นักบุญ เปโตร ยู
แท ชอล
St. 유대철 베드로
ฉลองในวันที่ : 21 ตุลาคม
ชีวิตอันน่าอัศจรรย์ของเด็กชายเกาหลีเริ่มตั้งแต่ปี
ค.ศ.1826
ในบ้านของครอบครัวที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นบุตรชายและลูกคนสุดท้องของล่ามของข้าราชการนามออกัสติน
ยู จิน กิล คาทอลิกใจศรัทธา กับสตรีนางหนึ่งผู้ยังคงนับถือศาสนาเดิม ดังนั้นเมื่อเติบโตขึ้นมาและตัดสินใจรับศีลล้างบาปด้วยนาม
เปโตร มารดาของท่านจึงพยายามบังคับท่านหลายต่อหลายครั้งเพื่อกันท่านออกจากหนทางแห่งความเชื่อ
โดยพยายามบังคับให้ท่านถวายเครื่องบูชาต่อผีบรรพบุรุษทั้งหลายตามความเชื่อเดิม
ซึ่งแน่นอนท่านไม่ยอม
พี่สาวและมารดาของท่านจึงเคยถามท่านว่าทำไมท่านจึงไม่เชื่อฟังมารดาท่านละ
ซึ่งท่านก็จะตอบด้วยท่าทีที่อ่อนโยนว่า มันไม่เหมาะสมเลยที่ท่านจะเชื่อท่านแม่และไม่เชื่อฟังกษัตริย์แห่งสรวงสวรรค์และพระบิดาเจ้าของสรรพชีวิตทุกสิ่ง
แต่เป็นแค่เรื่องความเชื่อเท่านั้นแหละที่ท่านจะไม่เชื่อฟังสิ่งที่มารดาท่านสั่ง
แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นท่านก็จะเชื่อฟังมารดาเสมอ
ต่อมาเมื่อการเบียดเบียนคริสตชนครั้งใหญ่ได้ผงาดขึ้นดั่งพญาอินทรีบนแผ่นดินเกาหลี
ท่านก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้หลั่งโลหิตลงเพื่อยืนยันความเชื่อในฐานะมรณสักขี
แม้ท่านจะรู้สึกสะเทือนใจมากแต่ท่านก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจในความกล้าหาญของบิดาและบรรดามรณสักขีทั้งหลายที่ต่างยอมตายเสียดีกว่าละทิ้งความเชื่อ
ดวงใจของท่านดั่งถูกเผาไหม้ไปด้วยเปลวไฟแห่งความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า “ผมจะทำตามท่านพ่อที่ถวายชีวิตแด่พระเจ้า
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในโลกคือความตาย”
ท่านคิดในใจ
ที่สุดในเดือนกรกฎาคม
ค.ศ.1839
ท่านไม่อาจห้ามแรงปรารถนาได้อีกต่อไป ท่านจึงไดเดินทางไปยังที่เจ้าหน้าที่ราชการและประกาศว่าท่านนี้แหละคริสตชน
“ผมเชื่อในพระเจ้า กรุณาจับผมไปด้วยเถิด” เป็นเหตุให้ท่านถูกจับขึ้นศาลและถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆนานาเพื่อให้ท่านยอมละทิ้งพระเจ้าเสีย
ดั่งเหตุการณ์ในวันหนึ่งผู้คุมได้ตีขาท่านด้วยกล้องยาสูบขนาดยาวที่ยังร้อนๆอยู่
จนทำให้เนื้อท่านถึงกับฉีก
ก่อนจะถามท่านว่า “มึงยังจะเชื่อในพระเจ้าอยู่ไหม” ท่านก็ตอบอย่างจริงจังว่า “ครับ ผมยืนยัน ผมไม่กลัวที่จะถูกตีหรอกครับ” ผู้คุมจึงขู่ท่านว่า
ถ้าท่านไม่ยอมเข้าจะเอาถ่านร้อนๆนี้แหละยัดใส่ปากท่านเสียเลย
ซึ่งแน่นอนท่านก็เพียงแต่อ้าปากขึ้นและกล่าวว่าท่านน่ะพร้อมแล้ว
แต่แม้ปากของผู้คุมจะกล่าวยังงั้นเขาก็ทำมันไม่ลงจริงๆ อันเหตุการณ์นี้สร้างความประทับใจแก่บรรดาผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทุกคนที่ต่างพากันซ้องในความกล้าหาญของท่าน
และมีอีกครั้งหนึ่งท่านถูกตีจนถึงขนาดสิ้นสติไป
และเมื่อฟื้นสติขึ้นมาท่านก็ได้กล่าวกับนักโทษที่ได้ช่วยท่านให้ตื่นเป็นเหมือนคำทำนายว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ
ผมน่ะจะไม่ตายเพราะความเจ็บปวดนี้หรอกครับ”
การสอบปากคำท่านมีขึ้น
14 ครั้ง
โดยมีวิธีที่ต่างกันไปตามการสอบปากคำแต่ละครั้ง ท่านถูกเฆี่ยนนับ 600 ครั้ง ไม่รวมถึงถูกตีด้วยกระบองอีกราวๆ 45 ครั้ง สภาพท่านในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยบาดแผล
และมีอาการกระดูกหัก และเนื้อหนังฉีกขาด
แต่ก็แปลกที่ใบหน้าของท่านก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดีเสมอ
ครั้งหนึ่งท่านโยนเนื้อที่ไหล่ที่หลุดของท่านไปให้ผู้คุม
จนเป็นสร้างความประหลาดใจและความละอายใจไปพร้อมๆกันในใจของทุกคน เหตุไม่มีใครอยากจะเชื่อเลยว่าเด็กวัย
13 ปีอย่างท่านจะถูกทำทารุณกรรมเช่นนี้เลย
ด้วยความต้องการเอาชนะท่าน
แต่ทรมานอย่างไรๆท่านก็ยังคงหนักแน่น ที่สุดจึงมีการตัดสินให้ท่านถูกรัดคอในที่สุด ท่านจึงได้จบชีวิตลงสมดั่งใจปรารถนาขณะอายุได้ประมาณ
13 ปี ซึ่งวันนั้นคือวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ.1839 ชื่อของท่านได้รับการบันทึกไว้กับบรรดามรณสักขีผู้ใหญ่ทั้งหลายในฐานะบุญราศีเมื่อวันที่
5 กรกฏาคา ค.ศ.1925 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 และเนื่องในวโรกาสครบรอบ 200 ปี แห่งพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศเกาหลี สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ได้ทรงสถาปนาท่านพร้อมบรรดามรณสักขีคนอื่นเป็นนักบุญ
ณ ยออีโด กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
เป็นนักบุญแบบฉบับเยาวชนอีกคนของเกาหลีและของโลก
“ขอพระวาจาของพระคริสตเจ้าสถิตอยู่ในท่านอย่างเต็มเปี่ยม
จงสอนและตักเตือนกันด้วยปรีชาญาณ จงขอบพระคุณพระเจ้าโดยการขับร้องบทเพลงสดุดี
เพลงสรรเสริญ และบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆจากใจจริง”(โคโลสี 3:16)
พระวาจาสถิตในเราคืออะไรคำตอบบางทีอาจคือการที่เรานำพระวาจานั้นไปปฏิบัติจริงๆ
ชีวิตของท่านเราอาจมองเห็นว่าท่านได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้าจริงๆ
บทเพลงที่ท่านสรรเสริญพระเจ้าคือการรับกางเขนด้วยใจน้อมรับ
ซึ่งล้ำค่ามากกว่าการยอมละทิ้งพระองค์เพื่อรักษาชีวิตไว้อันไม่เที่ยง
แต่ท่านเลือกชีวิตนิรันดร์ทางไปนั้นต้องไปทางพระเยซูเจ้าตามที่พระองค์ตรัสไว้คือ
เราคือหนทาง ความจริงและชีวิต ไม่มีบทเพลงไหนใดโลกหรอกจะเทียมเท่าบทเพลงแห่งใจน้อมรับ
จึงไม่แปลกอะไรที่ใบหน้าน้อยๆของท่านจะคงมีรอยยิ้มเสมอเพราะท่านรู้ดีว่าท่านได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าแล้วจริงๆ
และในที่นี่ผู้เขียนขอขบคุณคุณ Nicolas Rattapakorn Fak-on
ที่สละเวลาแปลจากต้นฉบับภาษาเกาหลีมาเป็นภาษาไทยให้ผู้เขียนที่ไม่มีภูมิเรื่องภาษาเกาหลีเลย
มีบางอันทีลองเทียบกันฉบับอังกฤษที่พบแล้วไม่ตรงก็เลยขอตัดออกไป จึงขอขอบคุณและขออภัยมา
ณ ที่นี่ ขอท่านนักบุญ
เปโตร ยู แท ชอล
อวยพรคุณนิโคลัสมากๆนะครับ
“ข้าแต่ท่านนักบุญ เปโตร ยู แท ชอลและบิดา ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง