ข้อคิดของนักบุญราฟาเอล อาร์ไนซ์ บารอน
นักบุญราฟาเอล อาร์ไนซ์ บารอน เป็นภารดาคณะทราปปิสต์ชาวสเปน ผู้มีชีวิตในช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่เป็นชีวิตธรรมดา แต่แสนพิเศษ เพราะท่านได้เผยให้เห็นคุณค่าของไม้กางเขน ผ่านทั้งข้อเขียนและการเจริญชีวิต โดยเฉพาะในช่วง 4 ปีสุดท้ายของชีวิต เมื่อท่านพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน และทำให้ท่านไม่ได้บวชเป็นนักพรต โดยบทความนี้จะแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ คือ ประสบการณ์ภายในเรื่อง: ผมจะเปลี่ยนสวรรค์ให้เป็นตลาดผักของท่าน และคำพูดของท่านในข้อเขียนอื่น ๆ บทความนี้เป็นส่วนขยายจากชีวประวัติของท่าน ในชื่อ “ราฟาเอล อาร์ไนซ” ธรรมดาแต่แสนพิเศษ ที่ทางเพจเคยลงไว้เมื่อนานแล้ว และได้ตัดสินใจชำระใหม่ในปีนี้ เพราะมองเห็นประโยชน์ของการนำข้อคิดของท่าน ที่ส่วนหนึ่งเคยอยู่ในชีวประวัติแยกออกมา เพื่อให้เราสามารถรำพึงไปพร้อมกับท่าน
1. ประสบการณ์ภายในเรื่อง:ผมจะเปลี่ยนสวรรค์ให้เป็นตลาดผัก
เวลาบ่ายสามโมงในวันที่มีฝนในเดือนธันวาคม เมื่อถึงเวลาทำงาน เนื่องจากเป็นวันเสาร์และมีอากาศที่หนาวมาก พวกเราจึงไม่ได้ออกไปทำงานที่ข้างนอก พวกเราพากันทำงานอยู่ในห้องซึ่งถั่วเลนทิลถูกล้าง มันฝรั่งถูกปลอก กระหล่ำปลีถูกสับ ฯลฯ พวกเราเรียกมันว่า ‘ห้องทดลอง’ ที่นี่มีโต๊ะตัวยาวพร้อมม้านั่ง และหน้าต่างที่มีไม้กางเขนแขวนอยู่ด้านบน ช่างเป็นวันที่หม่นหมองเสียจริง มีเมฆดำทะมึน มีลมพัดมาเป็นระยะ ๆ หยดน้ำจำนวหนึ่งค่อย ๆ โลมเลียกระจก และเหนือสิ่งอื่นใดคืออากาศที่หนาวเย็น อากาศหนาวตามฤดูกาลและภูมิประเทศ
ความจริง คือ นอกจากความเย็นที่ผมรู้สึกจากมือและเท้าที่เย็ยเฉียบ ส่วนใหญ่ผมมองเห็นสิ่งเหล่าภายในจินตนาการของผม เพราะผมแทบจะไม่ได้มองไปที่หน้าต่างเลย บ่ายวันนั้นทุกอย่างดูมืดครึ้มและทุกอย่างก็ช่างดูเศร้าสำหรับผม ผมรู้สึกได้ถึงความหนักใจอยู่เงียบ ๆ และก็ดูเหมือนว่าเจ้าปีศาจตัวน้อยบางตนต้องการหลอกล่อผมด้วยสิ่งที่ผมเรียกว่า ‘ความทรงจำ’ เพื่อทดสอบความอดทนและการรอคอย
ผมมีมืดอยู่ในมือ และเบื้องหน้าผมก็คือ ตระกร้าที่มีแครอทสีขาวขนาดมหึมา ซึ่งจริง ๆ แล้วคือหัวผักกาดขาด ผมไม่เคยเห็นมันอันใหญ่และเย็นได้ขนาดนี้ ผมจะจัดการกับมันอย่างไรได้บ้าง ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องลงมือปอกเปลือกมัน เวลาค่อย ๆ ผ่านไปและมีดของผมก็ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านระหว่างเปลือกและเนื้อของหัวผักกาด ซึ่งผมก็สามารถทำมันออกไม่ได้สวย
เจ้าปีศาจยังคงทำสงครามกับผม ทำไมผมต้องออกจากบ้านและมาปอกสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ท่ามกลางความหนาวเย็นที่แสนจะขมขื่น ช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระเสียจริงที่ต้องมานั่งปอกหัวผักกาดอย่างเอาจริงเอาจังตามที่ได้รับมอบหมาย เจ้าปีศาจตัวเล็กและเฉลียวฉลาดซ่อนอยู่ในตัวของผม และทำให้ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงคุณพ่อคุณแม่และน้อง ๆ และคิดถึงอิสระที่ผมได้ละทิ้งไว้ข้างหลัง เพื่อคุมขังตัวเองอยู่ที่นี่พร้อมถั่วเลนทิล มันฝรั่ง กระหล่ำปลี และหัวผักกาด
ช่างเป็นวันที่หม่นหมองเสียจริง ผมไม่ได้มองไปที่หน้าต่าง แต่ผมก็เดาได้ว่าภายนอกน่าจะเศร้าเพียงไหน มือของผมแดง แดงเหมือนเจ้าปีศาจ เท้าของผมชา แล้ววิญญาณของผมเล่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บางทีวิญญาณของลูกก็ทุกข์อยู่บ้าง แต่ไม่จะอย่างไร ลูกได้ลี้ภัยอยู่ในความเงียบ
ผมปล่อยเวลาไปกับความคิดทั้งหลายทั้งแหล่ หัวผักกาดและความหนาวเย็น ทันใดดุจสายลมพัด แสงอันทรงพลังก็สาดส่องเข้ามาในวิญญาณของผม ลำแสงของพระเจ้า ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง มีเสียงถามผมว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมกำลังทำอะไรอยู่ โอ้พระแม่มารีย์ นี่เป็นคำถาม ปอกหัวผักกาด ปอกหัวผักกาดงั้นหรือ ปอกไปทำไม และใจของผมก็ลิงโลดและตอบกลับโดยไม่ต้องคิดว่า ลูกกำลังปอกหัวผักกาดเพื่อความรัก เพื่อความรักของพระเยซูคริสตเจ้า
ผมไม่อาจบรรยายได้ว่าผมสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้อย่างไร แต่ที่ภายใน ลึกลงไปในวิญญาณของผม สันติที่ยิ่งใหญ่ได้เข้ามาแทนที่ความปั่นป่วนที่ผมเคยรู้สึกมาก่อน ผมพูดได้เพียงว่ามนุษย์คนหนึ่งสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดในโลก ให้เป็นกิจการแห่งรักต่อพระเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการลืมตาหรือหลับตา ถ้าทำเพื่อพระนามของพระองค์แล้ว ก็สามารถนำเราไปสวรรค์ได้ การปอกหัวผักกาดด้วยความรักต่อพระเจ้าก็มีให้ผลมากเท่า ๆ กับการพิชิตอเมริกา การคิดว่าอาศัยพระเมตตาของพระองค์ลูกผมช่างเป็นคนโชคดีเสียจริง ที่ได้ทำบางสิ่งเพื่อพระองค์เติมเต็มวิญญาณของผมด้วยความยินดี ในแบบที่ว่าถ้าผมปล่อยตัวไปตามแรงนั้น ผมก็คงเริ่มโยนเจ้าหัวผักกาดไปทางซ้ายทีขวาที เพื่อให้เจ้ารากใต้พิภพผู้น่าสงสารได้ร่วมส่วนในความยินดีในหัวใจของผม ผมคงจะเริ่มโยนจักกลิ้งด้วยหัวผักกาด มีด และผ้ากันเปื้อน
ผมหัวเราะจนน้ำตาไหล (แม้มันอาจไหลเพราะความหนาวเย็น) ที่เจ้าปีศาจตัวน้อยทั้งหลาย ตกใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผม และพากันไปซ่อนตัวอยู่ตาวมกระสอบถั่วลูกไก่และตระกร้ากระหล่ำปลีที่วางอยู่บริเวณนั้น
ผมจะคร่ำครวญถึงสิ่งใดได้บ้าง จะเสียใจไปใยเมื่อนี่เป็นเหตุแห่งความยินดี วิญญาณจะสามารถปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าการยอมรับความทุกข์ยากเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อพระเจ้าผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พวกเราไม่มีอะไรเลย ไม่มีค่าอันใด พวกเราตกอยู่ในการทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ และโบยบินขึ้นมาด้วยความสบายใจอาศัยการสัมผัสกับความรักของพระเจ้าเพียงเล็กน้อย
เมื่อผมเริ่มลงมือทำงาน เมฆแห่งความโศกเศร้าได้ปกคลุมท้องฟ้า วิญญาณของผมทุกข์ทรมานเมื่อมองเห็นมันอยู่บนไม้กางเขน ทุกอย่างถ่วงรั้งวิญญาณของผมให้ล่วงลงไม่ว่าจะเป็นกฏเกณฑ์ งาน ความเงียบ การขาดแสงในวันที่หม่นมัว ความเศร้า และความหนาวเย็น สายลมที่พัดผ่านบานหน้าต่าง ฝน โคลน การสิ้นแสงสุริยา โลกนั้นอยู่ห่างไกลมาก ไกลเหลือเกิน ในขณะที่ผมปอกหัวผักกาดโดยไม่ได้ระลึกถึงพระเจ้าของผม แต่ทุกสิ่งก็ล่วงไป ไม่เว้นแม้แต่การทดลอง เมื่อเวลาล่วงไปและสันติได้เข้ามา ที่นั่นก็มีแสงสว่าง บัดนี้ผมไม่สนแล้วว่าวันคืนจะเหน็บหนาว มีเมฆมาก มีลมพัด หรือไม่มีแสงอาทิตย์ ทุกสิ่งที่ผมปรารถนาคือการปอกหัวผักกาดของผม ด้วยสันติ ความสุข ความอิ่มใจ พลางมองไปที่องค์พระมารดา และถวายพระพรแด่พระเจ้า
มันสำคัญอย่างไรนะหรือ เวลาของความทุกข์โศก ความทุกข์ยากชั่วขณะ ผมกล่าวได้เลยว่าไม่มีความเจ็บปวดใดที่ปราศจากการชดเชยทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า และเอาเข้าจริงแล้วเพื่อบรรลุถึงสวรรค์ พวกเราจึงถูกขอให้น้อมรับมันเพียงเล็กน้อย ที่นี่ในอารามมันอาจจะดูง่ายกว่าในโลก แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับชีวิตที่นี่หรือชีวิตแบบอื่น ในโลกพวกเราก็มีหนทางเดียวกันในยกถวายบางสิ่งแด่พระเจ้า แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกได้ชักนำและทำให้พวกเราเสียโอกาสเหล่านั้นไปเป็นจำนวนมาก มนุษย์ก็เหมือนกันในที่นี่ พวกเขามีความสามารถในการอดทนและรักเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณสามารถค้นพบไม้กางเขน
ขอให้เราใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ขอให้เรารักกางเขนที่ได้รับพรซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งมาในทางของเรานี้เถิด ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม จงยึดสิ่งเล็กสิ่งน้อยในชีวิตประจำวัน ชีวิตธรรมดา ๆ การเป็นนักบุญไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงการทำสิ่งเล็ก ๆ ให้ยิ่งใหญ่. ในโลกที่โอกาสเหล่านี้เสียไป แต่ก็เป็นเพราะโลกที่ทำให้ใจของมนุษย์นั้นว้าวุ่น ก็จะเป็นการดีที่จะรักพระเจ้าผ่านการพูดคุย เช่นเดียวกับที่อารามทำในความเงียบ สิ่งที่สำคัญคือการทำบางสิ่งเพื่อพระองค์ ด้วยการระลึกถึงพระองค์ จะสถานภาพใด สถานที่ใด และอาชีพใดก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พระเจ้าสามารถชำระผมได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนผมปอกหัวผักกาดหรือปกครองจักรวรรดิ
ช่างน่าเสียดายเสียนี่กระไร ที่โลกนี้เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน เพราะผมมองว่ามนุษย์ไม่ได้แย่อย่างแท้จริง และพวกเราก็ต่างทนทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าจะทนทุกข์อย่างไร หากเพียงแต่พวกเขามองข้ามความประเดี๋ยวประด๋าว ชั้นความสุขจอมปลอมซึ่งโลกได้ซ่อนน้ำตาไว้ในมัน ความเมินเฉยต่อพระเจ้า หากเพียงแต่พวกเขายกสายตาขึ้นยังเบื้องบน พวกเขาก็จะได้พบเจอประสบการณ์เดียวกับที่นักพรตที่ถือเจ้าหัวผักกาด หยดน้ำตามากมายจะเหือดแห้ง ภาระมากมายจะผ่อนเบาลง และกางเขนจำนวนมากจะอ่อนละมุน และจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถถวายทุกสิ่งแด่พระคริสตเจ้าได้
เมื่อเสร็จงาน ผมคุกเข่าลงในการภาวนาเข้าส่วนกับพระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงไม้กางเขน ผมนำตระกร้าที่มีหัวผักกาดที่ถูกปอกแล้วอย่างงดงาม และล้างจนสะอาดไว้ที่ตรงนั้น ผมไม่มีสิ่งใดจะทูลถวายพระองค์อีก แต่พระเจ้าก็ทรงรับทุกสิ่งที่ถวายด้วยหัวใจทั้งดวง ไม่ว่าจะเป็นหัวผักกาดหรืออาณาจักร
ในโอกาสต่อไปเมื่อผมได้ปอกผัก ไม่ว่าจะเป็นผักชนิดไหนก็ตาม แม้ว่าพวกมันจะเย็นเฉียบเพียงใด ผมจะทูลต่อพระนางมารีย์ไม่ให้ทรงอนุญาตให้เจ้าพวกปีศาจตัวน้อยมาเฉียดใกล้เพื่อทดลองผม ผมจะทูลให้พระนางทรงส่งบรรดาทูตสวรรค์จากสวรรค์มาแทน หลังจากนั้นเมื่อผมเริ่มปอกเปลือก บรรดาทูตสวรรค์ก็จะนำผลงานจากมือของผมไป และวางแครอทสีแดงไว้แทบพระบาทของพระนางและองค์พระเยซู พวกเขาจะวางทั้งหัวผักกาดสีขาว หัวมันฝรั่ง หัวหอม กระหล่ำปลี และผักกาดหอมเช่นเดียวกัน
หากผมมีโอกาสได้อยู่ในอารามนาน ๆ ผมจะเปลี่ยนสวรรค์ให้เป็นตลาดผัก และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกผมและตรัสกับผมว่า “ผักถูกปอกพอแล้ว วางมีดและผ้ากันเปื้อนของลูก และมาร่วมยินดีในสิ่งที่ลูกทำไว้เถิด” และเมื่อผมได้อยู่ในสวรรค์ และได้เห็นว่าพระเจ้าพร้อมทั้งบรรดานักบุญทั้งหลายอยู่ท่ามกลางกองผักเหล่านั้น ข้าแต่องค์พระเยซูเจ้า ลูกไม่อาจจะช่วยพระองค์และคณะได้ ลูกจะทำได้แต่หัวเราะออกมา
ท่านเขียนประสบการณ์นี้ในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1936 เมื่อท่านอายุได้ 25 ปี
2.1 เป็นเป็นเรื่องยากที่อธิบายว่าทำไมคนคนหนึ่งถึงรักความทุกข์ทรมาน แต่ผมก็เชื่อว่าสามารถอธิบายได้ว่า เป็นเพราะนี่ไม่ใช่ความทุกข์ทรมานในตัวของตัวเอง แต่เป็นความทุกข์ทรมานในองค์พระคริสตเจ้า และผู้ใดก็ตามที่รักพระคริสตเจ้า ก็ย่อมรักไม้กางเขนของพระองค์
2.2 หาก ณ เวลาหนึ่งพระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในวิญญาณ ก็เป็นเพราะเราไม่ต้องการให้พระองค์อยู่ที่นั่น เรามัวสาละวันแต่สิ่งที่ต้องทำ ความว้าวุ่น ความสนใจ ความปรารถนาที่ไม่มีแก่นสาร ความคิดทระนงตน เรามีเรื่องทางโลกมากมายอยู่ในตัวเรา เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงถอยห่างไปโดยพระองค์เอง ดังนั้นทั้งหมดที่เราต้องทำ คือ ต้องการพระองค์
2.3 ทุกวันผมมีความสุขในการละทิ้งทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์โดยสมบูรณ์ ผมเห็นน้ำพระทัยของพระองค์แม้ในสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดและสิ่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น ในทุกครั้งที่ผมพบตัวอย่างของการรับใช้ได้ทำให้ผมเข้าใจถึงพระเมตตาที่พระองค์มีต่อผมมากยิ่งขึ้น ผมรักการออกแบบของพระองค์ด้วยทั้งชีวิตของผม และนั่นก็เพียงพอแล้ว
2.4 เมื่อมีพระเยซูเจ้าอยู่เคียงข้างไม่มีอะไรยากสำหรับผม และผมได้แลเห็นว่าหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องง่าย ไม่ก็ดูเหมือนว่าผมถูกสร้างขึ้นมาด้วยการกำจัดสิ่งต่าง ๆ แทนที่จะด้วยการควบรวม ค่อย ๆ คลี่คลายไปสู่ความเรียบง่ายแทนที่จะเป็นความสลับซับซ้อนด้วยสิ่งใหม่ เพื่อวัดว่าเราได้แยกตัวออกจากความรักที่ยุ่งเหยิงทั้งต่อสรรพสิ่งและต่อตัวของเราเอง สำหรับผมคือก็คือการที่เราได้เริ่มเข้าใกล้และเข้าใกล้องค์ความรักเพียงหนึ่งเดียว องค์ความปรารถนาเดียว ผู้ปรารถนาชีวิตนี้ และมุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ซึ่งก็คือองค์พระเจ้า
2.5 หากเราเป็นหนึ่งเดียวในความรักต่อน้ำพระทัยของพระองค์แล้วไซร้ เราก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงประสงค์ ทุกสิ่งที่พระองค์ประสงค์จากเราจะเป็นความพอใจของเรา
2.6 ความปรารถนาถึงสวรรค์ หรือกล่าวได้อีก ว่าคือความปรารถนาในหัวใจของมนุษย์ หรืออื่น ๆ อย่างง่าย ๆ คือ การทนทุกข์ทรมานและไม้กางเขน
ภาพเขียนฝีมือของนักบุญราฟาเอล
2.7 พระเจ้าทรงประทับในหัวใจที่สันโดษ ในความเงียบแห่งการภาวนา ในการสมัครใจสละตนรับความเจ็บปวด ในความว่างเปล่าของโลกและสิ่งสร้าง พระเจ้าประทับอยู่ในไม้กางเขน และตราบใดก็ตามที่เรายังไม่รักไม้กางเขน พวกเราก็จะไม่เห็นพระองค์ หรือสัมผัสได้ถึงพระองค์ หากเพียงโลกและมนุษย์ได้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้ แต่พวกเขาจะไม่มีทางได้รู้
2.8 ไม่มีความสุขใดของมนุษย์ผู้แลเห็นได้จะมากไปกว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า
2.9 หลายครั้งผมคิดว่าการปลอบประโลมใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การไม่มีอะไรเลย ผมใคร่ครวญถึงสิ่งนี้และมีประสบการณ์เช่นนี้ (…) บางเวลาผมสัมผัสได้ถึงความรักต่อพระเจ้าในหัวใจของผม ผมโหยหาพระองค์ ดูถูกโลกและตัวเอง บางคราวผมรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดเมื่อพบตัวเองอยู่ลำพังและถูกทิ้งไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ในความสันโดษร่วมกับพระองค์ หากคนที่ไม่เคยได้สัมผัสมันก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ และผมก็ไม่ทราบว่าจะอธิบายถึงมันได้อย่างไร แต่ผมทราบแน่นอนว่านี่ความบรรเทาใจเมื่อประสบกับความทุกข์ยากแต่เพียงหนึ่งเดียว และในความทุกข์เพียงลำพัง และในพระเจ้าคือความสุขอย่างจริงแท้
2.10 ผมไม่มีความปรารถนาใดมากไปกว่าการจะได้ทุกข์ทรมาน ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของผมคือการมีชีวิตอยู่และจากโลกนี้ไปโดยไม่ใยดีต่อมนุษย์และโลก ผมปรารถนาอย่างยิ่งยวดต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ ผมไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกไปจากพระองค์ พระองค์คือความปรารถนาและความไม่ปรารถนา ผมไม่รู้จะอธิบายตัวเองได้อย่างไร มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเข้าใจผมได้
2.11 ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไปในวิญญาณของผม อะไรที่เคยทำให้ผมเป็นทุกข์ บัดนี้ผมกลับรู้สึกเฉยชากับมัน และในทางกลับกันผมกำลังค้นหาที่พำนักลี้ภัยที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของผม และตอนนี้ผมก็พบมันแล้ว (…) สิ่งที่เคยทำให้ผมรู้สึกขายหน้า ตอนนี้แทบจะทำให้ผมหัวเราะ ผมไม่สนใจสถานะโอเบล์ตของผมอีกต่อไป (…) ผมพบว่าเวลาสุด้ทายคือสถานที่ที่ดีที่สุด ผมดีใจที่ผมไม่ได้เป็นสิ่งใดและไม่มีอะไร ผมดีใจที่ความเจ็บป่วยได้ทำให้ผมต้องทุกข์ทรมานทั้งกายและทางใจ
2.12 เพียงความเงียบเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไป ไม่ใช่ความเงียบในคำพูดหรือกิจการ ไม่ใช่เลย เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากเหลือเกิน มันคือความเงียบที่มนุษย์ต่างปรารถนามาก มากที่สุด จนเขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดสิ่งใด จะคิดอะไร ปรารถนาอันใด หรือทพสิ่งใด มีแต่เพียงพระเจ้าเท่านั้น ในความเงียบยิ่งนั้น พระทรงรอแล้วรอเล่า พระเจ้าช่างแสนดีเหลือเกิน