นักบุญมาโตรนา
แห่ง มอสโก
St. Matrona
of Moscow
ฉลองในวันที่ : 2 พฤษภาคม
มาโตรนา
เกิดในราวปี ค.ศ.1881
เป็นลูกคนที่สี่ในครอบครัวที่ยากจนของมีตรี กับ นาตาเลีย นิโกนอฟ ที่หมู่บ้านเซบีโน
ปัจจุบันคือกีเมาสกี จังหวัดตูลา จังหวัดเล็กๆ 300 กิโลเมตรทางตอนใต้ของกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ในตอนแรกขณะตั้งท้องท่านอยู่นั้น
เนื่องจากครอบครัวนิโกนอฟเป็นครอบครัวชาวนาที่ยากจนมาก
ดังนั้นการที่จะเลี้ยงดูลูกคนที่สี่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นก่อนท่านจะเกิดมารดาของท่านจึงตัดสินใจจะส่งท่านไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในหมู่บ้านใกล้เคียงเสีย
จนกระทั้งคืนหนึ่งมารดาของท่านก็ฝันเห็นนกสีขาวศักดิ์สิทธิ์สวยงาม ที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์และหลับตา
บินลงมาเกาะบนแขนของเธอ
ทำให้มารดาท่านเชื่อว่าลูกที่จะเกิดมานี้จะเป็นสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า
ดังนั้นมารดาจึงเปลี่ยนใจจะเลี้ยงท่านไว้เอง
เป็นตามนั้นท่านเกิดมาเป็นคนตาบอด
ที่มีหลับตาอยู่เสมอเพราะไม่มีดวงตา
นอกจากนั้นท่านยังมีปานรูปกางเขนอยู่ที่หน้าอกอีกด้วย
ซึ่งมารดาท่านถือว่านี้แหละคือสัญญาณจากพระเป็นเจ้า
หลังจากนั้นสี่สิบวันหลังคลอดท่านจึงได้รับศีลล้างบาป
และขณะที่พระสงฆ์จุ่มท่านลงในอ่างล้างบาปนั้น ฉับพลันก็เกิดไอหอมลอยขึ้นจากอ่างล้างบาปไปยังเพดาน
จนทำให้พระสงฆ์ผู้นั้นประหลาดใจและพูดขึ้นว่า “พ่อตั้งนามเด็กมาหลายคน
แต่พ่อไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เด็กคนนี้จะกลายเป็นนักบุญ” ท่านได้รับนามตามนามของนักบุญมาโตรนา
ชาวกรีกผู้ร้อนรนในศตวรรษที่ 15
หลังจากนั้นมารดาของท่านก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้งเมื่อท่านไม่ยอมกินนมในวันพุธและวันศุกร์
เธอบ่นกับเพื่อนของเธอว่า “ฉันจะทำอะไรได้ เด็กไม่ยอมจับนมของฉันในวันพุธและวันศุกร์ –
แกเอาแต่หลับทั้งวันและเป็นไม่ได้ที่จะปลุกแกขึ้นมา” ไม่เพียงเท่านั้นในทุกๆคืนขณะทุกคนในบ้านหลับอยู่
ท่านก็สามารถไปยังมุมที่มีรูปไอคอนได้อย่างถูกต้อง และหยิบรูปไอคอนลงมาจากชั้น
พลางพูดคุยกับรูปไอคอน
คงไม่ต้องบอกว่าพ่อแม่ของท่านนั้นแปลกใจแค่ไหนที่เห็นลูกสาวตัวน้อยของเขาทำสิ่งนี้
ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็ถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันแกล้งหรือเยาะเย้ยท่าน
พวกเขาตีท่านด้วยต้นตำแย เพราะ รู้ว่ายังไงท่านก็มองไม่เห็น
มีครั้งพวกเขาผลักท่านให้ตกหลุม และเฝ้าดูท่าน
ทันทีท่านก็สามารถขึ้นจากมันและกลับบ้าน
ซึ่งด้วยเกมเหล่านี้เองที่ทำให้ท่านหยุดเล่นกับพวกเขาและใช้ชีวิตวันๆอยู่ที่บ้าน
หากมองตามแผนที่แล้วเราจะเห็นเลยว่าบ้านของครอบครัวของท่านนั้นใกล้วัดมากๆวัดนั้นคือวัดแม่พระบรรทม
ดังนั้นครอบครัวของท่านจึงช่วยงานวัดอยู่เสมอจนเป็นที่รู้จักและเคารพ
ฉะนี้ท่านจึงเติบโตขึ้นมากับวัด และกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าหากมารดาไม่พบท่าน
เธอก็มักจะพบท่านยืนอยู่เงียบๆที่ตามปกติของท่าน หลังประตูใกล้กำแพงด้านตะวันออก
ท่านรู้จักที่จะร่วมภาวนาในวัด
รู้จักที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและท่านยังมักร้องเพลงพร้อมคณะนักขับร้องของวัดอีกด้วย
เช่นกันในเยาว์วัยท่านก็ได้เผยแสดงถึงพระหรรษทานพิเศษคือนิมิตฝ่ายจิต
ญาติของท่านจำได้แม่นว่าตั้งแต่ยังน้อยท่านก็ไม่เพียงแต่เห็นบาปของมนุษย์และความผิดเพียงเท่านั้น
แต่ท่านยังสามารถมองเห็นทั้งความนึกคิดได้ ท่านรู้สึกถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา
ทั้งยังเล็งเห็นถึงภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสังคม
ภาพนิมิตฝ่ายจิต
มีวันหนึ่งมารดาของท่านได้เตรียมพร้อมแล้วที่จะไปวัด ดังนั้นเธอจึงเรียกบิดาท่านเพื่อไปด้วยกัน
แต่ด้วยเหตุบางประการบิดาท่านจึงปฏิเสธไป บิดาท่านบอกว่าจะอยู่สวดที่บ้าน
ดังนั้นระหว่างอยู่ในวัดมารดาของท่านที่ขาดบิดาท่านไป ทำให้เธอกังวลจนสวดแบบขอไปที
และเมื่อกลับไปถึงบ้านทันทีท่านก็หันไปหามารดาท่านและพูดขึ้นว่า “แม่ไม่ได้อยู่ที่วัด แม่คะ” มันทำให้มารดาท่านเป็นอันงง เธอจึงพูดกับท่านว่า
“ลูกหมาถึงอะไร แม่ไม่ได้อยู่ในวัดหรือ แม่พึ่งกลับจากวัด เห็นอะไร” ท่านก็ตอบไปว่า “ตอนนี้พ่ออยู่ในวัด
แต่แม่ไม่ได้อยู่ค่ะ” สิ่งที่ท่านต้องการสื่อคือท่านเห็นว่ามารดาของท่านนั้นอยู่วัดแต่เพียง
“ตัว” ส่วนจิตใจนั้นล่องลอยไปที่อื่น
ในวัย 7 ปี ท่านไม่เพียงแต่มีนิมิตฝ่ายจิตเท่านั้น
แต่ท่านมีพระหรรษทานการเยียวยา จึงมีผู้คนมากมายหลั่งไหลมาขอให้ท่านรักษาพวกเขา
ผู้คนขอให้ช่วยสวดให้พวกเขาและรักษา ซึ่งผ่านคำสวดภาวนาของท่าน
หลายคนได้รับการรักษาและการปลอบประโลมใจ
เริ่มจากหมู่บ้านรอบๆก่อนค่อยๆพัฒนาเป็นจากเมืองต่าง ผู้คนบ้างก็เดินเท้ามา
บ้างก็นั่งเกวียน ท่านยังมักสวดให้ผู้ป่วยที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
ก่อนจะยกเท้าพวกเขาขึ้นทันทีพวกเขาก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
นอกจากนั้นท่านยังมอบน้ำที่ผ่านการสวดภาวนาของท่านผู้มาหาท่านดื่มและประพรมเพื่อปกป้องพวกเขาจากอันตรายอีกด้วย
อยากจะขอยกตัวอย่างการรักษาของท่าน โดยเรื่องมีอยู่ว่ามีชายคนหนึ่งป่วยเดินไม่ได้อาศัยอยู่ห่างไปสี่กิโลจากซาบีโน
ท่านกล่าวว่า “ให้เขาเริ่มต้นคลานมาหาฉันในตอนเช้า เขาจะมาถึงพวกเราในเวลาบ่ายสามโมง” เขาจึงเริ่มคลานเป็นระยะทางสี่กิโลมาหาท่าน และได้รับการรักษาในที่สุด
ต่อมาเมื่ออายได้
14
ปีท่านก็ได้มีโอกาสไปแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในรัสเซียพร้อมกับสตรีใจศรัทธาที่รับอุปากระท่านในการเดินทางนี้
จนเมื่อมาถึงที่กรอนสตาดต์ เพื่อมารับพรจากนักบุญยอห์น แห่ง กรอนสตาดต์
ทันทีพวกท่านจึงถูกกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชน แต่เช่นกันทันทีนักบุญยอห์น แห่ง กรอนสตาดต์
ก็เรียกท่านว่า “มาโตรนา มานี่ซิ หนูจะเป็นทายาทของพ่อ
และจะเป็นเสาหลักที่แปดของรัสเซีย”
รูป “ผู้ค้นหาของหาย” ในช่วงเวลาระหว่างนั้นเองมีวันหนึ่งท่านได้ขอมารดาท่านให้ไปบอกคุณพ่อว่าที่ชั้นวางในห้องสมุดของเขามีหนังสือที่มีรูปไอคอน
“ผู้ค้นหาของหาย” ดังนั้นมารดาของท่านจึงนำเรื่องไปแจ้งแก่คุณพ่อ
และเมื่อคุณพ่อปฏิบัติตาม เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบทุกสิ่งตามที่ท่านบอกไว้เป๊ะๆ
และเมื่อท่านทราบท่านก็อุทานขึ้นว่า “แม่คะ หนูจะมีไอคอนแบบนั้นแบบมีสีค่ะ” ต่อมาไม่นานท่านก็พูดกับมีมารดาของท่านว่า “แม่คะ หนูฝันและฝันเกี่ยวกับรูปไอคอนผู้ค้นหาของหายนั้น พระมารดาพระเจ้าทรงขอมาอยู่ที่วัดของเราค่ะ”
ดังนั้นตามคำขอของท่านบรรดาสตรีในหมู่บ้านจึงเริ่มร่วมรวมเงินกัน
หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งไม่เต็มใจเท่าไรนักที่จะร่วมด้วยเงินรูเบิล
กับพี่ชายของท่านที่ให้หนึ่งเหรียญโคเพ็คประมาณเหรียญสตางค์เล็กให้ท่านด้วยความสนุกเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นเมื่อท่านได้รับเงินจึงหยิบเอาเงินรูเบิลและเหรียญโคเพ็คนั้นออก
พร้อมบอกกับมารดาท่านว่า “แม่คะ
เอามันคืนไปค่ะ มันทำเสียเงินทั้งหมดสำหรับหนูค่ะ…”
เมื่อเงินครบแล้ว
จึงมีการสั่งภาพไอคอนนี้จากศิลปินหนุ่มจากหมู่บ้านอีปีฟาเนีย ในครั้งแรกท่านถามเขาว่าสามารถว่าภาพนี้ได้ใช่ไหม
เขาก็ตอบว่าสบายมาก จากนั้นท่านจึงขอให้เขาไปแก้บาปรับศีลมา
หลังจากนั้นท่านจึงถามเขาอีกครั้งว่า “คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณจะวาดภาพไอคอนนี้” เขาตอบยืนยันและเริ่มงานของเขา หลังจากนั้นเวลาต่อมา
ท่านก็บอกเขาว่า “จงกลับใจต่อบาปของคุณเถิด” ด้วยว่าท่านเห็นว่าหนึ่งในบาปของเขานั้นยังมิได้รับการสารภาพต่อพระสงฆ์
มันทำเขาประหลาดใจมากที่ท่านรับรู้สภาพวิญญาณของเขา
ดังนั้นเขาจึงกลับไปแก้บาปอีกครั้งและได้แก้บาปรับศีลอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นเขาจึงกลับไปขออภัยจากท่าน
ท่านจึงพูดกับเขาว่า “จงไป ตอนนี้คุณจะวาดภาพไอคอนของราชินีสวรรค์”
หลังจากนั้นเมื่อภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็มีจัดขบวนแห่นำด้วยไม้กางเขนและธงจากโบโกโรดิตส์เกมาที่วัดของหมู่บ้าน
ฝั่งท่านนั้นก็ออกจากหมู่บ้านไปถึงสี่กิโลเพื่อรับพระรูป
โดยมีคนคอยจูงมือท่านเดินมา ทันใดนั้นท่านก็พูดขึ้นว่า “พอแล้วค่ะ ไม่ต้องไปไกลกว่านี้ ตอนนี้พวกเขากำลังจะมา พวกเขาอยู่ใกล้แล้วค่ะ” ประหนึ่งว่าท่านสามารถมองเห็นได้ “พวกเขาจะถึงที่นี้พร้อมรูปอคอนในอีกครึ่งชั่วโมงค่ะ”
เป็นจริงตามนั้นขบวนมาถึงในครึ่งชั่วโมงถัดมา
หลังจากนั้นจึงมีการแห่ภาพเข้าไปยังหมู่บ้านโดยมีท่านเป็นผู้ถือภาพไปเป็นส่วนมากตลอดทาง
ภาพไอคอนถูกประดิษฐานที่วัดและกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนท้องถิ่นและเป็นแหล่งแห่งการสรรเสริญอัศจรรย์มากมายนานัปการที่เกิดขึ้น
เมื่อยามเกิดความแห้งแล้งคราใดชาวบ้านก็จะพากันอัญเชิญรูปไอคอนนี้ไปไว้กลางทุ่งใกล้หมู่บ้าน
เพื่อวิงวอน ซึ่งทุกๆครั้งไปจะไม่ค่อยมีชาวบ้านคนไหนได้กลับก่อนฝนจะตกเสมอ จนเกิดการปฏิวัติท่านก็เก็บภาพนี้ไว้กับตัวท่านเสมอ
ในปัจจุบันภาพนี้ประดิษฐานอยู่ที่อารามการพิทักษ์ของพระมารดาพระเจ้า กรุงมอสโก
ใกล้ๆร่างของท่านนั้นเอง
ที่สุดในวัย 17 ปีท่านก็กลายเป็นอัมพาตไม่สามารถเดินได้ในที่สุด
กระนั้นท่านก็ไม่บ่นอะไรตรงข้ามท่านกลับน้อมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ
พลางขอบพระคุณพระองค์ แม้ว่าท่านจะต้องนั่งไขว้ขาไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ทังนี้ในช่วงวัยรุ่นนี้ท่านยังได้ทำนายถึงการปฏิวัติรัสเซีย
ท่านเล่ารายละเอียดทั้งหมดถึงวิธีการที่วัดมากมายจะถูกทำลายและถูกปล้น
วิธีที่ผู้มีความเชื่อจะถูกเบียดเบียน และการต่อสู้
ท่านยังคงอยู่ที่หมู่บ้านกระทั้งในปี
ค.ศ.1925 ตอนอายุ 40 ปี ท่านก็ถูกบังคับให้ออกจากบ้านเกิดของท่านไปเสีย
เพราะพี่ชายสองคนของท่านนั้นเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ไม่เชื่อในพระเจ้า
ทั้งสองหงุดหงิดต่อขบวนของคนยากจนและคนป่วยที่ไม่รู้จักสิ้นจักสุดที่มาตั้งรกรากที่นี่
เพราะ ท่าน
นอกจากนี้พวกเขายังกลัวการเบียดเบียนจากเจ้าหน้าปฏิวัติ พวกเขาห่วงชีวิตของตัวเขา
ครอบครัวและญาติของเขา
แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนท่านจึงย้ายไปอยู่ที่กรุงมอสโก
ที่นั่นท่านต้องย้ายจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่
เป็นอย่างนี้เพราะคอมมิวนิสต์กลัวอิทธิพลของท่านนั่นเอง
แต่แม้จะสืบจนเจอพอไปจับท่าน ท่านก็ไม่อยู่แล้ว อาจคลาดกันไปเพียงสองชั่วโมง กระนั้นก็ยังคงมีคนแวะเวียนมาหาท่านในตอนกลางวันเพื่อขอคำแนะนำโดยไม่เคยปริปากถึงสถานที่ซ่อนของท่าน
ส่วนในตอนกลางคืนนั้นท่านก็ใช้เวลาไปกลับการสวดภาวนา
ท่านอดอาหารบ่อยๆ
นอนน้อยๆ ที่หน้าผากของท่านนั้นมีรอยบุ๋มเล็กๆ จากการทำสำคัญมหากางเขนนับไม่ถ้วน
เวลาท่านเตือนใจท่านไม่ใช่เทศน์แบบครู ท่านไม่ค่อยพูดดังนั้นคำตอบท่านจึงมักสั้นๆ แต่ตรงประเด็น
ท่านคอยสวดให้ทุกๆคนเสมอ
ท่านพักอยู่ที่บ้านของซีไนดา
ชตาโนวา นานที่สุด จึงอยากขอเล่าเรื่องราวสั้นๆให้ฟังว่ามารดาของซีไนดานั้นเดิมทีเป็นชาวบ้านเดียวกับท่าน
เธอเป็นสาวที่ใครๆยอมรับว่าขึ้นคานแน่นอน แต่ท่านยืนยันเธอจะได้สามีเป็นสุภาพบุรุษรูปหล่อสมบูรณ์แบบ
ซึ่งแน่นอนชาวบ้านหลายๆคนมองว่าเป็นไปไม่ได้แน่ ขณะเดียวกันที่ทุกคนไม่เชื่อเธอก็เชื่อและเดินทางไปมอสโกตามที่ท่านบอก
เธอจึงได้เข้าทำงานในตระกูลที่ร่ำรวยในฐานะแม่ครัว
ครอบครัวนั้นมีบุตรชายคนเดียวชื่อวลาดิมีร์ อยู่ๆคืนหนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงว่า “วลาดิมีร์ จงแต่งงานกับเยฟโดเกีย(มารดาของซีไนดา)”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้สมรสกันและได้ให้กำเนิดซีไนดาขึ้นมาในที่สุดแม้จะยากลำบากในช่วงแรกก็ตาม
สภาพห้องที่ท่านอยู่ที่บ้านนั้นจะมุมรูปไอคอนที่มีรูปไอคอนตั้งแต่พื้นยันเพดาน
มีโคมไฟอยู่หน้ารูปเหล่านั้น และมีสตรีคนหนึ่งเป็นสัตบุรุษที่วัดเสื้อคลุมพรมจารี
มักจะมาพบท่านบ่อยๆ จนท่านจำได้เลยทีเดียว วันหนึ่งท่านก็บอกกับเธอว่า “ในวัดของเธอฉันรู้จักรูปไอคอนทั้งหมดและสถานที่ที่พวกมันตั้งอยู่ด้วย” มันเป็นความแปลกประหลาดที่ว่าท่านสามารถมองเห็นได้เช่นผู้ที่มิได้พิการทางสายตาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ซีไนดา เคยพูดอย่างเห็นใจต่อชะตาชีวิตของท่านว่า “มันน่าเสียดายนะ น้ามาโตรนา
ที่คุณน้าไม่สามารถเห็นความงดงามของโลกนี้” ทันทีท่านก็ตอบไปว่า
“ครั้งหนึ่ง
พระเจ้าก็ทรงเปิดดวงตาของน้าและแสดงให้น้าเห็นโลกและสิ่งสร้างของพระองค์”
อัศจรรย์การมองเห็นของท่านยังมีอีกสองเรื่องก็คือเรื่องที่หนึ่งมีอยู่ว่าซีไนดาเรียนสถาปัตยกรรมถูกให้แก้ไขปรับปรุงงานที่จำเป็นต่อการจบการศึกษา
ท่านจึงได้เรียกซีไนดามาพบและบอกให้มาหาในตอนกลางคืน และคืนนั้นท่านก็เริ่มอธิบายถึงความสำเร็จทางด้านสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ในฟลอเรนซ์
โรม รวมทั้งที่ปาลัซโซ ปิตตี ได้อย่าฉะฉานประหนึ่งท่านเห็นด้วยตา
เหมือนท่านเรียนมาเลยด้วยซ้ำ ซีไนดาจึงรีบแก้ตามที่ท่านแนะทั้งๆที่ยังประหลาดใจอยู่
และส่งในวันรุ่งขึ้น รู้ไหมว่าเมื่ออาจารย์พิจารณางานเขา ถึงกับอุทานว่า “ทำไม มันถึงยอดเยี่ยม มันคือโครงการที่ดีเยี่ยม”
ส่วนเรื่องที่สองมีอยู่ว่า
มีวันหนึ่งตำรวจนายหนึ่งได้บุกมาจับท่าน ทันทีท่านแนะให้เขากลับบ้านไปให้ไวที่สุด
ท่านสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหน และเมื่อเขากลับไปบ้าน เขาก็พบภรรยาของเขาถูกไฟครอบ
ทำให้เขาสามารถช่วยชีวิตภรรยาของเขาไว้ได้ทัน
ซีไนดายกย่องท่านว่าคือ
“ตัวอย่างที่ชัดเจนของทูตสวรรค์-นักรบลงมาเกิดพร้อมดาบแห่งไฟในมือที่ใช้ฟาดฟันอำนาจชั่วร้าย” ดั่งที่กล่าวไว้ผู้คนมากมายต่างพากันมาหาท่านวันวันหนึ่งอาจมากถึงสี่สิบคนจากทุกสารทิศ
มาด้วยความเศร้า
หลายๆครั้งท่านจึงมักลูบหัวพวกเขาเพื่อปลอบเขาและร่วมสวดพร้อมกับเขา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ผู้ก็ยังหลั่งไหลมาหาท่านเพื่อถามว่าญาติหรือคนในครอบครัวรอหรือไม่ ดังนั้นท่านจะตอบซ้ำๆบ่อยคือ “ยังอยู่ จงรอเขา/เธอก่อน” ไม่ก็ “พวกเขาตายแล้ว ไปเตรียมพิธีปลงศพเถิด”
ยังมีเกล็ดเล่าอีกว่าท่านบอกกับซีไนดาว่าในสงครามท่านได้ไปเยี่ยมและช่วยเหลือทหารโดยที่พวกเขามองไม่เห็นด้วย
มีคนเคยถามท่านว่าทำไมพระศาสนจักรจึงถูกเบียดเบียนเช่นนี้เล่า
ท่านก็ตอบว่ามันเป็นบาปผิดของคริสตชนและการขาดความเชื่อ “ผู้คนต่างหันหน้าออกจากพระเจ้าทรงหายไปจากพื้นแผ่นดินโลก” ท่านย้ำว่า “เวลายากลำบากคือชะตาของพวกเรา แต่พวกเราคริสตชนต้องเลือกไม้กางเขน พระคริสตเจ้าทรงวางพวกเราไว้บนรถลากเลื่อนของพระองค์
และพระองค์จะทรงพาเราไปที่ตามน้ำพระทัยพระองค์”
กับผีโสโครก
ท่านไม่เพียงแต่รักษาอาการเจ็บป่วยเท่านั้น
หลายๆครั้งท่านยังเผชิญกับปีศาจที่สิงคนด้วย
มีคราวหนึ่งได้มีชายสี่คนช่วยกันจับหญิงชราคนหนึ่งที่เอาแต่โบกแขนไปมาเหมือนกังหันมาหาท่าน
ท่านจึงเริ่มสวดภาวนาและในทันที หญิงชราก็กลับมาเป็นปกติ อีกครามีหญิงที่ป่วยด้วยโรคลมชัก
ซึ่งระหว่างการโจมตีของเธอ เธอก็ล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนชักดิ้นชักงอด้วยน้ำลายฟูมปาก
จึงมีคนพาเธอมาหาท่าน และหลังจากนั่งเงียบๆ ท่านจึงโน้มไปข้างหน้า พลางยืดมือน้อยๆของท่านออกไป
และประกาศลั่นว่า “โอ้ อะไรที่ปีศาจใหญ่ที่พวกมันส่งเข้าไปในตัวเธอ” ก่อนสวดภาวนาขณะปรกมือของท่านเหนือเธอ และพูดกับเธอว่า “ฉันจะไม่รับมือกับปีศาจของเธอเพียงคนเดียว
หากเธอช่วยฉันแล้ว เธอก็จะรอด เธอจำเป็นต้องรีบศีลมหาสนิททุกๆวันอาทิตย์” ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ผู้หญิงคนที่ไม่เคยทำเลย
ไม่เพียงแต่รักษาเท่านั้น
ท่านยังต้องต่อสู้กับอำนาจมืด ท่านกล่าหลายครั้งว่าท่านต้องต่อสู้กับบรรดาพ่อมดแม่มดที่เกียจชังท่านและอำนาจชั่วร้ายต่างๆ
และการต่อสู้นี้ยิ่งทวีมากขึ้นตามกำลังของทั้งท่านและพ่อมด “คนเหล่านั้นเข้ามาด้วยความเต็มใจเป็นพันธมิตรกับอำนาจชั่วร้าย
การทุ่มเทกับเวทมนต์ ที่นั่นไม่มีทางหนี มันห้ามไม่ได้หรอกที่จะไปหาหญิงชราเหล่านั้นเพื่อคำปรึกษา” ท่านกล่าว ต้องเข้าใจว่าในตอนนั้นยาพื้นบ้านและความเชื่อแบบเดิมๆยังคงมีอยู่ทั่วรัสเซีย
ในรูปแบบการทำนายโชคและการรักษาตามความเชื่อเดิมๆ
ท่านจึงมีโอกาสได้ช่วยผู้ตกเป็นเหยื่อของพวกนี้อยู่บ่อยๆ
สงครามไม่เชื่อพระเจ้า จากการเติบโตของความเหินห่างจากความเชื่อ
และการเจริญชีวิตโดยปราศจากการกลับใจนำไปสู่ผลกระทบฝ่ายจิต ซึ่งท่านรู้และเข้าใจดี
ในวันที่มีการเดินขบวนทางการเมืองท่านกระตุ้นในทุกคนอยู่แต่ในบ้านปิดประตูหน้าต่างเสีย
ท่านกล่าวว่าพยุหะปีศาจจะครอบครองบริเวณทั้งหมด บางทีความหายของท่านในข้อนี้อาจคือ
“หน้าต่างวิญญาณ” เพราะท่านชอบพูดอะไรเชิงเปรียบเทียบก็เป็นไปได้
อีกครั้งซีไนดา
ถามท่านว่า “พระเจ้าทรงยอมให้วัดจำนวนมากมายถูกปิดและทำลายได้อย่างไรกัน” ท่านก็ตอบว่า “มันเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะลดจำนวนวัด เพราะที่นั่นจะมีผู้เชื่อน้อยลงและไม่มีใครรับใช้วัดเลย” หลังจากนั้นท่านกล่าว “ผู้คนตกอยู่ภายใต้การสะกดจิต
พวกเขาไม่เป็นตัวของพวกเขา อำนาจอันน่ากลัวได้เข้ามาอยู่ในความเป็นอยู่ …. อำนาจนี้อยู่ในอากาศและแทรกซึมทุกสิ่งอย่าง ในเวลาก่อนนั้น หนองน้ำและป่าที่ผ่านเข้าไปไม่ได้เป็นที่อยู่ของพวกมัน
เพราะผู้คนต่างไปวัด พวกเขาสวมไม้กางเขนและบ้านของพวกเขาได้รักการอารักษ์จากรูปไอคอน
ตะเกียงและพร แต่ก่อน ปีศาจสามารถแค่บินเข้าใกล้บ้านเหล่านี้ได้เท่านั้น แต่ตอนนี้พวกมันอยู่ทั้งในบ้านและในผู้คนเพราะความไม่เชื่อและการละทิ้งพระเจ้า”
ที่สุดในวัย 71 ปี ท่านก็ได้ทำนายว่าอีกสามวันข้างหน้าท่านจะตาย
ท่านได้ขอให้จัดพิธีปลงศพท่านที่วัดเสื้อคลุมพรมจารี
ท่านยังขอไม่ให้นำดอกไม้พลาสติกหรือพวงมาลามาร่วมงานศพท่านเป็นอันขาด และแน่นอนท่านก็เป็นเช่นคนธรรมดาท่านก็กลัวตาย และก็มิได้ซ่อนให้ผู้ใกล้ชิดไม่เห็น แต่กระนั้นท่านก็ยังคงต้อนรับทุกคนที่มาหาเสมอ จนที่สุดแล้วทูตสวรรค์ก็ได้นำวิญญาณท่านไปสู่พระเจ้าอย่าสงบในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ.1952
ท่านเคยสัญญาในวันที่
19 เมษายน ปีเดียวกันก่อนท่านตายไม่กี่วันว่า “มาใกล้ๆ ทุกๆท่าน และบอกฉันถึงปัญญาของเธอเช่นฉันยังมีชีวิตอยู่
ฉันจะเห็น จะได้ยิน และจะมาช่วยเธอ”
และตามคำนานท่านว่าหลุมศพท่านจะกลายเป็นที่แสวงบุญของผู้คนมากมาย
ก็เป็นตามนั้นผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลมาวิงวอนขอพระหรรษทานผ่านท่าน
จนก่อเกิดอัศจรรย์มากมายตามคำสัญญาของท่าน
ดังนั้นในวันที่
8 มีนาคม ค.ศ.1998 จึงมีการขุดร่างท่านขึ้นมา
และที่สุดในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ.1999 พระศาสนจักรออร์โธดอกซ์ห่งรัสเซียก็ได้สถาปนาท่านขึ้นเป็นนักบุญ
ปัจจุบันพระธาตุของท่านถูกเก็บอยู่ที่อารามการเสนอวิงวอน ในกรุงมอสโก
ประเทศรัสเซีย
“โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย
แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า”(ยอห์น 11:4) ท่านเกิดมาตาบอดทำไม
ก็เพื่อให้พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเป็นเจ้าได้สำแดงนั่นเอง ด้วยการมีพระหรรษทานมากมายทั้งการมองเห็น
การทำนาย ซึ่งล้วนสำแดงถึงพระอานุภาพของพระเจ้าให้โลกประจักษ์ว่าแม้คนตาบอดพระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาเห็น
เช่นกันบางทีในชีวิตเราก็มีอุปสรรคหลายๆอย่างเข้ามาในชีวิต แต่นั้นคือกางเขนพระองค์ทรงสัญญาแล้วว่าเราจะไม่ตายเพราะรับกางเขน
เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านกางเขน เราต้องพยายามน้อมรับมันด้วยใจรัก
เพื่อให้ทุกคนประจักษ์ถึงพระเจ้าในตัวของเราและสรรเสริญพระองค์ พี่น้องท่ามกลางความยากลำบากนั้นแหละ
มีหรรษทานมากมายจนพี่น้องอยากจะร้องว่า อัลเลลูยา อัลเลลูยา แด่พระเป็นเจ้า
“ข้าแต่ท่านนักบุญมาโตรนา แห่ง มอสโก
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง
http://voiceofrussia.com/2007/05/11/133693/