วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หนอนตัวน้อยของพระมหาไถ่ "แบลนดีน"


บุญราศีแบลนดีน เมร์เทน
Bl. Blandine Merten
ฉลองในวันที่ : 18 พฤษภาคม

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมในปีที่ผ่านมา นับเป็นวันแห่งความยินดีของชาวอุร์สุลินทุกคนในไทย เพราะเป็นวโรกาสครบรอบ 90 ปี ที่มิชชันารีอุร์สุลินสี่ท่านแรกได้เดินทางมาสู่สยามประเทศ พร้อมด้วยจิตตารมณ์แห่งการรับใช้ เริ่มจากโรงเรียนกุหลาบวัฒนา สู่โรงเรียนมาร์แตร์ เดอี โรงเรียนเรยีนา เชลี โรงเรียนวาสุเทวี และโรงเรียนปิยมาตย์ ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากหยิบยกเรื่องราวของข้ารับใช้พระเจ้าจากคณะคนหนึ่ง ที่ได้เจริญชีวิตเพียงสั้นๆในโลกคือ 35 ปี มาเล่าให้ทุกคนฟัง เรื่องราวสั้นๆของ แบลนดีน เมร์เทน

มารีอา มักดาเลนา เมร์เทน เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ค..1883 ในมณฑลไรน์ อาณาจักรปรัสเซีย หรือในปัจจุบันคือหมู่บ้านดุพเพนไวเลร์ รัฐซาร์ลันด์ ประเทศเยอรมัน ท่านเป็นลูกคนที่เก้าจากสิบเอ็ดคนของครอบครัวเกษตรกรใจศรัทธาที่มีหัวหน้าครอบครัวคือนายยอห์น ซึ่งสมรสกับนางแคทเทรีน วินเทร์ ซึ่งอาศัยการดำเนินชีวิตและแบบอย่าง ทั้งสองได้ช่วยกันเตรียมธิดาน้อยของพวกเขา ให้มีชีวิตบนฐานของความเชื่ออย่างมั่นคง และทีละนิดท่านก็ค่อยๆเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ทั้งสองช่วยกันอบรม ไม่ว่าจะเป็นการสวดเช้าเย็นพร้อมครอบครัว การสวดสายประคำในระหว่างเทศกาลเตรียมรับเสด็จและมหาพรต การไปร่วมมิสซาในทุกเช้า การไปเฝ้าศีลบ่อยๆและการให้ทานคนยากไร้


จวบจนวัยล่วงได้ 6 ปี ท่านก็เข้าโรงเรียนประถมท้องถิ่น และเป็นที่นั่นที่คุณธรรมของท่านเริ่มฉายแสงออกมา ท่านเป็นเด็กขยันและมีน้ำใจ แถมยังเป็นที่รักของเพื่อนๆและคุณครูเพราะเป็นคนเงียบๆและรักทุกคน ท่านได้รับศีลกำลังในปี ค..1896 ที่ไรมซ์บาก และได้สร้างความประหลาดใจให้แก่พระสังฆราชที่ได้ทดสอบความรู้เรื่องคำสอน ด้วยท่านสามารถตอบคำถามเรื่องคำสอนได้อย่างรวดเร็ว แถมแม่นยำอีกด้วย หลังจากนั้นเมื่อท่านเรียนจบระดับชั้นประถมแล้ว คุณพ่อเจ้าวัดก็แนะนำให้ครอบครัวท่านส่งเสียท่านเรียนต่อ ด้วยคุณพ่อเห็นแววในตัวท่าน

ฉะนั้นท่านจึงได้เข้ารับการศึกษาต่อในวิทยาลัยครู มาเรียเนา สถาบันการศึกษาเอกชนที่ได้รับความนิยมในเวลานั้น เป็นระยะเวลาตั้งแต่เมษายน ค..1899 ถึงกันยายน ค..1902 และแน่นอนการมาเรียนที่นี่ก็ทำให้ท่านสูญเสียชีวิตครอบครัวไป แต่กระนั้นมันก็ถูกแทนที่ด้วยความสุข ที่ท่านสัมผัสได้จากการได้อาศัย ใต้อยู่ชายคาเดียวกันกับพระเยซูเจ้า ซึ่งท่านพยายามเปลี่ยนเป็นหนึ่งในสหายของท่าน บางครั้งก่อนเข้าเรียน ท่านก็มักพูดว่า ขอไปวัดน้อยแปบนะ


นอกจากนั้นท่านยังแตกต่างจากเด็กคนอื่นที่พอเจอเนื้อหายากๆก็พากันหมดความอดทน พลางบ่นอุบอิบถึงอาจารย์ เพราะแม้จะยากแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยหมดความอดทนและไม่เคยบ่นถึงอาจารย์เลยซักครั้ง จนหลายๆคนต่างเรียกท่านว่า ทูตสวรรค์ จากทั้งความศรัทธา ความอ่อนโยน ความมีเมตตา ความพอประมาณ และการรับใช้ที่สมบูรณ์แบบของท่าน และแม้จะต้องผ่านการจากไปของบิดามารดาของท่านในเวลาไล่เลี่ยกัน ท่านก็สามารถดึงพลังออกมาก้าวต่อไปในการเรียนได้ กระทั้งท่านจบการศึกษาและได้วุฒิเป็นครูในที่สุด

ซึ่งทันทีท่านก็ได้งานเป็นครูที่โรงเรียนหญิงล้วนที่โอบาร์ทัล ก่อนจะย้ายไปเป็นครูในโรงเรียนคริสตังในชนบทที่มอร์สชายด์ ซึ่งครั้งแรกท่านพักอยู่ในฟาร์มเก่าๆอันหนึ่ง แล้วจึงค่อยย้ายเข้าไปอยู่ในห้องใต้หลังคาที่ทั้งชื้นแฉะและเล็กของอาคารเรียน เพื่อมาทำงานในฐานะแม่บ้านไปด้วย เวลาเดียวกันท่านก็คอยช่วยเย็บชุดชั้นในและเสื้อผ้าของบรรดาผู้ยากไร้ และในฐานะครู บรรดานักเรียนและผู้ปกครองของเด็กๆต่างจำท่านได้อย่างแม่นยำ ก็เพราะนิสัยอันอ่อนหวาน ไม่โกหก ไม่จองหอง ไม่ชอบร่วมสนุกตามประสาโลก ความศรัทธาต่อมิสซา การไปรับศีลทุกวัน และสุดท้ายความชำนาญในด้านการสอนของท่าน


แต่แม้ว่าท่านจะขยันขันแข็งทำงานมากแค่ไหน ด้วยความถ่อมตนหลายๆครั้งท่านก็คิดว่ามันยังไม่มากพอ และอาศัยผู้ตรวจการณ์จอมจุกจิกจูจี้ ท่านก็พบความยินดีอย่างมากมายในการทำงาน เพราะมันทำให้ท่านมุ่งมั่นยิ่งขึ้น ท่านสอนอยู่ที่มอร์สชายด์เป็นระยะเวลาห้าปี ก่อนในวันที่ 1 กรกฎาคม ค..1907 ท่านจึงถูกย้ายไปสอนที่กรอสรอสเซน และสอนอยู่เป็นระยะเวลาเพียงเก้าเดือน ท่านก็ตัดสินใจละทิ้งอาชีพของท่าน เพื่อสมัครเข้าคณะอุร์สุลิน ที่ อารามคัลวาเรียนแบร์ก เมืองอาฮร์ไวลาร์ เพราะทางคณะมีการดำเนินชีวิตทำงานร่วมกับชีวิตรำพึงภาวนา

เมื่อทุกคนทราบความปรารถนานี้ของท่านก็ไม่มีใครแปลกใจเลย ดังนั้นด้วยเหตุนี้ในวันที่ 22 เมษายน ค..1908 ในวัย 25 ปี ท่านจึงได้สมัครเข้าคณะอุร์สุลิน และได้รับชุดคณะพร้อมนามใหม่ว่า ซิสเตอร์แบลนดิน แห่ง พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ในอีกหกเดือนถัดมา ซึ่งในไม่ช้าท่ามกลางบรรดานวกะคนอื่นๆ ท่านก็โดดเด่นออกมาในฐานะ ต้นแบบชนิดรองนวกจารย์ถึงขนาดพยายามจะหาข้อตำหนิท่านให้ได้ และเมื่อสบโอกาสที่ท่านทำอะไรบางสิ่งพลาด ซิสเตอร์ผู้นั้นก็รีบพูดกับท่านว่า หยุดประจบแล้วหรอ


แต่กระนั้นท่านก็ไม่เคยท้อที่จะสุภาพ ตรงต่อเวลา นบนอบ ขยัน และรักทุกคนเหมือนพี่เหมือนน้อง ดังนั้นเมื่อโดนเช่นนี้สิ่งที่ท่านเลือกก็คือการเงียบ ไม่ตอบโต้อะไร ซึ่งก็ยิ่งทำให้ทุกคนประทับใจในตัวท่าน  นอกจากนั้นเมื่อมีงานอาสาต่างๆ ท่านก็มักเป็นคนแรกที่สมัครใจไปเสมอ จนจบการเป็นนวกะ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค..1910 ท่านก็เข้าพิธีปฏิญาณตน และถูกส่งไปสอนที่โรงเรียนของคณะในซาร์บรึคเคิน แต่สอนได้ไม่นานท่านก็ป่วยเป็นหวัดหนัก จากการที่ต้องไปนั่งใกล้หน้าต่างที่เปิดไว้ระหว่างการประชุมคณะครู อันส่งผลให้เสียงของท่านที่เคยชัดเจน กลายเป็นแหบและต่ำไปตลอดชีวิต

จากแค่หวัด ไม่นานท่านก็เริ่มติดเชื่อวัณโรค แพทย์จึงแนะนำอารามให้ย้ายท่านไปพักที่อื่นที่อากาศดีกว่านี้ ดังนั้นคุณแม่อธิการจึงตัดสินใจย้ายท่านไปบ้านของคณะชื่อบ้านนักบุญบันตุส ที่เทรียร์ และได้เข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีวิต ณ ที่นั่น ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค..1913 พร้อมตัดสินใจถวายตนเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปของโลกต่อพระมหาไถ่เจ้า ด้วยความมั่นใจว่าคำภาวนานี้พระองค์จะทรงตอบรับเป็นแน่


ที่บ้านหลังใหม่ ท่านก็มีหน้าที่ทั้งคนดูแลการศึกษาของนักเรียนประจำ และซิสเตอร์ ร่วมกับแม่บ้านที่จะคอยตรวจตรากลุ่มต่างๆของเด็กสาว หรือตีระฆังเมื่อถึงเวลารำพึง หรือทำอย่างอื่นที่มีความสำคัญรองลงมา อาทิเช่น การเตรียมหมึกสำหรับทั้งชั้นเรียนและสำหรับการจำหน่าย การปัดฝุ่นเปียโนทั้งหมดที่กระจายอยู่ตามอาคารต่างๆหลังมิสซา การดูแลแขกและการแก้ปัญหาต่างๆเฉพาะหน้า

ดิฉันมีความอ่อนไหวง่ายต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเกียรติของดิฉัน และก็ยังมักมีความยากลำบากสำหรับชีวิตหมู่คณะเสมอ  ซึ่งนับเป็นสัญญาณอันน่าเศร้าที่สำแดงว่าความหยิ่งจองหองและความเห็นแก่ตัวยังคงดำรงอยู่และมีอำนาจในตัวของดิฉันทุกวันดิฉันจึงวอนขอต่อดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อพระหรรษทานความช่วยเหลือและพระหรรษทานการถูกดูหมิ่นจำนวนมากซึ่งจะทำให้ธรรมชาติของดิฉันเรียนรู้ที่ตั้งใจไม่ใช่เพื่อการตอบโต้กลับ แต่เพื่อชื่นชมยินดี ในการทำลายพวกมันเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า  สำหรับท่านแล้ว พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้าก็คือ หนังสือที่ดีที่สุดสำหรับการรำพึง การให้คำปรึกษาอันชาญฉลาดและเปี่ยมไปด้วยความรัก การปลอบประโลมและการบรรเทาใจที่ทรงพลังที่สุด


ซิสเตอร์ท่านหนึ่งให้ยืนยันถึงชีวิตข้ารับใช้พระเจ้าว่า ทั้งในคำพูด การกระทำและนิสัยของเธอแสดงออกถึงความถ่อมตน เรียบง่าย จริงใจ ดิฉันไม่เคยเห็นเธอไม่ทำงาน เธอเป็นคนรักสันโดษและความเป็นส่วนตัว เธอไม่เคยระบายกับใครและก็ไม่ได้หายไปจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ ในวันที่ 7 มีนาคม ค..1915 ท่านก็ตัดสินใจที่จะปืนขึ้นสู่ภูเขาแห่งความครบครัน ท่านบันทึกในวันนี้ว่า ดิฉันปรารถนารื้อฟื้นการอุทิศตนและไม่ขอทำตามน้ำใจตนเอง หลังจากนั้นในปีเดียวกันเพียงไม่กี่เดือนท่านก็เขียนข้อตั้งใจของท่านดังนี้
1.ต้องทำลายอย่างต่อเนื่อง
2.เป็นผู้รับใช้ในทุกสิ่งเพื่อความรักของพระมหาไถ่
3.ต้องลืมตัวเองและชื่นชมยินดี และโมทนาคุณพระเจ้า
ท่านยังระบุในบันทึกลงวันที่ 5 กันยายน ปีเดียวกันนั้นอีกว่า ทุกๆวันดิฉันปรารถนาที่จะขุดและจมลงและสูญเสียตนเองในก้นบึ้งของความรักและพระญาณสอดส่องของพระเจ้า จนกว่าดิฉันจะตายต่อตนเองพร้อมชุบตัวลงในพระเจ้าเพียงอย่างเดียว

ท่านยังคงที่ที่บ้านนักบุญบันตุสกระทั้งฤดูใบไม้ร่วง ปี ค..1916 ขณะบรรดาใบไม้กำลังเปลี่ยนสีและร่วงโรยต้อนรับหน้าหนาว ท่านก็ล้มป่วยหนักลงด้วยวัณโรค จนต้องถูกส่งไปพักรักษาตัวที่มาเรียนเฮาส์ อันเป็นบ้านสำหรับซิสเตอร์ที่ป่วย ทันทีที่ท่านมาถึงและได้เห็นห้องที่ท่านจะต้องนอนซมอยู่ไปตลอด ท่านก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความยินดีว่า พระมหาไถ่และดิฉัน  เพราะที่นั่นห้องที่ท่านได้ติดกับวัดน้อยของบ้านตรงจุดของนักขับ ซึ่งมีเพียงแค่ผนังที่กั้นท่านกับพระองค์ไว้เท่านั้น


นับจากนั้นตลอดชีวิตท่านที่เหลือ ณ บ้านหลังนี้ ท่านก็มิเคย ตระหนักถึงความร้ายแรงหรือผลของวัณโรคที่ท่านเป็นเลยซักครั้ง ตรงกันข้ามท่านกลับสวดภาวนา รำพึง และสอนทุกคนที่มาหาด้วยตัวอย่างการน้อมรับน้ำพระทัยของพระเสมอ แม้ในเหตุการณ์ที่มีการโจมตีทางอากาศจนท่านต้องไปหลบพร้อมซิสเตอร์ในห้องใต้ดินก็ตามที และอาศัยการได้คุยกับคุณพ่อแก้บาป คุณพ่อนิโกลา บาเรส อนาคตพระสังฆราชแห่งเบอร์ลิน ท่านก็ได้พบการปลอบประโลมใจ

นอกจากนี้แล้วระหว่างป่วยนั้นท่านก็ได้เขียนจดหมายถึงน้องสาวที่ท่านใกล้ชิดมากที่สุด อันเป็นผลมาจากการรำพึงและความเชื่อ ท่านเขียนว่า พี่จะขอบพระคุณพระองค์อย่างสุดใจสำหรับความทุกข์ยากและความเจ็บปวดที่พระองค์ทรงโรยไว้ตามทางของชีวิตพี่บนโลกนี้ได้อย่างไรดี! เป็นความทุกข์ยากเองที่ได้แยกน้องจากสิ่งทั้งปวงอันเป็นเพียงสิ่งสร้างและคุลีดิน พร้อมทั้งได้ยกและเพิ่มพูนชีวิตจิต และนอกจากนั้นก็เป็นความทุกข์ยากเองที่เป็นโรงเรียนที่ดีสุดขององค์ความรักอีกด้วย ความตายจะช่างหวานฉ่ำเพียงใดเมื่อยามน้องอยู่บนโลกน้องได้มอบความรักต่อพระองค์ผู้ภายหลังจะทรงพิพากษาเราเพียงคนเดียว


