วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

"มารีอา จูเซปปีนา " ธิดาดำของนักบุญคลารา


ข้ารับใช้พระเจ้า มารีอา จูเซปปีนา เบนเวนูติ
Serva di Dio Maria Giuseppina Benvenuti

โมเรตตา โมเรตตา คือคำเรียกหญิงสาวผิวดำผู้หนึ่งผู้มีนามว่า เซอีนาบ อาลิฟ ผู้เกิดเมื่อราวปี ค..1845 มีถิ่นเดิมที่หมู่บ้านโครโดฟาน ของประเทศซูดาน แต่เหมือนโชคชะตาของท่านจะมิได้เจริญเติบโตมาเพื่อเป็นเพียงสตรีเผ่าธรรมดาๆ เมื่ออยู่ๆท่านก็ถูกพวกพ่อค้าทาสอาหรับลักพาตัวมาขายในตลาดทาสเมื่อท่านมีวัยได้เพียง 8 ปี ก่อนถูกขายให้นายที่โหดร้าย

แต่หลังจากนั้นท่านก็ได้รับการไถ่เป็นไทโดยข้ารับใช้พระเจ้าคุณพ่อนิกโกโล โอลิเวียริ และเมื่อได้รับการเป็นไทแล้วคุณพ่อก็ได้พาท่านมาสู่ดินแดนที่ท่านไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ในดินแดนที่ทุกคนล้วนมีผิวสีขาวนาม อิตาลีพร้อมมอบท่านไว้ในความดูแลของอารามกลาริสของเบลเวเดเร โอสเตรนเซ ตั้งแต่ในวันที่ 2 เมษายน ค..1856 เพื่อให้ช่วยสอนคำสอน และที่สุดในวันที่ 24 กันยายน ปีนั้น ท่านก็ได้ขอรับศีลล้างบาปและได้รับศีลล้างบาปในวันนั้นด้วยนามใหม่ว่า มารีอา จูเซปปีนา พร้อมได้นามสกุลใหม่ตามคุณแม่ทูนหัวว่า เบนเวนูติ

ส่วนฉายา โมเรตตา ก็มาจากสีผิวของท่านเอง หากจะกล่าวถึงนิสัยของท่าน ท่านก็เป็นหญิงสาวชาวซูดานทั่วไป ท่านเป็นคนมีชีวิตชีวา ฉลาด สมเหตุสมผลและเป็นที่รักใครของหลายๆคน แต่ท่านก็ค่อนข้างเป็นคนที่อยู่ไม่ค่อยสุขนัก แต่อย่างไรท่านก็พยามยามจะปรับมันด้วยความถ่อมตนและความน่ารัก ท่านจัดได้ว่ามีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี ดังนั้นไม่นานท่านก็สามารถเล่นออร์แกนได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ชนิดเหนือกว่าคนที่สอนท่านเสียอีก ด้วยเทคนิคการเล่นของท่านที่บอกได้เลยว่าสมบูรณ์แบบ มีแบบฉบับเดิมและเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบัลดาลใจ เสียงออร์แกนที่ท่านเล่นสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกด้านวิญาณอันงดงามของท่านและพิธีกรรม มีคนมาฟังท่านเล่นตั้งแต่นักดนตรีที่มีชื่อเสียงยันชาวบ้านทั่วไปกันเลยทีเดียว

ผ่านกระแสเรียกที่ค่อยเติบโตในวิญญาณของท่าน ที่ต้องการมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็ได้สมัครเข้าเป็นซิสเตอร์คณะกลาริสและได้รับชุดคณะในปี ค..1874 ผ่านความช่วยเหลือของพระสังฆราชเนื่องจากสภาพกฎหมายในขณะนั้นอย่างลับๆ และได้ปฏิญาณตนเป็นบุตรีของนักบุญคลาราและนักบุญฟรานซิสในคณกลาริส ในอีกสองปีถัดมา กระทั้งมีคำสั่งยุบอารามกลาริสที่เบลเวเดเร ในปี ค..1894 ท่านและซิสเตอร์ในอารามจึงต้องย่ายไปอยู่ที่อารามที่เซรรา เด โกนติ

ที่นี่ท่านได้รับเลือกให้เป็นทั้งผู้แทน นวกจารย์ หรือ แม้กระทั้งคุณแม่อธิการของอาราม ซึ่งท่านล้วนทำมันด้วยความรัก ความนบนอบและความอ่อนโยน แม้บางงานจะต้อยต่ำซักเพียงใด เมื่อมีคนถามท่านว่าความถ่อมตนของท่านได้รับแรงบัลดาลใจมากจากไหน  ทรงนำดิฉัน พระเจ้า จากบาปและจากผู้มีอำนาจทั้งปวง คือคำที่ท่านมักพูดซ้ำบ่อยๆ

ในความทรงจำของทุกคนซิสเตอร์เป็นคนที่น้อมรับตอบน้ำพระทัยของพระเจ้า แม้จะทุกข์ทรมานแค่ไหนก็ตาม ท่านไม่ละเลยกฎของอารามแม้นิดเดียว ท่านชอบดื่มด่ำอยู่กับพระเจ้าและคำภาวนาเสมอ นอกจากนั้นท่านยังมอบความรักและความอดทนให้กับทุกๆคน อีกคอยเป็นผู้ช่วยผู้แนะนำของตู้หมุนแก่ทุกคนที่มาหาท่าน ฝั่งชีวิตคณะท่ามกลางพี่น้องนั้นท่านก็มิเคยละเลยกิจเมตตาต่อพวกเขาและไม่เคยเสียใจแม้ซักครั้งเดียว ท่านสละความสบายของตัวเองเพื่อความต้องการของซิสเตอร์ทุกคน ซึ่งทั้งหมดแล้วซิสเตอร์ผิวสีดำคนนี้ก็ล้วนทำด้วยความเป็นธรรมชาติมิได้มีการปรุงแต่งด้วยสิ่งอื่นแต่ประการใด

การไตร่ตรองถึงรหัสธรรมลึกลับแห่งความรอดและการยกระดับจิตได้รับการเกื้อหนุนจากพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล ผู้ที่ท่านมอบความรักอย่างหมดดวงใจ ท่านเคยกล่าวว่า จงขอความช่วยเหลือจากแม่พระ ผู้จะช่วยเหลือเธอเถิด พระนางจะทรงปกป้องเธอด้วยผ้าคลุมของพระนางและจะไม่สิ่งใดที่ต้องกลัวอีกต่อไป ใช้แล้ว เจ้าซานตานต้องอยู่ใต้เท้าพระนางเสมอและมันต้องตัวสั่นไปด้วยความโกธร -ดิฉันไม่เคยกลัวพวกมัน ดิฉันมักสั่งมันว่า จงออกไปจากเท้าของแม่นะ แน่นอนมันจะต้องไป -…ตัวดิฉันทั้งครอบเป็นของพระนาง ท่านสวดสายประคำทุกครั้งด้วยความร้อนรน ท่านมักย้ำกับบรรดานวกะที่ท่านสอนเสมอว่า ด้วยเครื่องมือนี้เท่านั้นพวกลูกจะสามารถเป็นซิสเตอร์ที่ดีได้

เบื้องหน้ากางเขนและพระแท่นศีลมหาสนิทคือชั่วโมงแห่งความสุขของท่านในแต่ละวัน ท่านสวดภาวนาเพื่อทุกคน และเมื่อท่านได้ยินการกระทำบาปหรือความอกตัญญูต่อพระเจ้า ท่านก็จะเพิ่มการใช้โทษบาปให้มากขึ้น มากขึ้น พร้อมเพิ่มเวลาเฝ้าศีลให้นานขึ้นเพื่อความรอดของพวกเขา ผ่านการรำพึงถึงกางเขนท่านก็เต็มใจที่จะทำซ้ำเสมอ มีวิธีการมากมายที่ใช้ทรมาน พระเยซูเจ้าผู้แสนดีสุดที่รักของพระมารดา พระมารดาผู้น่าสงสาร และมากเท่าใดกันที่พระองค์ทรงรับเพื่อลูก และลูกได้อะไรเพื่อพระองค์บ้างละ

นอกจากนั้นท่านยังยึดนักบุญฟรานซิส เซเวียรเป็นแม่แบบในความรักต่อไม้กางเขน นักบุญคลาราเป็นแม่แบบของการภาวนาอย่างร้อนรน นักบุญยอแซฟแม่แบบของการเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ ส่วนนักบุญเซซีลิอาท่านก็ยึดแบบอย่างในการขับขานบทเพลงอันงดงาม ความยินดีในองค์พระเจ้า

เมื่อชีวิตของท่านย่างสูวับชราท่านก็ล้มป่วยลงและสูญเสียการมองเห็นไปยังถาวร แม้ภายนอกท่านจะดูทรมาน แต่ภายในวิญญาณท่านกลับเอ่อล้นไปด้วยความสุขของสวรรค์ เพราะท่านมั่นใจเวลาของท่านนั้นใกล้มาถึงแล้ว กระทั้งในตอนเย็นของวันที่  24 เมษายน ค..1926  ในวัย 80 ปี ท่านก็ได้โบยบินไปสู่สวรรค์อย่าสงบพร้อมคำสัญญาที่ว่าหากท่านได้ไปสวรรค์แล้วท่านจะส่งสัญญาณมาอย่างแน่นอน และท่านก็ปฏิบัติตามนั้นเมื่อจู่ๆในเช้าวันถัดมาระฆังของอารามก็ดังเองโดยที่ไม่ใครไปตีเป็นเวลานาน วันนั้นซิสเตอร์ทุกคนในอารามต่างพากันลิงโลดด้วยความสุขไปตามๆกัน ส่วนทุกคนในเมืองจึงต่างพากันพูดว่า โมเรตตาได้จากเราไปแล้ว นักบุญได้จากเราไปแล้ว ด้วยความเศร้าปนความสุข

นี่คือคำพูดที่ท่านเคยเอ่ยไว้ด้วยภาษาง่ายๆ ตามประสาคนซื่อๆ
เพื่อพระเยซูเจ้าและแม่พระ
ดิฉันปรารถนาจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าและของพี่น้องซิสเตอร์ด้วยกันค่ะ
ดิฉันทำงานกับพระเยซูเจ้า ดิฉันอยู่กับพระองค์ และพระองค์อยู่กับดิฉัน
ดิฉันรักซิสเตอร์ทุกคนและดิฉันสวดให้เจ้าสาวทุกคนที่รักของพระเยซูเจ้า ดิฉันหวังว่าพวกเขาทุกคนจะได้รับความช่วยเหลือและความศักดิ์สิทธิ์
เพียงแค่มองไปที่พระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ก็จะทรงตอบเราและให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเรา

ร่างของท่านถูกฝังในสุสานของอารามกลาริสของเซรรา เด โกนติ จังหวัดอังโกนา แคว้นมาร์เก ประเทศอิตาลี กระบวนการขอแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศีเริ่มขึ้นโดยพระสังฆราชออดโด ฟูซิ เปชชี  ในปี ค.ศ. 1987 และในรัชสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ก็ได้ลงพระนามอนุมัติให้ท่านได้เริ่มก้าวแรกสู่การเป็นนักบุญในวันที่ 27 มิถุนายน ค..2011 

เรามองเห็นว่า เขาไม่เป็นผู้สวยงาม ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีสิ่งใดที่ดึงดูดสายตาของเรา ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกปฏิเสธจากผู้คนรอบข้าง เขาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมเเละเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก(อสย.53:2-4) ชีวิตของท่านแม้จะเป็นทาสผิวดำ ท่ามกลางชาวผิวขาวมากมาย มันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าท่านไม่มีทางได้พบพระองค์ เพราะอะไร ก็เพราะพระเยซูเจ้าทรงมาเพื่อทุกๆคน และที่สำคัญเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทุกคนก็คือสิ่งสร้างพระเจ้าเท่ากันไม่ว่าจะผิวสีอะไร ยศศักดิ์อะไร ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องแบ่งแยกกันทำไมละ พระองค์มาเพื่อทุกๆคน เพื่อทุกคน  ที่วางใจในพระองค์


ข้าแค่ท่านข้ารับใช้พระเจ้า มารีอา จูเซปปีนา เบนเวนูติ ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

"คุณพ่อโซปอสโก" ธรรมทูตพระเมตตาผู้ยิ่งใหญ่


บุญราศี มีคาเอล โซปอสโก
Bl.  Michał Sopoćko
ฉลองในวันที่ : 15 กุมภาพันธ์

วันที่สี่ของการเข้าเงียบในวันที่ 24 เมษายน ค..1933 ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน ปีนั้น หลังจากได้แก้บาปแล้วกับคุณพ่ออันดราส ซิสเตอร์โฟสตินาก็ได้ไปสวดภาวนาอยู่ราวสามชั่วโมงแต่ความรู้สึกซิสเตอร์กลับรู้สึกเพียงสองสามนาที ซึ่งขณะกำลังสวดภาวนาอยู่นั่นซิสเตอร์ก็ได้แลเห็นนิมิตคุณพ่อท่านหนึ่ง ดั่งที่เคยเห็นที่วอร์ซอ ทันทีซิสเตอร์ได้ยินเสียงหนึ่งตรัสว่าท่านจะช่วยลูกให้ปฏิบัติตามความประสงค์ของเราขณะอยู่บนโลกนี้ มันปลดปล่อยเธอจากข้อกังขาทุกอย่างในความสงสัยถึงพระหรรษทานของพระเยซูเจ้าที่ประทานแด่เธอไปสิ้น

ในวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ที่ 1 พฤศจิกายน ค..1888 ชีวิตใหม่ได้กำเนิดขึ้นเพื่อเป็นธรรมทูตพระเมตตาผู้ยิ่งใหญ่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย ที่ ออสซ์เมียนสกี(oszmiański) แคล้นวิลนิอุส ปัจจุบันอยู่ในทางภาคตะวันตกของประเทศเบลารุส ท่ามกลางการเบียดเบียนคริสตชนคาทอลิกในโปแลนด์และลิทัวเนียโดยผู้เป็นใหญ่ของรัสเซีย ในตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่าของโปแลนด์ที่มั่นคงในความเชื่อ



ชีวิตใหม่จึงเบ่งบานขึ้นมาท่ามกลางความเชื่อและความรักชาติ กระทั้งจบชั้นมัธยมศึกษา ท่านก็ตัดสินใจเข้าสามเณรราลัยนักบุญยอแซฟของวิลนิอุส (คือแคว้นสมัยก่อนปัจจุบันกินพื้นที่อยู่แถบประเทศลิทัวเนีย เบลารุส ที่ขึ้นตรงต่อรัสเซีย) ในประเทศลิทัวเนีย ก่อนจะได้รับศีลอนุกรมเป็นพระสงฆ์โดยพระคุณเจ้าฟรานชิสเซค คาเรวิกซ์ ในวันที่ 15 มิถุนายน ค..1914 

หลังจากนั้นท่านก็ไปประจำที่ในฐานะผู้แทน(vicar) ที่เขตทาโบรีสชกี และได้เปิดสองพันธกิจของพระศาสนาจักรที่มีดนีกิ กับ โอนชัดฟ์ เช่นเดียวกับที่โรงเรียนต่างๆ กระทั้งปี ค..1918 เมื่อมีคนมาแจ้งท่านมาเจ้าหน้าที่เยอรมันจะมาตรวจที่นี่และอาจจับตัวท่านไปได้ ด้วยเหตุนี้ท่านต้องเดินทางออกจากที่นั่น และได้เดินทางไปกรุงวอร์ซอในทันที



ที่กรุงวอร์ซอท่านก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นจิตตาภิบาลของบรรดาทหารของกองทัพโปแลนด์ ขณะที่ทุ่มเทกับงานอภิบาลใหม่นี้ ในเวลาเดียวกันท่านก็ได้สมัครเข้าเรียนในคณะศาสนศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยวอร์ซอ จนจบปริญญาเอก ในขณะเดียวกันท่านก็สำเร็จการศึกษา ณ สถาบันครุศาสตร์แห่งชาติ หลังจากนั้นในปี ค..1924 ท่านก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ประสานงานจิตตาภิบาลทหารระดับท้องถิ่น ที่ตั้งอยู่ในวิลนิอุส

กระทั้งในปี ค..1926 พระอัครสังฆราชโรมัวลด์ ก็ได้แต่งตั้งท่านให้ไปเป็นจิตตาภิบาลประจำสามเณรราลัยของวิลนิอุส ซึ่งเวลาเดียวกันนั้นท่านก็ได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในวิชาเทววิทยา ที่ มหาวิทยาลัยสเตฟาน บาโทรี ของวิลนิอุสเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามที่สุดท่านก็ขอออกจากการปฏิบัติหน้าที่อภิบาลทหารและที่สามเณรราลัย เพราะความปรารถนาของท่านคือการอุทิศตัวเพื่อแสวงหาความรู้ด้านศาสนศาสตร์ จนในปี ค..1934 ท่านจึงได้รับนามว่า ครูพิเศษ ในงานอภิบาลด้านเทววิทยา



แม้จะมีเรื่องการสอนอยู่มากมาย ท่านก็ไม่เคยลืมงานอภิบาลรับใช้เลยซักครั้ง ท่านเป็นคุณพ่อเจ้าวัดนักบุญมีคาแอลและผู้ฟังแก้บาปของซิสเตอร์คณะพระมารดามารีย์แห่งความเมตตา ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออนาคตนักบุญซิสเตอร์โฟสตินา โควัสกา จากคณะพระมารดามารีย์แห่งความเมตตาที่พึ่งมาประจำที่วิลนิอุสในปี ค..1933 ซึ่งคุณพ่อก็ได้แนะนำให้เธอได้เขียนบันทึกสิ่งพระเจ้าได้ทรงเผยแสดงกับเธอ แน่นอนซิสเตอร์ก็ทำตาม และด้วยความอยากรู้ว่าภาพที่ซิสเตอร์บรรยายจากสิ่งที่เห็นเป็นอย่างไร แม้จะไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก ท่านก็ได้ขอให้นายยูจีน คาซิมีโรวสกี อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันที่ท่านสอนให้ช่วยวาดรูปนี้ให้ ตั้งแต่เดือนมกราคม ค..1934 เป็นต้นมา

การตั้งภาพพระเมตตาเป็นครั้งแรกเหตุแห่งความเชื่อมั่น ใครกันจะกล้าเสนอกิจศรัทธาอีกแบบหนึ่งในสักการสถานของแม่พระได้เล้า คำขอเช่นนี้ต้องถูกปฏิเสธเป็นแน่ และจะเป็นจริงหรือที่จะมีการฉลองสามอย่างที่ซิสเตอร์บอกกัน คือคำถามที่เกิดขึ้นในความคิดท่าน เมื่อท่านทราบจากซิสเตอร์โฟสตินาว่าพระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้ตั้งภาพนี้ไว้เป็นระยะเวลาสามวันที่ออสตรา บรามา หรือ ประตูฟากตะวันออกของวิลนิอุส ซึ่งจะมีพิธีปิดปีครบรอบการไถ่กู้โลก



แต่ไม่ทันไรท่านก็ถูกเชิญให้ไปเทศน์ในงานฉลองนั้นซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 26-28 เมษายน ค..1935 ซึ่งทำให้ในทันทีท่านก็มั่นใจในเรื่องสารที่ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับไปอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆอีกเลย แน่นอนท่านรับโดยมีข้อแม้ว่าภาพพระเมตตานี้จะต้องถูกตั้งไว้ที่หน้าต่างวัดใกล้ๆรูปปั้นของแม่พระในฐานะ ของประดับ”  หลังจากนั้นมาท่านก็คอยช่วยเหลือซิสเตอร์โฟสตินาทั้งการจัดพิมพ์แผ่นพับเรื่อพระเมตตาในช่วงฤดูร้อน ปี ค..1936 มาตลอดกระทั้งซิสเตอร์ถึงแก่มรณกรรมอย่าสงบเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค..1938

ท่านพยายามเผยแพร่พระเมตตาของพระเยซูเจ้าไป ท่านพยายามจะสร้างวัดพระเมตตาในวิลนิอุส แต่โครงการนี้ก็ต้องหยุดชะงักไปจากการอุบัติขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามท่านก็ไม่หวั่นท่านยังคงทำหน้าส่งเสริมความศรัทธาต่อพระเมตตาอย่างมิได้ลดละ นอกจากนั้นท่านยังคอยให้ความช่วยเหลือบรรดาผู้ถูกกดขี่หรือคุกคามทั้งหลายเป็นต้นว่าชาวยิว กระทั้ง ค..1942 ท่านพร้อมด้วยคณะครูและนักเรียนก็ต้องไปหลบภัยใกล้ๆวิลนิอุสอยู่ได้สองปี



แม้จะต้องหลบภัยงานพระเมตตาของท่านก็มิได้พักไป ตรงข้ามระหว่างนั้นท่านก็ได้พยายามจะตั้งคณะใหม่ ตามที่พระเยซูเจ้าได้เคยเผยแสดงแก่ซิสเตอร์โฟสตินา เพื่อส่งเสริมความรักต่อพระเมตตาของพระเจ้า และเมื่อสงครามจบลงท่านก็ได้ร่างธรรมนูญของคณะ พร้อมท่านเริ่มวางรากฐานคณะจากสิ่งที่ได้ยินมาจากซิสเตอร์โฟสตินาอย่างแข็งขัน

ต่อมาในปี ค..1947 ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ที่สามเณรราลัยของอัครสงัฆมณฑลเบียลสต๊อก ขนาบไปด้วยการดำเนินกิจการพระเมตตาอันได้แก่งานดำเนินเรื่องให้พระเมตตาตามที่ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับการเผยแสดงครั้งนี้ได้รับการอนุมัติจากทางสันตะสำนัก



จะมีเวลาหนึ่งซึ่งงานที่พระเจ้าทรงเรียกร้องอย่างมากมายชิ้นนี้จะดูเหมือนว่าถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ในบันทึกในปี ค..1935 ซิสเตอร์โฟสตินาได้พยากรณ์ไว้ดังนี้ ซึ่งช่วงนั้นงานเผยแพร่พระเมตตาจัดได้ว่ากำลังรุ่งเรืองภาพพระเมตตาและบทภาวนาเป็นที่รู้จักไปทั่ว จึงเหมือนว่าคำพยากรณ์นี้คงไม่มีทางเป็นไปจริงๆแน่ แต่แล้วในวันที่ 6 มีนาคม ค..1959 สันตะสำนักก็ได้ระงับการเผยแพร่เรื่องราวพระเมตตานี้ ทำให้ท่านต้องถูกทางสันตะสำนักตำหนิอย่างรุนแรง แต่อย่างไรท่านก็ยังสู้ต่อไป

ท่านทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยในฐานะนักพระคัมภีร์ นักเทววิทยาและพระสงฆ์ ที่อธิบายความจริงเรื่องการอุทิศตนต่อพระเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า สิ่งพิมพ์ของท่านได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆมากมายทั้ง อิตาลี ฝรั่งเศส ละติน  เป็นต้น กระทั้งในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ปี ค..1975 ในวัย 87 ปีที่อพาร์ตเมนต์ของท่าน ท่านก็ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่าสงบ ซึ่งวันนั้นตรงกับวันฉลองศาสนนามนักบุญโฟสตินา ของซิสเตอร์โฟสตินาพอดี ปัจจุบันคณะที่ท่านตั้งยังคงอยู่ด้วยนามที่ว่า คณะภคินีแห่งพระเยซูเจ้าผู้ทรงเมตตา (Zgromadzenie Sióstr Jezusa Miłosiernego)



เขาคือพระสงฆ์อย่างใจที่เราต้องการ เราพอใจความอุสาหะของเขา ลูกรัก เห็นไหมว่าพระประสงค์ของเราต้องสำเร็จไป และเราจะกระทำตามที่เราสัญญาต่อลูก อาศัยเขาเราจะกระจายความบรรเทาใจให้แก่งิญญาณที่เป็นทุกข์ และเหน็ดเหนื่อย อาศัยเขา เราพอใจจะประกาศการนมัสการความเมตตาของเรา และอาศัยงานแห่งพระเมตตานี้ วิญญาณจำนวนมากจะเข้ามาใกล้ชิดเรา มากยิ่งกว่าหากเขาจะโปรดศีลอภัยบาปตลอดวันและคืน ไปจนชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาเพราะด้วยการทำเช่นนั้น เขาจะทำงานหนักตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ด้วยงานพระเมตตานี้ เขาจะทำงานหนักได้จนถึงสิ้นพิภพ พระวาจาของพระเยซูเจ้าประทานแก่นักบุญโฟสตินาในวันที่ 30 สิงหาคม ค..1937  เรื่องราวของท่านเช่นกันถูกดำเนินเรื่องเพราะทุกคนต่างเชื่อว่าท่านคือนักบุญ กระทั้งในวันที่ 28 กันยายน ค..2008 ท่านก็ได้รับการประกาศให้เป็นบุญราศีอย่าสง่า ณ สักการสถานพระเมตตา ของ เบียลสต๊อก

พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ท่านทำความดีปิดปากคนโง่เขลามิให้พูดไรสาระ จงประพฤติตนดุจคนอิสระ(1 เปโตร 2:15) เราอาจมองว่าชีวิตของคุณพ่อในช่วงเริ่มแรกนั่นก็เป็นคุณพ่อธรรมดาๆที่เป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทววิทยา แต่พระเป็นเจ้าได้ทรงเตรียมท่านไว้เป็นธรรมทูตพระเมตตาผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากละ พระเจ้าจึงได้ให้ท่านมีความสามารถเช่นนี้ เพราะ ว่าแค่เพียงซิสเตอร์ธรรมดาๆผู้ไร้การศึกษาจะมีใครกันที่เชื่อ ดังนั้นท่านจึงมีหน้าที่ดั่งที่กล่าวไว้คือเป็นนักพระคัมภีร์ นักเทววิทยาและพระสงฆ์ ที่อธิบายความจริงเรื่องการอุทิศตนต่อพระเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า เพื่อประกาศพระเมตตาของพระเจ้าไปยังผู้ไม่รู้ ผู้ไม่เชื่อ ผู้หันหลังให้พระ ผู้ที่บอกว่าพระเจ้าไม่มีจริง ผู้ที่บอกว่าพระเมตตาเป็นเรื่องไร้สาระ คนอิสระ หมายถึง คนที่เชื่อในน้ำพระทัยพระเจ้ามากกว่ากระแสโลก แม้จะถูกต่อว่าเมื่อพระเมตตาถูกสันตะสำนักสั่งห้าม ท่ามกลางความลำบากท่านก็ยังคงเชื่อว่านี้คือความจริงท่านเป็นอิสระจากโลก แต่เป็นข้ารองบาทในสวรรค์นิรันดร์ เราต้องเป็นอิสระจากโลกและเป็นข้ารองบาทของพระเจ้าตลอดนิรันดร์ เป็นคนดีของสังคมตลอดไป


ข้าแต่ท่านบุญราศี มีคาเอล โซปอสโก ช่วยวิงวอนเทอญ




เยซู อูฟาโทเบ พระเยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์


ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...