นักบุญ อักเนส เล ทิ ทานฮ์
St. Anê Lê Thị Thành
ฉลองในวันที่ : 12 กรกฏาคม
หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรในเวียดนาม ในที่หมู่บ้านไบ เดียน (Bái Điền) ของจังหวัดทัญฮว้า ทางชายฝั่งตอนกลางเหนือของประเทศเวียดนาม ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1781 ทารกเพศหญิงธรรมดาๆได้ถือกำเนิดขึ้นในวิถีคริสตชน
และเติบโตเป็นสาวผู้ฉลาดเฉลียวและใจศรัทธาในศีลมหาสนิท ก่อนเข้าพิธีสมรสด้วยวัย 19 ปี กับเหงียน
วัน เญิ้ต พร้อมมีลูกกับเขาแบ่งเป็นชายสองคนคือ เด และ
ตรึน หญิงอีกสี่คนคือ ตู , นัม ,
เหนียน และนุ รวมหกคน ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตามวิถีของความเชื่อ
ด้วยอาชีพทำนาและเลี้ยงดักแด้ และไม่เคยมีใครเคยได้ยินเสียงเถียงกันจากหลังนี้เลยสักครั้ง
“คุณแม่คอยดูแลเรื่องการศึกษาของพวกเรา คุณแม่สอนวิธีเขียนวิธีอ่านและคำสอนกับพวกเรา
จากนั้นคุณแม่ยังสอนวิธีเข้ามิสซาและวิธีแก้บาปอีกด้วย
และหากเราขี้เกียจจะไปแก้บาปหรือไม่เอาใจใส่
คุณแม่ก็จะกระตุ้นเราจนถึงหยดสุดท้ายเลยทีเดียวค่ะ
นอกจากนี้ท่านยังพาพวกเราเข้ากลุ่มแม่พระ ของบรรดาเยาวชนหญิงในวัด” ลูเซีย บุตรีคนสุดท้องของท่านกล่าวในการให้การประกอบการแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ
นอกจากนี้ท่านยังไม่เคยปฏิเสธคนที่มาขอเลยสักครั้ง
ต่อมาเมื่อลูกชายคนหนึ่งของท่านตัดสินใจแต่งงานกับอันนา
นาม ท่านก็ได้ต้อนรับเธออย่างดีดั่งเธอคือลูกอีกคนหนึ่งของท่าน “หลังจากที่ผมแต่งงานแล้วคุณแม่ก็มักแวะเวียนมาเยี่ยมผมและให้คำแนะนำดีๆเสมอ
ท่านสอนฉันว่า ‘จงเชื้อฟังพระเจ้าการแต่งงานน่ะมันเป็นภาระที่หนักมากเลยนะ
ลูกต้องกินอย่างฉลาด ห้ามไม่เชื่อฟังพ่อและแม่ของเขา
จงต้อนรับกางเขนที่พระเจ้าทรงส่งมา’ นอกจากนั้นคุณแม่ยังแนะนำภรรยาของผมว่า ‘ทั้งสองคนนะต้องอยู่ด้วยกันอย่างสามัคคี
มีความสุข และอย่าปล่อยให้ใครได้ยินเราทั้งสองนะเถียงกันละ’”
ในรัชสมัยของกษัตริย์เทีย
ทริ (Thiệu Trị) เป็นช่วงของการเบียดเบียนศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง
พระสงฆ์ก็ได้มาซ่อนที่หมู่บ้านของท่านด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัวของท่าน กระทั้งในเช้าวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จคืนพระชนม์ชีพ ที่ 14
เมษายน ค.ศ.1841 นายทหารห้าร้อยก็ได้เข้าล้อมหมู่บ้านท่าน ก่อนเข้าค้น
ซึ่งเป็นเวลาพอดีกลับช่วงที่คุณพ่อที่มาซ่อนด้วยพึ่งทำมิสซาเสร็จ ดังนั้นคุณพ่อจึงต้องรีบหนีขึ้นไปซ่อนที่ชั้นบนของห้องครัว
แต่โชคดีที่ท่านและคุณพ่อลีสามารถหลบออกไปอยู่สวนของโรงแรมที่คุณพ่อทำมิสซาได้ทันก่อนทหารจะบุกเข้ามา
ท่านก็ได้ไปซ่อนแถวคูน้ำที่แห้งของสวนที่ติดกับกอไผ่
แต่ท้ายที่สุดท่านก็ถูกจับในข้อหาให้ที่พักแก่พระสงฆ์
หลังจากถูกทหารคุมตัวได้
ท่านก็ถูกล่ามโซ่และถูกบังคับให้เดินไปยังคุกที่ทินฮ์ นัม ดินฮ์
ซึ่งจากสุขภาพที่ไม่ค่อยดีตามอายุของท่าน ทำให้หลายครั้งต้องมีคนคอยช่วยท่านเดินเพราะท่านไม่อาจทาทนโซ่ที่หนักอึ้งได้
กระทั้งเมื่อมาถึงคุกท่านก็ถูกนำตัวขึ้นพิพากษาหลังจากหกวันในถนน
ที่พยายามบังคับท่านให้เลิกนับถือพระเจ้า ทันทีท่านประกาศว่า “ฉันนมัสการแต่เพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น
ฉันจะไม่ละทิ้งพระองค์ไปตลอดนิรันดร์กาล…”
เหตุฉะนี้เมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้แล้ว
ไม้แข็งจึงได้ถูกงัดออกมา โดยทีแรกทหารได้ใช้แส้เฆี่ยนตีท่าน และยังใช้ไม้ไผ่ขนาดใหญ่แทงเท้าท่านเพื่อให้ท่านยอมละทิ้งพระเจ้าเสีย
แต่ถึงกระนั้นไม่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจท่านมิให้ติดตามพระเจ้าต่อไปได้
ซึ่งท่านได้เผยถึงเหตุที่ท่านไม่ย่อท้อกลับสามีที่แวะมาเยี่ยมว่า “พวกเขาเฆี่ยนตีฉันอย่างรุนแรงมาก
เป็นคนทั่วไปก็ใช่ว่าจะทนได้ แต่เพราะฉันน่ะได้รับความช่วยเหลือจากพระมารดา
ดังนั้นฉันถึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย”
กระทั้งในวันสอบสวนในวันจันท์และวันอังคาร
ท่านก็ยังคงมั่นคงในพระเจ้าดุจดั่งพญามังกร
บรรดาทหารจึงได้รับคำสั่งให้ใช้กำลังบังคับท่านให้เหยียบไม้กางเขนเสียได้
แต่ท่านก็สามารถสลัดและล้มตัวลงกับพื้นพลางร่ำไห้ว่า “พระเจ้าข้า โปรดทรงเมตตาช่วยลูกด้วยเถิด
ลูกไม่เคยปฏิเสธความเชื่อในพระองค์เลย แต่เพราะลูกเป็นสตรีที่ไร้ทางสู้พวกเขาจึงต่างพากันบังคับลูกให้เหยียบไม้กางเขน”
เมื่อมีการนำตัวท่านคือไต่สวนครั้งหนึ่ง
พวกเขาก็ได้คว้ามือท่านมาพลางเอางูพิษยัดใส่แขนเสื้อของท่าน
แต่อย่างไรท่านก็ยังคงสงบเงียบเป็นที่น่าประหลาดใจแก่ผู้เห็นเหตุการณ์ ท่านยืนนิ่งอย่างนั้นเรื่อยๆดั่งศิลาทำให้ไม่นานงูก็เลื้อยออกมาหลังจากเลื้อยไปรอบตัวท่านไม่กี่รอบ
โดยที่ไม่ได้ฝังเขี้ยวอันมีพิษร้ายของมันลงบนผิวหนังของท่านไม่ ด้วยความโกธรทหารจึงใช้ไม่ไผ่ตีท่านอย่างรุนแรง
สภาพท่านในตอนนี้อาจบอกได้เลยว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าของท่านั้นเต็มไปด้วยเลือด
แต่อย่างไรท่านก็ยังมั่นคงและสวดภาวนาเสมอโดยเฉพาะสายประคำ
เมื่อลูเซียบุตรสาวคนเล็กไปเยี่ยมท่าน
เธอก็ต้องถึงกับน้ำตาตก เพราะ
สภาพมารดาที่เธอรักตอนนี้ที่เสื้อผ้าต่างเต็มไปด้วยเลือดและมีกลิ่นเหม็นเน่า
ด้วยความเป็นแม่ท่านจึงได้รับปลอบด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ไม่เห็นจำเป็นต้องร้องไห้ต่อไปเลยนะ นี่คือดอกกุหลาบแดงของความความกล้าหาญของแม่ต่างหากละ แม่รับทรมานนพระนามของพระเยซูเจ้า ใยลูกแม่จึงร้องไห้ไปเสียละ”
นอกเหนือจากความทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายแล้ว
ท่านยังต้องประสพกับความยากลำบากในการรับประทานอาหารจากภาวะของโรคบิด
โชคยังดีที่ท่านยังได้รับการดูแลจากซิสเตอร์สองคนที่อยู่ในคุกด้วยกัน
กับพระสงฆ์ที่แวะมาเยี่ยมพร้อมยาและศีลมหาสนิท พร้อมศีลเจิมคนไข้
ในระหว่างที่ท่านกำลังจะสิ้นใจท่านก็ได้พูดซ้ำๆว่า “องค์พระผู้เป็น
องค์ผู้เป็นเจ้าผู้สิ้นพระชนม์ชีพเพื่อลูก ลูกทำทุกสิ่งตามน้ำพระทัยของพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงยกบาปของลูกด้วยเถิด”
กระทั่งที่สุดหลังจากเอยว่า
“เยซู มารีย์ ยอแซฟ ลูกของฝากวิญญาณและร่างกายไว้ในหัตถ์ของพวกท่าน
โปรดอวยพรลูกให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งด้วยเถิด” ท่านในวัย 60 ปี ก็ได้คืนวิญญาณไปสู่พระบิดาเจ้าอย่างสงบ
ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1841 ณ คุกที่ท่านถูกขังมาได้แล้วสามเดือน
และเพื่อตรวจสอบว่านักโทษว่าตายจริงหรือไม่
ทหารจึงได้ใช่ไม้เผาเท้าท่านและเมื่อแน่ใจแล้ว พวกเขาก็ได้นำร่างของท่านไปฝังไว้อย่างลวกๆแต่แปลกที่ร่างท่านก็ยังคงดูสวยงายมากกว่าตอนที่ท่านมีชีวิตเสียอีก
และเมื่อหกเดือนต่อมาเมื่อมีการขุดย้ายร่างท่านก็ต้องพบว่าร่างท่านยังคงสภาพเดิมทุกอย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ
เรื่องราวของท่านถูกรวบรวมพร้อมกับบรรดามรณสักขีท่านอื่นๆในเวียดนาม
และได้รับการบันทึกในสารบบุญราศีเมื่อวันที่ 2
พฤษภาคม ค.ศ.1909 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 10
จากนั้นในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ.1988 หลังจาก 147
ปีแห่งมรณกรรมท่านและบุญราศีมรณสักขีชาวเวียดนามอีก 116 หกคนก็ได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญอย่างสมเกียรติ
ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เป็นนักบุญต้นแบบของแม่คาทอลิกที่ดีอีกองค์หนึ่ง
“อย่ากลัวเลยเพราะเราอยู่กับเจ้า”(อิสยาห์ 43:5) ทำไมหญิงสูงวัยหกสิบคนหนึ่งถึงสามารถรับทรมานได้อย่างมีความสุข
โดยที่ไม่กลัวเลย ทั้งๆที่มีสุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลดั่งที่พระวาจาคือพระองค์ทรงอยู่กับเรา
ทรงร่วมทุกข์ไปกับเราเสมอ แม้ในยามเราทุกข์ยาก พระองค์ทรงอยู่ใกล้เราคอยมอบความบรรเทาแก่เราเสมอตอนทางกางเขนนี้
อาศัยพระพรและคำเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์พรหมจารี
ให้เรามีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาและก้าวผ่านความผิดพลาดมากมายในชีวิต
เพื่อให้ชีวิตของเราทุกคนได้เป็นพยานถึงความรัก
ความสุภาพและนบนอบผ่านกางเขนและพระทรมานของพระองค์ และโดยการแบกกางเขนของเราในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมสักขีของพระเจ้า
(บางทีอาจจะมีจุดผิดบ้างตรงบริเวณคำพูดเนื่องจากเป็นภาษาเวียดนามซึ่งผู้แปลจึงพยายามจะให้ออกมาในแนวที่ใช้ที่สุด
ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้)
“ข้าแต่ท่านนักบุญ อักเนส เล ทิ ทานฮ์
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง