บุญราศีเซราฟีโน
โมรัซโซเน
Bl. Serafino
Morazzone
ฉลองในวันที่ : 13 เมษายน
สิ้นเสียงการประกาศของพระคาร์ดินัล
อันเยโล อามาโต เจ้ากระทรวงเพื่อกการแต่งตั้งเป็นนักบุญจบลง
ตามด้วยเสียงปรบมือจากบรรดาผู้ร่วมพิธีทั้งหลาย ท่ามกลางประจักษ์พยานมากมายหน้าลานของอาสนาวิหารซานตา
มารีอา มาสเชนเต อาสนวิหารอันงดงามประจำเมืองมิลาน ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ.2011 ผ้าคลุมสีขาวขุ่นที่ถูกแขวนไว้ที่มุขของอาสนวิหารก็ค่อยๆถูกดึงลงอย่างช้า
คลอไปด้วยทำนองเพลงออร์แกนที่บ่งบอกถึงความยินดี
จนค่อยๆเผยให้เห็นภาพของบุญราศีใหม่สามองค์ที่ได้รับการแต่งตั้งในวันนี้ที่ประกอบด้วยภาพพระสงฆ์ท่านหนึ่งมีกริยาน่าเคารพกำลังโน้มศีรษะลงเบื้องหน้าไม้กางเขน
พร้อมดวงตาจับจ้องไปยังพระมหาไถ่ผู้ถูกตรึงกางเขน ณ กัลวาลีโอ ซึ่งดูแตกต่างจากภาพอีกสองภาพที่เหลืออยู่ข้างๆ
ด้วยเป็นภาพเขียนเพียงภาพเดียว ในหมู่ภาพทั้งสามในวันนี้
ชวนให้คิดว่าพระสงฆ์ผู้คือใครกัน ถึงได้มีบุญได้เป็นบุญราศีเช่นนี้
และคำตอบก็เผยว่าภาพนั้นคือ “บุญราศีเซฟารีโน
โมรัซโซเน” พระสงฆ์ประจำเขตวัดธรรมดาๆ
ผู้เจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ และสิ้นใจเกือบๆ 200 ปี ที่แล้ว
ชีวิตใหม่อีกหนึ่งชีวิตเริ่มขึ้นในครอบครัวที่จัดได้อีกว่ายากจนและยังมีขนาดใหญ่
“ฟรังเชสโก” หัวหน้าครอบครัวนี้มีเงินเลี้ยงชีพและครอบครัวจากธุรกิจขายเมล็ดพืชเล็กๆ
พวกเขาอาศัยในอพาร์ทเมนเล็กๆ ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1747 เมื่อเซฟารีโนถือกำเนิดขึ้น เราไม่อาจล่วงรู้ถึงชีวิตนับจากนั้นต่อไปของทารกเซฟารีโนนี้เท่าไรนัก
เราทราบแต่เพียงว่าตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็ปรารถนาจะเป็นพระสงฆ์มาตลอด
แต่ก็ติดปัญหาด้านการเงินที่จะใช้สำหรับเป็นค่าเล่าเรียน
แต่เหมือนพระทรงจัดเพราะคณะเยซูอิตได้ยื่นมือช่วยเหลือท่านด้วยการออกค่าใช้จ่ายให้ในโรงเรียนเบรรา
หลังจากนั้นท่านจึงได้รับบเสื้อหล่อ , ศีลโกน
,ศีลน้อยครั้งแรก ขณะอายุ 13 , 14 และ 16
ปี ตามลำดับ ก่อนในวัย 18 ปี เพื่อหาเงินค่าเรียนท่านจึงไปทำงานเป็นผู้ช่วยพิธีกรรมในอาสนวิหารและได้ค่าเหนื่อยเดือนละ
10 ลีร์
โดยท่านจะไปทำงานนี้ในช่วงเช้าก่อนในช่วงบ่ายท่านจึงจะเข้าเรียนเทววิทยาต่อไป
ท่านปฏิบัติเช่นนี้อยู่แปดปีด้วยความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา สุภาพและรอยยิ้มได้
และในวัย 24 ปี ท่านจึงได้รับศีลน้อยครั้งที่สอง
และถูกส่งไปช่วยงานที่คิวโซ เขตวัดเล็กๆที่มีประชากร 185 คนในเวลานั้น ชุมชนที่ไร้ซึ่งความมักใหญ่ เป็นระยะเวลาสองปี
ซึ่งท่านก็ทำได้อย่างดี แต่กระนั้นท่านก็ยังคงไม่ได้เป็นพระสงฆ์
ดังนั้นท่านจึงได้รับการบวชเป็นสังฆานุกร
และในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1773 ท่านจึงได้รับบวชเป็นพระสงฆ์ในวัดซานตา มารีอา
ใน ซาตีโร หลังจากนั้นในวัดถัดมาท่านก็เลือกไปประจำยังคิวโซและประจำอยู่ที่นั่นจนท่านสิ้นใจ
แม้ว่าท่านจะมีทางเลืองมากมายที่หากเลือกจะเต็มไปด้วยเกียรติยศ
แต่ท่านก็เลือกที่จะเป็น “ผู้บำบัดวิญญาณที่ดีของคิวโซ” ไปเสมอมิเปลี่ยนแปลง และ ณ
ที่นี้เองสัตบุรุษต่างได้ประจักษ์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนี้
ไม่ว่าจะเป็นการที่ท่านคุกเข่าเป็นเวลานานๆในวัด
หรือการไม่เคยเหนื่อยที่จะเปิดบ้านของพระรับบรรดาผู้เป็นทุกข์ถึงบาปผิดได้เข้ามารับศีลแห่งความเมตตา
ในห้องแก้บาป ซึ่งมีมาทั้งจากเลกโกและเมืองใกล้ๆ