และในวัน 22 ธันวาคม ค..1917 ท่านก็เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายถึงซิสเตอร์แบลนดา น้องสาวของท่านเพื่ออำลาว่า สามอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่ถามคุณหมอว่าเวลาที่พี่อดทนจะมาหรือยัง เขาบอกว่าไม่เกินเมษานี้ ดังนั้นตอนนี้เรามาขับไล่ความเงียบและคำกล่าวโทษต่อภาระอันทุกข์ยากของพระองค์ผู้ทรงอยู่ในรางหญ้าในฐานะพระกุมารและมาขอบพระคุณพระองค์อย่างสุดใจพร้อมกับพี่กัน สำหรับการที่พระองค์ทรงได้รักษาและดูแลหนอนตัวน้อยของโลกนี้ไว้เป็นเวลานานแสนนาน และสำหรับการที่พระองค์ทรงให้เวลาสดับฟังพี่ด้วยความคุ้นเคย

ที่ละนิด ละนิด ที่ชีวิตของท่านใกล้จะดับดั่งแสงเทียนที่ริบหรี่ ความทรมานจากวัณโรคก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่กระนั้นท่านก็ไม่เคยบ่นหรือเรียกร้องขอสิ่งต่างๆ ท่านทำเพียงแต่ถอนหายใจพลางกล่าวว่า ลูกเป็นลูกแกะบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ทรงเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเครื่องบูชายัญ ลูกถวายตนทั้งครบแด่พระองค์ ลูกยินดีต่อทุกสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์ ในเวลาแห่งความทุกข์ยากและความอ่อนแอนี้ลูกได้พบวิธีอันหอมหวานที่จะสรรเสริญความรักไปนิรันดร์ และท่านยังอุทานอีกว่า ลูกอยากจะเป็นเจ้าสาวผู้กล้าหาญเพื่อพระมหาไถ่ของลูก


ดิฉันกำลังเตรียมตัวเพื่อการพบกันครั้งแรกระหว่างดิฉันกับพระมหาไถ่ เวลาแห่งความสุขสุดพรรณนากำลังจะมาถึง ซึ่งดิฉันได้เตรียมพร้อมแล้วด้วยความยินดีและความปรารถนา ดิฉันกำลังจะขึ้นกัลวาลีโอของดิฉันด้วยวิญญาณที่อุทิศถวายและเข้มแข็งซึ่งเป็นหน้าที่ของอุร์สุลินทุกคน และหน้าที่ของเจ้าสาวของพระองค์ผู้ถูกตรึงกางเขน ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค..1918 ในระหว่างการตื่นเฝ้าวันสมโภชพระจิตเจ้า ภายหลังจากจูบไม้กางเขนและกระซิบพระนามพระเยซูเจ้าสามครั้งแล้ว ด้วยอายุ 35 ปี ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ

อันนับเป็นการจบเจริญชีวิตบนความ ถ่อมตน และความรักต่อทั้งพระเจ้าและพี่น้อง ในความเงียบ ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ เป็นเพียงชีวิตเล็กๆในคณะ แต่ทุกคนก็ประจักษ์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตนี้อย่างมิต้องสงสัย จนที่สุดคำขอของพวกเขาก็ประสพผล เมื่อมีการเปิดกระบวนการณ์ขอแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศี จนที่สุดในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค..1987 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงยกดอกไม้น้อยนี้ไว้ในฐานะบุญราศี อันนับเป็นขั้นต่อไปของการเป็นนักบุญ

ผู้ที่มีมโนธรรมไม่ติเตียนย่อมเป็นสุข ผู้ที่ไม่สิ้นหวังก็ย่อมเป็นสุขเช่นเดียวกัน(บุตรสิรา 14:2) ตามความคิดของผม ผมคิดว่าเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขตามแบบฉบับของบุญราศีแบลนดีน ก็คือการไม่ติเตียนพระว่าทำอย่างนี้กับตัวท่านได้อย่างไร แต่ตรงข้ามตัวท่านกลับเลือกที่จะน้อมรับว่ามันเป็นน้ำพระทัยของพระ ทำให้ท่านเจริญชีวิตได้อย่างไม่สิ้นหวัง เพราะท่านรู้แน่ว่าสิ่งนี้เทียบไม่ได้เลยกับบำเหน็จที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ท่านแล้วในสวรรค์ ดังนั้นในเวลานี้ชีวิตของท่านจึงเรียกร้องให้เราเลิกติเตียนพระ ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แล้วหันมาก้มศีรษะลงแล้วตอบเหมือนบทคั้นในบทอ่านมิสซาว่า ข้าพเจ้าพร้อมแล้วพระเจ้าข้า ข้าพเจ้ายินดีทำตามน้ำพระทัย พร้อมโมทนาพระคุณพระองค์ เพราะความทุกข์ก็เหมือนความมืดของกลางคืน หากเรามัวแต่ลนลาน(บ่นว่าต่างๆนานา)เราก็จะไม่พบอะไรนอกจากความมืด แต่หากเราเพียงหยุดนิ่งแล้วค่อยๆคิด เราก็จะค่อยๆเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันจนกระทั้งแสงแรกแห่งวันฉายขึ้นมาได้อย่างมีความสุข อัลเลลูยา อัลเลลูยา


สวรรค์ของท่าน

ทุกๆอย่างเป็นสวรรค์ของดิฉัน…”
สวรรค์ของดิฉันก็คือน้ำพระทัยของพระเจ้า ดิฉันหายไปในพระองค์ ดิฉันลืมตนเอง ทั้งของทุกสิ่ง สิ่งมีชีวิตทุกอย่างและเหตุการณ์ทั้งหลายสิ้น เพื่อสนทนากับพระองค์ตามลำพัง และสำหรับดิฉันแล้ว ไม่มีอะไรจะสูงค่า หรืองดงาม หรือน่ารัก หรือดีเลิศไปกว่าพระองค์เพียงผู้เดียวทั้งในชั้นฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

เคล็ดลับการดำรงอยู่ในความรักของท่าน

ประสงค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
และปรารถนาให้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ทรงสำเร็จไป
อาศัยตัวของดิฉันและทุกอย่างที่เกี่ยวกับดิฉันค่ะ

ข้อเขียนบางตอนของท่าน

ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา
พวกเราสามารถดำรงอยู่ในความรักแท้จริงได้อย่างไร มันก็ด้วยความสุภาพ และการอยู่อย่างซ่อนเล้นนั่นเอง
แล้วดิฉันจะล้มหรือเมื่อดิฉันวางใจในพระองค์
ในเมื่อองค์พระเยซูเจ้า ทรงทำให้ดิฉันระมัดระวังตัวเมื่อเห็นอย่างน้อยสัญญาณของเจ้า
ข้าพระเยซูเจ้า ลูกปรารถนาจะให้ตัวของลูกแก่พระองค์ และยกตัวลูกนี้เองถวายแด่พระองค์
ข้าแต่พระเยซูเจ้า ในรางหญ้า พระองค์ช่างดูแบเบาะและตัวเล็ก ฉะนั้นพวกลูกจึงวางใจในพระองค์และตอบรับความรักของพระองค์
พระองค์ทรงบอกลูกว่า จงมาหาเราและมอบปัญหา ความหวาดกลัวและความเจ็บปวดของลูกไว้กับเรา แล้ววางศีรษะที่เหนื่อยหล้าของลูกไว้ในหัตถ์ของเราเถิด
พระบิดาเจ้าไม่ได้ประสงค์ความยิ่งใหญ่และกิจการอันยอดเยี่ยมใดๆ พระองค์เพียงแต่ขอความรักเท่านั้น
ชีวิตของแม่พระเป็นชีวิตที่เรียบง่ายมากๆแต่ก็เป็นรูปแบบชีวิตของผู้ที่แสวงหาพระเจ้า
พระนางรักพระเจ้าไม่เคยหยุดตลอดชีวิต



ข้าแต่ท่านบุญราศีแบลนดีน เมร์เทน ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง



'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหา...