บุญราศี มีคาเอล
โซปอสโก
Bl. Michał Sopoćko
ฉลองในวันที่ : 15 กุมภาพันธ์
วันที่สี่ของการเข้าเงียบในวันที่
24 เมษายน ค.ศ.1933 ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน ปีนั้น หลังจากได้แก้บาปแล้วกับคุณพ่ออันดราส
ซิสเตอร์โฟสตินาก็ได้ไปสวดภาวนาอยู่ราวสามชั่วโมงแต่ความรู้สึกซิสเตอร์กลับรู้สึกเพียงสองสามนาที ซึ่งขณะกำลังสวดภาวนาอยู่นั่นซิสเตอร์ก็ได้แลเห็นนิมิตคุณพ่อท่านหนึ่ง
ดั่งที่เคยเห็นที่วอร์ซอ ทันทีซิสเตอร์ได้ยินเสียงหนึ่งตรัสว่า“ท่านจะช่วยลูกให้ปฏิบัติตามความประสงค์ของเราขณะอยู่บนโลกนี้” มันปลดปล่อยเธอจากข้อกังขาทุกอย่างในความสงสัยถึงพระหรรษทานของพระเยซูเจ้าที่ประทานแด่เธอไปสิ้น
ในวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ที่ 1 พฤศจิกายน
ค.ศ.1888
ชีวิตใหม่ได้กำเนิดขึ้นเพื่อเป็นธรรมทูตพระเมตตาผู้ยิ่งใหญ่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย ที่ ออสซ์เมียนสกี(oszmiański) แคล้นวิลนิอุส ปัจจุบันอยู่ในทางภาคตะวันตกของประเทศเบลารุส
ท่ามกลางการเบียดเบียนคริสตชนคาทอลิกในโปแลนด์และลิทัวเนียโดยผู้เป็นใหญ่ของรัสเซีย
ในตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่าของโปแลนด์ที่มั่นคงในความเชื่อ
ชีวิตใหม่จึงเบ่งบานขึ้นมาท่ามกลางความเชื่อและความรักชาติ
กระทั้งจบชั้นมัธยมศึกษา ท่านก็ตัดสินใจเข้าสามเณรราลัยนักบุญยอแซฟของวิลนิอุส (คือแคว้นสมัยก่อนปัจจุบันกินพื้นที่อยู่แถบประเทศลิทัวเนีย
เบลารุส ที่ขึ้นตรงต่อรัสเซีย) ในประเทศลิทัวเนีย
ก่อนจะได้รับศีลอนุกรมเป็นพระสงฆ์โดยพระคุณเจ้าฟรานชิสเซค คาเรวิกซ์ ในวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1914
หลังจากนั้นท่านก็ไปประจำที่ในฐานะผู้แทน(vicar) ที่เขตทาโบรีสชกี
และได้เปิดสองพันธกิจของพระศาสนาจักรที่มีดนีกิ กับ โอนชัดฟ์
เช่นเดียวกับที่โรงเรียนต่างๆ กระทั้งปี ค.ศ.1918 เมื่อมีคนมาแจ้งท่านมาเจ้าหน้าที่เยอรมันจะมาตรวจที่นี่และอาจจับตัวท่านไปได้
ด้วยเหตุนี้ท่านต้องเดินทางออกจากที่นั่น และได้เดินทางไปกรุงวอร์ซอในทันที
ที่กรุงวอร์ซอท่านก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นจิตตาภิบาลของบรรดาทหารของกองทัพโปแลนด์
ขณะที่ทุ่มเทกับงานอภิบาลใหม่นี้ ในเวลาเดียวกันท่านก็ได้สมัครเข้าเรียนในคณะศาสนศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยวอร์ซอ จนจบปริญญาเอก ในขณะเดียวกันท่านก็สำเร็จการศึกษา
ณ สถาบันครุศาสตร์แห่งชาติ หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1924 ท่านก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ประสานงานจิตตาภิบาลทหารระดับท้องถิ่น
ที่ตั้งอยู่ในวิลนิอุส
กระทั้งในปี ค.ศ.1926 พระอัครสังฆราชโรมัวลด์
ก็ได้แต่งตั้งท่านให้ไปเป็นจิตตาภิบาลประจำสามเณรราลัยของวิลนิอุส
ซึ่งเวลาเดียวกันนั้นท่านก็ได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในวิชาเทววิทยา ที่
มหาวิทยาลัยสเตฟาน บาโทรี ของวิลนิอุสเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามที่สุดท่านก็ขอออกจากการปฏิบัติหน้าที่อภิบาลทหารและที่สามเณรราลัย เพราะความปรารถนาของท่านคือการอุทิศตัวเพื่อแสวงหาความรู้ด้านศาสนศาสตร์
จนในปี ค.ศ.1934
ท่านจึงได้รับนามว่า “ครูพิเศษ” ในงานอภิบาลด้านเทววิทยา
แม้จะมีเรื่องการสอนอยู่มากมาย
ท่านก็ไม่เคยลืมงานอภิบาลรับใช้เลยซักครั้ง
ท่านเป็นคุณพ่อเจ้าวัดนักบุญมีคาแอลและผู้ฟังแก้บาปของซิสเตอร์คณะพระมารดามารีย์แห่งความเมตตา
ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออนาคตนักบุญซิสเตอร์โฟสตินา โควัสกา
จากคณะพระมารดามารีย์แห่งความเมตตาที่พึ่งมาประจำที่วิลนิอุสในปี ค.ศ.1933
ซึ่งคุณพ่อก็ได้แนะนำให้เธอได้เขียนบันทึกสิ่งพระเจ้าได้ทรงเผยแสดงกับเธอ
แน่นอนซิสเตอร์ก็ทำตาม
และด้วยความอยากรู้ว่าภาพที่ซิสเตอร์บรรยายจากสิ่งที่เห็นเป็นอย่างไร
แม้จะไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก ท่านก็ได้ขอให้นายยูจีน คาซิมีโรวสกี
อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันที่ท่านสอนให้ช่วยวาดรูปนี้ให้ ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ.1934 เป็นต้นมา
การตั้งภาพพระเมตตาเป็นครั้งแรกเหตุแห่งความเชื่อมั่น
“ใครกันจะกล้าเสนอกิจศรัทธาอีกแบบหนึ่งในสักการสถานของแม่พระได้เล้า คำขอเช่นนี้ต้องถูกปฏิเสธเป็นแน่
และจะเป็นจริงหรือที่จะมีการฉลองสามอย่างที่ซิสเตอร์บอกกัน” คือคำถามที่เกิดขึ้นในความคิดท่าน เมื่อท่านทราบจากซิสเตอร์โฟสตินาว่าพระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้ตั้งภาพนี้ไว้เป็นระยะเวลาสามวันที่ออสตรา
บรามา หรือ ประตูฟากตะวันออกของวิลนิอุส ซึ่งจะมีพิธีปิดปีครบรอบการไถ่กู้โลก
แต่ไม่ทันไรท่านก็ถูกเชิญให้ไปเทศน์ในงานฉลองนั้นซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 26-28 เมษายน ค.ศ.1935 ซึ่งทำให้ในทันทีท่านก็มั่นใจในเรื่องสารที่ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับไปอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆอีกเลย
แน่นอนท่านรับโดยมีข้อแม้ว่าภาพพระเมตตานี้จะต้องถูกตั้งไว้ที่หน้าต่างวัดใกล้ๆรูปปั้นของแม่พระในฐานะ
“ของประดับ” หลังจากนั้นมาท่านก็คอยช่วยเหลือซิสเตอร์โฟสตินาทั้งการจัดพิมพ์แผ่นพับเรื่อพระเมตตาในช่วงฤดูร้อน
