วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"แบรนาร์โด โตโลเมย" รับใช้จนตัวตาย


นักบุญแบรนาร์โด โตโลเมย
St. Bernardo Tolomei
ฉลองในวันที่ : 21 สิงหาคม

10 พฤษภาคม ค..1272 กรุงเซียนา แคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี ตำนานวีรบุรุษชุดขาวที่ได้นำ บรรดาทหารกล้าชุดขาวอีกหลายคนออกมา เผชิญกับกาฬโรคอันน่าหวาดกลัว ที่กำลังคุกคามซีเอนาหรือเซียนาอย่างน่าหวาดหวั่น ได้เริ่มขึ้นเมื่อเสียงทารกน้อยเพศชายดัง อุแว้ อุแว้ ในชายคาบ้านของมีโน โตโลเมย กับ ฟูลเวีย ตันเกรดี สร้างความยินดีให้สองสามีภรรยาเป็นยิ่งนัก ทั้งสองพาบุตรน้อยไปรับศีลล้างบาปตามประเพณี และตั้งนามบุตรนี้ตามนามหนึ่งในผู้นิพนธ์พระวรสารว่า โยวันนี

หลังจากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันอบรมบุตรน้อยอย่างดี จวบจนเด็กน้อยเจริญวัยได้ 6 ปี ทั้งสองก็มอบความวางใจให้นักบวชคณะโดมินิกันช่วยอบรมบุตรน้อยต่อ ด้วยการส่งท่านเข้าอยู่ภายใต้การดูแลของคุณพ่อคริสโตโฟโร โตโลเมย ซึ่งเป็นไปได้ว่าท่านอาจจะได้เข้าโรงเรียนซาน โดเมนีโก ดี กัมโปเรโจของคณะ จวบท่านมีวัยได้ 12 ปี บิดาท่านก็ตัดสินใจพาท่านกลับมาบ้าน เพื่อให้ท่านได้รับการศึกษาตามแบบชนชั้นสูง อันเป็นสังคมของครอบครัวท่านและเป็นการดึงท่านจากความปรารถนาเข้าอาราม ทำให้ท่านได้ร่ำเรียนทั้งทางด้านศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเซียนา


ซึ่งแม้ท่านจะไม่เต็มใจเท่าไรนักที่จะต้องจากที่นี่ไป ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนหนังสืออย่างขยันขันแข็ง เวลาเดียวกันท่านก็ได้อุทิศตนช่วยเหลืองานเมตตากิจในกลุ่มภราดรภาพแห่งซาน อันซาโน ที่ตั้งขึ้นเพื่อเด็กและนักเรียนในวัดของคณะโดมินิกัน จนภายหลังเมื่อท่านจบหลักสูตรปรัชญาและคณิตศาสตร์ ท่านก็เข้าศึกษาต่อในด้านกฎหมายทั้งทางแพ่ง พระศาสนจักร และเทววิทยา ที่สุดท่านก็ได้เป็นอัศวินของกองทัพพระเจ้ารูดอล์ฟที่ 1 แห่งเยอรมนี สมดั่งใจหมายของบิดา

แต่แล้วจากการเล่นเกมส์ การแข่งขันและงานรื่นเริงต่างๆ ก็ค่อยๆชักนำท่านออกห่างจากกลุ่มภารดรภาพแห่งซาน อันซาโน เดชะบุญ โชคยังดีที่เพียงไม่นานท่านก็ตระหนักได้ว่าสิ่งเหล่านี้หรือโลกนั้นเป็นสิ่งไร้สาระหาแก่นสารใดๆไม่ได้ ท่านจึงตัดสินใจไปแก้บาปด้วยใจที่เป็นทุกข์ ซึ่งทำให้ท่านยิ่งเพิ่มพูนความเข้มแข็งในการเอาชนะการประจบต่างๆได้มากขึ้น หลังจากนั้นท่านก็ได้สมัครเข้ากลุ่มภราดรภาพแห่งซานตา มารีอา เดลลา น็อตเต ที่ทำงานรับใช้ผู้ป่วยอยู่ ณ โรงพยาบาลเดลลาสกาลา และได้พบพร้อมกลายเป็นเพื่อนสนิทกับปาตริซีโอ ปาตริซี และอัมโบรโจ ปิกโกโลมินี สองขุนนางหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ที่มีใจศรัทธา


กล่าวถึงเมื่อท่านสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายแล้ว ท่านก็ได้ทำงานเป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเซียนา และได้มีโอกาสร่วมรบในสงครามเกลฟ์และกิเบลลิเน อันเป็นสงครามระหว่างฝักฝ่ายทางการเมืองทางตอนกลางและตอนเหนือของอิตาลีผู้หนุนหลังฝ่ายพระสันตะปาปาและสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(เยอรมัน)ตามลำดับ ในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นความขัดแย้งกันทางอำนาจในการแต่งตั้งสงฆ์ของคริสต์ศตวรรษที่ 11

และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ใจที่ร้อนรนของท่านเหมือนกลับมาด้านชาต่อการรับใช้พระเจ้า แต่ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ท่านสามารถระลึกได้ ผ่านโรคทางสายตาของท่าน ที่ทำให้ท่านไม่อาจแม้จะยืนกลางแจ้งได้ ประการฉะนี้ ท่านจึงวิงวอนต่อพระเจ้าขอให้ทรงรักษา พร้อมให้สัญญาต่อทั้งพระองค์และแม่พระว่า หากท่านหายจากโรคร้ายนี้แล้วไซร้ ท่านก็จะกลับใจ พร้อมจะดำเนินชีวิตรับใช้พระ ซึ่งไม่ช้าพระเป็นเจ้าก็ทรงตอบรับคำภาวนานี้



ดังนั้นในปี ค..1313 ภายหลังจากโมทนาคุณพระองค์แล้ว ท่านจึงได้สละทรัพย์สมบัติของท่านให้กับคนยากจน ก่อนที่ท่าน ปาตริซีโอ อัมโบรโจ จะออกเดินทางไปยังที่ดินของครอบครัวของท่าน ที่มีชื่อเรียกว่า อักโกนา หรือปัจจุบันคือภูเขาโอลิเวโต ที่มีลักษณะเป็นสถานที่เปลี่ยว กันดารและรกไปด้วยพืชพันธุ์ต่างๆ เพื่อเริ่มชีวิตฤษีตามคำมั่นที่ให้ไว้ ทั้งสามมีเพียงหนังสือที่นำติดตัวไป กับเสื้อผ้าหยาบๆตามแบบฉบับพวกฤษี นอกนั้นพวกท่านก็ต่างช่วยกันลงไม้ลงมือทำด้วยตัวเอง แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่เติบโตมาจะสังคมผู้ดีเช่นพวกท่านก็ตาม

ที่นี่ท่านที่นามใหม่ว่า เเบรนาร์โดตามนามของนักบุญเบอร์นาร์ด และสหายมีพระวรสารเป็นศูนย์กลางของชีวิต พวกท่านได้ช่วยกันเจาะเนินเขาเพื่อทำเป็นที่พักอาศัย และได้สร้างวัดหลังเล็กๆจากดิน เป็นที่ประดิษฐ์สถานไม้กางเขนใหญ่ขนาดสูงห้าฟุต ที่ท่านนำมาจากกรุงเซียนา (ซึ่งเป็นอันเดียวกันกับที่ตั้งอยู่ที่วัดบนภูเขาโอลิเวโตในปัจจุบัน) โดยพวกท่านจะกิจวัตรคือ พวกท่านจะรวมตัวกันร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์วันละเจ็ดครั้ง หลังจากนั้นภายหลังร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์แล้วแต่ละครั้ง ก็จะเป็นเวลารำพึงส่วนตัวถึงเช้า ซึ่งจะเป็นพิเศษในคืนวันพฤหัสบดีถึงวันศุกร์ก็จะมีหัวข้อรำพึงคือเรื่องราวพระมหาทรมาน



สำหรับกิจวัตรของท่านนั้นแต่ละวัน ภายหลังจากจบการร้องเพลงสดุดี ท่านก็จะใช้เวลาไปกับการเฆี่ยนตีตัวเอง และสวมเข็มขัดหนาม ส่วนในเวลากลางคืนท่านนอนไม่เกินสามชั่วโมงบนเสื่อ มีลำต้นของต้นไม้เป็นดั่งหมอน ท่านจะไม่ดื่มไวน์ ยกเว้นในวันฉลอง นอกจากนั้นท่านยังอดอาหารอยู่บ่อยๆ โดยมีหัวข้อในการอดดังนี้ คือ ในวันจันทร์อดเพื่อเป็นเกียรติแด่อัครเทวดา มีคาร์แอล ส่วนวันศุกร์อดเพื่อเป็นเกียรติแด่พระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า และสุดท้ายในวันเสาร์อดเพื่อถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์ แต่สำหรับในมหาพรตท่านก็จะไม่อดเพียงเท่านี้

และเนื่องจากเชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของฤษีสามคนที่เจริญชีวิตใช้โทษบาปที่อักโกนา ขจรไปทั่วละแวกนั้น ก็ส่งผลให้มีชายหนุ่มหลายคนตัดสินใจ ติดตามท่านและสหาย ส่งผลทำให้เกิดชุมชนฤษีที่ทุกคนต่างอาศัยอยู่อย่างห่างกันขึ้นในอักโกนา โดยมีท่านที่ฤษีทุกคนต่างยึดเป็นอธิการและบิดาของพวกเขา แต่ถึงแม้จะมีคนติดตามจำหนึ่ง ที่นี่ก็ไม่มีกฎหรือข้อบังคับใดๆ มีหลายต่อหลายคนเริ่มจับจ้องกลุ่มฤษีแห่งอักโกนานี้ด้วยความสงสัย ใคร่รู้ ผู้แทนพระองค์ที่ประจำอยู่ ณ กรุงเซียนา ก็ได้ทำการไต่สวนเป็นพิเศษเรื่องกลุ่มฤษีของท่าน ตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปา เพื่อดูแลกลุ่มนักพรต ที่ทุกๆที่ ต่างเรียกร้องให้พวกเขาได้รับการอนุมัติจากสันตะสำนัก


หลังจากนั้นอาจจะราวๆปลายปี ค..1318 หรือต้นปี ค..1319 เราไม่อาจทราบแน่ชัดถึงวันเวลา แต่ที่แน่นอนคือขณะท่านกำลังสวดภาวนา ท่านก็ได้แลเห็นภาพนิมิตบันไดที่มีฤษีหลายคนแต่งกายด้วยชุดสีขาวกำลังขึ้นไป โดยทูตสวรรค์คอยช่วยเหลือ และพระเยซูเจ้าพร้อมพระแม่รอท่าอยู่

ซึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพในกฎหมายของกลุ่มฤษีแห่งอักโกนา ที่ตอนนี้ตกที่นั่งลำบาก ท่านพร้อมปาตริซีโอก็ได้เดินทางเข้าพบพระคุณเจ้ากุยโด ตาร์ลาติ พระสังฆราชแห่งอัครสังฆมณฑลอาเรซโซ และพร้อมจดหมายแนะนำจากพระเจ้ากุยโด ท่านก็ตัดสินใจไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ที่ 22 ที่ทรงประทับอยู่ ณ อาวิญง เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยทุกอย่างทั้งต่อตัวท่านและสหายของท่านเอง ที่นั่นสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ที่ 22 ทรงสดับท่านอย่างแข็งขัน และกระตุ้นให้ท่านเลือกกฎของคณะใดคณะหนึ่งที่สันตะสำนักอนุมัติแล้ว ไปเป็นกฎสำหรับกลุ่มฤษีท่าน



และตามคำแนะนำของพระคุณเจ้ากุยโด ท่านก็ได้เลือกกฎของคณะเบเนดิกติน พร้อมชุดสีขาวเพื่อถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์ ตามจิตตารมณ์ของหมู่คณะใหม่ที่อุทิศตนเป็นพิเศษต่อพระนาง ดังนั้นท่านและสหายแห่งอักโกนาจึงได้รับมอบเสื้อศักดิ์สิทธิ์ตามแบบคณะเบเนดิกตินแต่เป็นสีขาว จากคุณพ่ออธิการอารามซัสโซ ในวัดพระตรีเอกภาพ อาเรซโซ ก่อนในวันที่ 26 มีนาคม ค..1319 ท่านและสหายจึงได้เข้าพิธีปฏิญาณตน ณ อาสนวิหารแห่งอาเรซโซ โดยมีพระคุณเจ้ากุยโดเป็นประธานในพิธีมิสซา และพร้อมกันนั้นก็ได้รับอนุญาตสร้างอารามขึ้น อันนับเป็นการเริ่มต้นของคณะใหม่

1 เมษายน ค..1319 จึงมีการวางศิลาฤทธิ์ สร้างอารามซานตา มารีอา ดี มอนเต โอลิเวโต มัจจอเร ขึ้น โดยมีกฎของเบเนดิกตินเป็นที่ตั้ง แต่มีระบบการปกครองแตกต่างกัน ซึ่งกลุ่มที่นี่จะมีระบบคล้ายๆกับภาครัฐของกรุงเซียนา คืออธิการจะมีวาระเพียงหนึ่งปีและต้องได้รับการยืนยันจากพระสังฆราชแห่งอาเลซโซ และเมื่อการเลือกอธิการครั้งแรกถูกจัดขึ้น  ท่านที่ต้องการเจริญชีวิตอย่างซ่อนเร้น ก็สามารถเอาตัวรอดจากการเลือกตั้งมาด้วยข้ออ้างที่ว่า สายตาท่านไม่ค่อยดี ไม่ใช่เพียงแต่ครั้งนั้น แต่ถึงสองครั้ง ทำให้อธิการสามคนแรกจึงไม่ใช่ท่าน



แต่ที่สุดในวันที่ 1 กันยายน ค..1322 ท่านก็ไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาให้ท่านดำรงตำแหน่งอธิการของบรรดาสมาชิกได้ ฉะนั้นท่านจึงได้รับตำแหน่งอธิการเป็นคนที่สี่ แต่เมื่อครบวาระหนึ่งปี ท่านก็จะลาออก และก็ถูกเลือกอีกซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้กระทั้งท่านเสียชีวิต เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้ท่านเป็นดั่งชุมพาที่คอยดูแลฝูงแกะแห่งมอนเต โอลิเวโต ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายออกมาจากร่างอันผอมแห้งและซีดเซียว ที่มักอยู่ในการรำพึงเสมอ

จนในการเลือกในปี ค..1326 ท่านก็ไม่ปรารถนาจะรับตำแหน่งอธิการอารามด้วยปัญหาทางสายตาของท่าน ฉะนั้นในวันที่ 24 กันยายน ปีนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ พระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลโยวันนี ไกตานี โอร์ซีนี จึงเป็นผู้แทนสันตะสำนักมาตรวจสอบการบริหารของท่าน ซึ่งภายหลังจากตรวจสอบแล้ว พระคุณเจ้าก็ได้บันทึกว่า เขาได้เติมเต็มงานบริหารด้วยความรอบคอบและสติปัญญา จนทำให้แน่ใจได้เลยคุณธรรมของชีวิตเขาที่มีข้อบกพร่องในการมองเห็นและความอ่อนแอของเขาได้รับการชดเชยแล้วโดยการบริหารที่น่ายกย่องและร้อนรนในการปกครองพี่น้องของเขา เมื่อการตัดสินเป็นเช่นนั้น ท่านจึงนบนอบจนถึงวันสุดท้ายของท่าน



และดูเหมือนพระเจ้าจะทรงอวยพรงานนี้ เพราะก่อนท่านจะสิ้นใจลง คณะก็มีอารามถึงสิบหลังอันประกอบด้วย อารามที่ภูเขา โอลิเวโต , อารามซาน เบเนเด็ตโต เซียนา , อารามซาน เเบรนาร์โด อเรซโซ , อารามซาน บาร์โตโลเมโอ ฟลอเรนซ์ , อารามซาน อันนา กัมเปรนา , อารามซาน โดนาโต กุบบีโอ , อารามซาน นิโกโล โฟลิกโน  , อารามซาน มารีอา อิน โดมินิกา โรม , อารามซาน อันเดรีย โวลเตรรา และอารามซาน มารีอา บาร์เบียนา ซึ่งในฐานะอธิการท่านก็เชื่อมโยงบรรดาอารามต่างไว้อย่างใกล้ชิดกับอารามโอลิเวโต ท่านคอยส่งจดหมายที่เต็มไปด้วยปัญญาและน่ายำเกรง เพื่อทำให้คณะเกิดความสามัคคีซึ่งเป็นความกังวลหนึ่งของท่าน

และที่สุดในวันที่ 1 มกราคม ค..1344 การรอคอยก็สิ้นสุดลง ภายหลังจากมีอารามสิบแห่ง เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 6 ทรงออกกฤษฎีการับรองคณะของท่าน อันนับว่าบัดนี้คณะพระนางมารีย์แห่งมอนเต โอลิเวโต หรือคณะโอลิเวตัน ได้รับการรับรองแล้วอย่างเป็นทางการจากทางสันตะสำนัก ซึ่งในโอกาสนี้ท่านก็ได้ส่งพระสงฆ์ในคณะสองคนไปแทนท่าน



ในฐานะอธิการท่านไม่เคยทิ้งอารามโอลิเวโตไปไหน ยกเว้นเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาส่งท่านไปเมืองซูตรี เพื่อจัดการปัญหาความขัดแย้งเรื่องพระสันตะปาปาเงานามเปียโตร ดี โกรบารีโอ ในปี ค..1328 ที่แต่งตั้งโดยจักรพรรดิลุดวิจที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งระหว่างอยู่ที่นั่นก็มีคนนำคนตาบอดมาหาท่าน และท่านก็ได้รักษาให้หายอย่างน่าอัศจรรย์ สมดั่งคำที่คนเรียกท่านว่า บุคคลผู้น่ายกย่องและศักดิ์สิทธิ์ และด้วยบัดนี้คณะได้รับอนุมัติแล้ว ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค..1347 ก็ได้มีการเลือกท่านเป็นอัครธิการของคณะเป็นคนแรก พวกเรามีความมั่นใจอย่างยิ่งในตัวท่าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านที่ไม่เคยหลงห่างจากน้ำพระทัยของพระเจ้า และการดูแลความรอดของวิญญาณบรรดาพี่น้องและบุตรชายของท่าน

ความยินดีในคณะอยู่ได้ไม่นานนัก กาฬโรคก็เริ่มระบาดไปทั่วยุโรปในปี ค.. 1348 มันได้ฆ่าชีวิตผู้คนไปหลายหมื่นคน ท่านก็ได้ตัดสินใจละทิ้งความสันโดษที่ท่านรัก แล้วลงไปอยู่ ณ อาราม ที่กรุงเซียนา พร้อมสมาชิกคนอื่น เพื่อช่วยกันดูแลผู้ป่วย นับเวลาได้ถึงสี่เดือน ท่านก้าวออกไปเป็นแบบอย่าง โดยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ท่านได้จุดไฟแห่งเมตตาในใจของสหาย ที่จะมองข้ามตัวเองไปยังคนอื่น แต่อนิจจาด้วยการอุทิศตนอย่างรู้จักเหน็ดจักเหนื่อยนี้เอง ก็ทำให้ท่านติดโรคร้ายขณะดูแลนักบวชที่ป่วย จนที่สุดในวันที่ 20 สิงหาคม 1348 ขณะอายุ 76 ปี ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ เช่นเดียวกับนักบวชของท่านอีก 82 องค์



ร่างของวีรบุรุษชุดขาวนาม แบรนาร์โดถูกฝังอย่างลวกๆ พร้อมศพอื่นๆในหลุมรวม ไร้ซึ่งป้ายบอกว่าคือใคร หรือพิธี หรือโลงศพ หรือดอกไม้ ท่านจากไปทิ้งไว้แต่คุณธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ ที่นับวันยิ่งส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วพระศาสนจักร แม้จะไม่มีพิธีบันทึกนามท่านในฐานะบุญราศี มีเพียงแต่การรับรองว่าท่านเป็นบุญราศีจากสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 10 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค..1644 ท่านก็ถูกเรียกว่า นักบุญ มาตลอดหลายร้อยปีแห่งมรณกรรม จนที่สุดในวันที่ 26 เมษายน ค..2009 หลังสิ้นเสียงพระดำรัสสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ คริสตชนทั่วโลกก็ยิ่งสามารถเรียกท่านได้อย่างเต็มปากมากขึ้นว่า นักบุญของพระศาสนจักร

จงนำขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย(1 พงกษัตริย์ 17:11) จากบทอ่านที่หนึ่งในวันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายนนี้ ทำให้เราคิดว่าในบางครั้งพระเจ้าก็มักทรงทดสอบผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยวิธีการที่ยากมากๆเสมอ เช่นคราวของหญิงม่ายในเมืองศาเรฟัต คำพูดของเอลียาห์นี้ทำให้เธอคิดหนัก เพราะเวลานั้นเธอก็ไม่มีอาหารจะกินอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามผ่านความเมตตาของเธอ เธอจึงได้รับสิ่งที่เกินกว่าเธอจะคิดถึง เช่นเดียวกันในลักษณะคล้ายกันนี้ ในขณะที่เกิดกาฬโรคระบาด นักบุญแบร์นาโดได้รับการดลใจหรือเปรียบดั่งเสียงเรียก ที่กระตุ้นให้ท่านต้องออกไปดูแลบรรดาผู้ป่วย แม้จะต้องเอาชีวิตเป็นประกัน แต่ท่านก็ไม่หวั่น ท่านได้เลือกทำเช่นหญิงม่ายผู้นี้ แต่บำเหน็จที่ท่านได้ไม่ใช่บนโลก แต่เป็นในสวรรค์ ดังนั้นเมื่อนำเรื่องราวของทั้งสองมาไตร่ตรองก็จะพบว่า ในหลายๆครั้งพระเจ้าก็ทรงทดสอบเราในสิ่งที่ยากที่สุดเสมอ พระองค์ทรงร้องขอในสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตเรา แต่กระนั้นทุกๆครั้งไป เมื่อเราสามารถตัดสละน้ำใจของเราได้ พระองค์ก็จะทรงประทานพระหรรษทานตอบแทนเราเสมอ ดังนั้นเมื่อเราถูกร้องขอเช่นหญิงหม้ายนี้ เราจงอย่าลังเลเลย เพราะ สิ่งที่เราเสียไป เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เราจะได้กลับคืนมา นั่นคือ อาณาจักรสวรรค์ อัลเลลูยา อัลเลลูยา




ข้าแต่ท่านนักบุญแบร์นาโด โตโลเมย ช่วยวิงวอนเทอญ


หมายเหตุ : แม้ปัจจุบันท่านจะเป็นนักบุญแล้ว ก็ยังไม่สามารถค้นหาร่างของท่านได้

ข้อมูลอ้างอิง



วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"มารีอา แบร์นาร์ดา" มิชชันนารีชีมืด?


นักบุญมารีอา แบร์นาร์ดา บึทเลอร์
St. Maria Bernarda Bütler
ฉลองในวันที่ : 19 พฤษภาคม 

การผจญภัยครั้งใหม่ ในดินแดนที่เป็นดั่งบ้านป่าเมืองเถื่อน เริ่มขึ้นในบ้านสามชั้นในเอาว์ รัฐอาร์เกา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บ้านที่เป็นของเกษตรกรสองสามีภรรยาชื่อ ไฮน์ริช และ คัฮทารีนา บึทเลอร์ เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่ง ผู้มฐานะเป็นลูกคนที่สี่จากแปดคนของทั้งสอง กำเนิดในวันที่ 28 พฤษภาคม ค..1848 และได้รับน้ำแห่งชีวิต อาศัยศีลล้างบาป ณ วัดนักบุญนิโคลัส ในวันเดียวกัน ด้วยชื่ออันแสนไพเราะว่า เวเรนา บึทเลอร์

ไฮน์ริช และ คัฮทารีนา ต่างเป็นคนสุภาพ และใจศรัทธา ทั้งสองต่างช่วยกันบ่มเพาะธิดาน้อยของเขา เช่นเดียวกับบุตรและธิดาอีกเจ็ดคน ให้เติบโตขึ้นมาในความรักของพระเจ้าและเพื่อนบ้าน จวบจนจากทารกน้อย ก็เติบใหญ่มาเป็นเด็กหญิงที่มีสุขภาพดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสุข เอื้อเฟื้อ รักธรรมชาติ ใฝ่เรียนรู้ ซึ่งในวัย 7 ปี ก็ได้เข้าโรงเรียนประถมศึกษา และด้วยความร้อยรนมุ่งมั่น ท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก ในวันที่ 16 เมษายน ค..1860 เหตุการณ์นั้นยังคงตราตรึงในใจของท่านเสมอ และความศรัทธาเป็นพิเศษต่อศีลมหาสนิทนี้เอง ที่เป็นรากฐานสำคัญของชีวิตฝ่ายจิตของท่าน


และเมื่อจบการศึกษาในระดับชั้นประถมแล้ว ในวัย 14 ปี ท่านก็ออกมาช่วยงานในฟาร์มของครอบครัว และได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งแถวหมู่บ้าน ที่ทำให้ให้ใจของท่านหวั่นไหว ใช่แล้ว ท่านตกหลุมรักเขา แต่ผ่านเสียงเรียกในใจ ท่านก็พบ กระแสเรียกกรเป็นนักบวชท่านจึงยุติความสัมพันธ์กับหนุ่มผู้นั้น และหันกลับมาหาพระองค์ทรงเป็นเจ้าโดยสมบูรณ์ นับจากนั้น ตลอดชีวิตท่านก็สัมผัสได้เสมอว่าพระองค์อยู่ใกล้ชิดท่าน ท่านกล่าวถึงเหตุผลเองว่าเพื่ออธิบายสภาพวิญญาณนี้ให้กับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์เดียวกันซึ่งเป็นเรื่องยากมากๆ หากไม่เป็นไปไม่ได้

หลังจากนั้นภายใต้การนำของความรักของพระเจ้า ท่านในวัย 18 ปี ก็สมัครเข้าเป็นโปสตุลันต์ในอารามใกล้ๆบ้าน แต่ในไม่ช้าท่านก็ตระหนักได้ว่าพระองค์มิได้ทรงเลือกท่านมาที่นี่ ฉะนั้นเองท่านจึงตัดสินใจลาออก และเดินทางกลับบ้านในทันที จนหนึ่งปีให้หลัง ในวัย 19 ปี ท่านก็ตัดสินใจเข้าอารามอีกครั้ง แต่คราวนี้ตามคำแนะนำของคุณพ่อเจ้าวัด ท่านจึงสมัครเข้าอารามแม่พระองค์อุปถัมภ์ของคณะกลาริส กาปูชิน ที่ อัลท์สเต็ทเท็น ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค..1867 ก่อนจะได้รับเสื้อศักดิ์สิทธิ์ของคณะในวันที่4 พฤษภาคม ปีถัดมา พร้อมนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มารีอา แบร์นาร์ดา แห่ง ดวงหทัยของพระแม่มารีย์ และที่สุดจึงได้เข้าพิธีปฏิญาณตนเป็นซิสเตอร์ในวันที่ 4 ตุลาคม ค..1869 ด้วยคำมั่นจะรับใช้พระองค์ในชีวิตแห่งการไตร่ตรองไปจนวันตาย


หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ท่านก็ได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์ ก่อนสามปีถัดมาท่านจึงกลายเป็นผู้ช่วยคุณแม่อธิการ และนวกจารย์ ก่อนจะได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการของอารามถึงสามวาระติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่ปี ค..1880 เป็นต้นมา ซึ่งในฐานะอธิการนี้ ท่านก็ได้ทำการปฏิรูปชีวิตในอารามให้มีความสันโดษมากขึ้น จนทำให้มีเยาวชนหญิงหลายคนสนใจสมัครเข้าอารามมากขึ้น แต่ด้วยวิญญาณธรรมทูตภายในตัว ที่ต้องการป่าประกาศถึงอาณาจักรของพระเจ้า ก็ทำให้ท่านได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่จะเปลี่ยนชีวิตท่านไปตลอดกาล

ด้วยความหวัง พระคุณเจ้าเปโตร ชูมาเชอร์ พระสังฆราชประจำสังฆมณฑลปอร์โตวีเอโฆ ในประเทศเอกวาดอร์ ได้ส่งคำเชื้อเชิญไปยังอารามแม่พระองค์อุปถัมภ์ บอกเล่าถึงสถานการณ์อันล่อแหลมของบรรดาลูกแกะในสังฆมณฑลของเขา พร้อมขอซิสเตอร์มาทำงานในสังฆมณฑลของเขา และทันทีที่ท่านทราบ ท่านก็แลเห็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ใช่แล้ว ไปเป็นธรรมทูต ประกาศข่าวดีในประเทศที่ห่างไกล ท่านจึงไม่รีรอที่จะตอบรับคำเชื้อเชิญนี้ด้วยความเต็มใจ


แต่ยังไม่ทันได้ออกเดินทางไปไหน กางเขนอันแรกก็หล่นตุ๊บลงมาประเดิมท่าน พระสังฆราชประจำสังฆมณฑลเซนต์ กาลเลิน อยากให้ท่านอยู่ต่อจึงทัดทานท่านไว้ แต่อย่างไรก็ตามที่สุด ท่านก็สามารเอาชนะการทัดทานนี้ และได้รับอนุญาตให้ออกจากเขตพรตได้จากพระสังฆราช ฉะนั้นท่านพร้อมซิสเตอร์อีกหกคน จึงได้โบกมืออำลาอาราม และมุ่งหน้าลงเรือไปยังสนามแพร่ธรรมใหม่ ที่เจ้าบ่าวของท่านเตรียมไว้แล้วสำหรับท่าน ในวันที่ 19 มิถุนายน ค..1888

เวลานี้ภายในใจของท่าน แน่วแน่ที่จะตั้งกลุ่มธรรมทูตที่ขึ้นตรงกับอารามสวิส โดยที่ไม่รู้เลยว่าพระเจ้าจะทรงเล่นตลกกับท่านครั้งยิ่งใหญ่ ที่จะเปลี่ยนจากผู้ตั้งอาราม ให้กลายเป็นผู้ตั้งคณะภคินีธรรมทูตฟรังซิสกันแห่งแม่พระองค์อุปถัมภ์ ทีละนิดเวลาก็ค่อนๆล่วงผ่าน จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน ที่สุดท่านและคณะก็มาถึง ท่ามกลามการต้อนรับอย่างแข็งขันจากพระคุณเจ้าเปโตร  ก่อนที่จะได้รับมอบหมายมให้ไปเริ่มงานที่ชุมชนโชเน ชุมชนที่มีประชากรประมาณ 13,000 คน ซึ่งกำลังตกอยู่ในขั้นวิกฤต เพราะขาดแคลนพระสงฆ์ที่จะประกอบพิธีต่างๆ และศีลธรรมอันดี


เอวัง ประการฉะนี้ ท่านจึงกลายมา ทุกอย่างเพื่อทุกคน โดยตั้งอยู่บนการสวดภาวนา ความยากจน ความภักดีต่อพระศาสนจักร และการหมั่นฝึกฤทธิ์กุศลในด้านงานเมตตา แม้จะพบกับภาษาใหม่ ภูมิอากาศใหม่ ท่านและซิสเตอร์ทั้งหลายก็หาได้หวาดเกรงไม่ ตรงข้ามท่านและซิสเตอร์ ต่างพากันก้าวออกไปทำงานแพร่ธรรมชนิดที่เรียกว่า จัดเต็มกันทุกครอบครัว อันนับเป็นผลดีในการเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น

ซึ่งนอกจากการประกาศพระวรสารแล้ว พวกท่านยังดูแลการศึกษาของเยาวชน การส่งเสริมพิธีกรรม และการรับใช้ผู้ป่วยและผู้ยากไร้ จนที่สุดไม่นานเกิดรอ หน่อแรกของพันธกิจ ก็แตกหน่ออกมา อัศจรรย์ อัศจรรย์ นับเป็นอีกครั้งที่ชีวิตคริสตชนแย้มบานออก ประหนึ่งต้องมนต์  คณะมีผู้สมัครเพิ่มมากขึ้น จนพอเปิดบ้านสองหลังในปี ค..1892 ณ ที่ ซานตา อานา และที่ กานัว


ทุกอย่างดูจะไปได้ดี แต่อนิจจา ความยินดีอยู่ได้ไม่นาน กางเขนก็กลับมาหาท่านและบรรดาซิสเตอร์อีกครั้งแบบที่เรียกว่า ชุดใหญ่ทั้งค่าใช้จ่ายเอย อากาศที่ร้อนแบบเมืองร้อนเอย ความเอาแน่นอนเอานอนไม่ได้เอย ปัญหาสารพัดเอย สุขภาพเอย ความปลอดภัยเอย อีกการเข้าใจผิดจากทางผู้ใหญ่ และเหนือสิ่งอื่นใด คือการแยกกลุ่มเพื่อไปทำงานนอกเอกวาดอร์ ภายใต้การนำของบุญราศีมารีอา การิดัด บราเดอร์ ที่ถูกส่งไปลงสนาม ณ โคลอมเบีย และสืบเนื่องมีความจำเป็นที่ต้องมีธรรมทูตมากขึ้น และการสนับสนุนจากพระสงฆ์ชาวเยอรมันท่านหนึ่ง บุญราศีการิดัด จึงได้ตั้งคณะภคินีฟรังซิสกันธรรมทูตแห่งพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมลขึ้นในโคลอมเบีย

ซึ่งท่านก็น้อมรับมันในความเงียบอย่างกล้าหาญ ท่านไม่เลือกปกป้องตัวท่านเองหรือแสดงความไม่พอใจใด แต่ท่านเลือกที่จะอภัยและสวดภาวนาจากใจให้เป็นพิเศษแก่คนที่ไม่หวังดีต่อท่าน แต่อนิจจา ดูเหมือนว่าไม่ทันที่กางเขนเก่าจะไป กางเขนใหม่ก็ตามมาติดๆ คราวนี้เป็นความไม่สงบจากกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์กับพระศาสนจักร ในเอกวาดอร์ ปี ค..1895 ที่บังคับให้ท่านและซิสเตอร์อีกสิบห้าคนต้องหลบหนีจากเอกวาดอร์ มายังบาเฮีย ใน โคลอมเบีย


และในขณะอยู่ในเรือระหว่างเดินทางนั้นเอง พระคุณเจ้าเอวเยนีโอ บีฟฟี พระสังฆราชประจำสังฆมณฑลการ์ตาเยนา เด อินเดียส ก็เชิญท่านและซิสเตอร์ในคณะไปทำงานในสังฆมณฑล ฉะนั้นในวันที่ 2 สิงหาคม ค..1895 อันเป็นวันฉลองวัดแม่พระแห่งปวงเทวา ซิสเตอร์ผู้ถูกเนรเทศทั้งหมด ก็เดินทางมาถึงการ์ตาเยนา พร้อมได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ณ ที่นั่นหาใหม่ของท่านและคณะก็คือการดูแลโรงพยาบาลหญิง ที่รู้จักกันทั่วไปว่า โอบรา ปีอา หรือ งานศรัทธา

ณ ที่นั่น ท่านแม้ต้องผ่านความลำบากมา ท่านก็อุทิศตนด้วยดวงใจที่เอื้อเฟื้อ ตามแบบฉบับของนักบุญฟรังซิสเพื่อตอบสนองทั้งความต้องการฝ่ายโลกและฝ่ายจิตของทั้งผู้ป่วยและผู้ยากไร้ ผู้ที่ท่านรักเสมอ ครั้งหนึ่งท่านเคยสอนบรรดาซิสเตอร์ว่า จงเปิดบ้านของเธอเพื่อช่วยคนยากไร้และคนด้อยโอกาส จงมอบความพึงพอใจที่จะดูแลคนยากจนมากกว่างานอื่นๆ และในฐานะ แม่ของคณะ ท่านก็คอยแนะนำบรรดาธิดาเสมอตอลดเวลาสามสิบปี แม้ภายหลังท่านลาออกจากการเป็นมหาอธิการิณีก็ตาม


ท่านร่วมทุกข์ร่วมสุขกับธิดาน้อยไม่ว่าจะในการทำงานหรือในชีวิต ท่านคือแบบอย่างที่ชัดเจนของการดำเนินชีวิตตามพระวรสาร การมีชีวิตเป็นแบบอย่าง และการให้กำลังใจทุกๆคน ท่านทำงานร่วมกับทุกคนด้วยความอ่อนโยนและเมตตาเสมอ ซึ่งความเมตตานี้ท่านก็ได้มาจากการไตร่ตรองถึงธรรมล้ำลึกเรื่องพระตรีเอกภาพ ศีลมหาสนิท และพระมหาทรมาน

ท่านยังมีความศรัทธาเป็นพิเศษมากต่อแม่พระ ท่านปรารถนาให้คณะมีแม่พระองค์อุปถัมภ์ของคนบาปเป็นดั่งมารดา ผู้พิทักษ์ และแบบอย่างในการเจริญชีวิตติดตามพระคริสต์และการแพร่ธรรม และในฐานะธิดานักบุญฟรังซิส ท่านก็ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการยำเกรงพระศาสนจักร และพระสงฆ์ ผู้ที่ท่านเรียกว่า ผู้ได้รับเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตามแบบฉบับของนักบุญฟรังซิส บิดาผู้ก่อตั้งคณะ


ภายหลังจากลาออกจากการดำรงตำแหน่งมหาอธิการิณี และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในโรงพยาบาล ท่านก็ป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหาร และท่ามกลางความเงียบของวันที่ 19 พฤษภาคม ค..1924 ท่านก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยอายุรวม 74 ปี ทิ้งไว้แต่คำสอนและงานเขียนจำนวนนับไม่ถ้วน ที่เป็นดังเหมืองอันล้ำค่าของนักบวชและผลทางวิญญาณ ข่าวการสิ้นใจของท่านแพร่ไปอย่างรวดเร็ว คุณพ่อเจ้าวัดอาสนวิหารการ์ตาเยนา ไม่คลางแคลงที่จะประกาศว่า เมื่อเช้า คุณแม่แบร์นาร์ดาผู้น่านับถือ นักบุญได้สิ้นใจแล้วในเมืองนี้

และทันทีหลุมฝังศพของท่านก็กลายเป็นสถานที่แห่งการสวดภาวนา และแสวงบุญ คณะของท่านเติบโตขึ้น ดั่งที่เกิดมาตั้งตาสมัยท่านดำรงชีวิตอยู่และขยายงานออกไปถึง 11 ประเทศ ได้แก่ โบลิเวีย บราซิล เอกวาดอร์โคลัมเบีย คิวบา เปรู เวเนซูเอลา มาลี ชาด สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย กระทั้งในวันที่ 29 ตุลาคม ค..1995 ท่านก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศี โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 และที่สุดในวันที่ 12 ตุลาคม ค..2008 ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ก็ทรงสถาปนาท่านพร้อมบุญราศีอีกสามท่านขึ้นเป็นนักบุญอย่างเป็นทางการ


เพราะเห็นแก่เรา พระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป(2 โครินธ์ 5:21) ลองจินตนาการดูว่าหากมีคนมาบอกเราว่าถูกลอตตเตอร์รี่ เราจะไม่อยากบอกข่าวนี้ให้คนอื่นๆทราบหรือ ภายในของเราไม่อัดอั้นหรือที่จะไม่พูดเรื่องนี้ต่อ ถ้ามีก็คงน้อยคนนักที่จะปิดเรื่องเช่นนี้ไว้ได้ เช่นเดียวกันเราในฐานะคริสตชน เราได้รับข่าวดีที่ว่า พระเยซูเจ้าทรงลงมารับสภาพมนุษย์เพื่อรับบาปแทนมนุษย์ เราได้รู้ว่าพระเจ้าทรงรักเรามากแค่ไหน ฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงรักเราถึงเพียงนี้ เราจะไม่อยากบอกความรักนี้ต่อไปหรือ เราไม่อยากให้คนอื่นได้สัมผัสถึงสันติและความรักเช่าเราหรือ คุณแม่มารีอา แบร์นาร์ดา คือหนึ่งในนั้น ท่านได้รับกระตุ้นจากพระจิตเจ้าที่ลุกร้อนในวิญญาณ ให้ท่านก้าวออกจากบ้านเกิด เพื่อประกาศถึงข่าวนี้ ข่าวที่นักบุญเปาโลได้เขียนไว้ตามข้อพระคัมภีร์นี้ ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเจอความยากลำบากแค่ไหน ท่านจึงไม่หยุดที่จะนำข่าวนี้ต่อไปจนถึงวาระสุดท้าย บัดนี้ชีวิตของท่านได้เรียกร้องเราให้ไปประกาศข่าวนี้ตามความสามารถของเรา เรียกให้เราเป็นผู้ประกาศสิ่งนี้ผ่านชีวิต ไม่ใช่เพียงคำพูด แหละคือสิ่งที่เราควรทำตามฐานันดรความเป็น ประกาศกของเรา อัลเลลูยา อัลเลลูยา



ข้าแต่ท่านนักบุญมารีอา แบร์นาร์ดา บึทเลอร์ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...