วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"ซเด็นกา" ดอกไม้น้อยแห่งกางเขน


บุญราศีซเด็นกา เชลินโกวู
Bl. Zdenka Schelingová
ฉลองในวันที่ : 23 พฤศจิกายน

เชชีเลีย เชลินโกวู อีกครั้งที่ผู้เขียนอยากจะเล่าเรื่องของบุญราศีอีกองค์ หลังจากเสี่ยงทายอยากเมามัน(หัวเราะ) ว่าจะเอาใครดีคุณพ่อชาวอินเดียหรือซิสเตอร์ชาวสโลวาเกีย และก็ปลงใจเอาซิสเตอร์แล้วกัน นอกเรื่องมาเยอะแล้วต่อกันดีกว่า เชชีเลีย เชลินโกวู เป็นลูกหนึ่งในสิบคนของนายปาโวล เชลินโกวู กับ นางซูซานา ปานีโกวา ท่านเกิดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค..1916 และได้รับศีลล้างบาปในอีกฃสี่วันวัดถัดมา ที่ หมู่บ้านกรีวา พื้นที่ภูเขาทางภาคตะวันออกของประเทศสโลวาเกีย ในแคว้นชีลีนา ประเทศสโลวาเกีย

เช่นกันในวัยเยาว์ดั่งนักบุญทั้งหลายท่านซึมซับความรับผิดชอบและความเสียสละจากบิดามารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความศรัทธาและการปฏิบัติศาสนกิจ หลังจากนั้นระหว่างปี ค..1922- ..1930 ท่านก็ได้เข้าโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ที่นั่นท่านเป็นที่รักของเพื่อน เพราะ ท่านเป็นเด็กขยัน เชื่อฟังและชอบช่วยเหลือคนอื่น



ต่อมาในปี ค..1929  คณะภคินีเมตตาธรรมแห่งกางเขนศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้เข้ามาทำงานในเขตวัดของท่าน และทำให้ท่านได้ค้นพบว่าพระเจ้าทรงเรียกท่านให้เข้าคณะนี้ ท่านประทับใจความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขและการเจริญชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยของซิสเตอร์ทั้งหลาย ดังนั้นที่สุดด้วยวัย 15 ปีท่านจึงตัดสินใจจะอุทิศชีวิตเพื่อพระและเพื่อนบ้านในฐานะซิสเตอร์ แน่นอนบิดามารดาท่านอนุญาตอยากตื่นเต้น ส่วนพี่น้องของท่านนั้นก็ต่างภูมิใจในตัวท่าน

เหตุฉะนี้ท่านจึงเดินทางมาบ้านแม่ของคณะที่โพดูไนซเค ในแคว้นบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย ในปี ค..1931 ซึ่งก่อนที่ท่านจะเป็นนวกะ ท่านก็ถูกส่งไปศึกษาที่โรงเรียนพยาบาลในหลักสูตรรังสีวิทยา หลังจากจบการศึกษาแล้ว ในวันที่  30 มกราคม ค..1937 ท่านก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกและได้รับนามใหม่ว่า ซิสเตอร์ซเด็นกา



ในความทรงจำของซิสเตอร์บางคนเล่าว่าท่านเจริญชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าทั้งในการสวดภาวนาและการทำงาน ท่านเขียนว่า ดิฉันปรารถนาทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยปราศจากความใส่ใจต่อตัวของดิฉันเอง การปลอบประโลมของดิฉันหรือการหย่อนใจของดิฉันเป็นค่าตอบแทน ท่านแสดงให้เห็นถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อทุกคนและท่านพร้อมเสมอที่จะดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยในโรงพยาบาล

งานแรกของท่านคือการไปประจำที่โรงพยาบาลฮูเมนเนใกล้ๆยูเครน หลังจากนั้นในปี ค..1942 ตามคำเชิญ ท่านจึงย้ายไปทำงานที่แผนกเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลในบราติสลาวา ที่นี่ท่านเป็นแบบอย่างของการทุ่มเท ความรักต่อคนป่วย และความเป็นมืออาชีพ สำหรับหลายๆคนท่านคือ รูปแบบของนักบวชและพยาบาลวิชาชีพ



ทุกอย่างดูจะดำเนินไปด้วยดีกระทั้งในปี ค..1948 ระบอบคอมมิวนิสต์เผด็จการก็แผ่ปีกของมันไปทั่วประเทศสโลวาเกีย ทำให้ตั้งแต่นั้นถึงปี ค..1953 พระศาสนจักรคาทอลิกในสโลวาเกียก็เริ่มถูกเบียดเบียน ด้วยการตัดสิทธิทุกอย่างและข่มเหงคริสตชน ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่มีนักโทษถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ท่านประจำ รวมทั้งพระสงฆ์

จนมีวันหนึ่งท่านทราบว่ามีพระสงฆ์องค์หนึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับให้วาติกันและคนทรยศชาติ และกำลังจะถูกส่งไปยังไซบีเรีย ดินแดนแห่งความตายที่กำลังรอเขาอยู่ ท่านจึงตัดสินใจที่จะทำงานที่เสี่ยงที่สุดในชีวิตของท่าน ด้วยการแอบผสมยานอนหลับลงในน้ำชาของยามเพื่อช่วยให้พระสงฆ์องค์สามารถหลบหนีไปได้ และเมื่อเขาสามารถหนีไปได้แล้ว ท่านจึงเดินเข้าไปในวัดน้อยและสวดภาวนาว่า พระเยซูเจ้าข้า ลูกถวายชีวิตของลูกเพื่อเขา โปรดคุ้มครองเขาด้วยพระเจ้าข้า



อีกครั้งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค..1952 ท่านก็ได้ช่วยเหลือพระสงฆ์สามคนและสามเณรในการหลบหนี และก็ประสพผลสำเร็จดีด้วย แต่ท่านก็ถูกจับ และถูกสอบปากคำ ถูกทำให้อับอาย รวมทั้งถูกทรมานอย่างทารุณโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สุดในวันที่  17 มิถุนายน ปีนั้นท่านก็ถูกนำตัวขึ้นศาลและถูกตัดสินให้ถูกจำคุก 12 ปี ถูกตัดสิทธิ์ต่างๆอีก 10 ปี ในข้อหากบฏ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มันมากจากเรื่องความเชื่อของท่านที่เป็นที่เกียจชังจากลัทธิคอมมิวนิสต์ต่างหากละ

ผลจากการทรมานทำให้ร่างกานซีกซ้ายของท่านฉีกขาด ไม่เพียงเท่านั้นจากการเตะอย่างต่อเนื่องโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้เต้านมขวาของท่านฉีกออกเป็นชิ้น หลังจากนั้นระหว่างปี ค..1952 จนถึง ค..1955 ท่านก็ถูกย้ายจากคุกหนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในคุกทั้งสองแห่งนั้น การทรมานและการทารุณกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ของท่านเพราะท่านน้อมรับมันด้วยความนบนอบที่ยิ่งใหญ่ คงมีเพียงสิ่งเดียวที่ยากที่สุดสำหรับท่านก็คือการถูกกีดกันจากศีลศักดิ์สิทธิ์ตลอดสามปีของการจำคุกเท่านั้น กระนั้นท่านน้อมรับกางเขนนี้อย่างอดทน และมีความตั้งใจที่จะตายเพื่อพระ เพื่อพระศาสนจักร ท่านไม่เคยโกธรผู้ที่ทำร้ายท่าน ครั้งหนึ่งเมื่อท่านถูกตีจนเกือบตายท่านกล่าวว่า การให้อภัยคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต



สุขภาพท่านแย่ลงเรื่อยๆ กระทั้งในวันที่ 16 เมษายน ค..1955 ท่านก็ได้รับนิรโทษกรรมโดยประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเพื่อว่าท่านจะไม่ตายในนั้น(ท่านมีเนื้องอกที่เต้านมขวาของท่าน) ท่านจึงกลับไปบ้านแม่ของคณะที่บราติสลาวา แต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะสถานการณ์ความหวาดกลัวที่แผ่ไปทั่ว และการเฝ้าระวังของตำรวจชุดติดตาม แม้ในโรงพยาบาลในบราติสลาวา

ยังดีที่เพื่อนของท่านจากตะระนาวายื่นมือเข้ามาช่วยท่าน ท่านจึงได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลของตะระนาวา กระทั้งในวันที่ 31 กรกฎาคม ค..1955 พระเป็นเจ้าก็ได้ทรงส่งทูตสวรรค์ลงมานำวิญญาณท่านขึ้นไปสู่สิริรุ่งโรจน์ ณ เมืองสวรรค์อย่างสงบด้วยวัย 38  ปี



ดั่งวลีที่ว่า ความจริงคือสิ่งไม่ตาย 6 เมษายน ค..1970 ศาลของบราติสลาวาก็ประกาศว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากนั้นในวันที่ 14 กันยายน ค..2003 นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปาก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศีมรณสักขี ในระหว่างการเสด็จเยือนประเทศสโลวาเกีย

พระเจ้าจะทรงตอบสนองทุกคนตามสมควรแก่การกระทำของพวกเขา(รม 2:6) ซิสเตอร์ซเด็นกา ได้มอบชีวิตของท่านเพื่อช่วยเหลือคนอื่นทั้งๆที่ท่านไม่ได้รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นใคร ท่านสละชีวิตเพื่อให้อีกชีวิตได้รอด ในสายตามนุษย์ทุกคนมองว่านี่หรือคือการตอบสนองของพระเป็นเจ้าถูกทรมาน ถูกจำคุกและตายเนี่ยนะ แต่รางวัลในสายตาของพระเป็นเจ้านั่นคือชีวิตนิรันดร์ต่างหากละ ท่านได้รับมงกุฎแห่งนักบุญมรณสักขีนั้นไม่ใช่ของขวัญจากพระเป็นเจ้าอีกหรือ พี่น้องของขวัญที่พระเจ้าทรงเตรียมให้เราน่ะคือชีวิตนิรันดร์ ของขวัญชิ้นนี้ในสายตาของคนเขลาช่างดูไม่เห็นจะดี เพราะพวกเขาไม่รู้จักมันดีพอ พี่น้องพระเจ้าเตรียมของไว้ให้เราแล้ว เพราะฉะนั้นไปรับของขวัญนั้นด้วยความภูมิใจกันเถอะ อย่าปล่อยให้พระองค์รอเก้อเลย


ข้าแต่ท่านบุญราศีซเด็นกา เชลินโกวู ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...