วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"มาโตรนา" นักบุญตาบอดของชาวออร์โธดอกซ์


นักบุญมาโตรนา แห่ง มอสโก
St. Matrona of Moscow
ฉลองในวันที่ : 2 พฤษภาคม

มาโตรนา เกิดในราวปี ค..1881 เป็นลูกคนที่สี่ในครอบครัวที่ยากจนของมีตรี กับ นาตาเลีย นิโกนอฟ ที่หมู่บ้านเซบีโน ปัจจุบันคือกีเมาสกี จังหวัดตูลา จังหวัดเล็กๆ 300 กิโลเมตรทางตอนใต้ของกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ในตอนแรกขณะตั้งท้องท่านอยู่นั้น เนื่องจากครอบครัวนิโกนอฟเป็นครอบครัวชาวนาที่ยากจนมาก ดังนั้นการที่จะเลี้ยงดูลูกคนที่สี่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ดังนั้นก่อนท่านจะเกิดมารดาของท่านจึงตัดสินใจจะส่งท่านไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในหมู่บ้านใกล้เคียงเสีย จนกระทั้งคืนหนึ่งมารดาของท่านก็ฝันเห็นนกสีขาวศักดิ์สิทธิ์สวยงาม ที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์และหลับตา บินลงมาเกาะบนแขนของเธอ ทำให้มารดาท่านเชื่อว่าลูกที่จะเกิดมานี้จะเป็นสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า ดังนั้นมารดาจึงเปลี่ยนใจจะเลี้ยงท่านไว้เอง



เป็นตามนั้นท่านเกิดมาเป็นคนตาบอด ที่มีหลับตาอยู่เสมอเพราะไม่มีดวงตา นอกจากนั้นท่านยังมีปานรูปกางเขนอยู่ที่หน้าอกอีกด้วย ซึ่งมารดาท่านถือว่านี้แหละคือสัญญาณจากพระเป็นเจ้า หลังจากนั้นสี่สิบวันหลังคลอดท่านจึงได้รับศีลล้างบาป และขณะที่พระสงฆ์จุ่มท่านลงในอ่างล้างบาปนั้น ฉับพลันก็เกิดไอหอมลอยขึ้นจากอ่างล้างบาปไปยังเพดาน จนทำให้พระสงฆ์ผู้นั้นประหลาดใจและพูดขึ้นว่า พ่อตั้งนามเด็กมาหลายคน แต่พ่อไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เด็กคนนี้จะกลายเป็นนักบุญ ท่านได้รับนามตามนามของนักบุญมาโตรนา ชาวกรีกผู้ร้อนรนในศตวรรษที่ 15

หลังจากนั้นมารดาของท่านก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้งเมื่อท่านไม่ยอมกินนมในวันพุธและวันศุกร์ เธอบ่นกับเพื่อนของเธอว่า ฉันจะทำอะไรได้ เด็กไม่ยอมจับนมของฉันในวันพุธและวันศุกร์ แกเอาแต่หลับทั้งวันและเป็นไม่ได้ที่จะปลุกแกขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นในทุกๆคืนขณะทุกคนในบ้านหลับอยู่ ท่านก็สามารถไปยังมุมที่มีรูปไอคอนได้อย่างถูกต้อง และหยิบรูปไอคอนลงมาจากชั้น พลางพูดคุยกับรูปไอคอน คงไม่ต้องบอกว่าพ่อแม่ของท่านนั้นแปลกใจแค่ไหนที่เห็นลูกสาวตัวน้อยของเขาทำสิ่งนี้



ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็ถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันแกล้งหรือเยาะเย้ยท่าน พวกเขาตีท่านด้วยต้นตำแย เพราะ รู้ว่ายังไงท่านก็มองไม่เห็น มีครั้งพวกเขาผลักท่านให้ตกหลุม และเฝ้าดูท่าน ทันทีท่านก็สามารถขึ้นจากมันและกลับบ้าน ซึ่งด้วยเกมเหล่านี้เองที่ทำให้ท่านหยุดเล่นกับพวกเขาและใช้ชีวิตวันๆอยู่ที่บ้าน

หากมองตามแผนที่แล้วเราจะเห็นเลยว่าบ้านของครอบครัวของท่านนั้นใกล้วัดมากๆวัดนั้นคือวัดแม่พระบรรทม ดังนั้นครอบครัวของท่านจึงช่วยงานวัดอยู่เสมอจนเป็นที่รู้จักและเคารพ ฉะนี้ท่านจึงเติบโตขึ้นมากับวัด และกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าหากมารดาไม่พบท่าน เธอก็มักจะพบท่านยืนอยู่เงียบๆที่ตามปกติของท่าน หลังประตูใกล้กำแพงด้านตะวันออก ท่านรู้จักที่จะร่วมภาวนาในวัด รู้จักที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและท่านยังมักร้องเพลงพร้อมคณะนักขับร้องของวัดอีกด้วย



เช่นกันในเยาว์วัยท่านก็ได้เผยแสดงถึงพระหรรษทานพิเศษคือนิมิตฝ่ายจิต ญาติของท่านจำได้แม่นว่าตั้งแต่ยังน้อยท่านก็ไม่เพียงแต่เห็นบาปของมนุษย์และความผิดเพียงเท่านั้น แต่ท่านยังสามารถมองเห็นทั้งความนึกคิดได้ ท่านรู้สึกถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ทั้งยังเล็งเห็นถึงภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสังคม

ภาพนิมิตฝ่ายจิต มีวันหนึ่งมารดาของท่านได้เตรียมพร้อมแล้วที่จะไปวัด ดังนั้นเธอจึงเรียกบิดาท่านเพื่อไปด้วยกัน แต่ด้วยเหตุบางประการบิดาท่านจึงปฏิเสธไป บิดาท่านบอกว่าจะอยู่สวดที่บ้าน ดังนั้นระหว่างอยู่ในวัดมารดาของท่านที่ขาดบิดาท่านไป ทำให้เธอกังวลจนสวดแบบขอไปที และเมื่อกลับไปถึงบ้านทันทีท่านก็หันไปหามารดาท่านและพูดขึ้นว่า แม่ไม่ได้อยู่ที่วัด แม่คะ มันทำให้มารดาท่านเป็นอันงง เธอจึงพูดกับท่านว่า ลูกหมาถึงอะไร แม่ไม่ได้อยู่ในวัดหรือ แม่พึ่งกลับจากวัด เห็นอะไร ท่านก็ตอบไปว่า ตอนนี้พ่ออยู่ในวัด แต่แม่ไม่ได้อยู่ค่ะ สิ่งที่ท่านต้องการสื่อคือท่านเห็นว่ามารดาของท่านนั้นอยู่วัดแต่เพียง ตัวส่วนจิตใจนั้นล่องลอยไปที่อื่น



ในวัย 7 ปี ท่านไม่เพียงแต่มีนิมิตฝ่ายจิตเท่านั้น แต่ท่านมีพระหรรษทานการเยียวยา จึงมีผู้คนมากมายหลั่งไหลมาขอให้ท่านรักษาพวกเขา ผู้คนขอให้ช่วยสวดให้พวกเขาและรักษา ซึ่งผ่านคำสวดภาวนาของท่าน หลายคนได้รับการรักษาและการปลอบประโลมใจ เริ่มจากหมู่บ้านรอบๆก่อนค่อยๆพัฒนาเป็นจากเมืองต่าง ผู้คนบ้างก็เดินเท้ามา บ้างก็นั่งเกวียน ท่านยังมักสวดให้ผู้ป่วยที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก่อนจะยกเท้าพวกเขาขึ้นทันทีพวกเขาก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง นอกจากนั้นท่านยังมอบน้ำที่ผ่านการสวดภาวนาของท่านผู้มาหาท่านดื่มและประพรมเพื่อปกป้องพวกเขาจากอันตรายอีกด้วย อยากจะขอยกตัวอย่างการรักษาของท่าน โดยเรื่องมีอยู่ว่ามีชายคนหนึ่งป่วยเดินไม่ได้อาศัยอยู่ห่างไปสี่กิโลจากซาบีโน ท่านกล่าวว่า ให้เขาเริ่มต้นคลานมาหาฉันในตอนเช้า เขาจะมาถึงพวกเราในเวลาบ่ายสามโมง เขาจึงเริ่มคลานเป็นระยะทางสี่กิโลมาหาท่าน และได้รับการรักษาในที่สุด

ต่อมาเมื่ออายได้ 14 ปีท่านก็ได้มีโอกาสไปแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในรัสเซียพร้อมกับสตรีใจศรัทธาที่รับอุปากระท่านในการเดินทางนี้ จนเมื่อมาถึงที่กรอนสตาดต์ เพื่อมารับพรจากนักบุญยอห์น แห่ง กรอนสตาดต์ ทันทีพวกท่านจึงถูกกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชน แต่เช่นกันทันทีนักบุญยอห์น แห่ง กรอนสตาดต์ ก็เรียกท่านว่า มาโตรนา มานี่ซิ หนูจะเป็นทายาทของพ่อ และจะเป็นเสาหลักที่แปดของรัสเซีย



รูปผู้ค้นหาของหายในช่วงเวลาระหว่างนั้นเองมีวันหนึ่งท่านได้ขอมารดาท่านให้ไปบอกคุณพ่อว่าที่ชั้นวางในห้องสมุดของเขามีหนังสือที่มีรูปไอคอน ผู้ค้นหาของหายดังนั้นมารดาของท่านจึงนำเรื่องไปแจ้งแก่คุณพ่อ และเมื่อคุณพ่อปฏิบัติตาม เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบทุกสิ่งตามที่ท่านบอกไว้เป๊ะๆ และเมื่อท่านทราบท่านก็อุทานขึ้นว่า แม่คะ หนูจะมีไอคอนแบบนั้นแบบมีสีค่ะ ต่อมาไม่นานท่านก็พูดกับมีมารดาของท่านว่า แม่คะ หนูฝันและฝันเกี่ยวกับรูปไอคอนผู้ค้นหาของหายนั้น พระมารดาพระเจ้าทรงขอมาอยู่ที่วัดของเราค่ะ

ดังนั้นตามคำขอของท่านบรรดาสตรีในหมู่บ้านจึงเริ่มร่วมรวมเงินกัน หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งไม่เต็มใจเท่าไรนักที่จะร่วมด้วยเงินรูเบิล กับพี่ชายของท่านที่ให้หนึ่งเหรียญโคเพ็คประมาณเหรียญสตางค์เล็กให้ท่านด้วยความสนุกเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อท่านได้รับเงินจึงหยิบเอาเงินรูเบิลและเหรียญโคเพ็คนั้นออก พร้อมบอกกับมารดาท่านว่า แม่คะ เอามันคืนไปค่ะ มันทำเสียเงินทั้งหมดสำหรับหนูค่ะ…”



เมื่อเงินครบแล้ว จึงมีการสั่งภาพไอคอนนี้จากศิลปินหนุ่มจากหมู่บ้านอีปีฟาเนีย ในครั้งแรกท่านถามเขาว่าสามารถว่าภาพนี้ได้ใช่ไหม เขาก็ตอบว่าสบายมาก จากนั้นท่านจึงขอให้เขาไปแก้บาปรับศีลมา หลังจากนั้นท่านจึงถามเขาอีกครั้งว่า คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณจะวาดภาพไอคอนนี้ เขาตอบยืนยันและเริ่มงานของเขา หลังจากนั้นเวลาต่อมา ท่านก็บอกเขาว่า จงกลับใจต่อบาปของคุณเถิด ด้วยว่าท่านเห็นว่าหนึ่งในบาปของเขานั้นยังมิได้รับการสารภาพต่อพระสงฆ์ มันทำเขาประหลาดใจมากที่ท่านรับรู้สภาพวิญญาณของเขา ดังนั้นเขาจึงกลับไปแก้บาปอีกครั้งและได้แก้บาปรับศีลอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นเขาจึงกลับไปขออภัยจากท่าน ท่านจึงพูดกับเขาว่า จงไป ตอนนี้คุณจะวาดภาพไอคอนของราชินีสวรรค์

หลังจากนั้นเมื่อภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีจัดขบวนแห่นำด้วยไม้กางเขนและธงจากโบโกโรดิตส์เกมาที่วัดของหมู่บ้าน ฝั่งท่านนั้นก็ออกจากหมู่บ้านไปถึงสี่กิโลเพื่อรับพระรูป โดยมีคนคอยจูงมือท่านเดินมา ทันใดนั้นท่านก็พูดขึ้นว่า พอแล้วค่ะ ไม่ต้องไปไกลกว่านี้ ตอนนี้พวกเขากำลังจะมา พวกเขาอยู่ใกล้แล้วค่ะ ประหนึ่งว่าท่านสามารถมองเห็นได้ พวกเขาจะถึงที่นี้พร้อมรูปอคอนในอีกครึ่งชั่วโมงค่ะ



เป็นจริงตามนั้นขบวนมาถึงในครึ่งชั่วโมงถัดมา หลังจากนั้นจึงมีการแห่ภาพเข้าไปยังหมู่บ้านโดยมีท่านเป็นผู้ถือภาพไปเป็นส่วนมากตลอดทาง ภาพไอคอนถูกประดิษฐานที่วัดและกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนท้องถิ่นและเป็นแหล่งแห่งการสรรเสริญอัศจรรย์มากมายนานัปการที่เกิดขึ้น เมื่อยามเกิดความแห้งแล้งคราใดชาวบ้านก็จะพากันอัญเชิญรูปไอคอนนี้ไปไว้กลางทุ่งใกล้หมู่บ้าน เพื่อวิงวอน ซึ่งทุกๆครั้งไปจะไม่ค่อยมีชาวบ้านคนไหนได้กลับก่อนฝนจะตกเสมอ จนเกิดการปฏิวัติท่านก็เก็บภาพนี้ไว้กับตัวท่านเสมอ ในปัจจุบันภาพนี้ประดิษฐานอยู่ที่อารามการพิทักษ์ของพระมารดาพระเจ้า กรุงมอสโก ใกล้ๆร่างของท่านนั้นเอง

ที่สุดในวัย 17 ปีท่านก็กลายเป็นอัมพาตไม่สามารถเดินได้ในที่สุด กระนั้นท่านก็ไม่บ่นอะไรตรงข้ามท่านกลับน้อมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ พลางขอบพระคุณพระองค์ แม้ว่าท่านจะต้องนั่งไขว้ขาไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ทังนี้ในช่วงวัยรุ่นนี้ท่านยังได้ทำนายถึงการปฏิวัติรัสเซีย ท่านเล่ารายละเอียดทั้งหมดถึงวิธีการที่วัดมากมายจะถูกทำลายและถูกปล้น วิธีที่ผู้มีความเชื่อจะถูกเบียดเบียน และการต่อสู้



ท่านยังคงอยู่ที่หมู่บ้านกระทั้งในปี ค..1925 ตอนอายุ 40 ปี ท่านก็ถูกบังคับให้ออกจากบ้านเกิดของท่านไปเสีย เพราะพี่ชายสองคนของท่านนั้นเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ไม่เชื่อในพระเจ้า ทั้งสองหงุดหงิดต่อขบวนของคนยากจนและคนป่วยที่ไม่รู้จักสิ้นจักสุดที่มาตั้งรกรากที่นี่ เพราะ ท่าน  นอกจากนี้พวกเขายังกลัวการเบียดเบียนจากเจ้าหน้าปฏิวัติ พวกเขาห่วงชีวิตของตัวเขา ครอบครัวและญาติของเขา

แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนท่านจึงย้ายไปอยู่ที่กรุงมอสโก ที่นั่นท่านต้องย้ายจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ เป็นอย่างนี้เพราะคอมมิวนิสต์กลัวอิทธิพลของท่านนั่นเอง แต่แม้จะสืบจนเจอพอไปจับท่าน ท่านก็ไม่อยู่แล้ว อาจคลาดกันไปเพียงสองชั่วโมง กระนั้นก็ยังคงมีคนแวะเวียนมาหาท่านในตอนกลางวันเพื่อขอคำแนะนำโดยไม่เคยปริปากถึงสถานที่ซ่อนของท่าน ส่วนในตอนกลางคืนนั้นท่านก็ใช้เวลาไปกลับการสวดภาวนา



ท่านอดอาหารบ่อยๆ นอนน้อยๆ ที่หน้าผากของท่านนั้นมีรอยบุ๋มเล็กๆ จากการทำสำคัญมหากางเขนนับไม่ถ้วน เวลาท่านเตือนใจท่านไม่ใช่เทศน์แบบครู ท่านไม่ค่อยพูดดังนั้นคำตอบท่านจึงมักสั้นๆ แต่ตรงประเด็น ท่านคอยสวดให้ทุกๆคนเสมอ

ท่านพักอยู่ที่บ้านของซีไนดา ชตาโนวา นานที่สุด จึงอยากขอเล่าเรื่องราวสั้นๆให้ฟังว่ามารดาของซีไนดานั้นเดิมทีเป็นชาวบ้านเดียวกับท่าน เธอเป็นสาวที่ใครๆยอมรับว่าขึ้นคานแน่นอน แต่ท่านยืนยันเธอจะได้สามีเป็นสุภาพบุรุษรูปหล่อสมบูรณ์แบบ ซึ่งแน่นอนชาวบ้านหลายๆคนมองว่าเป็นไปไม่ได้แน่ ขณะเดียวกันที่ทุกคนไม่เชื่อเธอก็เชื่อและเดินทางไปมอสโกตามที่ท่านบอก



เธอจึงได้เข้าทำงานในตระกูลที่ร่ำรวยในฐานะแม่ครัว ครอบครัวนั้นมีบุตรชายคนเดียวชื่อวลาดิมีร์ อยู่ๆคืนหนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงว่า วลาดิมีร์ จงแต่งงานกับเยฟโดเกีย(มารดาของซีไนดา)” หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้สมรสกันและได้ให้กำเนิดซีไนดาขึ้นมาในที่สุดแม้จะยากลำบากในช่วงแรกก็ตาม

สภาพห้องที่ท่านอยู่ที่บ้านนั้นจะมุมรูปไอคอนที่มีรูปไอคอนตั้งแต่พื้นยันเพดาน มีโคมไฟอยู่หน้ารูปเหล่านั้น และมีสตรีคนหนึ่งเป็นสัตบุรุษที่วัดเสื้อคลุมพรมจารี มักจะมาพบท่านบ่อยๆ จนท่านจำได้เลยทีเดียว วันหนึ่งท่านก็บอกกับเธอว่า ในวัดของเธอฉันรู้จักรูปไอคอนทั้งหมดและสถานที่ที่พวกมันตั้งอยู่ด้วย มันเป็นความแปลกประหลาดที่ว่าท่านสามารถมองเห็นได้เช่นผู้ที่มิได้พิการทางสายตาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซีไนดา เคยพูดอย่างเห็นใจต่อชะตาชีวิตของท่านว่า มันน่าเสียดายนะ น้ามาโตรนา ที่คุณน้าไม่สามารถเห็นความงดงามของโลกนี้ ทันทีท่านก็ตอบไปว่า ครั้งหนึ่ง พระเจ้าก็ทรงเปิดดวงตาของน้าและแสดงให้น้าเห็นโลกและสิ่งสร้างของพระองค์



อัศจรรย์การมองเห็นของท่านยังมีอีกสองเรื่องก็คือเรื่องที่หนึ่งมีอยู่ว่าซีไนดาเรียนสถาปัตยกรรมถูกให้แก้ไขปรับปรุงงานที่จำเป็นต่อการจบการศึกษา ท่านจึงได้เรียกซีไนดามาพบและบอกให้มาหาในตอนกลางคืน และคืนนั้นท่านก็เริ่มอธิบายถึงความสำเร็จทางด้านสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ในฟลอเรนซ์ โรม รวมทั้งที่ปาลัซโซ ปิตตี ได้อย่าฉะฉานประหนึ่งท่านเห็นด้วยตา เหมือนท่านเรียนมาเลยด้วยซ้ำ ซีไนดาจึงรีบแก้ตามที่ท่านแนะทั้งๆที่ยังประหลาดใจอยู่ และส่งในวันรุ่งขึ้น รู้ไหมว่าเมื่ออาจารย์พิจารณางานเขา ถึงกับอุทานว่า ทำไม มันถึงยอดเยี่ยม มันคือโครงการที่ดีเยี่ยม

ส่วนเรื่องที่สองมีอยู่ว่า มีวันหนึ่งตำรวจนายหนึ่งได้บุกมาจับท่าน ทันทีท่านแนะให้เขากลับบ้านไปให้ไวที่สุด ท่านสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหน และเมื่อเขากลับไปบ้าน เขาก็พบภรรยาของเขาถูกไฟครอบ ทำให้เขาสามารถช่วยชีวิตภรรยาของเขาไว้ได้ทัน



ซีไนดายกย่องท่านว่าคือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของทูตสวรรค์-นักรบลงมาเกิดพร้อมดาบแห่งไฟในมือที่ใช้ฟาดฟันอำนาจชั่วร้าย  ดั่งที่กล่าวไว้ผู้คนมากมายต่างพากันมาหาท่านวันวันหนึ่งอาจมากถึงสี่สิบคนจากทุกสารทิศ มาด้วยความเศร้า หลายๆครั้งท่านจึงมักลูบหัวพวกเขาเพื่อปลอบเขาและร่วมสวดพร้อมกับเขา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ก็ยังหลั่งไหลมาหาท่านเพื่อถามว่าญาติหรือคนในครอบครัวรอหรือไม่  ดังนั้นท่านจะตอบซ้ำๆบ่อยคือ ยังอยู่ จงรอเขา/เธอก่อน ไม่ก็ พวกเขาตายแล้ว ไปเตรียมพิธีปลงศพเถิด ยังมีเกล็ดเล่าอีกว่าท่านบอกกับซีไนดาว่าในสงครามท่านได้ไปเยี่ยมและช่วยเหลือทหารโดยที่พวกเขามองไม่เห็นด้วย

มีคนเคยถามท่านว่าทำไมพระศาสนจักรจึงถูกเบียดเบียนเช่นนี้เล่า ท่านก็ตอบว่ามันเป็นบาปผิดของคริสตชนและการขาดความเชื่อ ผู้คนต่างหันหน้าออกจากพระเจ้าทรงหายไปจากพื้นแผ่นดินโลก ท่านย้ำว่า เวลายากลำบากคือชะตาของพวกเรา แต่พวกเราคริสตชนต้องเลือกไม้กางเขน พระคริสตเจ้าทรงวางพวกเราไว้บนรถลากเลื่อนของพระองค์ และพระองค์จะทรงพาเราไปที่ตามน้ำพระทัยพระองค์



กับผีโสโครก ท่านไม่เพียงแต่รักษาอาการเจ็บป่วยเท่านั้น หลายๆครั้งท่านยังเผชิญกับปีศาจที่สิงคนด้วย มีคราวหนึ่งได้มีชายสี่คนช่วยกันจับหญิงชราคนหนึ่งที่เอาแต่โบกแขนไปมาเหมือนกังหันมาหาท่าน ท่านจึงเริ่มสวดภาวนาและในทันที หญิงชราก็กลับมาเป็นปกติ อีกครามีหญิงที่ป่วยด้วยโรคลมชัก ซึ่งระหว่างการโจมตีของเธอ เธอก็ล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนชักดิ้นชักงอด้วยน้ำลายฟูมปาก จึงมีคนพาเธอมาหาท่าน และหลังจากนั่งเงียบๆ ท่านจึงโน้มไปข้างหน้า พลางยืดมือน้อยๆของท่านออกไป และประกาศลั่นว่า โอ้ อะไรที่ปีศาจใหญ่ที่พวกมันส่งเข้าไปในตัวเธอ ก่อนสวดภาวนาขณะปรกมือของท่านเหนือเธอ และพูดกับเธอว่า ฉันจะไม่รับมือกับปีศาจของเธอเพียงคนเดียว หากเธอช่วยฉันแล้ว เธอก็จะรอด เธอจำเป็นต้องรีบศีลมหาสนิททุกๆวันอาทิตย์ ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ผู้หญิงคนที่ไม่เคยทำเลย

ไม่เพียงแต่รักษาเท่านั้น ท่านยังต้องต่อสู้กับอำนาจมืด ท่านกล่าหลายครั้งว่าท่านต้องต่อสู้กับบรรดาพ่อมดแม่มดที่เกียจชังท่านและอำนาจชั่วร้ายต่างๆ และการต่อสู้นี้ยิ่งทวีมากขึ้นตามกำลังของทั้งท่านและพ่อมด คนเหล่านั้นเข้ามาด้วยความเต็มใจเป็นพันธมิตรกับอำนาจชั่วร้าย การทุ่มเทกับเวทมนต์ ที่นั่นไม่มีทางหนี มันห้ามไม่ได้หรอกที่จะไปหาหญิงชราเหล่านั้นเพื่อคำปรึกษา ท่านกล่าว ต้องเข้าใจว่าในตอนนั้นยาพื้นบ้านและความเชื่อแบบเดิมๆยังคงมีอยู่ทั่วรัสเซีย ในรูปแบบการทำนายโชคและการรักษาตามความเชื่อเดิมๆ ท่านจึงมีโอกาสได้ช่วยผู้ตกเป็นเหยื่อของพวกนี้อยู่บ่อยๆ



สงครามไม่เชื่อพระเจ้า จากการเติบโตของความเหินห่างจากความเชื่อ และการเจริญชีวิตโดยปราศจากการกลับใจนำไปสู่ผลกระทบฝ่ายจิต ซึ่งท่านรู้และเข้าใจดี ในวันที่มีการเดินขบวนทางการเมืองท่านกระตุ้นในทุกคนอยู่แต่ในบ้านปิดประตูหน้าต่างเสีย ท่านกล่าวว่าพยุหะปีศาจจะครอบครองบริเวณทั้งหมด บางทีความหายของท่านในข้อนี้อาจคือ หน้าต่างวิญญาณเพราะท่านชอบพูดอะไรเชิงเปรียบเทียบก็เป็นไปได้

อีกครั้งซีไนดา ถามท่านว่า พระเจ้าทรงยอมให้วัดจำนวนมากมายถูกปิดและทำลายได้อย่างไรกัน ท่านก็ตอบว่า มันเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะลดจำนวนวัด เพราะที่นั่นจะมีผู้เชื่อน้อยลงและไม่มีใครรับใช้วัดเลย หลังจากนั้นท่านกล่าว ผู้คนตกอยู่ภายใต้การสะกดจิต พวกเขาไม่เป็นตัวของพวกเขา อำนาจอันน่ากลัวได้เข้ามาอยู่ในความเป็นอยู่ …. อำนาจนี้อยู่ในอากาศและแทรกซึมทุกสิ่งอย่าง ในเวลาก่อนนั้น หนองน้ำและป่าที่ผ่านเข้าไปไม่ได้เป็นที่อยู่ของพวกมัน เพราะผู้คนต่างไปวัด พวกเขาสวมไม้กางเขนและบ้านของพวกเขาได้รักการอารักษ์จากรูปไอคอน ตะเกียงและพร แต่ก่อน ปีศาจสามารถแค่บินเข้าใกล้บ้านเหล่านี้ได้เท่านั้น แต่ตอนนี้พวกมันอยู่ทั้งในบ้านและในผู้คนเพราะความไม่เชื่อและการละทิ้งพระเจ้า



ที่สุดในวัย 71 ปี ท่านก็ได้ทำนายว่าอีกสามวันข้างหน้าท่านจะตาย ท่านได้ขอให้จัดพิธีปลงศพท่านที่วัดเสื้อคลุมพรมจารี ท่านยังขอไม่ให้นำดอกไม้พลาสติกหรือพวงมาลามาร่วมงานศพท่านเป็นอันขาด และแน่นอนท่านก็เป็นเช่นคนธรรมดาท่านก็กลัวตาย และก็มิได้ซ่อนให้ผู้ใกล้ชิดไม่เห็น แต่กระนั้นท่านก็ยังคงต้อนรับทุกคนที่มาหาเสมอ จนที่สุดแล้วทูตสวรรค์ก็ได้นำวิญญาณท่านไปสู่พระเจ้าอย่าสงบในวันที่ 2 พฤษภาคม ค..1952

ท่านเคยสัญญาในวันที่ 19 เมษายน ปีเดียวกันก่อนท่านตายไม่กี่วันว่า มาใกล้ๆ ทุกๆท่าน และบอกฉันถึงปัญญาของเธอเช่นฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะเห็น จะได้ยิน และจะมาช่วยเธอ และตามคำนานท่านว่าหลุมศพท่านจะกลายเป็นที่แสวงบุญของผู้คนมากมาย ก็เป็นตามนั้นผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลมาวิงวอนขอพระหรรษทานผ่านท่าน จนก่อเกิดอัศจรรย์มากมายตามคำสัญญาของท่าน



ดังนั้นในวันที่  8 มีนาคม ค..1998 จึงมีการขุดร่างท่านขึ้นมา และที่สุดในวันที่ 2 พฤษภาคม ค..1999 พระศาสนจักรออร์โธดอกซ์ห่งรัสเซียก็ได้สถาปนาท่านขึ้นเป็นนักบุญ ปัจจุบันพระธาตุของท่านถูกเก็บอยู่ที่อารามการเสนอวิงวอน ในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย

โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า(ยอห์น 11:4) ท่านเกิดมาตาบอดทำไม ก็เพื่อให้พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเป็นเจ้าได้สำแดงนั่นเอง ด้วยการมีพระหรรษทานมากมายทั้งการมองเห็น การทำนาย ซึ่งล้วนสำแดงถึงพระอานุภาพของพระเจ้าให้โลกประจักษ์ว่าแม้คนตาบอดพระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาเห็น เช่นกันบางทีในชีวิตเราก็มีอุปสรรคหลายๆอย่างเข้ามาในชีวิต แต่นั้นคือกางเขนพระองค์ทรงสัญญาแล้วว่าเราจะไม่ตายเพราะรับกางเขน เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านกางเขน เราต้องพยายามน้อมรับมันด้วยใจรัก เพื่อให้ทุกคนประจักษ์ถึงพระเจ้าในตัวของเราและสรรเสริญพระองค์  พี่น้องท่ามกลางความยากลำบากนั้นแหละ มีหรรษทานมากมายจนพี่น้องอยากจะร้องว่า อัลเลลูยา อัลเลลูยา แด่พระเป็นเจ้า


ข้าแต่ท่านนักบุญมาโตรนา แห่ง มอสโก ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

http://voiceofrussia.com/2007/05/11/133693/

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...