ข้ารับใช้พระเจ้าโอเดเท
วิดัล เด โอลิวีรา
Servant of
God Odette Vidal de Oliveira
ท่ามกลางสถาปัตยกรรมโกธิคที่งดงามของมหาวิหารแม่พระปฏิสนธินิรมล
ของนครริโอเดอจาเนโร ประเทศบลาซิล เป็นที่ตั้งของรูปหล่อสีทองของเด็กหญิงตัวน้อยวัย
9
ปีทอดกายาอยู่บนฐานกรุหินสีดำมันวาวดูเด่นเป็นสง่าบริเวณทางด้านซ้ายมือของมหาวิหาร
เหมือนเป็นดั่งการประกาศเกียรติของเด็กสาวผู้นี้ให้ชาวบลาซิลและชาวโลกได้รู้นาม “ข้ารับใช้พระเจ้าโอเดเท วิดัล เด โอลิวีรา” ผู้เคยพูดว่า “หนูปรารถนาใช้เวลาในสวรรค์สร้างความดีบนแผ่นดิน”
เรื่องราวเรื่องนี้เริ่มขึ้นจากครอบครัวผู้อพยพชาวโปรตุเกสของนายเอากุสโต
เฟรเฮยรา คาร์โดโซ กับ นางอลิซี วีดัล
ขณะทั้งสองกำลังตั้งความหวังกับเด็กในท้องซึ่งเพียงไม่กี่เดือนก็จะได้ลืมตาดูโลกแล้ว
จู่ๆเอากุสตินก็ถูกวัณโรคพาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ก่อนเขาจะได้เห็นทารกเพศหญิงตัวน้อยที่ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 15 กันยายน
ค.ศ.1930
หลังจากนั้นมารดาของท่านก็ได้เข้าพิธีสมรสอีกครั้งกับนายฟรังซิสโก
โอลิวีรา พ่อค้าชาวโปรตุเกสที่มั่งคั่งและใจศรัทธา
ทำให้ถึงแม้จะขาดพ่อแท้ๆไปแต่ท่านก็ได้รับการปลูกฝังเป็นยังดีจากทั้งสองในเรื่องการภาวนา
การอุทิศตนต่อแม่พระ และความรักเป็นพิเศษต่อศีลมหาสนิท
ซึ่งตามปกติครอบครัวท่านมักเข้าวัดนักบุญหลุยส์ ของนครริโอเดอจาเนโร
และมีครั้งหนึ่งครอบครัวก็ได้พาท่านในวัยราวๆสามปีไปร่วมมิสซาด้วย
ซึ่งขณะมาถึงภาคถวายท่านก็ร้องออกมาว่า “แม่คะ หนูจะใช้เวลากับหนูน้อย”
“พระเยซูเจ้า ลูกรักพระองค์”
คือบทภาวนาที่ท่านสวดบ่อยตั้งแต่ยังเล็กๆจนถึงวันสุดท้ายของท่าน “โอ้ พระเยซูเจ้าของลูก ลูกรักพระองค์มากๆ
ลูกชอบที่จะตายดีกว่าขัดพระทัยพระองค์” คือบทที่ท่านพร่ำสวดเมื่อท่านโตขึ้น ต่อจากนั้นเมื่อท่านอายุได้ห้าปีท่านก็ได้เข้าเรียนคำสอนและสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วจนทำให้ท่านกลายเป็นครูคำสอนของบรรดาสหายของท่านกันเลยทีเดียว
พิธีรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของท่านถูกจัดขึ้นในมหาวิหารแม่พระปฏิสนธินิรมล
ของนครริโอเดอจาเนโร
ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1937 ขณะท่านมีวัยได้หกปี
ในขณะที่เข้ามาในวัดเพื่อเตรียมตัวมารดาก็ได้หันไปถามบุตรสาวตัวน้อยของเธอว่า “ลูกจะขออะไรจากพระองค์จ๊ะ” ทันทีท่านก็ตอบคุณแม่ไปว่า “คุณแม่คะ
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์แก่หนูหนูก็จะมอบความรักในหัวใจทั้งหมดแด่พระองค์และหนูจะบอกพระองค์ว่า
หนูรักพระองค์คะ”
ดวงใจน้อยๆของท่านถูกแผดเผาไปด้วยความรัก
เมื่อท่านเดินผ่านไม้กางเขนท่านกล่าวว่า “ถ้าหนูอยู่ที่นั่นหนูก็ไม่จะทิ้งการตรึงกางเขนไปไหน” ท่านยังมักสวดว่า “ลูกอยู่ที่นี่ โอ้ องค์ความดีของลูกและพระเยซูเจ้าผู้พระทัยดี…” และภายแทนที่ท่านจะกล่าวว่า “ได้ตอกตรึงมือและเท้าของลูก” ท่านกลับยกมือน้อยๆของท่านขึ้นและเปล่งว่า “โปรดตอกตรึงมือและเท้าของลูกด้วย” ท่านขอเป็นแบบนักบุญฟรานซิส แห่ง อัสซีซี ในการร่วมในบาดแผลของพระองค์
ความร้อนรนหลังการรับพระวรกายของครั้งแรกนั้นมิได้เหมือนไฟในแสงเทียนเป็นไฟในตะเกียงที่นับวันก็ยิ่งมากขึ้น
มากขึ้น ท่านร่วมมิสซาทุกวัน
พร้อมเตรียมตัวอย่างดีด้วยการอดอาหารตั้งแต่หลังเที่ยงคืนไป
ความร้อนรนของท่านเป็นที่ประจักษ์และชื่นชม จนมีคนเคยถามท่านว่า “หนูพูดอะไรกับพระเยซูเจ้าจ๊ะ” และท่านตอบว่า “อา เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างหนูกับพระองค์คะ” มารดาท่านเคยถามอีกครั้ง “โอเดเท ลูกเอามือปิดหน้าทำไมจ๊ะ ลูกหลับหรือเปล่า” ท่านก็ตอมารดาว่า “ไม่คะ คุณแม่ หนูกำลังฟังพระเยซูเจ้า
อยู่ใกล้พระองค์และขอให้พระองค์พาหนูไปสวรรค์ ไปด้วยกันคะ คุณแม่ เพื่อสวรรค์
ไปด้วยกัน”
ความรักจากดวงใจของท่านเทลงไปสู่ทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
ซึ่งอาจมีรูปแบบมาจากมารดาของท่านที่จะทำให้อาหารให้คนยากไร้ในทุกๆวันเสาร์ด้วยความสุข
ในวันคริสต์มาสท่าขอครอบครัวให้คนใช้ คนขับรถมารับประทานอาหารร่วมโต๊ะกัน ท่านยังเรียกให้ลูกสาวคนใช้ไปนอนบนเตียงของท่าน
แต่งตัวเหมือนพวกเขา
นอกจากนั้นท่านยังขอลงก่อนถึงโรงเรียนแล้วเดินไปตามทางเท้าอย่างไม่ถือตัวว่าร่ำรวย(ท่านเรียนที่โรงเรียนซีโอนวิทยาลัย)
และเมื่อท่านได้ยินว่าลูกชายของคนงานฟาร์มของครอบครัวยังไม่ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกท่านก็เป็นครูคำสอนให้เขา
กระทั้งท่านป่วยท่านก็ต้องการให้ทุกคนได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี
แต่แล้วในต้นเดือนตุลาคม
ค.ศ.1939 ท่านก็เริ่มล้มป่วยลงด้วยโรคไข้หวัด
แม้จะทุกข์มารท่านก็ยังคงกัดฟันสู้ไปมิสซาที่วัดของซิสเตอร์แม่พระปฏิสนธินิรมล
ที่วิทยาลัยซาน มาร์เซลโล ในวันที่ 8
ตุลาคม ก่อนต้องพบกับความทุกข์ทรมานไปอีกถึง 49 วัน
จากโรคไข้ไทฟอยด์ที่รากสาดใหญ่แม้จะหาทางรักษาเท่าใด
อาการไข้ก็ไม่ลดแต่ตรงข้ามกลับยังคงสูงเช่นเดิม
กระนั้นท่านก็ไม่เคยร้องไห้งอแงหรือบ่นใดๆอย่างกล้าหาญ
บางครั้งท่านก็ดูราวกับว่าตกอยู่ในห้วงแห่งฌาน
“พระเยซูเจ้าทรงอยู่ที่นี่ แต่ไม่ได้ทรงมารับหนู” , “แต่ แม่จะกลับมาใช่ไหมค่ะ” จากนั้นก็มีหลายวันที่ท่านไม่พูดเลย
และเมื่อท่านฟื้นคำพูดแรกของท่านก็คือ “ในตอนนี้ คุณแม่คะ ไปกัลวารีโอกันเถอะคะ”
บรรดาแพทย์และพยาบาลที่ดูแลท่านต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยพบเรื่องแบบนี้มาก่อน
เด็กหญิงตัวน้อยที่พูดถึงงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ของแม่พระเสมอๆ
ซึ่งในโอกาสนี้จำเป็นต้องเตรียมชุดพิเศษให้พร้อม ท่านกล่าว “แม่พระทรงอยู่ในสวนสวรรค์และหนูรอคอยงานเลี้ยงใหญ่ในวันเสาร์
โปรดเตรียมชุดสีขาวด้วยนะคะ”
อัศจรรย์แห่งบทสดุดี
เกิดขึ้นหลังจากการรับศีลเจิมของท่านในตอนเย็น ท่านก็เริ่มท่องบทสดุดีที่ 22 ซ้ำไปซ้ำมา
“พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า
ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า ทำไมจึงทรงอยู่ห่างไกล
ไม่ทรงฟังคำคร่ำครวญของข้าพเจ้าที่ร้องขอความช่วยเหลือ
พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าเรียกหาเวลากลางวัน
พระองค์ก็มิได้ทรงตอบ
ข้าพเจ้าเรียกหากลางคืน แต่ไม่พบความสงบใจเลย
ถึงกระนั้นพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ประทับอยู่กับอิสราเอล ประชากรที่สรรเสริญพระองค์
บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายมอบความวางใจไว้ในพระองค์
เขามอบความวางใจ
พระองค์ก็ทรงปลดปล่อยให้เป็นเขาเป็นอิสระ
เขาร้องขอพระองค์ให้ทรงช่วย ก็ได้รับความรอดพ้น
เขาวางใจในพระองค์ และไม่ผิดหวังเลย
แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนหนอน มิใช่มนุษย์
เป็นที่เหยียดหยามของคนทั้งหลาย ใครๆ ก็ดูหมิ่น
ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย
เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า
เขาวางใจในพระยาห์เวห์ ก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ ถ้าพระองค์โปรดปราน ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา
พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกจากครรภ์
ทรงมอบข้าพเจ้าไว้ในอ้อมกอดของมารดา
ข้าพเจ้าพึ่งพระองค์ตั้งแต่เกิดมาแล้ว
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าตั้งแต่ครรภ์มารดา
โปรดอย่าทรงอยู่ห่างจากข้าพเจ้า เพราะความเดือดร้อนกำลังเข้ามาใกล้
และไม่มีใครช่วยเหลือข้าพเจ้าเลย
กระทิงมากมายเรียงรายห้อมล้อมข้าพเจ้า กระทิงแห่งบาชานโอบใกล้เข้ามา
เขาอ้าปากกว้างใส่ข้าพเจ้า
เหมือนสิงตแยกเขี้ยวคำราม
พลังของข้าพเจ้าร่อยหรอเหมือนน้ำไหล กระดูกทุกชิ้นเคลื่อนหลุดออกจากกัน
หัวใจของข้าพเจ้าเหลวเหมือนขี้ผึ้ง
หลอมละลายอยู่ภายในอกข้าพเจ้า
คอข้าพเจ้าแห้งผากราวกับดินเผา
ลิ้นเกาะติดอยู่กับเพดานปาก
พระองค์ทรงวางข้าพเจ้าไว้ในธุลีแห่งความตาย
สุนัขฝูงหนึ่งรี่เข้ามากลุ้มรุมข้าพเจ้า
อันธพาลกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาประชิด เขาเจาะไชมือและเท้าของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านับกระดูกของข้าพเจ้าได้ทุกชิ้น
เขาต่างจ้องมองข้าพเจ้าและสะใจ
เขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งปันกัน
นำเสื้อยาวของข้าพเจ้ามาจับฉลากกัน
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงอยู่ห่างจากข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า
โปรดเสด็จมาช่วยข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด
โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากคมดาบ
ช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้พ้นจากแรงขย้ำของสุนัข
โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากปากสิงโต
ช่วยข้าพเจ้าผู้น่าสงสารให้พ้นจากเขาของกระทิงป่า
แล้วข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่บรรดาพี่น้อง
จะสรรเสริญพระองค์ในหมู่ประชากรที่มาชุมนุมกัน
ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงพระยาห์เวห์
จงสรรเสริญพระองค์เถิด
พงศ์พันธุ์ยาโคบเอ๋ย
จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์เถิด
พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงเคารพยำเกรงพระองค์เถิด
เพราะพระองค์มิได้ทรงรังเกียจผู้ยากไร้
หรือดูถูกความเดือดร้อนของเขา
มิได้ทรงซ่อนพระพักตร์
แต่ทรงรับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเขา
ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ในหมู่ประชากรมากมายที่มาชุมนุมกัน จะแก้บนต่อหน้าผู้ที่ยำเกรงพระองค์
คนยากจนจะได้กินจนอิ่ม
ผู้แสวงหาพระยาห์เวห์จะสรรเสริญสดุดีพระองค์
ขอให้เขาทั้งหลายมีชีวิตอย่างเป็นสุขตลอดไป
ประชานทั่วโลกจะจดจำและกลับมาหาพระยาห์เวห์ ประชาชาติทุกตระกูลจะกราบนมัสการพระองค์
เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์
ทรงปกครองชนชาติทั้งปวง
ผู้ทรงอำนาจในแผ่นดินจะกราบนมัสการพระองค์
มนุษย์ทุกคนที่จะต้องตายจะก้มกราบเฉพาะพระพักตร์
ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์
บุตรหลานของข้าพเจ้าจะรับใช้พระองค์
เขาจะประกาศถึงพระยาห์เวห์แก่คนรุ่นหลังสืบไป
เขาจะประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์แก่ประชากรที่เกิดมา
ว่านี่คือราชกิจของพระองค์”
ซึ่งสร้างความประหลาดใจแกทุกคนร่วมทั้งคุณพ่อที่มาส่งศีลให้ท่าน
ที่ท่านสามารถท่องบทนี้ได้ทั้งๆที่ไม่เคยเรียน
และคำพูดของท่านก็เป็นจริงเพราะในเช้าวันเสาร์ที่
25 พฤศจิกายน ค.ศ.1939 ท่านก็กลายเป็นพูดไม่ได้
ท่านจึงพยายามใช้ภาษากายเพื่อขอรับศีลมหาสนิท
ทันทีคุณพ่อเข้าใจและเริ่มร้องไห้พร้อมบอกว่าท่านไม่อาจรับศีลมหาสนิทได้เพราะท่านพูดไม่ได้และคงกลืนไม่ได้
แต่ท่านยังคงยืนกรานที่จะรับพระองค์ คุณพ่อจึงน้ำชิ้นส่วนศีลเล็กๆส่งให้ท่านในเวลา
7 นาฬิกา 30 นาที “พระเยซูเจ้าของลูก ลูกรักพระองค์
และขอให้ทุกๆคนรักพระองค์ตลอดนิรันดร์” , “พระเยซูเจ้าของลูก ที่รักของลูก ชีวิตของลูก
ทั้งหมดของลูก” ,
หรือพระนามพระเยซูเจ้า ,หรือมองไปที่ฟ้า “โปรดพาลูกไปสวรรค์ด้วย” คือหนึ่งในคำที่ท่านซ้ำไปมาก่อนเวลาสุดท้าย
และเพียงไม่นานหลังจากนั้นท่านก็ได้คืนวิญญาณไปหาความรักของท่าน
ณ เมืองสวรรค์อย่าสงบ ด้วยอายุเพียงเก้าปีจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
โลงศพของท่านถูกแบกโดยซิสเตอร์จากคณะแม่พระปฏิสนธินิรมล
โดยที่มีซิสเตอร์จากหลากหลายคณะและกลุ่มมาร่วมกันแห่ร่างของท่านเป็นครั้งสุดท้ายชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในนครริโอเดอจาเนโร นับจากนั้นหลุมศพแกรนิตสีดำของท่านในสุสานนักบุญยอห์น
แบพติสก็กลายเป็นที่แสวงบุญ “ลูกขอถวายแด่พระองค์
โอ้ พระเยซูเจ้าของลูก ความทุกข์ทรมานทั้งหมดของลูกเพื่องานแพร่ธรรรมและเด็กยากไร้” คือคำกล่าวเมื่อท่านป่วย
กระบวนการขอแต่งตั้งเป็นนักบุญของท่านเริ่มขึ้นในวันที่
18 มกราคม ค.ศ.2013
ทำให้มีการย้ายร่างของท่านมาไว้ในมหาวิหารแม่พระปฏิสนธินิรมลที่ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรก
เพื่อนสนิทกล่าวถึงท่านว่า “เธอมีชีวิตธรรมดาๆ
แต่มีหัวใจพิเศษ” เกร็ดเล็กๆจากประวัติของท่านคือท่านไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่นักบุญยอแซฟไม่ได้รับเกียรติที่เพียงพอเท่ากับที่ท่านนักบุญทรงดูแลพระมารดาและพระเยซูเจ้า
ท่านรักลิลลี่และสายประคำ
“มือที่หย่อน เป็นเหตุให้เกิดความยากจน แต่มือที่ขยันขันแข็งจะทำให้มั่นคง” ( สภษ 10 : 4 )
มือที่หย่อนบางทีไม่ใช้แค่เพียงการทำงาน
แต่รวมถึงการปฏิบัติกิจแห่งความรักกับพี่น้อง แบบที่พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติ
เพราะหากเราละเลยสิ่งนี้เราก็จะเป็นคนที่ยากจนนักในอาณาจักรสวรรค์
แต่หากเราหมั่นทำมันมันก็จะเป็นบันได้ที่มั่นคงที่จะพาเราไปสู่สิริรุ่งโรจน์ในอาณาจักรสวรรค์
เหมือนดั่งท่านที่แม้จะอายุน้อยนักท่านก็กลับรักทุกคนไม่เว้นคนยากจนเพราะพระเยซูเจ้าทรงสอนให้เรารักเพื่อนมนุษย์
จึงไม่แปลกดอกหรือที่ท่านจะได้ไปสวรรค์ เราอาจบอกได้เลยว่าท่านไม่เพียงเป็นแบบฉบับของเยาวชน
แต่เป็นแบบฉบับของทุกคนเลยทีเดียว
ให้เราพยายามเลียนแบบความรักของท่านที่มีต่อพี่น้องและพระ
ด้วยวิธีการรักเยอะๆรักมากๆเท่าที่เราทำได้ทั้งพระและเพื่อนมนุษย์
“พระเยซูเจ้าของลูก โปรดอวยพรลูก ชำระลูก
และเต็มเติมหัวใจของลูกด้วยความรักของพระองค์”
“ข้าแต่ท่านข้ารับใช้พระเจ้าโอเดเท
วิดัล เด โอลิวีรา ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง