วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

"อักเนส เล ทิ ทานฮ์ " คุณแม่ผู้ไม่ธรรมดาของเวียดนาม


นักบุญ อักเนส เล ทิ ทานฮ์ 
St. Anê Lê Thị Thành
ฉลองในวันที่ : 12 กรกฏาคม

หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรในเวียดนาม ในที่หมู่บ้านไบ เดียน (Bái Điền) ของจังหวัดทัญฮว้า ทางชายฝั่งตอนกลางเหนือของประเทศเวียดนาม ในช่วงประมาณปี ค..1781 ทารกเพศหญิงธรรมดาๆได้ถือกำเนิดขึ้นในวิถีคริสตชน และเติบโตเป็นสาวผู้ฉลาดเฉลียวและใจศรัทธาในศีลมหาสนิท ก่อนเข้าพิธีสมรสด้วยวัย 19 ปี กับเหงียน วัน เญิ้ต พร้อมมีลูกกับเขาแบ่งเป็นชายสองคนคือ เด และ ตรึน หญิงอีกสี่คนคือ ตู , นัม , เหนียน และนุ รวมหกคน ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตามวิถีของความเชื่อ ด้วยอาชีพทำนาและเลี้ยงดักแด้ และไม่เคยมีใครเคยได้ยินเสียงเถียงกันจากหลังนี้เลยสักครั้ง

คุณแม่คอยดูแลเรื่องการศึกษาของพวกเรา คุณแม่สอนวิธีเขียนวิธีอ่านและคำสอนกับพวกเรา จากนั้นคุณแม่ยังสอนวิธีเข้ามิสซาและวิธีแก้บาปอีกด้วย และหากเราขี้เกียจจะไปแก้บาปหรือไม่เอาใจใส่ คุณแม่ก็จะกระตุ้นเราจนถึงหยดสุดท้ายเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ท่านยังพาพวกเราเข้ากลุ่มแม่พระ ของบรรดาเยาวชนหญิงในวัด ลูเซีย บุตรีคนสุดท้องของท่านกล่าวในการให้การประกอบการแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ นอกจากนี้ท่านยังไม่เคยปฏิเสธคนที่มาขอเลยสักครั้ง



ต่อมาเมื่อลูกชายคนหนึ่งของท่านตัดสินใจแต่งงานกับอันนา นาม ท่านก็ได้ต้อนรับเธออย่างดีดั่งเธอคือลูกอีกคนหนึ่งของท่าน หลังจากที่ผมแต่งงานแล้วคุณแม่ก็มักแวะเวียนมาเยี่ยมผมและให้คำแนะนำดีๆเสมอ ท่านสอนฉันว่าจงเชื้อฟังพระเจ้าการแต่งงานน่ะมันเป็นภาระที่หนักมากเลยนะ ลูกต้องกินอย่างฉลาด ห้ามไม่เชื่อฟังพ่อและแม่ของเขา จงต้อนรับกางเขนที่พระเจ้าทรงส่งมา นอกจากนั้นคุณแม่ยังแนะนำภรรยาของผมว่า ทั้งสองคนนะต้องอยู่ด้วยกันอย่างสามัคคี มีความสุข และอย่าปล่อยให้ใครได้ยินเราทั้งสองนะเถียงกันละ’”

ในรัชสมัยของกษัตริย์เทีย ทริ (Thiệu Trị) เป็นช่วงของการเบียดเบียนศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง พระสงฆ์ก็ได้มาซ่อนที่หมู่บ้านของท่านด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัวของท่าน กระทั้งในเช้าวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จคืนพระชนม์ชีพ ที่ 14 เมษายน ค..1841 นายทหารห้าร้อยก็ได้เข้าล้อมหมู่บ้านท่าน ก่อนเข้าค้น ซึ่งเป็นเวลาพอดีกลับช่วงที่คุณพ่อที่มาซ่อนด้วยพึ่งทำมิสซาเสร็จ ดังนั้นคุณพ่อจึงต้องรีบหนีขึ้นไปซ่อนที่ชั้นบนของห้องครัว แต่โชคดีที่ท่านและคุณพ่อลีสามารถหลบออกไปอยู่สวนของโรงแรมที่คุณพ่อทำมิสซาได้ทันก่อนทหารจะบุกเข้ามา ท่านก็ได้ไปซ่อนแถวคูน้ำที่แห้งของสวนที่ติดกับกอไผ่ แต่ท้ายที่สุดท่านก็ถูกจับในข้อหาให้ที่พักแก่พระสงฆ์



หลังจากถูกทหารคุมตัวได้ ท่านก็ถูกล่ามโซ่และถูกบังคับให้เดินไปยังคุกที่ทินฮ์ นัม ดินฮ์ ซึ่งจากสุขภาพที่ไม่ค่อยดีตามอายุของท่าน ทำให้หลายครั้งต้องมีคนคอยช่วยท่านเดินเพราะท่านไม่อาจทาทนโซ่ที่หนักอึ้งได้ กระทั้งเมื่อมาถึงคุกท่านก็ถูกนำตัวขึ้นพิพากษาหลังจากหกวันในถนน ที่พยายามบังคับท่านให้เลิกนับถือพระเจ้า ทันทีท่านประกาศว่า ฉันนมัสการแต่เพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ฉันจะไม่ละทิ้งพระองค์ไปตลอดนิรันดร์กาล…”

เหตุฉะนี้เมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้แล้ว ไม้แข็งจึงได้ถูกงัดออกมา โดยทีแรกทหารได้ใช้แส้เฆี่ยนตีท่าน และยังใช้ไม้ไผ่ขนาดใหญ่แทงเท้าท่านเพื่อให้ท่านยอมละทิ้งพระเจ้าเสีย แต่ถึงกระนั้นไม่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจท่านมิให้ติดตามพระเจ้าต่อไปได้ ซึ่งท่านได้เผยถึงเหตุที่ท่านไม่ย่อท้อกลับสามีที่แวะมาเยี่ยมว่า พวกเขาเฆี่ยนตีฉันอย่างรุนแรงมาก เป็นคนทั่วไปก็ใช่ว่าจะทนได้ แต่เพราะฉันน่ะได้รับความช่วยเหลือจากพระมารดา ดังนั้นฉันถึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย



กระทั้งในวันสอบสวนในวันจันท์และวันอังคาร ท่านก็ยังคงมั่นคงในพระเจ้าดุจดั่งพญามังกร บรรดาทหารจึงได้รับคำสั่งให้ใช้กำลังบังคับท่านให้เหยียบไม้กางเขนเสียได้ แต่ท่านก็สามารถสลัดและล้มตัวลงกับพื้นพลางร่ำไห้ว่า พระเจ้าข้า โปรดทรงเมตตาช่วยลูกด้วยเถิด ลูกไม่เคยปฏิเสธความเชื่อในพระองค์เลย แต่เพราะลูกเป็นสตรีที่ไร้ทางสู้พวกเขาจึงต่างพากันบังคับลูกให้เหยียบไม้กางเขน

เมื่อมีการนำตัวท่านคือไต่สวนครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ได้คว้ามือท่านมาพลางเอางูพิษยัดใส่แขนเสื้อของท่าน แต่อย่างไรท่านก็ยังคงสงบเงียบเป็นที่น่าประหลาดใจแก่ผู้เห็นเหตุการณ์ ท่านยืนนิ่งอย่างนั้นเรื่อยๆดั่งศิลาทำให้ไม่นานงูก็เลื้อยออกมาหลังจากเลื้อยไปรอบตัวท่านไม่กี่รอบ โดยที่ไม่ได้ฝังเขี้ยวอันมีพิษร้ายของมันลงบนผิวหนังของท่านไม่  ด้วยความโกธรทหารจึงใช้ไม่ไผ่ตีท่านอย่างรุนแรง สภาพท่านในตอนนี้อาจบอกได้เลยว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าของท่านั้นเต็มไปด้วยเลือด แต่อย่างไรท่านก็ยังมั่นคงและสวดภาวนาเสมอโดยเฉพาะสายประคำ



เมื่อลูเซียบุตรสาวคนเล็กไปเยี่ยมท่าน เธอก็ต้องถึงกับน้ำตาตก เพราะ สภาพมารดาที่เธอรักตอนนี้ที่เสื้อผ้าต่างเต็มไปด้วยเลือดและมีกลิ่นเหม็นเน่า ด้วยความเป็นแม่ท่านจึงได้รับปลอบด้วยรอยยิ้มว่า แม่ไม่เห็นจำเป็นต้องร้องไห้ต่อไปเลยนะ นี่คือดอกกุหลาบแดงของความความกล้าหาญของแม่ต่างหากละ แม่รับทรมานนพระนามของพระเยซูเจ้า ใยลูกแม่จึงร้องไห้ไปเสียละ

นอกเหนือจากความทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายแล้ว ท่านยังต้องประสพกับความยากลำบากในการรับประทานอาหารจากภาวะของโรคบิด โชคยังดีที่ท่านยังได้รับการดูแลจากซิสเตอร์สองคนที่อยู่ในคุกด้วยกัน กับพระสงฆ์ที่แวะมาเยี่ยมพร้อมยาและศีลมหาสนิท พร้อมศีลเจิมคนไข้ ในระหว่างที่ท่านกำลังจะสิ้นใจท่านก็ได้พูดซ้ำๆว่า องค์พระผู้เป็น องค์ผู้เป็นเจ้าผู้สิ้นพระชนม์ชีพเพื่อลูก ลูกทำทุกสิ่งตามน้ำพระทัยของพระองค์  ขอพระองค์โปรดทรงยกบาปของลูกด้วยเถิด



กระทั่งที่สุดหลังจากเอยว่า เยซู มารีย์ ยอแซฟ ลูกของฝากวิญญาณและร่างกายไว้ในหัตถ์ของพวกท่าน โปรดอวยพรลูกให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งด้วยเถิด ท่านในวัย 60 ปี ก็ได้คืนวิญญาณไปสู่พระบิดาเจ้าอย่างสงบ ในวันที่ 7 ธันวาคม ค..1841 ณ คุกที่ท่านถูกขังมาได้แล้วสามเดือน และเพื่อตรวจสอบว่านักโทษว่าตายจริงหรือไม่ ทหารจึงได้ใช่ไม้เผาเท้าท่านและเมื่อแน่ใจแล้ว พวกเขาก็ได้นำร่างของท่านไปฝังไว้อย่างลวกๆแต่แปลกที่ร่างท่านก็ยังคงดูสวยงายมากกว่าตอนที่ท่านมีชีวิตเสียอีก และเมื่อหกเดือนต่อมาเมื่อมีการขุดย้ายร่างท่านก็ต้องพบว่าร่างท่านยังคงสภาพเดิมทุกอย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ

เรื่องราวของท่านถูกรวบรวมพร้อมกับบรรดามรณสักขีท่านอื่นๆในเวียดนาม และได้รับการบันทึกในสารบบุญราศีเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค..1909 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 10 จากนั้นในวันที่ 19 มิถุนายน ค..1988 หลังจาก 147 ปีแห่งมรณกรรมท่านและบุญราศีมรณสักขีชาวเวียดนามอีก 116 หกคนก็ได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญอย่างสมเกียรติ ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เป็นนักบุญต้นแบบของแม่คาทอลิกที่ดีอีกองค์หนึ่ง



อย่ากลัวเลยเพราะเราอยู่กับเจ้า(อิสยาห์ 43:5) ทำไมหญิงสูงวัยหกสิบคนหนึ่งถึงสามารถรับทรมานได้อย่างมีความสุข โดยที่ไม่กลัวเลย ทั้งๆที่มีสุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลดั่งที่พระวาจาคือพระองค์ทรงอยู่กับเรา ทรงร่วมทุกข์ไปกับเราเสมอ แม้ในยามเราทุกข์ยาก พระองค์ทรงอยู่ใกล้เราคอยมอบความบรรเทาแก่เราเสมอตอนทางกางเขนนี้ อาศัยพระพรและคำเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์พรหมจารี ให้เรามีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาและก้าวผ่านความผิดพลาดมากมายในชีวิต เพื่อให้ชีวิตของเราทุกคนได้เป็นพยานถึงความรัก ความสุภาพและนบนอบผ่านกางเขนและพระทรมานของพระองค์ และโดยการแบกกางเขนของเราในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมสักขีของพระเจ้า
(บางทีอาจจะมีจุดผิดบ้างตรงบริเวณคำพูดเนื่องจากเป็นภาษาเวียดนามซึ่งผู้แปลจึงพยายามจะให้ออกมาในแนวที่ใช้ที่สุด ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้)


ข้าแต่ท่านนักบุญ อักเนส เล ทิ ทานฮ์ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...