บุญราศีซเด็นกา
เชลินโกวู
Bl. Zdenka
Schelingová
ฉลองในวันที่ : 23 พฤศจิกายน
เชชีเลีย
เชลินโกวู อีกครั้งที่ผู้เขียนอยากจะเล่าเรื่องของบุญราศีอีกองค์
หลังจากเสี่ยงทายอยากเมามัน(หัวเราะ) ว่าจะเอาใครดีคุณพ่อชาวอินเดียหรือซิสเตอร์ชาวสโลวาเกีย
และก็ปลงใจเอาซิสเตอร์แล้วกัน นอกเรื่องมาเยอะแล้วต่อกันดีกว่า เชชีเลีย เชลินโกวู
เป็นลูกหนึ่งในสิบคนของนายปาโวล เชลินโกวู กับ นางซูซานา ปานีโกวา
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ.1916 และได้รับศีลล้างบาปในอีกฃสี่วันวัดถัดมา ที่
หมู่บ้านกรีวา พื้นที่ภูเขาทางภาคตะวันออกของประเทศสโลวาเกีย
ในแคว้นชีลีนา ประเทศสโลวาเกีย
เช่นกันในวัยเยาว์ดั่งนักบุญทั้งหลายท่านซึมซับความรับผิดชอบและความเสียสละจากบิดามารดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความศรัทธาและการปฏิบัติศาสนกิจ หลังจากนั้นระหว่างปี ค.ศ.1922- ค.ศ.1930
ท่านก็ได้เข้าโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ที่นั่นท่านเป็นที่รักของเพื่อน เพราะ
ท่านเป็นเด็กขยัน เชื่อฟังและชอบช่วยเหลือคนอื่น
ต่อมาในปี ค.ศ.1929 คณะภคินีเมตตาธรรมแห่งกางเขนศักดิ์สิทธิ์
ก็ได้เข้ามาทำงานในเขตวัดของท่าน
และทำให้ท่านได้ค้นพบว่าพระเจ้าทรงเรียกท่านให้เข้าคณะนี้
ท่านประทับใจความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขและการเจริญชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยของซิสเตอร์ทั้งหลาย
ดังนั้นที่สุดด้วยวัย 15
ปีท่านจึงตัดสินใจจะอุทิศชีวิตเพื่อพระและเพื่อนบ้านในฐานะซิสเตอร์
แน่นอนบิดามารดาท่านอนุญาตอยากตื่นเต้น ส่วนพี่น้องของท่านนั้นก็ต่างภูมิใจในตัวท่าน
เหตุฉะนี้ท่านจึงเดินทางมาบ้านแม่ของคณะที่โพดูไนซเค
ในแคว้นบราติสลาวา
ประเทศสโลวาเกีย ในปี ค.ศ.1931 ซึ่งก่อนที่ท่านจะเป็นนวกะ ท่านก็ถูกส่งไปศึกษาที่โรงเรียนพยาบาลในหลักสูตรรังสีวิทยา หลังจากจบการศึกษาแล้ว
ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1937 ท่านก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกและได้รับนามใหม่ว่า
“ซิสเตอร์ซเด็นกา”
ในความทรงจำของซิสเตอร์บางคนเล่าว่าท่านเจริญชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าทั้งในการสวดภาวนาและการทำงาน
ท่านเขียนว่า “ดิฉันปรารถนาทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยปราศจากความใส่ใจต่อตัวของดิฉันเอง
การปลอบประโลมของดิฉันหรือการหย่อนใจของดิฉันเป็นค่าตอบแทน” ท่านแสดงให้เห็นถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อทุกคนและท่านพร้อมเสมอที่จะดูแลผู้ป่วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยในโรงพยาบาล
งานแรกของท่านคือการไปประจำที่โรงพยาบาลฮูเมนเนใกล้ๆยูเครน
หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1942 ตามคำเชิญ ท่านจึงย้ายไปทำงานที่แผนกเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลในบราติสลาวา
ที่นี่ท่านเป็นแบบอย่างของการทุ่มเท ความรักต่อคนป่วย และความเป็นมืออาชีพ
สำหรับหลายๆคนท่านคือ “รูปแบบของนักบวชและพยาบาลวิชาชีพ”
ทุกอย่างดูจะดำเนินไปด้วยดีกระทั้งในปี
ค.ศ.1948 ระบอบคอมมิวนิสต์เผด็จการก็แผ่ปีกของมันไปทั่วประเทศสโลวาเกีย
ทำให้ตั้งแต่นั้นถึงปี ค.ศ.1953 พระศาสนจักรคาทอลิกในสโลวาเกียก็เริ่มถูกเบียดเบียน
ด้วยการตัดสิทธิทุกอย่างและข่มเหงคริสตชน
ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่มีนักโทษถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ท่านประจำ
รวมทั้งพระสงฆ์
จนมีวันหนึ่งท่านทราบว่ามีพระสงฆ์องค์หนึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับให้วาติกันและคนทรยศชาติ
และกำลังจะถูกส่งไปยังไซบีเรีย ดินแดนแห่งความตายที่กำลังรอเขาอยู่
ท่านจึงตัดสินใจที่จะทำงานที่เสี่ยงที่สุดในชีวิตของท่าน ด้วยการแอบผสมยานอนหลับลงในน้ำชาของยามเพื่อช่วยให้พระสงฆ์องค์สามารถหลบหนีไปได้
และเมื่อเขาสามารถหนีไปได้แล้ว ท่านจึงเดินเข้าไปในวัดน้อยและสวดภาวนาว่า “พระเยซูเจ้าข้า ลูกถวายชีวิตของลูกเพื่อเขา
โปรดคุ้มครองเขาด้วยพระเจ้าข้า”
อีกครั้งในวันที่
29 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1952
ท่านก็ได้ช่วยเหลือพระสงฆ์สามคนและสามเณรในการหลบหนี และก็ประสพผลสำเร็จดีด้วย
แต่ท่านก็ถูกจับ และถูกสอบปากคำ ถูกทำให้อับอาย
รวมทั้งถูกทรมานอย่างทารุณโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สุดในวันที่ 17 มิถุนายน ปีนั้นท่านก็ถูกนำตัวขึ้นศาลและถูกตัดสินให้ถูกจำคุก 12 ปี ถูกตัดสิทธิ์ต่างๆอีก
10 ปี ในข้อหากบฏ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มันมากจากเรื่องความเชื่อของท่านที่เป็นที่เกียจชังจากลัทธิคอมมิวนิสต์ต่างหากละ
ผลจากการทรมานทำให้ร่างกานซีกซ้ายของท่านฉีกขาด
ไม่เพียงเท่านั้นจากการเตะอย่างต่อเนื่องโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้เต้านมขวาของท่านฉีกออกเป็นชิ้น
หลังจากนั้นระหว่างปี ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1955 ท่านก็ถูกย้ายจากคุกหนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในคุกทั้งสองแห่งนั้น การทรมานและการทารุณกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ของท่านเพราะท่านน้อมรับมันด้วยความนบนอบที่ยิ่งใหญ่
คงมีเพียงสิ่งเดียวที่ยากที่สุดสำหรับท่านก็คือการถูกกีดกันจากศีลศักดิ์สิทธิ์ตลอดสามปีของการจำคุกเท่านั้น กระนั้นท่านน้อมรับกางเขนนี้อย่างอดทน และมีความตั้งใจที่จะตายเพื่อพระ เพื่อพระศาสนจักร
ท่านไม่เคยโกธรผู้ที่ทำร้ายท่าน ครั้งหนึ่งเมื่อท่านถูกตีจนเกือบตายท่านกล่าวว่า “การให้อภัยคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต”
สุขภาพท่านแย่ลงเรื่อยๆ
กระทั้งในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ.1955 ท่านก็ได้รับนิรโทษกรรมโดยประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเพื่อว่าท่านจะไม่ตายในนั้น(ท่านมีเนื้องอกที่เต้านมขวาของท่าน) ท่านจึงกลับไปบ้านแม่ของคณะที่บราติสลาวา
แต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะสถานการณ์ความหวาดกลัวที่แผ่ไปทั่ว
และการเฝ้าระวังของตำรวจชุดติดตาม แม้ในโรงพยาบาลในบราติสลาวา
ยังดีที่เพื่อนของท่านจากตะระนาวายื่นมือเข้ามาช่วยท่าน
ท่านจึงได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลของตะระนาวา กระทั้งในวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ.1955 พระเป็นเจ้าก็ได้ทรงส่งทูตสวรรค์ลงมานำวิญญาณท่านขึ้นไปสู่สิริรุ่งโรจน์
ณ เมืองสวรรค์อย่างสงบด้วยวัย 38 ปี
ดั่งวลีที่ว่า
“ความจริงคือสิ่งไม่ตาย” 6 เมษายน
ค.ศ.1970 ศาลของบราติสลาวาก็ประกาศว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากนั้นในวันที่
14 กันยายน ค.ศ.2003 นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปาก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศีมรณสักขี
ในระหว่างการเสด็จเยือนประเทศสโลวาเกีย
“พระเจ้าจะทรงตอบสนองทุกคนตามสมควรแก่การกระทำของพวกเขา”(รม 2:6) ซิสเตอร์ซเด็นกา
ได้มอบชีวิตของท่านเพื่อช่วยเหลือคนอื่นทั้งๆที่ท่านไม่ได้รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ท่านสละชีวิตเพื่อให้อีกชีวิตได้รอด ในสายตามนุษย์ทุกคนมองว่านี่หรือคือการตอบสนองของพระเป็นเจ้าถูกทรมาน
ถูกจำคุกและตายเนี่ยนะ แต่รางวัลในสายตาของพระเป็นเจ้านั่นคือชีวิตนิรันดร์ต่างหากละ
ท่านได้รับมงกุฎแห่งนักบุญมรณสักขีนั้นไม่ใช่ของขวัญจากพระเป็นเจ้าอีกหรือ
พี่น้องของขวัญที่พระเจ้าทรงเตรียมให้เราน่ะคือชีวิตนิรันดร์ ของขวัญชิ้นนี้ในสายตาของคนเขลาช่างดูไม่เห็นจะดี
เพราะพวกเขาไม่รู้จักมันดีพอ พี่น้องพระเจ้าเตรียมของไว้ให้เราแล้ว
เพราะฉะนั้นไปรับของขวัญนั้นด้วยความภูมิใจกันเถอะ อย่าปล่อยให้พระองค์รอเก้อเลย
“ข้าแต่ท่านบุญราศีซเด็นกา เชลินโกวู ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง