นักบุญอันนา
พัก อากี
St. 박아기 안나
ฉลองในวันที่ : 24 พฤษภาคม
อันนาเกิดในครอบครัวคริสตชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆริมแม่น้ำฮันราวๆปี
ค.ศ.1782 ท่านไม่ได้ถึงกับฉลาดมาก
ดังนั้นท่านจึงมีปัญหาในการเรียนรู้คำสอนและบทภาวนาต่างๆ
แต่กระนั้นหัวใจของท่านก็เปี่ยมไปด้วยความรักต่อพระเจ้า ท่านมักกล่าวว่า “ฉันไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้มากกว่าที่ฉันต้องการได้ แต่ฉันสามารถพยายามจะรักพระองค์ด้วยสุดหัวใจของฉันได้”
ต่อมาเมื่ออายุได้
18 ปี ท่านก็สมรสกับฟรานซิส แท มุน แฮออง
และมีลูกชายด้วยกันสองคนและลูกสาวอีกสามคนซึ่งท่านก็คอยสอนพวกเขาอยู่ในความเชื่อ แม้ครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากแต่ทุกคนก็พยายามเจริญชีวืตอยู่ในหลักศีลธรรม
ท่านนั้นยังมีอุทิศตนเป็นพิเศษต่อพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าและคราใดท่านรำพึงถึงบาดแผลทั้งห้าของพระองค์ในดวงตาของท่านก็จะเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาเสมอ
เมื่อท่านได้ยินข่าวเรื่องการเบียดเบียนคริสตชน
ท่านก็อธิบายให้ลูกๆของท่านฟังเกี่ยวกับเรื่องมรณสักขีและแสดงความปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นเป็นมรณสักขี
ท่านพร้อมสามีและลูกชายคนโตถูกจับกุมในประมาณเดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายน ในปี ค.ศ.1836
สามีและลูกชายของท่านนั้นมิอาจทนถูกทรมานไหวจึงได้ยอมละทิ้งพระคริสตเจ้าเสีย
แต่ตรงข้ามกันแม้ท่านจะถูกทรมานอย่างโหดร้ายมากแค่ไหนท่านก็ยังมั่นคงในพระคริสตเจ้า
ความเจ็บปวดจากการทรมานนี้เทียบไม่ได้เลยจากความเจ็บปวดที่ได้เห็นสามีและลูกชายของท่านที่ถูกปล่อยตัวไปหลังจากละทิ้งความเชื่อ
กลับมาเยี่ยมท่านทุกวันเพื่ออ้อนวอนให้ท่านทำเช่นพวกเขา ละทิ้งพระคริสตเจ้า พวกเขาเล่าถึงชะตากรรมของครอบครัวทีขาดท่านไปมากมาย
แต่ท่านก็สามารถเอาชนะสิ่งล่อใจนี้ได้
ท่านปฏิเสธพวกเขาทั้งน้ำตาและขอให้พวกเขากลับใจเสียใหม่ มีเพื่อนของท่านบ้างคนตระหนักถึงสถานการณ์บ้านของท่าน
จึงมาเยี่ยมท่านและพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมท่านอีกครั้ง ท่านรับฟังและตอบว่า “มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะเสี่ยงเสียชีวิตนิรันดร์ไปในการมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วัน
แทนที่จะเซ้าซี้ให้ฉันละทิ้งความเชื่อเธอควรกลับใจเสียใหม่
เธอควรจะอิจฉาความโชคดีของฉันด้วยซ้ำนะ”
ความเชื่อท่านนั้นดุจศิลาแม้นยามคุมคุกจะพูดกับท่านว่า
“สามีและลูกแกถูกปล่อยตัวและได้กลับบ้านไปแล้ว
ด้วยแค่คำเดียวแกก็ทำเช่นนั้นได้
แกคงใจแข็งน่าดูถึงไม่เอนเอียงไปตามคำขอร้องของพวกมัน แกยังมีชีวิตอีกยาวจริงไหม” ท่านก็สวนไปขึ้นว่า “การละทิ้งของสามีและลูกชายฉันคือเรื่องของพวกเขา
จะทำอะไรกับฉันได้ละ ฉันน่ะตัดสินใจจะรักษาความเชื่อของฉันไว้และตายเพื่อมันด้วย”
ท่านถูกเฆี่ยนตีจนหนังแตกจนเห็นกระดูก
ท่านก็ยังคงคุกเข่าสวดภาวนาอยู่ตลอด
เมื่อข้าหลวงเห็นว่าไม่สามารถจะเปลี่ยนใจท่านได้
เขาจึงตัดสินใจย้ายท่านมาขังยังคุกของศาล และดำเนินการทรมานท่านต่อไป และเช่นเดียวกันผู้พิพากษาก็นำเรื่องเดียวกันมาใช้ในการโน้มน้าวท่านว่า “สามีและลูกแกก็ได้รับการปล่อยตัวแล้ว
แค่คำเดียวแกก็สามารถเพลิดเพลินไปกับความสุขเดียวกันได้แล้วน่า” ทันทีท่านตอบ “ต่างคนต่างชอบเจ้าค่ะ ส่วนความปรารถนาของฉันคือการตายเพื่อพระเจ้าค่ะ”
จนที่สุดหลังสามปีในคุก
ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1839 ท่านก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยโทษ “สำหรับการอ่านหนังสือต้องห้ามและพกภาพชั่วร้าย” ท่านถูกนำตัวไปนอกประตูน้อยทางตะวันตก
และถูกบั่นศีรษะพร้อมคริสตชนอีกแปดคนในวันศุกร์ ที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1839 ท่านสิ้นใจตามความปรารถนาของท่านในวัย 54 ปี
นาม “อันนา” ของท่านได้รับการบันทึกไว้กับบรรดามรณสักขีผู้ใหญ่ทั้งหลายในฐานะบุญราศีเมื่อวันที่ 5 กรกฏาคม ค.ศ.1925 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 และเนื่องในวโรกาสครบรอบ 200 ปี แห่งพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศเกาหลี สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2ก็ได้ทรงสถาปนาท่านพร้อมบรรดามรณสักขีคนอื่นเป็นนักบุญ
ณ ยออีโด กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
“องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ทรงสรรพานุภาพ
พระปรีชาญาณของพระองค์ไม่มีขอบเขต”(สดุดี 147:5) ชีวิตของท่านได้ยืนยันถึงเรื่องนี้ด้วยชีวิต ด้วยโลหิต แม้ท่านจะไม่ได้รู้อะไรมาก
แต่ท่านรู้แน่นอนว่าท่านรักพระองค์ พระองค์ยิ่งใหญ่ที่สุด
ท่านจึงกล้ายืนยันถึงพระองค์ เราต้องเป็นมรณสักขี
แต่ก็ใช่ว่าเราต้องไปตายเพื่อยืนยันความเชื่อ เราต้องเป็นมรณสักขีในทุกๆวินาทีของชีวิต
เป็นพยานถึงพระองค์ ไม่ใช่ด้วยความรู้ แต่ด้วยการน้อมรับน้ำพระทัยพระเป็นเจ้าในทุกๆขณะของชีวิต
ให้ทุกคนได้รับรู้ถึงพระองค์ผ่านตัวเราแล้วร้องสรรเสริญพระองค์ดังๆว่า อัลเลลูยา
อัลเลลูยา
“ข้าแต่ท่านนักบุญอันนา พัก อากี ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง