นักบุญกามิลล่า
บัตติสตา ดา วาราโน
St.Camilla
Battista da Varano
ฉลองในวันที่
: 31 พฤษภาคม
เจ้าหญิงกามิลลา
ทรงมีพระประสูติกาลเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ.1458 ในกาเมริโน จังหวัดมาเชราตา แคว้นมาร์เกตอนกลางของประเทศอิตาลี ทรงเป็นพระธิดานอกสมรสของจูลิโอ เชซาเร ดา
วาราโน (Giulio Cesare da
Varano)
ดยุกแห่งกาเมริโน กับเชชินา (Cecchina)
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ท่านก็ได้รับการเลี้ยงดูจากพระบิดาและชายาซึ่งเป็นพระมารดาเลี้ยงของท่านด้วยความรักใคร่
ท่านได้รับการศึกษาเช่นชนชั้นสูงทั่วไปซึ่งรวมถึงไวยากรณ์ วาทศาสตร์ ภาษาละติน วาดรูป ขี่ม้า
เมื่อเจริญชันษาได้ประมาณ
8 ปี
ท่านก็ได้มีโอกาสฟังเทศน์ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์จากภารดาฟรานซิสกันคนหนึ่งนามภารดาโดเมนิโก
แห่ง เลโอเนซซา (Domenico
of Leonessa)
ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นหนึ่งในคุณพ่อแก้บาปของท่าน โดยในวันนั้นหลังจบการเทศน์ เขาได้ชักชวนให้บรรดาสัตบุรุษที่มาฟังเทศน์ให้หลั่งน้ำตาซักครั้งหนึ่งสำหรับพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า
บทเทศน์นี้เป็นที่ประทับในฤทัยน้อยๆของท่านมาก ดังนั้นท่านจึงปฏิญาณตนต่อพระเจ้าว่าท่านจะหลั่งน้ำตาแห่งความรักสำหรับพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าทุกๆวันศุกร์
ในระยะแรกท่านพบว่ามันยากมากที่จะบีบน้ำตาออกมา
กระนั้นท่านก็พยายามที่จะทำ กระทั้งอยู่มาวันหนึ่งขณะท่านเดิน
ท่านก็ได้ผ่านหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งที่เขียนถึงการรำพึงเรื่องพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าแบ่งเป็นสิบห้าภาค
ดังนั้นหลังจากนั้นมาในทุกๆวันศุกร์ท่านก็จะวางมันบนหัวเข่าเพื่ออ่านมันต่อหน้าไม้กางเขน
นอกจากนั้นท่ายังเริ่มถือศีลอดอาหารกินแต่เพียงขนมฟังและน้ำ ตื่นเฝ้ายามค่ำคืน ซึ่งท่านค้นพบว่ามันช่วยให้น้ำตาท่านไหลง่ายขึ้นโดยไม่ต้องบีบ ตกข้ามกับชีวิตภายนอกที่ดำเนินไปเช่นเจ้าหญิงธรรมดา
ท่านเล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ เดินเล่น ภายหลังท่านจึงมองว่ามันคือเรื่องไร้สาระ
ต่อมาในช่วงมหาพรต
ปี ค.ศ.1479
ท่านก็ได้มีโอกาสฟังเทศน์จากภารดาฟรานเชสโก
แห่ง อูร์บิโน (Francesco
of Urbino)
จากคณะฟรานซิสกัน โดยหัวข้อบทเทศน์ครั้งนี้คือ “แตรแห่งพระจิตเจ้า”
มันเป็นบทเทศน์อีกอันที่ตราตรึงในใจของท่าน
ที่สุดหลังจากการแอบติดต่อลับๆกับภารดาฟรานซิสกัน ในวันฉลองแม่พระรับสารที่ 24 มีนาคม
ปีเดียวกันท่านก็ตัดสินปฏิญาณจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ ด้วยชันษา 21 ปี
ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันเองที่ท่านเริ่มมีกระแสเรียกการเป็นซิสเตอร์
แต่ทางเดินของท่านก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบขณะที่ท่านต้องต่อสู้กับภายในอย่างข่มขื่น
ขณะที่ต้องอยู่กับการเยาะเย้ย การนินทาท่านจากบรรดาสมาชิกในราชสำนัก
และความปรารถนาให้ท่านเป็นฝั่งเป็นฝาของบิดาท่าน
มันทำให้ท่านรู้สึกสับสนว่าควรเลือกอะไรดีพ่อ หรือ พระเจ้า อะไรกันแน่ กระทั้งท่านได้สารภาพบาปกับคุณพ่อโอลิเวียโร
(Friar Oliviero) ในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ 17 เมษายน ค.ศ.1479 ท่านก็ตัดสินใจได้ว่าท่านต้องเลือกพระเจ้า
ใช่ พระเจ้า ตามกระแสเรียกไปเป็นซิสเตอร์ในอารามกลาริสที่อูร์บิโน อันเข็มงวดในวัตรปฏิบัติตามกฎของคณะ
ดังนั้นท่านผู้เจริญวัยได้
21 ชันษา
ก็ตัดสินใจสละมรดก เพื่อเข้าอารามกลาริส
แต่เมื่อเรื่องถึงพระเนตรพระกรรณของพระราชบิดาท่าน เขาก็มีรับสั่งขังท่านไว้ในปราสาทเป็นระยะเวลาถึงสองปีครึ่งเลยทีเดียว
โดยที่มุ่งหวังว่าจะแปรเปลี่ยนความคิดของท่านได้ ซึ่งระหว่างนั้นท่านก็ได้เทหัวใจของท่านทั้งหมดให้แด่เจ้าบ่าวของท่านพระคริสตเจ้า
และเหมือนเป็นเวลาที่ปีศาจเริ่มเข้ามาผจญท่าน ท่านป่วยและมีอาการซึมเศร้าถึงเจ็ดเดือน
เช่นกันช่วงเวลานี้พระเยซูเจ้าก็ได้ทรงประจักษ์มาหาท่าน พร้อมมอบดอกลิลลี่สามดอกท่าน
ความชังโลก , หัวใจที่ถ่อมตน
และจะเผาความปรารถนาประสบความชั่วร้าย (ชีวิตภายใน 3:
30-31)
นอกจากนี้ท่านยังได้ประพันธ์หนังสือเล่มแรกของท่าน
“สรรเสริญนิมิตแห่งพระคริสต์เจ้า” เพื่อฉลองความสุขที่ท่านได้รับรู้ว่าเป็นที่รักจากเจ้าบ่าวของท่านพระคริสต์เจ้า
ผู้ที่ท่านวอนขอที่จะได้ยลพระองค์และก็ได้แลเห็นพระองค์สมใจ แม้เป็นเพียงด้านหลัง
ที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ ยกธงขาว ประการฉะนี้ด้วยชันษา 23 ปี ท่านก็ได้ เข้าอารามคณะกลาริส ที่
อูร์บิโน ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ.1481 ท่านเขียนเชิงอุปมาในหนังสือชีวิตภายในว่า
ท่านกำลังจะถูกปลดปล่อยจากการเป็นทาสของอียิปต์(ทางโลก) จากเงื้อมมือของฟาโรห์ผู้มีอำนาจ(บิดาและซาตาน) ข้ามทะเลแดง(ความหรูหราในราชสำนัก) และถูกวางไว้ในทะเลทรายแห่งพัญธสัญญา(อาราม)
หลังจากนั้นท่านก็ได้ใช้ชีวิตอีกสองปีในอูร์บิโน
ซึ่งระหว่างนั้นท่านก็ได้ประพันธ์หนังสือชื่อ “ความทรงจำแห่งพระเยซู” (Ricordi
di Gesu)
ขึ้น มันเป็นหนังสือรำพึงในรูปแบบของจดหมายจากพระเยซูเจ้าในรูปแบบ “พระมหาทรมาน”
หากกล่าวถึงคำภาวนาของท่าน มันคือการรำพึงอย่างเข้มข้นต่อพระมหาทรมาน
ท่านเขียนว่า “ในทะเลที่ปั่นป่วนแห่งความทุกข์ทรมานทางจิต
ในพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และในสถานหนนี้ดิฉันจะจมดิ่งอยู่ในมัน
หากดิฉันสามารถกระทำได้ เพราะมันมี
พระหฤทัยสีชาดของพระเยซูเจ้า ที่ดิฉันได้รับการเผยแสดงลายอักษรขนาดใหญ่ ดูเก่าแก่
อักษรสีทองเขียนว่า เรารักลูก กามิลลา” (ชีวิตภายใน 12:38)
ปลายปีค.ศ.1483 พิธีปฏิญาณตนของท่านก็ถูกจัดขึ้น
มันเป็นช่วงเวลาที่ “ขมขื่น” แต่ในหนังสือท่านก็ไม่ได้เขียนเหตุผลใด
คงเล่าแต่สถานการณ์คร่าวๆ ด้วยความต้องการขีดเส้นชะตาของธิดา
พระราชบิดท่านจึงตัดสินใจซ่อมแซมอารามซานตา มารีอา นัววา ใกล้ปราสาทของเขา แล้วจัดให้ย้ายท่านและซิสเตอร์อีกแปดคนในคณะมาอยู่ที่อารามนี้ตั้งแต่วันที่
4 มกราคม
ค.ศ.1484
จุดสำคัญอีกอันของวิญญาณน้อยๆของท่านคือการที่นักบุญคลารา
ผู้ก่อตั้งคณะได้ประจักษ์มาหาท่านเป็นระยะเวลาถึง 15 วัน แต่ท่านไม่รู้ว่าผู้นั้นคือมารดาคณะท่าน
ท่านเขียนในบันทึกของท่านว่า “ซิสเตอร์ที่สวยงามแห่งคณะของเรา
บนศีรษะของเธอมีผ้าคุมสีดำกับรัศมีที่กระจายออกมาจากดวงตาที่น่ารักคู่นั้นราวกับเธอกล่าวด้วยความงดงามและความรักให้เธอ” ภายหลังเมื่อท่านทราบว่านั้นคือคุณแม่คลารา
ท่านก็ยิ่งทวีความรัก การอุทิศตนต่อคุณแม่มากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นอีกราวๆสองวันทูตสวรรค์สององค์ก็ได้ประจักษ์มาหาท่าน
“ทูตสวรรค์สององค์มาหาดิฉัน ในชุดสีขาวที่สุกสกาว
เสื้อผ้าซึ่งดิฉันได้แลเห็นเฉพาะพระเยซูเจ้าทรงสวมใส่ พวกเขามีปีกสีทอง
หนึ่งในพวกเขานำวิญญาณของดิฉันจากด้านขวา และพวกเขายกมันสูงขึ้นไปในอากาศ วางมันลงใกล้พระบาทที่ถูกตรึงไว้กับกางเขนของพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเสกสร้างมนุษย์
สภาพนี้กินระยะเวลาต่อเนื่องประมาณสองเดือน; ดิฉันดูเหมือนจะเดินไป
พูดไปและทำสิ่งที่ดิฉันต้องการ โดยการกีดกันแห่งวิญญาณ ……..
พวกเขา(วิญญาณแห่งสวรรค์)ประกาศกับดิฉันว่าที่พวกเขาอยู่ชิดสนิทกับพระเจ้า
พระองค์มิทรงแยกจากพวกเขาเลย”
ผ่านคำวิงวอนของแม่พระ
ท่านก็ได้เห็นนิมิตแสงสว่างแห่งความรักอันสุดจะพรรณนาของพระเจ้า ปราศจากการสั่ง
เพื่อสิ่งสร้างของพระองค์ “โอ้ บ้านะ โอ้ บ้านะ”ท่านเขียน สิ่งนี้ทำให้ท่านตระหนักความไม่คู่ควรของท่านเอง
ท่านวิงวอนและได้รับพระหรรษทานที่จะหมอบอยู่ ณ
แทบพระบาทของพระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงไว้บนกางเขนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ตามที่ท่านขอ
ห้าปีต่อมา
สันติสุขภายในของท่านก็ถูกรบกวน ท่านรู้สึกว่า “เหี่ยวเฉาด้วยสิ่งไม่มีตัวตนแผดเผา”, “เผาไหม้ยิ่งกว่าตะเกียง” (ชีวิตภายใน 16:57) และไฟที่แผดเผานี้ “เลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดแห่งนรก”
มันทำให้ท่านต้องการหลุดจากพันธนาการแห่งร่างกายเพื่ออยู่กับพระคริสตเจ้า
ในปี
ค.ศ.1488 ในชันษา 30 ปี ท่านก็รู้สึกถึงการดลใจจากพระเจ้า
ท่านจึงเริ่มประพันธ์หนังสือ “ทุกข์ภายในใจของพระเยซูระหว่างรับพระมหาทรมาน” ท่านเขียนเป็นการเล่าเรื่องราวผ่านซิสเตอร์นิรนามคนหนึ่งต่ออธิการของเธอ
ถึงภาพนิมิตภายในใจของพระเยซูเจ้าที่ทุกข์ของเธอ
มันประกอบด้วยพื้นฐานหลักๆคือการเผยแสดงความทุกข์ทรมานแปดประการของพระเยซูเจ้า(การถูกสาปส่ง ,
การเลือก , พระมารดาของพระองค์ , มารีย์ มักดาเลน , อัครสาวก , ยูดาส , ประชากรชาวยิว
และความอกตัญญูของสิ่งสร้างทั้งหมด)
หลังจากท่านประพันธ์หนังสือทุกข์ภายในใจของพระเยซูระหว่างรับพระมหาทรมาน
ท่านก็ต้องประสพกับปัญหาวิญญาณรุมเร้าบางส่วนอีกห้าปี ท่านกล่าวถึง“สงครามวิญญาณ” ในบทท้ายๆของหนังสือชีวิตภายในว่า
เวลานั้นท่านถูกการทอดทิ้งและอ้างว้างผลักท่านให้ตกสู่ห้วงนรก
ที่ก้นหลุมมีเจ้ามังกรร้ายอ้าขากรรไกรของมัน
แผดเสียงกัมปนาทด้วยความโหดร้ายและบ้าคลั่ง ราวกับมันจะกลืนกินท่าน (18:61-62)
นอกจากนั้นท่านยังถูกปีศาจเย้ายวนให้ต่อต้านพระเจ้า
ความดี และปฏิเสทความจริงในพระวรสาร
แม้จะถูกผจญอย่างหนักหน่วงในช่วงวันที่
27 กุมภาพันธ์และ 13 มีนาคม ค.ศ.1491
ท่านก็ได้เขียน “ชีวิตภายใน” อันเป็นจดหมายยาวให้ภารดาโดเมนิโก
แห่ง เลโอเนซซา ตามที่ถูกสั่งให้เขียนประวัติของท่านเอง ท่านรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกับภารดาผู้นี้มากเพราะเขาเป็นผู้จุดประกายไฟแห่งกระแสเรียกของท่าน
“คุณพ่อควรทราบนะค่ะ สวัสดีและด้วยความรักคุณพ่อค่ะ
ชีวิตจิตของลูกทั้งสิ้นล้วนมีที่มา การเริ่มต้นและรากฐานจากคุณพ่อ
มิได้มาจากบุคคลใด” ท่านเขียนในบทแรกๆของหนังสือนี้ เหมืองเวรเหมือนกรรมเพราะในปีเดียวกันบุญราศีเปียโต
แห่ง โมยลิอานิ (Mogliani) คุณพ่อวิญญาณที่รักของท่านก็จากไป
ด้วยความรักท่านจึงเขียนบทสรรเสริญเขาขึ้นมา แล้วส่งไปให้ดัชเชสแห่งอูร์บิโน นาม
เอลิซาเบ็ตตา คอนซากา มอนเตเฟลโตร
แต่แล้วเรื่องวุ่นๆก็บังเกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์
ที่ 6 ทรงดำรงเป็นพระสังฆราชแห่งกรุงโรม
พระองค์ก็ได้ทรงมีกระแสรับสั่งขับพระราชบิดาท่านออกจากพระศาสนจักรตั้งแต่ปี ค.ศ.1501 ด้วยเชื่อคำใส่ร้ายที่ว่าบิดาท่านเป็นกบฏต่อองค์พระสันตะปาปาและเป็นคนลอบสังหารบุตรของพระองค์
พร้อมให้เซซาเร บอร์เจีย บุตรชายอีกคนนำทัพไปกาเมริโนในปี ค.ศ.1502 ทัพยึดการ์เมริโนได้ในฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกัน
พระราชบิดาท่านและพระเชษฐาถูกปลงพระชนม์ ท่านขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอธิการของอาราม
ก็ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่อัทริ(Atri) แคว้นอาบรุซโซ ราชอาณาจักรเนเปิลส์ขณะนั้น
กับ อิซาเบลลา ปิกโกโลมินิ โตเดาชินิ (Isabella Piccolomini
Todeschini)
ดัชเชสแห่งอมัลฟิ (Amalfi) เมื่อเห็นว่าปลอดภัยท่านจึงกลับกาเมริโน
ในปี ค.ศ.1503
ท่านได้รับเลือกเป็นอธิการอารามถึงสี่ครั้งคือในปี
ค.ศ.1500,
ค.ศ.1507, ค.ศ. 1513 และค.ศ.1515 ต่อมาปี ค.ศ.1505 สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ก็ได้ส่งท่านไปช่วยตั้งอารามกลาริสที่เฟรโม
เป็นเวลาราว 2 ปี
หลังจากนั้นผ่านการแทรกแซงของท่านที่ซาน
เซเวริโน มาร์เช (San Severino Marche) ในปี ค.ศ.1512 ท่านก็ทำสำเร็จในการยับยั้งการดำเนินการกับนาโปลีโอน
แห่ง กาเมริโน (Napoleone of Camerino) ในข้อหารฆาตกรรม
หลังจากนั้นระหว่าง
ค.ศ.1521
-1522 ท่านก็ได้เดินทางไปฝึกอบรมบรรดาซิสเตอร์ที่ซาน
เซเวริโน มาร์เช และได้เขียนหนังสือเล่มสุดท้ายของท่าน “สัญญาแห่งพรหม์จรรย์แห่งดวงใจ”(
Trattato
della purita di cuore) หลังจากนั้นด้วยชันษา 66 ปี
ในช่วงโรคระบาด ท่านก็ได้คืนชีวิตของท่านแด่พระเจ้าในอารามกาเมริโน
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม
ค.ศ.1524
ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่
16 ก็ได้ทรงลงพระนามอนุมัติให้ท่านเป็นบุญราศี
ตั้งแต่วันที่ 7
เมษายน ค.ศ.1843 และสุดหลังจากปัญหาต่างๆมากมาย
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็ทรงบันทึกนามท่านในสารบบนักบุญในคณะกลาริสเพิ่มอีกนาม
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ.2010
ชีวประวัตินี้มอบแด่อารามกลาริส(คนละคณะกับกลาริส กาปูชิน
แต่เครือเดียวกัน) ที่กำลังจะมาตั้งในไทย เพื่อเป็นผู้สนับสนุนคำภาวนาแก่งานธรรมทูต
ขอวิงวอนพระเจ้าให้อารามแห่งใหม่นี้พบแต่สันติ
เป็นทีรวมอีกอันของสตรีผู้ต้องการเจริญชีวิตจิตแบบนักบุญคลารา และผู้ต้อการคำภาวนาทั้งหลาย
“โอ้ ท่านผู้ที่ผ่านไปตามมรรคาแห่งความรักของพระเจ้า
โปรดพิจารณาและดู ถ้าท่านมีความทุกข์ใดๆที่เป็นเหมือนความทุกข์ของดิฉัน ”
กามิลล่า บัตติสตา ดา วาราโน
“ข้าแต่ท่านนักบุญกามิลล่า บัตติสตา ดา
วาราโน ช่วยวิงวอนสำหรับอารามใหม่ด้วยเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง