นักบุญแบรนาร์โด
โตโลเมย
St. Bernardo
Tolomei
ฉลองในวันที่ : 21 สิงหาคม
10 พฤษภาคม ค.ศ.1272 กรุงเซียนา แคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี ตำนานวีรบุรุษชุดขาวที่ได้นำ
บรรดาทหารกล้าชุดขาวอีกหลายคนออกมา เผชิญกับกาฬโรคอันน่าหวาดกลัว
ที่กำลังคุกคามซีเอนาหรือเซียนาอย่างน่าหวาดหวั่น ได้เริ่มขึ้นเมื่อเสียงทารกน้อยเพศชายดัง
อุแว้ อุแว้ ในชายคาบ้านของมีโน โตโลเมย กับ ฟูลเวีย ตันเกรดี
สร้างความยินดีให้สองสามีภรรยาเป็นยิ่งนัก ทั้งสองพาบุตรน้อยไปรับศีลล้างบาปตามประเพณี
และตั้งนามบุตรนี้ตามนามหนึ่งในผู้นิพนธ์พระวรสารว่า “โยวันนี”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันอบรมบุตรน้อยอย่างดี
จวบจนเด็กน้อยเจริญวัยได้ 6 ปี ทั้งสองก็มอบความวางใจให้นักบวชคณะโดมินิกันช่วยอบรมบุตรน้อยต่อ
ด้วยการส่งท่านเข้าอยู่ภายใต้การดูแลของคุณพ่อคริสโตโฟโร โตโลเมย
ซึ่งเป็นไปได้ว่าท่านอาจจะได้เข้าโรงเรียนซาน โดเมนีโก ดี กัมโปเรโจของคณะ จวบท่านมีวัยได้ 12 ปี บิดาท่านก็ตัดสินใจพาท่านกลับมาบ้าน
เพื่อให้ท่านได้รับการศึกษาตามแบบชนชั้นสูง อันเป็นสังคมของครอบครัวท่านและเป็นการดึงท่านจากความปรารถนาเข้าอาราม
ทำให้ท่านได้ร่ำเรียนทั้งทางด้านศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเซียนา
ซึ่งแม้ท่านจะไม่เต็มใจเท่าไรนักที่จะต้องจากที่นี่ไป
ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนหนังสืออย่างขยันขันแข็ง เวลาเดียวกันท่านก็ได้อุทิศตนช่วยเหลืองานเมตตากิจในกลุ่มภราดรภาพแห่งซาน
อันซาโน ที่ตั้งขึ้นเพื่อเด็กและนักเรียนในวัดของคณะโดมินิกัน จนภายหลังเมื่อท่านจบหลักสูตรปรัชญาและคณิตศาสตร์
ท่านก็เข้าศึกษาต่อในด้านกฎหมายทั้งทางแพ่ง พระศาสนจักร และเทววิทยา ที่สุดท่านก็ได้เป็นอัศวินของกองทัพพระเจ้ารูดอล์ฟที่
1
แห่งเยอรมนี สมดั่งใจหมายของบิดา
แต่แล้วจากการเล่นเกมส์
การแข่งขันและงานรื่นเริงต่างๆ ก็ค่อยๆชักนำท่านออกห่างจากกลุ่มภารดรภาพแห่งซาน อันซาโน เดชะบุญ
โชคยังดีที่เพียงไม่นานท่านก็ตระหนักได้ว่าสิ่งเหล่านี้หรือโลกนั้นเป็นสิ่งไร้สาระหาแก่นสารใดๆไม่ได้
ท่านจึงตัดสินใจไปแก้บาปด้วยใจที่เป็นทุกข์ ซึ่งทำให้ท่านยิ่งเพิ่มพูนความเข้มแข็งในการเอาชนะการประจบต่างๆได้มากขึ้น
หลังจากนั้นท่านก็ได้สมัครเข้ากลุ่มภราดรภาพแห่งซานตา มารีอา เดลลา น็อตเต
ที่ทำงานรับใช้ผู้ป่วยอยู่ ณ โรงพยาบาลเดลลาสกาลา และได้พบพร้อมกลายเป็นเพื่อนสนิทกับปาตริซีโอ
ปาตริซี และอัมโบรโจ ปิกโกโลมินี สองขุนนางหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
ที่มีใจศรัทธา
กล่าวถึงเมื่อท่านสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายแล้ว
ท่านก็ได้ทำงานเป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเซียนา
และได้มีโอกาสร่วมรบในสงครามเกลฟ์และกิเบลลิเน อันเป็นสงครามระหว่างฝักฝ่ายทางการเมืองทางตอนกลางและตอนเหนือของอิตาลีผู้หนุนหลังฝ่ายพระสันตะปาปาและสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(เยอรมัน)ตามลำดับ ในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่
12
จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นความขัดแย้งกันทางอำนาจในการแต่งตั้งสงฆ์ของคริสต์ศตวรรษที่
11
และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ใจที่ร้อนรนของท่านเหมือนกลับมาด้านชาต่อการรับใช้พระเจ้า
แต่ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ท่านสามารถระลึกได้ ผ่านโรคทางสายตาของท่าน
ที่ทำให้ท่านไม่อาจแม้จะยืนกลางแจ้งได้ ประการฉะนี้ ท่านจึงวิงวอนต่อพระเจ้าขอให้ทรงรักษา
พร้อมให้สัญญาต่อทั้งพระองค์และแม่พระว่า หากท่านหายจากโรคร้ายนี้แล้วไซร้
ท่านก็จะกลับใจ พร้อมจะดำเนินชีวิตรับใช้พระ ซึ่งไม่ช้าพระเป็นเจ้าก็ทรงตอบรับคำภาวนานี้
ดังนั้นในปี
ค.ศ.1313
ภายหลังจากโมทนาคุณพระองค์แล้ว
ท่านจึงได้สละทรัพย์สมบัติของท่านให้กับคนยากจน ก่อนที่ท่าน ปาตริซีโอ อัมโบรโจ
จะออกเดินทางไปยังที่ดินของครอบครัวของท่าน ที่มีชื่อเรียกว่า “อักโกนา” หรือปัจจุบันคือภูเขาโอลิเวโต
ที่มีลักษณะเป็นสถานที่เปลี่ยว กันดารและรกไปด้วยพืชพันธุ์ต่างๆ
เพื่อเริ่มชีวิตฤษีตามคำมั่นที่ให้ไว้ ทั้งสามมีเพียงหนังสือที่นำติดตัวไป
กับเสื้อผ้าหยาบๆตามแบบฉบับพวกฤษี นอกนั้นพวกท่านก็ต่างช่วยกันลงไม้ลงมือทำด้วยตัวเอง
แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่เติบโตมาจะสังคมผู้ดีเช่นพวกท่านก็ตาม
ที่นี่ท่านที่นามใหม่ว่า
“เเบรนาร์โด” ตามนามของนักบุญเบอร์นาร์ด และสหายมีพระวรสารเป็นศูนย์กลางของชีวิต
พวกท่านได้ช่วยกันเจาะเนินเขาเพื่อทำเป็นที่พักอาศัย
และได้สร้างวัดหลังเล็กๆจากดิน เป็นที่ประดิษฐ์สถานไม้กางเขนใหญ่ขนาดสูงห้าฟุต
ที่ท่านนำมาจากกรุงเซียนา (ซึ่งเป็นอันเดียวกันกับที่ตั้งอยู่ที่วัดบนภูเขาโอลิเวโตในปัจจุบัน) โดยพวกท่านจะกิจวัตรคือ พวกท่านจะรวมตัวกันร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์วันละเจ็ดครั้ง
หลังจากนั้นภายหลังร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์แล้วแต่ละครั้ง
ก็จะเป็นเวลารำพึงส่วนตัวถึงเช้า
ซึ่งจะเป็นพิเศษในคืนวันพฤหัสบดีถึงวันศุกร์ก็จะมีหัวข้อรำพึงคือเรื่องราวพระมหาทรมาน
สำหรับกิจวัตรของท่านนั้นแต่ละวัน
ภายหลังจากจบการร้องเพลงสดุดี ท่านก็จะใช้เวลาไปกับการเฆี่ยนตีตัวเอง
และสวมเข็มขัดหนาม ส่วนในเวลากลางคืนท่านนอนไม่เกินสามชั่วโมงบนเสื่อ
มีลำต้นของต้นไม้เป็นดั่งหมอน ท่านจะไม่ดื่มไวน์ ยกเว้นในวันฉลอง
นอกจากนั้นท่านยังอดอาหารอยู่บ่อยๆ โดยมีหัวข้อในการอดดังนี้ คือ
ในวันจันทร์อดเพื่อเป็นเกียรติแด่อัครเทวดา มีคาร์แอล
ส่วนวันศุกร์อดเพื่อเป็นเกียรติแด่พระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า และสุดท้ายในวันเสาร์อดเพื่อถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์
แต่สำหรับในมหาพรตท่านก็จะไม่อดเพียงเท่านี้
และเนื่องจากเชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของฤษีสามคนที่เจริญชีวิตใช้โทษบาปที่อักโกนา
ขจรไปทั่วละแวกนั้น ก็ส่งผลให้มีชายหนุ่มหลายคนตัดสินใจ ติดตามท่านและสหาย ส่งผลทำให้เกิดชุมชนฤษีที่ทุกคนต่างอาศัยอยู่อย่างห่างกันขึ้นในอักโกนา
โดยมีท่านที่ฤษีทุกคนต่างยึดเป็นอธิการและบิดาของพวกเขา
แต่ถึงแม้จะมีคนติดตามจำหนึ่ง ที่นี่ก็ไม่มีกฎหรือข้อบังคับใดๆ
มีหลายต่อหลายคนเริ่มจับจ้องกลุ่มฤษีแห่งอักโกนานี้ด้วยความสงสัย ใคร่รู้ ผู้แทนพระองค์ที่ประจำอยู่
ณ กรุงเซียนา ก็ได้ทำการไต่สวนเป็นพิเศษเรื่องกลุ่มฤษีของท่าน ตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปา
เพื่อดูแลกลุ่มนักพรต “ที่ทุกๆที่
ต่างเรียกร้องให้พวกเขาได้รับการอนุมัติจากสันตะสำนัก”
หลังจากนั้นอาจจะราวๆปลายปี
ค.ศ.1318
หรือต้นปี ค.ศ.1319 เราไม่อาจทราบแน่ชัดถึงวันเวลา
แต่ที่แน่นอนคือขณะท่านกำลังสวดภาวนา
ท่านก็ได้แลเห็นภาพนิมิตบันไดที่มีฤษีหลายคนแต่งกายด้วยชุดสีขาวกำลังขึ้นไป
โดยทูตสวรรค์คอยช่วยเหลือ และพระเยซูเจ้าพร้อมพระแม่รอท่าอยู่
ซึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพในกฎหมายของกลุ่มฤษีแห่งอักโกนา
ที่ตอนนี้ตกที่นั่งลำบาก ท่านพร้อมปาตริซีโอก็ได้เดินทางเข้าพบพระคุณเจ้ากุยโด
ตาร์ลาติ พระสังฆราชแห่งอัครสังฆมณฑลอาเรซโซ และพร้อมจดหมายแนะนำจากพระเจ้ากุยโด
ท่านก็ตัดสินใจไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ที่ 22 ที่ทรงประทับอยู่ ณ อาวิญง
เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยทุกอย่างทั้งต่อตัวท่านและสหายของท่านเอง ที่นั่นสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ที่ 22
ทรงสดับท่านอย่างแข็งขัน
และกระตุ้นให้ท่านเลือกกฎของคณะใดคณะหนึ่งที่สันตะสำนักอนุมัติแล้ว
ไปเป็นกฎสำหรับกลุ่มฤษีท่าน
และตามคำแนะนำของพระคุณเจ้ากุยโด
ท่านก็ได้เลือกกฎของคณะเบเนดิกติน พร้อมชุดสีขาวเพื่อถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์
ตามจิตตารมณ์ของหมู่คณะใหม่ที่อุทิศตนเป็นพิเศษต่อพระนาง
ดังนั้นท่านและสหายแห่งอักโกนาจึงได้รับมอบเสื้อศักดิ์สิทธิ์ตามแบบคณะเบเนดิกตินแต่เป็นสีขาว
จากคุณพ่ออธิการอารามซัสโซ ในวัดพระตรีเอกภาพ อาเรซโซ ก่อนในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ.1319 ท่านและสหายจึงได้เข้าพิธีปฏิญาณตน ณ
อาสนวิหารแห่งอาเรซโซ โดยมีพระคุณเจ้ากุยโดเป็นประธานในพิธีมิสซา
และพร้อมกันนั้นก็ได้รับอนุญาตสร้างอารามขึ้น อันนับเป็นการเริ่มต้นของคณะใหม่
1 เมษายน
ค.ศ.1319 จึงมีการวางศิลาฤทธิ์ สร้างอารามซานตา
มารีอา ดี มอนเต โอลิเวโต มัจจอเร ขึ้น โดยมีกฎของเบเนดิกตินเป็นที่ตั้ง
แต่มีระบบการปกครองแตกต่างกัน
ซึ่งกลุ่มที่นี่จะมีระบบคล้ายๆกับภาครัฐของกรุงเซียนา
คืออธิการจะมีวาระเพียงหนึ่งปีและต้องได้รับการยืนยันจากพระสังฆราชแห่งอาเลซโซ
และเมื่อการเลือกอธิการครั้งแรกถูกจัดขึ้น
ท่านที่ต้องการเจริญชีวิตอย่างซ่อนเร้น
ก็สามารถเอาตัวรอดจากการเลือกตั้งมาด้วยข้ออ้างที่ว่า สายตาท่านไม่ค่อยดี
ไม่ใช่เพียงแต่ครั้งนั้น แต่ถึงสองครั้ง ทำให้อธิการสามคนแรกจึงไม่ใช่ท่าน
แต่ที่สุดในวันที่
1 กันยายน
ค.ศ.1322
ท่านก็ไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาให้ท่านดำรงตำแหน่งอธิการของบรรดาสมาชิกได้
ฉะนั้นท่านจึงได้รับตำแหน่งอธิการเป็นคนที่สี่ แต่เมื่อครบวาระหนึ่งปี
ท่านก็จะลาออก และก็ถูกเลือกอีกซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้กระทั้งท่านเสียชีวิต
เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้ท่านเป็นดั่งชุมพาที่คอยดูแลฝูงแกะแห่งมอนเต
โอลิเวโต ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายออกมาจากร่างอันผอมแห้งและซีดเซียว
ที่มักอยู่ในการรำพึงเสมอ
จนในการเลือกในปี
ค.ศ.1326
ท่านก็ไม่ปรารถนาจะรับตำแหน่งอธิการอารามด้วยปัญหาทางสายตาของท่าน
ฉะนั้นในวันที่ 24 กันยายน ปีนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์
พระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลโยวันนี ไกตานี โอร์ซีนี
จึงเป็นผู้แทนสันตะสำนักมาตรวจสอบการบริหารของท่าน ซึ่งภายหลังจากตรวจสอบแล้ว
พระคุณเจ้าก็ได้บันทึกว่า “เขาได้เติมเต็มงานบริหารด้วยความรอบคอบและสติปัญญา
จนทำให้แน่ใจได้เลยคุณธรรมของชีวิตเขาที่มีข้อบกพร่องในการมองเห็นและความอ่อนแอของเขาได้รับการชดเชยแล้วโดยการบริหารที่น่ายกย่องและร้อนรนในการปกครองพี่น้องของเขา” เมื่อการตัดสินเป็นเช่นนั้น
ท่านจึงนบนอบจนถึงวันสุดท้ายของท่าน
และดูเหมือนพระเจ้าจะทรงอวยพรงานนี้
เพราะก่อนท่านจะสิ้นใจลง คณะก็มีอารามถึงสิบหลังอันประกอบด้วย อารามที่ภูเขา
โอลิเวโต ,
อารามซาน เบเนเด็ตโต เซียนา , อารามซาน เเบรนาร์โด อเรซโซ , อารามซาน บาร์โตโลเมโอ ฟลอเรนซ์ , อารามซาน อันนา กัมเปรนา , อารามซาน โดนาโต กุบบีโอ , อารามซาน นิโกโล โฟลิกโน , อารามซาน มารีอา อิน โดมินิกา โรม , อารามซาน อันเดรีย โวลเตรรา
และอารามซาน มารีอา บาร์เบียนา
ซึ่งในฐานะอธิการท่านก็เชื่อมโยงบรรดาอารามต่างไว้อย่างใกล้ชิดกับอารามโอลิเวโต
ท่านคอยส่งจดหมายที่เต็มไปด้วยปัญญาและน่ายำเกรง
เพื่อทำให้คณะเกิดความสามัคคีซึ่งเป็นความกังวลหนึ่งของท่าน
และที่สุดในวันที่
1 มกราคม
ค.ศ.1344 การรอคอยก็สิ้นสุดลง
ภายหลังจากมีอารามสิบแห่ง เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 6 ทรงออกกฤษฎีการับรองคณะของท่าน อันนับว่าบัดนี้คณะพระนางมารีย์แห่งมอนเต
โอลิเวโต หรือคณะโอลิเวตัน
ได้รับการรับรองแล้วอย่างเป็นทางการจากทางสันตะสำนัก
ซึ่งในโอกาสนี้ท่านก็ได้ส่งพระสงฆ์ในคณะสองคนไปแทนท่าน
ในฐานะอธิการท่านไม่เคยทิ้งอารามโอลิเวโตไปไหน
ยกเว้นเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาส่งท่านไปเมืองซูตรี
เพื่อจัดการปัญหาความขัดแย้งเรื่องพระสันตะปาปาเงานามเปียโตร ดี โกรบารีโอ ในปี ค.ศ.1328 ที่แต่งตั้งโดยจักรพรรดิลุดวิจที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งระหว่างอยู่ที่นั่นก็มีคนนำคนตาบอดมาหาท่าน
และท่านก็ได้รักษาให้หายอย่างน่าอัศจรรย์ สมดั่งคำที่คนเรียกท่านว่า “บุคคลผู้น่ายกย่องและศักดิ์สิทธิ์” และด้วยบัดนี้คณะได้รับอนุมัติแล้ว
ในวันที่ 4 พฤษภาคม
ค.ศ.1347
ก็ได้มีการเลือกท่านเป็นอัครธิการของคณะเป็นคนแรก “พวกเรามีความมั่นใจอย่างยิ่งในตัวท่าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านที่ไม่เคยหลงห่างจากน้ำพระทัยของพระเจ้า
และการดูแลความรอดของวิญญาณบรรดาพี่น้องและบุตรชายของท่าน”
ความยินดีในคณะอยู่ได้ไม่นานนัก
กาฬโรคก็เริ่มระบาดไปทั่วยุโรปในปี ค.ศ. 1348 มันได้ฆ่าชีวิตผู้คนไปหลายหมื่นคน ท่านก็ได้ตัดสินใจละทิ้งความสันโดษที่ท่านรัก
แล้วลงไปอยู่ ณ อาราม ที่กรุงเซียนา พร้อมสมาชิกคนอื่น เพื่อช่วยกันดูแลผู้ป่วย นับเวลาได้ถึงสี่เดือน
ท่านก้าวออกไปเป็นแบบอย่าง โดยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ
ท่านได้จุดไฟแห่งเมตตาในใจของสหาย ที่จะมองข้ามตัวเองไปยังคนอื่น แต่อนิจจา…ด้วยการอุทิศตนอย่างรู้จักเหน็ดจักเหนื่อยนี้เอง
ก็ทำให้ท่านติดโรคร้ายขณะดูแลนักบวชที่ป่วย จนที่สุดในวันที่ 20 สิงหาคม 1348
ขณะอายุ 76 ปี ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ
เช่นเดียวกับนักบวชของท่านอีก 82 องค์
ร่างของวีรบุรุษชุดขาวนาม
“แบรนาร์โด” ถูกฝังอย่างลวกๆ พร้อมศพอื่นๆในหลุมรวม
ไร้ซึ่งป้ายบอกว่าคือใคร หรือพิธี หรือโลงศพ หรือดอกไม้
ท่านจากไปทิ้งไว้แต่คุณธรรมและความศักดิ์สิทธิ์
ที่นับวันยิ่งส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วพระศาสนจักร
แม้จะไม่มีพิธีบันทึกนามท่านในฐานะบุญราศี มีเพียงแต่การรับรองว่าท่านเป็นบุญราศีจากสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์
ที่ 10
ในวันที่ 24
พฤศจิกายน ค.ศ.1644
ท่านก็ถูกเรียกว่า “นักบุญ” มาตลอดหลายร้อยปีแห่งมรณกรรม
จนที่สุดในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ.2009
หลังสิ้นเสียงพระดำรัสสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ คริสตชนทั่วโลกก็ยิ่งสามารถเรียกท่านได้อย่างเต็มปากมากขึ้นว่า
“นักบุญของพระศาสนจักร”
“จงนำขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย”(1 พงกษัตริย์ 17:11)
จากบทอ่านที่หนึ่งในวันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายนนี้
ทำให้เราคิดว่าในบางครั้งพระเจ้าก็มักทรงทดสอบผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยวิธีการที่ยากมากๆเสมอ
เช่นคราวของหญิงม่ายในเมืองศาเรฟัต คำพูดของเอลียาห์นี้ทำให้เธอคิดหนัก
เพราะเวลานั้นเธอก็ไม่มีอาหารจะกินอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามผ่านความเมตตาของเธอ
เธอจึงได้รับสิ่งที่เกินกว่าเธอจะคิดถึง เช่นเดียวกันในลักษณะคล้ายกันนี้
ในขณะที่เกิดกาฬโรคระบาด นักบุญแบร์นาโดได้รับการดลใจหรือเปรียบดั่งเสียงเรียก
ที่กระตุ้นให้ท่านต้องออกไปดูแลบรรดาผู้ป่วย แม้จะต้องเอาชีวิตเป็นประกัน
แต่ท่านก็ไม่หวั่น ท่านได้เลือกทำเช่นหญิงม่ายผู้นี้
แต่บำเหน็จที่ท่านได้ไม่ใช่บนโลก แต่เป็นในสวรรค์
ดังนั้นเมื่อนำเรื่องราวของทั้งสองมาไตร่ตรองก็จะพบว่า ในหลายๆครั้งพระเจ้าก็ทรงทดสอบเราในสิ่งที่ยากที่สุดเสมอ
พระองค์ทรงร้องขอในสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตเรา แต่กระนั้นทุกๆครั้งไป
เมื่อเราสามารถตัดสละน้ำใจของเราได้ พระองค์ก็จะทรงประทานพระหรรษทานตอบแทนเราเสมอ ดังนั้นเมื่อเราถูกร้องขอเช่นหญิงหม้ายนี้
เราจงอย่าลังเลเลย เพราะ สิ่งที่เราเสียไป เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เราจะได้กลับคืนมา
นั่นคือ อาณาจักรสวรรค์ อัลเลลูยา อัลเลลูยา
“ข้าแต่ท่านนักบุญแบร์นาโด โตโลเมย ช่วยวิงวอนเทอญ”
หมายเหตุ : แม้ปัจจุบันท่านจะเป็นนักบุญแล้ว
ก็ยังไม่สามารถค้นหาร่างของท่านได้
ข้อมูลอ้างอิง
ข้อมูลอ้างอิง