ปี ค.ศ.1936 มาตลอดกระทั้งซิสเตอร์ถึงแก่มรณกรรมอย่าสงบเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.1938
ท่านพยายามเผยแพร่พระเมตตาของพระเยซูเจ้าไป
ท่านพยายามจะสร้างวัดพระเมตตาในวิลนิอุส
แต่โครงการนี้ก็ต้องหยุดชะงักไปจากการอุบัติขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตามท่านก็ไม่หวั่นท่านยังคงทำหน้าส่งเสริมความศรัทธาต่อพระเมตตาอย่างมิได้ลดละ
นอกจากนั้นท่านยังคอยให้ความช่วยเหลือบรรดาผู้ถูกกดขี่หรือคุกคามทั้งหลายเป็นต้นว่าชาวยิว
กระทั้ง ค.ศ.1942 ท่านพร้อมด้วยคณะครูและนักเรียนก็ต้องไปหลบภัยใกล้ๆวิลนิอุสอยู่ได้สองปี
แม้จะต้องหลบภัยงานพระเมตตาของท่านก็มิได้พักไป
ตรงข้ามระหว่างนั้นท่านก็ได้พยายามจะตั้งคณะใหม่
ตามที่พระเยซูเจ้าได้เคยเผยแสดงแก่ซิสเตอร์โฟสตินา เพื่อส่งเสริมความรักต่อพระเมตตาของพระเจ้า
และเมื่อสงครามจบลงท่านก็ได้ร่างธรรมนูญของคณะ
พร้อมท่านเริ่มวางรากฐานคณะจากสิ่งที่ได้ยินมาจากซิสเตอร์โฟสตินาอย่างแข็งขัน
ต่อมาในปี ค.ศ.1947 ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ที่สามเณรราลัยของอัครสงัฆมณฑลเบียลสต๊อก ขนาบไปด้วยการดำเนินกิจการพระเมตตาอันได้แก่งานดำเนินเรื่องให้พระเมตตาตามที่ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับการเผยแสดงครั้งนี้ได้รับการอนุมัติจากทางสันตะสำนัก
“จะมีเวลาหนึ่งซึ่งงานที่พระเจ้าทรงเรียกร้องอย่างมากมายชิ้นนี้จะดูเหมือนว่าถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง” ในบันทึกในปี ค.ศ.1935 ซิสเตอร์โฟสตินาได้พยากรณ์ไว้ดังนี้
ซึ่งช่วงนั้นงานเผยแพร่พระเมตตาจัดได้ว่ากำลังรุ่งเรืองภาพพระเมตตาและบทภาวนาเป็นที่รู้จักไปทั่ว
จึงเหมือนว่าคำพยากรณ์นี้คงไม่มีทางเป็นไปจริงๆแน่ แต่แล้วในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ.1959 สันตะสำนักก็ได้ระงับการเผยแพร่เรื่องราวพระเมตตานี้
ทำให้ท่านต้องถูกทางสันตะสำนักตำหนิอย่างรุนแรง แต่อย่างไรท่านก็ยังสู้ต่อไป
ท่านทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยในฐานะนักพระคัมภีร์
นักเทววิทยาและพระสงฆ์
ที่อธิบายความจริงเรื่องการอุทิศตนต่อพระเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า สิ่งพิมพ์ของท่านได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆมากมายทั้ง
อิตาลี ฝรั่งเศส ละติน เป็นต้น กระทั้งในวันที่
15 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ.1975 ในวัย 87
ปีที่อพาร์ตเมนต์ของท่าน ท่านก็ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่าสงบ
ซึ่งวันนั้นตรงกับวันฉลองศาสนนามนักบุญโฟสตินา ของซิสเตอร์โฟสตินาพอดี ปัจจุบันคณะที่ท่านตั้งยังคงอยู่ด้วยนามที่ว่า
“คณะภคินีแห่งพระเยซูเจ้าผู้ทรงเมตตา” (Zgromadzenie Sióstr Jezusa Miłosiernego)
“เขาคือพระสงฆ์อย่างใจที่เราต้องการ เราพอใจความอุสาหะของเขา ลูกรัก
เห็นไหมว่าพระประสงค์ของเราต้องสำเร็จไป และเราจะกระทำตามที่เราสัญญาต่อลูก
อาศัยเขาเราจะกระจายความบรรเทาใจให้แก่งิญญาณที่เป็นทุกข์ และเหน็ดเหนื่อย
อาศัยเขา เราพอใจจะประกาศการนมัสการความเมตตาของเรา และอาศัยงานแห่งพระเมตตานี้
วิญญาณจำนวนมากจะเข้ามาใกล้ชิดเรา มากยิ่งกว่าหากเขาจะโปรดศีลอภัยบาปตลอดวันและคืน
ไปจนชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาเพราะด้วยการทำเช่นนั้น
เขาจะทำงานหนักตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ด้วยงานพระเมตตานี้
เขาจะทำงานหนักได้จนถึงสิ้นพิภพ” พระวาจาของพระเยซูเจ้าประทานแก่นักบุญโฟสตินาในวันที่
30 สิงหาคม ค.ศ.1937 เรื่องราวของท่านเช่นกันถูกดำเนินเรื่องเพราะทุกคนต่างเชื่อว่าท่านคือนักบุญ
กระทั้งในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.2008 ท่านก็ได้รับการประกาศให้เป็นบุญราศีอย่าสง่า ณ
สักการสถานพระเมตตา ของ เบียลสต๊อก
“พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ท่านทำความดีปิดปากคนโง่เขลามิให้พูดไรสาระ
จงประพฤติตนดุจคนอิสระ” (1 เปโตร 2:15) เราอาจมองว่าชีวิตของคุณพ่อในช่วงเริ่มแรกนั่นก็เป็นคุณพ่อธรรมดาๆที่เป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทววิทยา
แต่พระเป็นเจ้าได้ทรงเตรียมท่านไว้เป็นธรรมทูตพระเมตตาผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากละ
พระเจ้าจึงได้ให้ท่านมีความสามารถเช่นนี้ เพราะ ว่าแค่เพียงซิสเตอร์ธรรมดาๆผู้ไร้การศึกษาจะมีใครกันที่เชื่อ
ดังนั้นท่านจึงมีหน้าที่ดั่งที่กล่าวไว้คือเป็นนักพระคัมภีร์ นักเทววิทยาและพระสงฆ์
ที่อธิบายความจริงเรื่องการอุทิศตนต่อพระเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า เพื่อประกาศพระเมตตาของพระเจ้าไปยังผู้ไม่รู้
ผู้ไม่เชื่อ ผู้หันหลังให้พระ ผู้ที่บอกว่าพระเจ้าไม่มีจริง
ผู้ที่บอกว่าพระเมตตาเป็นเรื่องไร้สาระ คนอิสระ หมายถึง คนที่เชื่อในน้ำพระทัยพระเจ้ามากกว่ากระแสโลก
แม้จะถูกต่อว่าเมื่อพระเมตตาถูกสันตะสำนักสั่งห้าม
ท่ามกลางความลำบากท่านก็ยังคงเชื่อว่านี้คือความจริงท่านเป็นอิสระจากโลก
แต่เป็นข้ารองบาทในสวรรค์นิรันดร์ เราต้องเป็นอิสระจากโลกและเป็นข้ารองบาทของพระเจ้าตลอดนิรันดร์
เป็นคนดีของสังคมตลอดไป
“ข้าแต่ท่านบุญราศี มีคาเอล โซปอสโก ช่วยวิงวอนเทอญ”
“เยซู อูฟาโทเบ พระเยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์”
ข้อมูลอ้างอิง