ดั่งเช่นที่อารส์
ผู้คนต่างหลั่งไหลมาแก้บาปกับท่านที่พวกเราต่างเรียกว่า “บุญราศีเซราฟีโน” แต่ท่านกลับมิหลงใหลไปกับคำเยินยอนี้
ตรงข้ามท่านกลับถือว่าท่านเป็นเพียงคนบาปผู้น่าสงสารผู้ต้องการพระเมตตาจากพระเจ้าและคำภาวนาจากคนอื่นๆ
ท่านไม่เคยสังเกตว่าหลายๆครั้งท่านได้ก่ออัศจรรย์
เพราะท่านยุ่งไปกับการพยายามที่จะไม่ละเลยลูกวัดทุกคน เพียงแค่บอกว่าป่วยเท่าแหละ
ท่านก็จะรีบไปเยี่ยมเขาในตอนเย็นไม่ก็ตอนกลางคืน หากท่านทำไม่ในตอนกลางวัน
ไปๆมาๆอย่างนี้ทุกๆวันจนกว่าเขาจะหายไม่ก็สิ้นใจในศีลในพรไปเลย
ไม่เพียงแต่นำความบรรเทาฝ่ายจิตเท่านั้น
ท่านยังนำความบรรเทาฝ่ายกายไปมอบให้บุคคลเหล่านั้น ไม่ว่าคนป่วยหรือคนยากไร้
อาทิคราวหนึ่งท่านก็ได้ยกฟูกนอนของท่านให้แก่คนยากจนคนหนึ่งไป
แล้วท่านก็หันมานอนบนพื้นไม้กระดานไปตลอดชีวิตแทน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ท่านปฏิบัติจนชินตาชนิดไม่เห็นว่าเป็นกิจการเมตตาอันใด
นอกจานี้ท่านยังได้ก่อตั้งโรงเรียนประถมฟรีขึ้นสำหรับเด็กๆในหมู่บ้าน
เพื่อจะให้เด็กๆได้มีความรู้ทั้งในการอ่าน เขียน นับ นอกเหนือจากการเรียนคำสอน
ภายหลังจากการอุทิศชีวิตเพื่อให้ลูกวัดทุกคนมีใจศรัทธาและรักศีลมหาสนิท
ตลอด 49 ปี ไม่ไปไหน ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ.1822 ร่างของท่านถูกฝัง ณ วัดนักบุญยอห์น
ที่ท่านเป็นเจ้าวัดตลอดชีวิตของท่าน กระบวนของท่านเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1864 แต่ก็ต้องหยุดชะงัก กระทั้งที่สุดบุญราศีพระคาร์ดินัล อิลเดฟอนโซ
ได้เริ่มกระบวนการอีกครั้งในปี ค.ศ.1951 และหลังจากมีการรับรองอัศจรรย์ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ.2011 ท่านก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศี
“ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน
ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย”(ยอห์น 13:14) พระวรสารข้อนี้เป็นอีกข้อเช่นกันที่เรียกให้เรารับใช้เพื่อนมนุษย์ของเรา
เพราะขนาดพระเยซูเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างเรามา ยังทรงลดพระองค์ลงมาทำงานที่ต่ำที่สุดนั่นคือ
‘การล้างเท้าให้บรรดาศิษย์’ แล้วเราละเป็นใครกัน ทำไมถึงไม่ควรถ่อมตนรับใช้ผู้อื่นละ
ในเมื่อผู้สร้างเรายังทรงทำเช่นนี้ได้ ลูกน้อยไม่ควรจะปฏิบัติตามสิ่งที่บิดามารดาทำงั้นหรือ
คริสตชนไม่ควรเป็นภาพสะท้อนของพระคริสตเจ้างั้นหรือ เรื่องราวสั้นๆของคุณพ่อเซราฟีโนกำลังบอกเราเช่นเดียวกับข้อพระวรสารนี้
ตลอดชีวิตในฐานะพระสงฆ์เจ้าวัด
ท่านได้อุทิศตนรับใช้สัตบุรุษทุกคนทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต ท่านเรียกร้องให้พวกเราในฐานะคริสตชนไม่ว่าสถานะไหน
อายุเท่าใด เป็น ‘ธรรมทูตแห่งความเมตตา’ ที่จะนำพระคริสตเจ้าไปสู่คนรอบข้างผ่านการลดอัตตาของเราลง
เพื่อรับใช้ในสิ่งที่คนอื่นต้องการ เพื่อที่ว่าเราจะได้สมกับหน้าที่ ‘ประกาศก’ ตามที่เราได้รับแล้ว
เมื่อครั้งได้รับศีลล้างบาป อัลเลลูยา อัลเลลูยา
“ท่านเป็นคนศรัทธาทั้งในความคิดของท่าน
คำพูดของท่าน ในผลงานทั้งหมดของท่านด้วย
ความรักอย่างแรงกล้าของพระเจ้าและมนุษย์ประจักษ์ในตัวท่าน
การอภิบาลตามหน้าที่ของท่านและความนึกคิดในการอภิบาลของท่านเป็นอะไรที่ดีที่สุด”
คำกล่าวของหนึ่งในผู้เคยแก้บาปกับท่าน อเลสซานโดร
มันโซนี นักเขียน กวี และนักเขียนบทละคร ชาวอิตาลี
“ข้าแต่ท่านบุญราศีเซฟารีโน โมรัซโซเน
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง