท่านที่บอกได้เลยว่าสมบูรณ์แบบ
มีแบบฉบับเดิมและเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบัลดาลใจ เสียงออร์แกนที่ท่านเล่นสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกด้านวิญาณอันงดงามของท่านและพิธีกรรม
มีคนมาฟังท่านเล่นตั้งแต่นักดนตรีที่มีชื่อเสียงยันชาวบ้านทั่วไปกันเลยทีเดียว
ผ่านกระแสเรียกที่ค่อยเติบโตในวิญญาณของท่าน
ที่ต้องการมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็ได้สมัครเข้าเป็นซิสเตอร์คณะกลาริสและได้รับชุดคณะในปี
ค.ศ.1874 ผ่านความช่วยเหลือของพระสังฆราชเนื่องจากสภาพกฎหมายในขณะนั้นอย่างลับๆ และได้ปฏิญาณตนเป็นบุตรีของนักบุญคลาราและนักบุญฟรานซิสในคณกลาริส
ในอีกสองปีถัดมา กระทั้งมีคำสั่งยุบอารามกลาริสที่เบลเวเดเร ในปี ค.ศ.1894 ท่านและซิสเตอร์ในอารามจึงต้องย่ายไปอยู่ที่อารามที่เซรรา
เด โกนติ
ที่นี่ท่านได้รับเลือกให้เป็นทั้งผู้แทน
นวกจารย์ หรือ แม้กระทั้งคุณแม่อธิการของอาราม ซึ่งท่านล้วนทำมันด้วยความรัก
ความนบนอบและความอ่อนโยน แม้บางงานจะต้อยต่ำซักเพียงใด
เมื่อมีคนถามท่านว่าความถ่อมตนของท่านได้รับแรงบัลดาลใจมากจากไหน “ทรงนำดิฉัน พระเจ้า จากบาปและจากผู้มีอำนาจทั้งปวง” คือคำที่ท่านมักพูดซ้ำบ่อยๆ
ในความทรงจำของทุกคนซิสเตอร์เป็นคนที่น้อมรับตอบน้ำพระทัยของพระเจ้า
แม้จะทุกข์ทรมานแค่ไหนก็ตาม ท่านไม่ละเลยกฎของอารามแม้นิดเดียว
ท่านชอบดื่มด่ำอยู่กับพระเจ้าและคำภาวนาเสมอ นอกจากนั้นท่านยังมอบความรักและความอดทนให้กับทุกๆคน
อีกคอยเป็นผู้ช่วยผู้แนะนำของตู้หมุนแก่ทุกคนที่มาหาท่าน
ฝั่งชีวิตคณะท่ามกลางพี่น้องนั้นท่านก็มิเคยละเลยกิจเมตตาต่อพวกเขาและไม่เคยเสียใจแม้ซักครั้งเดียว
ท่านสละความสบายของตัวเองเพื่อความต้องการของซิสเตอร์ทุกคน ซึ่งทั้งหมดแล้วซิสเตอร์ผิวสีดำคนนี้ก็ล้วนทำด้วยความเป็นธรรมชาติมิได้มีการปรุงแต่งด้วยสิ่งอื่นแต่ประการใด
การไตร่ตรองถึงรหัสธรรมลึกลับแห่งความรอดและการยกระดับจิตได้รับการเกื้อหนุนจากพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล
ผู้ที่ท่านมอบความรักอย่างหมดดวงใจ ท่านเคยกล่าวว่า
“จงขอความช่วยเหลือจากแม่พระ
ผู้จะช่วยเหลือเธอเถิด
พระนางจะทรงปกป้องเธอด้วยผ้าคลุมของพระนางและจะไม่สิ่งใดที่ต้องกลัวอีกต่อไป ใช้แล้ว เจ้าซานตานต้องอยู่ใต้เท้าพระนางเสมอและมันต้องตัวสั่นไปด้วยความโกธร
… -ดิฉันไม่เคยกลัวพวกมัน ดิฉันมักสั่งมันว่า จงออกไปจากเท้าของแม่นะ
แน่นอนมันจะต้องไป
-…ตัวดิฉันทั้งครอบเป็นของพระนาง” ท่านสวดสายประคำทุกครั้งด้วยความร้อนรน ท่านมักย้ำกับบรรดานวกะที่ท่านสอนเสมอว่า
“ด้วยเครื่องมือนี้เท่านั้นพวกลูกจะสามารถเป็นซิสเตอร์ที่ดีได้”
เบื้องหน้ากางเขนและพระแท่นศีลมหาสนิทคือชั่วโมงแห่งความสุขของท่านในแต่ละวัน
ท่านสวดภาวนาเพื่อทุกคน และเมื่อท่านได้ยินการกระทำบาปหรือความอกตัญญูต่อพระเจ้า
ท่านก็จะเพิ่มการใช้โทษบาปให้มากขึ้น มากขึ้น พร้อมเพิ่มเวลาเฝ้าศีลให้นานขึ้นเพื่อความรอดของพวกเขา
ผ่านการรำพึงถึงกางเขนท่านก็เต็มใจที่จะทำซ้ำเสมอ “มีวิธีการมากมายที่ใช้ทรมาน พระเยซูเจ้าผู้แสนดีสุดที่รักของพระมารดา
พระมารดาผู้น่าสงสาร และมากเท่าใดกันที่พระองค์ทรงรับเพื่อลูก
และลูกได้อะไรเพื่อพระองค์บ้างละ”
นอกจากนั้นท่านยังยึดนักบุญฟรานซิส
เซเวียรเป็นแม่แบบในความรักต่อไม้กางเขน
นักบุญคลาราเป็นแม่แบบของการภาวนาอย่างร้อนรน นักบุญยอแซฟแม่แบบของการเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ
ส่วนนักบุญเซซีลิอาท่านก็ยึดแบบอย่างในการขับขานบทเพลงอันงดงาม
ความยินดีในองค์พระเจ้า
เมื่อชีวิตของท่านย่างสูวับชราท่านก็ล้มป่วยลงและสูญเสียการมองเห็นไปยังถาวร
แม้ภายนอกท่านจะดูทรมาน แต่ภายในวิญญาณท่านกลับเอ่อล้นไปด้วยความสุขของสวรรค์
เพราะท่านมั่นใจเวลาของท่านนั้นใกล้มาถึงแล้ว กระทั้งในตอนเย็นของวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1926 ในวัย 80 ปี ท่านก็ได้โบยบินไปสู่สวรรค์อย่าสงบพร้อมคำสัญญาที่ว่าหากท่านได้ไปสวรรค์แล้วท่านจะส่งสัญญาณมาอย่างแน่นอน
และท่านก็ปฏิบัติตามนั้นเมื่อจู่ๆในเช้าวันถัดมาระฆังของอารามก็ดังเองโดยที่ไม่ใครไปตีเป็นเวลานาน
วันนั้นซิสเตอร์ทุกคนในอารามต่างพากันลิงโลดด้วยความสุขไปตามๆกัน ส่วนทุกคนในเมืองจึงต่างพากันพูดว่า “โมเรตตาได้จากเราไปแล้ว
นักบุญได้จากเราไปแล้ว”
ด้วยความเศร้าปนความสุข
นี่คือคำพูดที่ท่านเคยเอ่ยไว้ด้วยภาษาง่ายๆ
ตามประสาคนซื่อๆ
“เพื่อพระเยซูเจ้าและแม่พระ”
“ดิฉันปรารถนาจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าและของพี่น้องซิสเตอร์ด้วยกันค่ะ”
“ดิฉันทำงานกับพระเยซูเจ้า ดิฉันอยู่กับพระองค์
และพระองค์อยู่กับดิฉัน”
“ดิฉันรักซิสเตอร์ทุกคนและดิฉันสวดให้เจ้าสาวทุกคนที่รักของพระเยซูเจ้า ดิฉันหวังว่าพวกเขาทุกคนจะได้รับความช่วยเหลือและความศักดิ์สิทธิ์”
“เพียงแค่มองไปที่พระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน
พระองค์ก็จะทรงตอบเราและให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเรา”
ร่างของท่านถูกฝังในสุสานของอารามกลาริสของเซรรา
เด โกนติ จังหวัดอังโกนา แคว้นมาร์เก ประเทศอิตาลี
กระบวนการขอแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศีเริ่มขึ้นโดยพระสังฆราชออดโด ฟูซิ เปชชี ในปี ค.ศ. 1987 และในรัชสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ก็ได้ลงพระนามอนุมัติให้ท่านได้เริ่มก้าวแรกสู่การเป็นนักบุญในวันที่
27 มิถุนายน ค.ศ.2011
“เรามองเห็นว่า เขาไม่เป็นผู้สวยงาม
ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีสิ่งใดที่ดึงดูดสายตาของเรา ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
ถูกปฏิเสธจากผู้คนรอบข้าง เขาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมเเละเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก”(อสย.53:2-4) ชีวิตของท่านแม้จะเป็นทาสผิวดำ
ท่ามกลางชาวผิวขาวมากมาย มันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าท่านไม่มีทางได้พบพระองค์
เพราะอะไร ก็เพราะพระเยซูเจ้าทรงมาเพื่อทุกๆคน และที่สำคัญเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทุกคนก็คือสิ่งสร้างพระเจ้าเท่ากันไม่ว่าจะผิวสีอะไร
ยศศักดิ์อะไร ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องแบ่งแยกกันทำไมละ พระองค์มาเพื่อทุกๆคน เพื่อทุกคน ที่วางใจในพระองค์
“ข้าแค่ท่านข้ารับใช้พระเจ้า มารีอา จูเซปปีนา เบนเวนูติ ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง