วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มะลิน้อยแห่งแดนภารตะ "มารีอัม เทรเซีย" ตอน 5


นักบุญมารีอัม เทรเซีย
St. Mariam Thresia
ฉลองในวันที่ : 6 มิถุนายน

หลายต่อหลายครั้งพระเป็นเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนของท่าน ดั่งที่เคยกล่าวไปแรกในตอนที่ 1 ดังนั้นหลาย ๆ ครั้งจึงมีคนมาขอให้ท่านช่วยสวดให้เสมอ ซึ่งก็มีพยานมากมายยืนยันถึงผลของคำภาวนาเหล่านี้ ซึ่งเราจะขอยกมาเพียงบางส่วน อาทิเช่น สตรีนางหนึ่งที่แต่งงานมาสิบปี แต่ก็ยังไม่มีลูก เธอจึงตัดสินใจเดินทางมาหาท่านเพื่อขอให้ช่วยสวดให้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเย็น ท่านก็บอกกับเธอว่า เธอจะได้ตามสิ่งที่เธอปรารถนา แต่เธอต้องแสดงความขอบคุณต่อแม่พระด้วยของขวัญหรือบางสิ่งให้พระนาง” ฝั่งสตรีนั้นจึงถามว่าจะให้ทำยังไง ฝั่งท่านก็เลี่ยง ๆ ที่จะตอบ เธอจึงคะยั้นคะยอจนท่านยอมแนะให้ถวายหมวก เธอจึงตัดสินใจจะถวายมงกุฎทองแด่แม่พระ และเพียงไม่นานเธอก็ตัดสินใจถวายกำไลทองคู่หนึ่งของเธอ พร้อมมอบไว้ให้ท่าน แต่เมื่อกลับไป เธอก็ไปรับยาตามคำสั่งแพทย์มากิน ฝั่งท่านที่รู้จึงดุทั้งเธอและบิดา เธอจึงตัดสินใจหยุดกินยานั้น ฉะนั้นฉันจึงหยุดกินยา เพียงไม่นานฉันก็ให้กำเนิดบุตรชาย ตอนนี้เขาเป็นหมอ และอยู่ที่อังกฤษ ครอบครัวเขาจะมาเยี่ยมคารวะหลุมศพของมารีอัม เทรเซียทุกครั้งที่เขากลับบ้าน เธอกล่าวสรุป

พยานอีกคนเล่าว่า สมาชิกห้าคนในครอบครัวของฉันป่วยเป็นโรคไข้รากสาดน้อย และหมอชาวเยอรมันชื่อ ลอง จึงได้เข้ามาดูแลรักษาพวกเรา คนที่น่าห่วงที่สุดก็คือน้องสาวของฉันชื่อมารีอัม เธอมีอาการหนักสุดและคุณหมอบอกว่าเธอไม่รอดแน่ แต่ทางกลับกันกับหมอ ข้ารับใช้พระเจ้าให้ความมั่นใจเราว่าเธอจะรอด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค..1925 น้องสาวของฉันหายจากโรคและมีชีวิตอยู่จนถึงปี ค..1948 ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะการเสนอวิงวอนและคำภาวนาของข้ารับใช้พระเจ้า


ซิสเตอร์มาร์ตีนา เป็นซิสเตอร์ใหม่ วันหนึ่งขณะเธอกำลังเรียนเย็บปักถักร้อย เธอก็มีอาการช็อกและกลายเป็นคนวิกลจริต เธอจึงถูกส่งกลับไปที่ปูเทนชิระ เพื่อพำนักรักษาตัว แต่อาการของเธอก็ไม่ได้มีที่ท่าว่าจะดีขึ้น จนวันหนึ่งเธอก็เข้าอาการตรีทูต แต่เธอปฏิเสธจะแก้บาปและรับศีลเจิมคนไข้ จนเป็นลมหมดสติไป ท่านที่เฝ้ามองเธอก็รู้สลดใจเป็นยิ่งนัก และเมื่อเห็นเธอหมดสติไปเช่นนั้น ท่านก็รีบรุดไปยังวัดน้อยและร้องทูลทั้งน้ำตาต่อพระเจ้าว่า
ลูกไม่อาจช่วยซิสเตอร์คนแรกที่จะตายไปเช่นนี้ได้ และเร่งสวดภาวนาอย่างร้อนรน แทบจะทันที ร่างที่หมดสติไปของซิสเตอร์มาร์ตีนาก็ลืมตาขึ้น พร้อมเปล่งเสียว่า คุณแม่คะ ลูกอยากแก้บาปและรับศีลค่ะ คุณพ่อวิทยาทิลจึงเร่งไปฟังแก้บาปเธอ และได้ส่งศีลให้ พร้อมประกอบพิธีศีลเจิมผู้ป่วย กระทั่งที่สุดแล้ว ซิสเตอร์น้อยจึงได้คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค..1921 ด้วยวิญญาณที่เตรียมพร้อมอย่างดี ซึ่งซิสเตอร์ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นหลายคนก็ได้โจษจันถึงเหตุกาณร์นี้ไปทั่ว จนยิ่งทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านขจรขจายไปมากขึ้น  

หลังจากกล่าวถึงอัศจรรย์และชีวิตท่านไปมากแล้ว ผู้เขียนก็นำท่านกลับมาสู่เหตุการณ์ต่อหลังจากอารามหลังใหม่สำเร็จแล้ว กล่าวคือไม่นานหลังคณะได้อารามหลังใหม่ ก็มีคำร้องขอให้ท่านไปตั้งอารามที่ทุมบูร์ จากเทกเกการะ ปาร๊อกการัน โลนา กุนยุวารีด สัตบุรุษเขตวัดเวลายานัตตู เพราะเป็นบ้านเกิดของเขา โดยเขาได้เสนอจะยกที่ดินให้ท่าน และให้ความช่วยเหลือตลอดระยะเวลาการก่อสร้างอารามหลังนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เขาก็ถูกชาวบ้านบางส่วนต่อต้านความคิดนี้ แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเขาได้ กุนยุวารีดยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะมีอารามที่ทุมบูร์


เขาได้เดินทางไปพบพระสังฆราชพร้อมคุณพ่อวิทยาทิลเพื่อบอกถึงความประสงค์และข้อเสนอของเขา ฝั่งพระสังฆราชเองก็เห็นด้วย ดังนั้นในวันที่
29 พฤศจิกายน ค..1923 พระสังฆราชจึงได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อารามและวัดน้อยหลังใหม่นี้ ก่อนการลงมือก่อสร้างจะเริ่มขึ้นภายใต้ความช่วยเหลือทั้งด้านเงินทองและด้านแรงงาน  จากทั้งนายกุนยวารีดและชาวบ้านบางคนซึ่งเคารพรักท่านในทันที การก่อสร้างดำเนินไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งคือวันที่ 31 มีนาคมอันเป็นเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ (จะเป็นปี ค..1926 หรือไม่ก็ไม่ทราบแน่) ท่านก็บอกกับซิสเตอร์ทุกคน ในระหว่างเวลาตักเตือนว่า จงสวดภาวนาอย่างร้อนรนเพื่อว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในเร็ววัน จงไปที่วัดน้อยตามคำสั่ง แล้วก้มหัวลงช้า ๆ คุกเข่าลงโดยไม่หันซ้ายแลขวา ลูกเขียนคำสั่งของแม่ถูกต้องใช่ไหม

พยานคนหนึ่งเล่าว่า การปรากฏขึ้นของบ้านนักบวชเปลี่ยนท้องถิ่นไปในแนวเคร่งครัดขึ้น นี่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทุมบูร์ ที่นั่น คุณแม่มารีอัม เทรเซียได้รับการต้อนรับ และท่านมีผลต่อชาวบ้านที่นั่น ท่านยังได้ทำให้พวกเขาบางคนกลับใจอีกด้วย ดังที่เล่าไป อาศัยความช่วยเหลือความช่วยเหลือคนละไม้คนละมือ อารามหลังใหม่ก็แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเพียงสองปี และได้รับการเปิดเสกอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 พฤษภาคม ค..1926 โดยมีพระคุณเจ้าวาชาปิลลีเป็นประธานในพิธี


วันนั้นมีโปสตุลันต์หกคนได้รับผ้าคลุมศีรษะ และนวกะเณรีเจ็ดคนได้รับเครื่องแบบคณะ ในวันนั้นท่านนั้นได้ร่วมคุกเข่าในระหว่างพิธีอยู่บริเวณพระแท่น ในท่ามกลางผู้คนมากมายต่างพากันมาร่วมพิธี จนวัดน้อยแออัดไปทุกบริเวณ และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด จู่ ๆ ราวบันไดใหม่ก็ล้มลงใส่ขาของท่าน จนเป็นแผลลึกสร้างทุกขเวทนาแก่ท่านเป็นยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้มีการนำท่านส่งโรงพยาบาลแต่อย่างใด และในบ่ายวันเดียวกันนั้น 
พระคุณเจ้าวาชาปิลลีก็ได้ปรึกษาหารือกับคุณพ่อวิทยาทิล ในเรื่องการแต่งตั้งอธิการและรองอธิการประจำอารามทั้งสอง ซึ่งผลก็ปรากฏว่าซิสเตอร์อลิซได้รับเลือกให้เป็นอธิการอารามกุสิกกัตตุสเสรี ซิสเตอร์อัลแบร์ตาได้รับเลือกเป็นอธิการอารามทุมบูร์ ส่วนท่านในวัย 49 ปี ก็ได้รับเลือกให้เป็นนวกจารย์ของคณะ เพราะเวลานั้นคณะยังมิได้ใหญ่พอที่จะมีคุณแม่มหาธิการิณี

การแต่งตั้งท่านเป็นนวกจารย์เป็นเหตุการณ์ที่นำความยินมาให้แก่บรรดานวกะเณรีทั้งหลาย ซิสเตอร์ซูซานา หนึ่งในนวกะเณรีในขณะนั้น เขียนว่า เมื่อคุณแม่กลายมาเป็นนวกจารย์ของพวกเรา ความสุขของพวกเราก็ยากเกินจะบรรยายได้ วันนั้นท่านมาเล่นกับเราในช่วงสันทนาการ รุ่งขึ้นเมื่อพวกเราต้องออกเดินทางไปบ้านศึกษาที่ทริชชูร์ ท่านได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรา และมาส่งเราจนถึงประตูโรงเรียน ดังนั้นเองท่านจึงแสดงให้เราเห็นว่าท่านรักพวกเรามาก ๆ  นวกะทุกคนมีความสุข โดยที่ไม่อาจรู้เลยว่าความสุขนั้นจะอยู่กับพวกเธอเพียงไม่นาน และกำลังจะหายไป


ขอย้อนกลับในเย็นวันเดียวกันกับที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นวกจารย์ของคณะ ท่านก็แสดงความขอบพระคุณผู้แทนแขวง ฯพณฯ มัทธิว เอดากาลาทูร์ และคุณพ่อวิทยาทิล ก่อนท่านจะวางมือของท่านบนมือของทั้งสอง พร้อมกล่าวกับทั้งสองเป็นนัย ๆ ว่า คุณพ่อคะ ฝากดูแลลูก ๆ ของลูกให้ดีด้วยนะคะ ซึ่งสร้างความฉงนสนเท่ห์แก่บรรดานวกะที่ได้ยิน เพราะท่านก็ยังไม่ได้มีอายุมากเสียหน่อย ท่านจะตายไปตอนนี้ได้อย่างไรกัน แต่น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นเกินกว่าความคิดของมนุษย์ ดังที่พระเยซูเจ้าทรงเคยตรัสสอนไว้ ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระชนม์

วันหนึ่งที่อารามทุมบูร์ หลังจากเสกอารามได้ไม่กี่วัน ท่านที่มีอาการขาบวมขึ้นจากอุบัติเหตุในวันเปิดเสกอาราม ก็เรียกซิสเตอร์เมทิลดาให้ไปช่วยผสมปุ๋ยและสอนวิธีปลูกผักให้เธอ วันนั้นขณะกลับจากผสมปุ๋ยแล้ว ท่านก็พูดขึ้นกับซิสเตอร์เมทิลดาว่า แม่จะอยู่อีกไม่นาน อาการป่วยที่ขาของแม่นี้ถูกส่งมาจากพระเจ้าเพื่อพาแม่ไปจากเธอ ซิสเตอร์เมทิลดาจึงงแย้งท่านว่า ทำไมคุณแม่อย่างนั้นละคะ เพราะแผลบนขาคุณแม่นี้ คุณแม่ไม่ตายหรอกค่ะ


ไม่ แม่จะมีชีวิตอีกไม่นาน แม่กำลังจะไปในไม่ช้านี้ อย่าคิดว่าลูกยังสาว แต่จงเรียนรู้ทุกสิ่งและทำทุกสิ่งให้ดีเข้าไว้ ท่านย้ำอีกครั้งและตักเตือน ฝั่งซิสเตอร์เมทิลดาที่ได้ยินดังนั้น เธอที่ตามหลังท่านมาก็ปล่อยโฮออกมา ท่านเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้จึงหันกลับไปมองเธอ ก่อนจะดึงตัวซิสเตอร์เมทิลดามากอดไว้ พลางปลอบใจเธอ เหตุการณ์การทำนายเช่นนี้ยังเกิดขึ้นอีก และพยานก็คือหลานสาวของท่าน ซิสเตอร์โกชุ เทเรซีย คุณแม่ที่น่าเคารพรู้ดีว่าความตายของท่านใกล้เข้ามาแล้ว เธอเล่า

ประมาณสองสามวันหลังพิธีเสกอารามทุมบูร์ ท่านจึงเดินทางกลับมาอารามกุสิกกัตตุสเสรี พร้อมแผลที่ขาซึ่งอักเสบหนัก ท่านจึงถูกส่งเข้ารับการผ่าตัดในทันที ดังนั้นแพทย์จากโรงพยาบาลชลากุดีจึงถูกตามตัวมา แต่เมื่อมาถึงแพทย์ก็ลงความเห็นว่าอาการท่านหนัก แพทย์จึงมีความเห็นว่าต้องส่งท่านไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล ทีแรกท่านบอกคุณพ่อวิทยาทิลว่ามันไม่ประโยชน์อะไร แต่ที่สุดท่านก็ยอมปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ ดังนั้นบรรดาซิสเตอร์จึงได้พาท่านขึ้นเกวียนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ คุณพ่อจอร์จ ชิราพนัธ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็กนักเรียก บันทึกว่า (คุณครูแจ้งอาการป่วยของท่าน นักเรียนทุกคนจึงขอออกไปดูท่าน และก็ได้รับอนุญาตให้ไปดูท่านตอนกำลังจะเดินทางไปโรงพยาบาล) ข้าพเจ้าจำได้ว่าเห็นคุณแม่ลากตัวของท่านด้วยความพยายามไปที่เกวียน พวกเรารู้สึกว่าท่านกำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมาน พวกเราต่างเคารพรักคุณแม่ ดังนั้นพวกเราจึงรู้สึกเศร้าใจที่เห็นท่านเจ็บปวดเช่นนี้


เมื่อมาถึงโรงพยาบาล แพทย์จึงได้ฉีดยาให้ท่านและได้ตรวจพบว่าการอักเสบที่ขาของท่านกระจายเป็นวงกว้าง ไม่พอท่านยังมีอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ซึ่งยิ่งทำให้อาการท่านทรุดลงตามลำดับ ท่านต้องรับทุกข์ทรมานเป็นอันมาก แต่ท่านก็น้อมรับมันด้วยความอดทนและความเงียบ คุณพ่อจอร์จ ชิราเมล คุณพ่อปลัดวัดชลากุดี ที่มีโอกาสไปส่งศีลให้ท่านระหว่างรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ได้บันทึกว่า ผมมีความสุขที่ได้ไปส่งศีลให้เธอ (ขณะเธออยู่ที่ชลากุดี) เธอรับความเจ็บปวดนานา ด้วยความสงบที่งดงามและความสุภาพผิดธรรมดา เธอไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการขาดความอดทนหรือความไม่พอใจ มันดูเหมือนว่าเธอได้มอบทุกสิ่งให้พระเจ้าในความทุกข์ยากของเธอ

ด้วยอาการป่วยของท่าน เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลรัฐที่รับผิดชอบเคสของท่านจึงตัดสินใจให้ท่านพำนักอยู่ที่อาคารของสังฆมณฑล เพื่อว่าจะสามารถไปตรวจอาการท่านได้อย่างสะดวก และนับวันแทนที่แผลของท่านจะทุเลาลงเมื่อได้รับการรักษา ตรงกันข้ามมันกลับมีหนองไหลออกมา และดูจะมีแต่แย่ลงเรื่อน ๆ เช่นนั้นเองเมื่อหมดปัญญาจะรักษาท่าน ในวันที่ 7 มิถุนายน ค..1926 คุณพ่อวิทยาทิลจึงได้ประกอบพิธีศีลเจิมให้ท่าน และได้นำท่านกลับมาอารามกุสิกกัตตุสเสรี ซึ่งบัดนี้มีซิสเตอร์ในคณะจากทั้งทริชชูร์และทุมบูร์ตามมาสมทบอยู่แล้ว


ทุกคนที่มารวมตัวกันยังอารามกุสิกกัตตุสเสรีต่างมีน้ำใส ๆ คลออยู่ในดวงตา หัวใจของพวกเธอทุกคนรวดร้าวด้วยความทุกข์ตรมอยู่ ๆ รอบตัวท่าน ซึ่งทันทีที่ท่านได้เห็นเช่นนั้น ความเจ็บปวดที่ท่านประสบทั้งหมดก็มลายหายไปสิ้น ซิสเตอร์เยมมาเล่าถึงเวลานั้นว่า แม้จะอยู่ในสภาพที่ทุกขเวทนาและเจ็บปวด ท่านก็ไม่ลืมที่จะปลอบใจฉันถึงเรื่องการจากไปอันน่าเศร้าของคุณแม่ของดิฉันเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ปีเดียวกันนั้น

ในวาระที่ชีวิตของท่านจะดับลงเต็มที ท่านก็ได้เรียกซิสเตอร์ทุกคนมาพบ และได้ให้โอวาทสุดท้ายว่า ลูก ๆ ที่รักของแม่ ไฉนหัวใจของลูกจึงทุกข์ตรมเหมือนคนมีความเชื่อน้อยเช่นนั้นเล่า ลูกรู้อยู่แล้วว่าแม่จะไม่รอดจากโรคนี้ หากมันเป็นพระประสงค์ของเจ้าบ่าวในสวรรค์ที่แม่จะไปจากลูกเร็ว ๆ นี้ตามคำเชิญของพระองค์ ก็จงปล่อยให้มันสำเร็จไปเถิด คณะของพวกเรายังคงแบเบาะนัก ลูกจึงต้องไม่ลืม ว่ามันเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของลูกในฐานะสมาชิกของคณะนี้ ที่จะส่งเสริมและผลักดันมัน จงปฏิบัติต่ออธิการด้วยความจริงใจและความรัก จงรักคนอื่น จงช่วยเหลือคนอื่น


เช้าวันที่ 8 ธันวาคม ค..1926 ท่านยังคงรู้ตัว และยังสามารถอวยพรคนรอบข้างได้ แต่ยิ่งเวลาเดินไปเท่าไร อาการของท่านก็มีแต่ก็จะทรุดลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ ท่านขอให้เอาท่านนอนบนเสื่อที่พื้น กระทั่งเวลาล่วงมาถึงเวลา 22.00 . รายล้อมด้วยบรรดาซิสเตอร์และคุณพ่อวิทยาทิลซึ่งต่างพากันคุกเข่า คุณพ่อนำท่องบทภาวนาสั้น ๆ ให้ท่าน ทันใดนั้นเองท่านก็ยกศีรษะขึ้นประหนึ่งเห็นบางสิ่ง คุณพ่อวิทยาทิลจึงเข้าไปประคองศีรษะท่าน และวางมันลง ก่อนนำสวดว่า เยซู มารีย์ ยอแซฟ ลูกขอมอบหัวใจและร่างกายของลูกไว้ในมืออันเปี่ยมรักของพวกท่าน ท่านในวัย 50 ปีก็สวดตามจนจบบทสวดนี้ ท่านจึงได้คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้า เพื่อรับรางวัลในสวรรค์ ดั่งคำสัญญาในราตรีนั้นในที่สุด

คืนนั้นทั้งอารามเต็มไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความคิดถึง คุณแม่ ของพวกเขา มันช่างเป็นคืนที่ยากจะข่มตาหลับลงได้สำหรับพวกซิสเตอร์ทั้งหลาย และเมื่อเช้าวันใหม่เริ่มขึ้น ในสวนของอารามอัศจรรย์ประการหนึ่งก็บังเกิดขึ้น ดังย้ำเตือนถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคุณแม่ของพวกเธอ คือ ดอกมะลิสีขาวส่งกลิ่นหอมได้พร้อมใจกันบานขึ้นทั้งต้น ฉันเห็นมันกับตา ซิสเตอร์ซูซันนายืนยัน ดังนั้นเองในพิธีปลงศพ มงกุฎดอกมะลิจึงถูกวางไว้ที่ศีรษะของท่าน และถูกฝังไปพร้อมร่างของท่าน ที่มิได้ผ่านการอาบน้ำศพ ตามคำสั่งของท่าน ที่ไม่ได้บอกจุดประสงค์ไว้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าท่านไม่ปรารถนาให้ใครเห็นรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่สีข้างของท่านนั่นเอง



พิธีปลงศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายโดยมีประธานคือ ฯพณฯ มัทธิว เอดากาลาทูร์ เป็นประธาน มีผู้เทศน์คือคุณพ่อโยเซฟ กายะลากัม ซึ่งได้เปรียบท่านกับนักบุญเทเรซา แห่ง ลิซิเออร์  ว่า แม้ว่าพิธีปลงศพจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เวลานั้นจะมาถึง เวลาเมื่อนักบุญอีกองค์เช่น ดอกไม้น้อย(.เทเรซา แห่ง ลิซิเออร์)จะลุกขึ้นจากหลุมศพนี้ และมีสัตบุรุษจากหลายวัดแห่กันมาร่วมงาน ทั้งยังเอาสายประคำ ของศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มาสัมผัสร่างกายของท่าน และขอของใช้ท่าน จนคุณพ่อวิทยาทิลต้องออกมาปรามไว้

หลังจากนั้นอีก 51 ปี เมื่อมีการขุดร่างของท่านในระหว่างกระบวนขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ ก็ปรากฏว่าร่างของท่านนั้นคงสภาพดีเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เว้นแม้แต่มงกุฎดอกมะลิบนศีรษะของท่าน ทั้งนี้ยังปรากฏกลิ่นหอมประหลาดลอยฟุ้งออกมาจากหลุมของท่านอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เพียงเท่านั้นตลอดหลายปีก่อนจะมีพิธีสถาปนาท่านเป็นบุญราศี ก็มีรายงานอัศจรรย์อาศัยคำเสนอวิงวอนของท่านถึง 700 รายการถูกรายงานมายังอาราม


อัศจรรย์ครั้งสำคัญคือการรักษาเท้าที่บิดงอตั้งแต่เกิดของมัธทิว ดี เปลลิสเสรี ในระหว่างปี ค..1970 – ..1971 แพทย์ชาวอินเดียและอิตาลีถึงเก้าคนได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ และยืนยันว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้นเองในวันที่ 9 เมษายน ค..2000 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 จึงได้ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี ซึ่งผลักดันให้คำกล่าวที่ว่า เธอมีชีวิตอยู่เป็นนักบุญและเธอจะเป็นนักบุญในอนาคตยิ่งใกล้ความจริงขึ้นไปอีก และที่สุดในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ.2019 หลังจากการตรวจสอบอัศจรรย์อาศัยคำเสนอวิงวอนครั้งที่ 2 ของท่านอย่างยาวนาน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก็ทรงสถาปนาท่านเป็นนักบุญ นับเป็นนักบุญองค์สตรีองค์ที่สามของพระศาสนจักรอินเดีย 

ปัจจุบันคณะพระวิสุทธิวงศ์ที่ท่านก่อตั้ง มีแขวงของคณะเก้าแขวง ข้อมูลจากปี ..2000 ระบุว่าคณะมีบ้าน 176 หลัง กระจายอยู่ในเกรละ , ภาคเหนือของอินเดีย , เยอรมัน , อิตาลี และกานา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในยุคปัจจุบัน ภายใต้จิตตารมณ์ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งนาร์ซาแร็ธ ความรักเห็นอกเห็นใจของคณะมาจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขนอย่างลึกซึ้ง และพันธะกิจการสร้างความเท่าเทียมกระทำผ่านพันธกิจเรื่องครอบครัว


เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่ม และภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา(มัทธิว 11:30) พระเยซูเจ้าตรัสว่าแอกของเรานั้นอ่อนนุ่ม พระองค์มิได้ตรัสว่าผู้ติดตามเราไม่ต้องแบกสิ่งใด ดังนั้นเองชีวิตคริสตชนจึงต้องพร้อมน้อมรับแอกในรูปแบบต่างๆเสมอ เพราะนับตั้งแต่วันที่เราตอบรับว่าจะเป็นคริสตชน เราก็ได้ยอมรับแอกของพระองค์เข้ามาในชีวิตด้วย ดังนั้นขอให้เราหมั่นระลึกถึงพระวาจานี้เข้าไว้ เพื่อว่าในยามเราเจอกับเรื่องร้ายๆเราจะตระหนักได้ว่า แอกของพระองค์นั้นอ่อนนุ่ม แอกนั้นคือแอกแห่งความรัก แอกนั้นไม่เคยเกินกำลังของเราจะแบกไว้ แอกนั้นช่วยให้เราเติบโต แอกนั้นพาเราไปสวรรค์ ขอให้ชีวิตของคุณแม่มารีอัม เทเรเซียกระตุ้นเตือนเราให้พร้อมรับแอกของพระองค์อยู่เสมอ ให้เราเลียนแบบท่านที่รับความทุกข์ยากต่างๆด้วยความยินดี ขอเรายินดีที่จะเลือกมงกุฎหนามบนโลก เพื่อไปรับมงกุฎดอกไม้แห่งชัยชนะในสวรรค์ ดีกว่าเลือกมงกุฎทองคำบนโลก เพื่อไปรับมงกุฎแห่งความอัปยศในนรก สุดท้ายนี้ขอให้ชีวิตของท่านกระตุ้นเรา ให้กล้าออกไปปฏิบัติกิจเมตตาในสังคมของเรา ที่ต้องการความเมตตาด้วยเถิด อาแมน 

(บทความนี้ได้มีการปรับแก้อีกครั้งในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2023 ภายหลังการสถาปนาบุญราศีมารีอัม เทรเซียเป็นนักบุญ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนตำแหน่งให้สอดคล้องกับปัจจุบัน)


ข้าแต่ท่านนักบุญมารีอัม เทรเซีย ช่วงวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มะลิน้อยแห่งแดนภารตะ "มารีอัม เทรเซีย" ตอน 4


นักบุญมารีอัม เทรเซีย
St. Mariam Thresia
ฉลองในวันที่ : 6 มิถุนายน

วันหนึ่งแม่พระผู้ท่านมอบความรักให้ดุจเป็นมารดา ก็ทรงตรัสกับคุณพ่อวิทยาทิลผ่านท่านว่า พระนางปรารถนาให้สร้างอาศรมเพื่อพระนางขึ้นสักหลัง ดังนั้นในเดือนกรกฎาคม ค..1903 คุณพ่อวิทยาทิลจึงได้นำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่พระสังฆราชเมนาเชรี ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก ถ้ามันมาจากพระเจ้าจริง มันควรจะได้รับการยืนยันด้วยเครื่องหมายสิ พระคุณเจ้ากล่าว และปฏิเสธที่จะให้สร้างอาศรม เพราะท่านมั่นใจว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับท่านตลอดหลายปีนั้น เป็นการกระทำของปีศาจ

พระคุณเจ้าเคยเขียนถึงคุณพ่อว่า

คุณพ่อที่รักของฉัน

ถ้าสิ่งนี้มาจากพระเจ้าจริง ท่านก็สามารถที่จะขอให้เธอนบนอบต่อพระเจ้าในทุก ๆ สิ่ง และรับความทุกข์ทรมานทุกอย่างในนามของฉัน เพื่อว่าอาศัยการมอบตัวของเธอไว้ทั้งครบต่อพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล และนักบุญยอแซฟ และการอารักษ์ของท่านทั้งสอง เธอจะไม่หลงผิดอีก

คำสั่งพิเศษจะถูกส่งไป ภายหลังปรึกษากับบรรดาซิสเตอร์ที่อลลูร์แล้ว

ดร. จอห์น เมนาเชรี



และด้วยต้องการทดสอบกระแสเรียก พระคุณเจ้าจึงลองใจท่านด้วยการแนะให้ท่านไปเข้าคณะฟรังซิสกัน กลาริส (คณะเดียวกันกับนักบุญอัลฟองซา นักบุญสตรีอินเดียองค์แรก) แต่ท่านปฏิเสธ เพราะท่านคิดว่าท่านมิได้ถูกเรียกให้เข้าคณะดังกล่าว และท่านปรารถนาจะอยู่แต่ลำพัง  พระคุณเจ้าจึงขอให้ท่านลองไปเข้าอารามพระแม่มารีย์ ที่ อลลูร์ ของคณะภคินีแห่งพระมารดาแห่งคาร์แมล ซึ่งเวลานั้นมีนักบุญอิวพาเซียแห่งพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ดำรงตำแหน่งเป็นนวกจารย์ และมี ฯพณฯ เมนาเชรีเป็นวิญญาณารักษ์ เนื่องจากประสบการณ์พิเศษเหนือธรรมชาติของเธอ

ฝั่งท่านในวัย 36 ปีก็น้อมรับ และได้เดินทางมาถึงอารามพระแม่มารีย์ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.. 1912 ท่ามกลางความยินดีของซิสเตอร์ทุกคนในอาราม ที่นั่นท่านได้รับมอบหมายให้อยู่ภายใต้ความดูแลของซิสเตอร์อิวพาเซีย ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านวิญญาณชิดสนิทกับพระเป็นเจ้า ไม่ต่างอะไรไปจากท่าน และอายุอานามไล่เลี่ยกับท่าน (ซิสเตอร์เกิดหลังท่านปีหนึ่งแต่ไม่วายปัญหาและการทดลองต่าง ๆ ก็รุมเร้าเข้ามาหาท่าน ทั้งปัญหาเรื่องเลือดที่ไหลออกมาจากรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ทุกอาทิตย์ และปัญหาการรังควานของปีศาจ 


แต่ท่ามกลางปัญหาเหล่านั้น วิญญาณของท่านก็ฉายแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมา ซิสเตอร์หลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า วิญญาณที่นบนอบ ถ่อมตน รับใช้ และการบำเพ็ญพรตของท่านเป็นแบบอย่าง และรู้สึกว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ ของท่านไม่ได้เป็นเรื่องน่าอับอาย ตรงข้ามกลับเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับอาราม ดังนั้นซิสเตอร์ทุกคนจึงปรารถนาให้ท่านอยู่ที่อารามนี้ต่อ และยื่นข้อเสนอว่าพร้อมจะรับท่านโดยไม่เอาค่าสินสอดใด ๆ แต่พระคุณเจ้าได้ปรามไว้และขอให้พวกเธอรอสักระยะ

กลับมาที่ปุเทนชิระ เมื่อท่านจากไป ทั้งหมู่บ้านก็มีแต่ความทุกข์ ทุกคนคิดถึงท่านและต่างอยากให้ท่านกลับมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นเพียงเดือนเดียวที่ท่านไป คุณพ่อเจ้าวัดจึงได้ส่งจดหมายขอให้ส่งตัวท่านกลับไปยังพระสังฆราชในทันที (ฝั่งท่านนั้นเองก็มิได้สนใจจะอยู่ในอารามนี่อยู่แล้ว) จนวันหนึ่งพระคุณเจ้าเมนาเชรีก็เดินทางมาที่อาราม และบอกกับท่านว่า มันไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่ลูกจะอยู่ในอาราม ดังนั้นลูกจะได้กลับไปที่ของลูก คุณพ่อวิญญาณของลูกจะสร้างบ้านให้ลูกเอง


ดังนั้นเองเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1913 ท่านจึงได้ออกจากอารามอลลูร์แล้วเดินทางกลับไปยังปุเทนชิระพร้อมด้วยจดหมายอำลา ซึ่งมีเนื้อความมีว่าขอคำภาวนาให้มีความอดทน ความรักของพระเจ้า และขอให้ได้ตายอย่างมีความสุขจากซิสเตอร์อิวพาเซีย โดยทิ้งไว้แต่เพียงภาพของความศักดิ์สิทธิ์และความชื่นชมให้ผู้คนที่อลลูร์ได้จดจำ (ขณะท่านอยู่ที่อาราม ข่าวเรื่องรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นที่เลื่องลือมาก มีผู้คนมากมายแวะเวียนมาหาท่านด้วยความสนใจ ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์)

และที่สุดหลังร้องขอมาสิบปี พระคุณเจ้าก็อนุญาตให้ท่านสร้างอาศรมตามที่แม่พระทรงปรารถนา เพราะพระคุณเจ้าได้แลเห็นถึงความอดทน ความนบนอบ และความถ่อมตนอันหนักแน่นของท่าน พระคุณเจ้าจึงหมดข้อสงสัยในตัวท่าน ดังนั้นเองเมื่อได้รับอนุญาตเช่นนี้ และได้รับบริจาคที่ดินจากอนาคตนักบวชของท่าน ชื่อ ศรี มาลีเอ็กกัล กูนัน โกชุวาร์เกย์ อิททูพ โครงการสร้างบ้านแห่งคำภาวนาจึงเริ่มขึ้น


แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร ปัญหาก็เข้ามาแทบจะทันที เมื่อบ้านหลังนี้ยังขาดแคลนเงินทุนอยู่ ทำให้คุณวิทยาทิลกลัดกลุ้มใจในเรื่องนี้เป็นอันมาก แต่ท่านก็ปลอบใจว่าท่านจะออกไปเรี่ยไรมา ฝั่งคุณพ่อยอมรับแม้จะไม่เต็มใจเท่าไรนัก ทำให้ในวันรุ่งขึ้นท่านพร้อมเพื่อนอีกสามคน จึงได้พากันออกไปเรี่ยไรเงิน จนที่สุดแล้วบ้านหลังนี้ก็สำเร็จเสร็จลงได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ยังไม่ทันจะยินดีได้เท่าไร ปัญหาใหม่ก็ตามมาในทันที กล่าวคือเมื่อคุณพ่อวิทยาทิลส่งคำร้องขออนุญาตเสกบ้านหลังนี้ไปยังพระสังฆราช พระคุณเจ้าก็ไม่ได้ตอบกลับคำขอของคุณพ่อเสียที

แต่แทนที่ท่านจะผิดหวัง ตรงข้ามท่านสงบนิ่งและได้แจ้งกับคุณพ่อ ว่าท่านน้อมรับทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสิ่งใดเล่าที่พระองค์ทรงประสงค์ คือสิ่งเดียวที่ลูกประสงค์ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์จงสำเร็จไปเถิด และในวันรุ่งขึ้น คือ ในวันที่ 23 กันยายน ค..1913 พระคุณเจ้าจึงได้ส่งคุณพ่อจอห์น อุกคัน เลขานุการของพระคุณเจ้าให้มาเป็นผู้เสกบ้านหลังนี้ ซึ่งท่านให้นามว่า เอคันทะ ภวันหลังจากนั้นในวันที่ 7 ตุลาคม ท่านที่ขณะนี้มีอายุได้ 37 ปี จึงย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ ก่อนในเดือนมกราคม ปีถัดมาเพื่อน ๆ ของท่านจึงตามเข้ามาสมทบ หลังผลัดกันมานอนเป็นเพื่อนท่านคนละคืนกันมาได้สักพัก


ณ ที่บ้านแห่งคำภาวนา ท่านได้ใช้เวลาส่วนมากไปกับการสวดภาวนา ตามความปรารถนาตั้งแต่ครั้งมารดาท่านเสียชีวิต โดยมิได้แผนการใด ๆ ชัดเจนว่าจะดำเนินการอะไรต่อ แต่ฝั่งคุณพ่อวิทยาทิลได้เล็งเห็นว่าชีวิตของพวกท่านจำต้องมีกฎระเบียบไม่ใช่อยู่ไปวัน ๆ โดยไม่มีระเบียบแบบแผน ดังนั้นคุณพ่อจึงได้ร่างกฎน้อย ๆ สำหรับท่านและเพื่อน โดยคุณพ่อได้แบ่งเวลาสวดภาวนา รำพึง สำรวจมโนธรรม และปฏิบัติกิจการเมตตาอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ส่วนเวลานอนถูกกำหนดไว้เพียงสองชั่วโมงคือระหว่างสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีห้าก็จะเป็นเวลาในการรำพึงพระมหาทรมาน และการพลีกรรมตามคำอนุญาตของคุณพ่อวิทยาทิล ฝั่งท่านก็ปฏิบัติตามกฎเหล่านี้อย่างเคร่งครัด

ทำให้ทีละนิด บ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า เอคันทะ ภวัน กลายมาเป็นบ้านของคำภาวนา การชดเชยบาป และศูนย์กลางของชีวิตฝ่ายจิตอย่างแท้จริง และไม่เพียงเท่านั้น เพราะไม่เพียงพวกท่านจะเอาแต่สวดภาวนาอยู่เช้าค่ำ ท่านและเพื่อนก็ยังคงแวะเวียนคนยากไร้และคนเจ็บป่วย ดังเช่นที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนมีบ้านหลังนี้ จึงทำให้เอคันทะ ภวัน ยังเป็นบ้านแห่งความเมตตาโดยแท้จริงไปด้วย


เอคันทะยังคงเป็นบ้านของสตรีกลุ่มหนึ่งที่มีท่านเป็นหัวหน้า อยู่จนในวันที่ 13 พฤษภาคม ค..1914 พระคุณเจ้าเมนาเชรีที่เดินทางมาเยี่ยมบ้าน และพอใจกับวิถีชีวิตของสตรีทั้งสี่ พระคุณเจ้าจึงตัดสินใจบอกกับคุณพ่อวิทยาทิลระหว่างพูดคุยกันว่า พระคุณเจ้าตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนบ้านเอคันทะ ภวัน เป็นคณะนักบวชหญิงพื้นเมืองใหม่นามว่า คณะพระวิสุทธิวงศ์ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น ท่ามกลางพระสงฆ์นักบวช ณ วัดประจำปุเทนชิระ พระคุณเจ้าเมนาเชรีจึงได้ประกาศตั้งคณะพระวิสุทธิวงศ์ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยให้คุณพ่อวิทยาทิลรับหน้าที่เป็นจิตตาภิบาลคนแรกของคณะ และท่านเป็นอธิการิณีที่ได้รับนามใหม่หลังปฏิญาณตนว่า  ภคินีมารีอัม เทรเซีย แห่ง แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์’ วันเดียวกันครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ยังได้ประจักษ์มาสนทนากับท่านอีกด้วย

คณะใหม่เริ่มด้วยท่านและโปสตุลันต์สามคน พร้อมธรรมนูญใหม่ซึ่งจัดทำโดยพระคุณเจ้าเมนาเชรีด้วยตัวเอง โดยพระคุณเจ้าได้นำเอาธรรมนูญของภคินีคณะพระวิสุทธิวงศ์แห่งบอร์โดซ์ ซึ่งมาตั้งอารามอยู่ที่ศรีลังกามาและดัดแปลง เวลานั้นแม้นเอคันทะจะพัฒนาเป็นคณะนักบวชพื้นเมืองแล้ว คณะก็ยังไม่มีทรัพย์สินใด ๆ เลย แต่กระนั้นก็ตาม คุณแม่อธิการคนนี้ก็สามารถจัดหาทรัพย์สิน และวิธีเก็บมันได้อย่างน่าแปลกประหลาด คุณพ่อวิทยาทิลบันทึกไว้ว่า เมื่ออาหารขาดแคลนมาก ๆ และไม่มีความช่วยเหลือจากใคร เธอจะสวดภาวนาต่อพระเจ้าอย่างเร่าร้อน แล้วนักบุญยอแซฟก็จะนำอาหารมาให้ และเอาเงินไปใส่ไว้ในกล่องของเธอ แต่บางเวลาก็ไว้ใต้เสื่อนอนเธอ บางเวลาก็ในมือของเธอเลย


ด้วยเล็งเห็นว่าการศึกษาในโรงเรียนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการปลูกฝังคุณค่าของพระวรสาร และจริยธรรมในสังคมให้เด็ก ๆ และเล็งเห็นว่าที่ปุเทนชิระยังขาดโรงเรียน ทำให้เด็ก ๆ หลายคนในหมู่บ้าน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงขาดโอกาสทางการศึกษา ท่านจึงนำเรื่องที่จะตั้งโรงเรียนนี้ไปปรึกษากับคุณพ่อวิทยาทิล ซึ่งคุณพ่อก็เห็นด้วย และได้ส่งเรื่องไปยังพระคุณเจ้าเมนาเชรี ฝั่งพระคุณเจ้าก็อนุมัติ  ทำให้ในสภาพที่ไม่มีอะไรเลยไม่ว่าจะเงิน หรือบุคลากรที่ได้รับการอบรม โรงเรียนประถมขนาดสองชั้นเรียนจึงถูกเปิดขึ้นในชื่อ โรงเรียนประถมศึกษาพระวิสุทธิวงศ์ ในปี ค..1915 โดยอาศัยการดัดแปลงอาคารที่ท่านพักมาเป็นที่เรียน 

แต่เนื่องจากไม่มีใครในอารามของท่านมีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรบ ท่านจึงได้ขอให้พระคุณเจ้าเมนาเชรีช่วย ซึ่งพระคุณเจ้าก็ได้จัดส่งซิสเตอร์สองคนจากคณะภคินีแห่งพระมารดาแห่งคาร์แมลมาสอนที่โรงเรียนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี แต่ยังไม่ทันไร ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อโรงเรียนของท่านก็ไม่ถูกนับว่าเป็นโรงเรียนจากทางภาครัฐ เพราะโรงเรียนขาดคุณสมบัติหลายประการ กระนั้นก็ดี ด้วยพระญาณสอดส่องของพระเจ้า ในเวลาต่อมาครูผู้ชำนาญการสองคนก็ถูกพามาสอนจากทั้งที่โกซีโกเดและก็อตตายัม และเมื่ออาคารเรียนแล้วเสร็จ ภาครัฐจึงอนุมัติการเป็นสถานศึกษาของโรงเรียนของคณะ งานของคณะจึงดำเนินต่อไปได้อย่างไม่มีอุปสรรค


วันเวลาล่วงไป ทีละเล็กละน้อยจากสมาชิกเพียงสี่คน ก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นตามจำนวนสตรีที่มาคอยติดตามท่านในทุก ๆ ปี จนทำให้อารามหลังเดิมที่มีอยู่ไม่อาจจะรองรับจำนวนของสมาชิกคณะได้อีกต่อไป แต่ในสภาวะการณ์ดังนี้ ท่านก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ในทันที เนื่องจากในเวลานี้แม้คณะจะเริ่มมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น แต่คณะก็ยังขาดเงินทุนสำหรับการขยายอาราม รวมถึงที่ดินที่จะรองรับโครงการนี้ ดังนั้นบรรดานักบวชหญิงจึงอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบากอีกหน และแต่ก็เช่นทุกครั้งที่ท่านพบปัญหา ท่านได้หันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เฝ้าสวดภาวนาทั้งเช้าค่ำด้วยความเชื่อและความวางใจ ต่อพระเจ้าและครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ให้แก้ปัญหานี้

จนวันหนึ่งคุณพ่อจอห์น อัมบูเก็น ก็ได้เดินทางมายังอาราม และได้เสนอที่จะยกที่ดินรกร้างขนาดแปดไร่ที่หมู่บ้านกุสิกกัตตุสเสรี ซึ่งอยู่ในความดูแลของเขตปุเทนชิระให้คณะ รวมถึงยินดีจะช่วยเหลือด้านการเงินในการสร้างอารามหลังใหม่นี้ให้ด้วย ฝั่งพระคุณเจ้าเมนาเชรีเมื่อทราบเรื่อง ก็ได้จัดการซื้อที่ดินผืนดังกล่าว และได้เดินทางมาประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อารามและวัดน้อย ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค..1917 จึงเป็นอันว่าปัญหาเรื่องอารามไม่สามารถรองรับการเติบโตของคณะได้รับการแก้ไขไปในเบื้องต้น


ที่ใช้คำว่า ในเบื้องต้น เพราะว่าแม้จะได้ที่ดินและเริ่มโครงการสร้างอารามใหม่ มันก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เนื่องจากในเวลาที่เริ่มก่อสร้างอารามหลังใหม่นั้น ประจวบเหมาะพอดีกับช่วงเป็นช่วงข้าวยากหมากแพง และค่าเงินรูปีอ่อนตัวอันเป็นผลหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้การหาความช่วยเหลือทางด้านเงินทุนในการก่อสร้างเป็นเรื่องยากพอสมควร กระนั้นก็ตามพระเจ้าก็มิได้ทรงปล่อยให้งานของพระองค์ล่มลงเสียกลางทาง เพราะท่ามกลางความยากลำบากนั้น มหาราชาแห่งโกชิน ผู้ปกครองดินแดนชาวฮินดูก็ได้ทรงบริจาคไม้สำหรับใช้ก่อสร้างอาราม เพราะพระองค์ทรงชื่นชมชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์และกิจการเมตตาของท่าน และเวลาเดียวกันก็มีการบริจาคมากมายหลั่งไหลมาจากบรรดาผู้ใจบุญทั้งหลาย

ซิสเตอร์โรส มารีอัม ซึ่งรู้จักท่านตั้งแต่ปี ค..1918 เล่าถึงเวลานั้นว่า คุณแม่มารีอัม เทรเซียทำงานหนัก เพื่อการเติบโตและการพัฒนาของคณะที่พึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ เกือบทุกวันท่านเดินถึงห้ากิโลจากปุเทนชิระไปยังกุสิกกัตตุสเสรี เพื่อกำกับดูแลการก่อสร้างอารามใหม่ และเพื่อทำงานร่วมกับบรรดาคนงาน ตั้งแต่ก่อนเวลาอาหารกลางวัน ซิสเตอร์เทรเซีย ที่มีโอกาสติดตามท่านในช่วงระหว่างการก่อสร้างอยู่บ่อยๆ  เล่าว่า บางครั้งเมื่อเงินจ่ายค่าแรงคนงานไม่มี ท่านก็ยังคงมีความกล้าหาญ และความวางใจที่ไม่ธรรมดา ท่านเดินหน้างานก่อสร้างอารามและวัด ด้วยการวางความวางใจของท่านไว้ในการอารักษ์ขาเช่นบิดาของพระเจ้า ผู้ทรงสรรพานุภาพ ในประวัติของท่าน มีบันทึกว่า ท่านดูแลการก่อสร้างอาราม ด้วยวิธีการทำงานหนักตลอดห้าปี โดยไม่เคยสนดวงอาทิตย์ ฝน อาการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตามปกติ หรืออาการเจ็บป่วยใหม่ที่ส่งผลต่อร่างกายของท่าน


ระหว่างการก่อสร้างอารามใหม่ ท่านก็ตระหนักรู้ในทันทีว่าการพัฒนาพันธกิจด้านการศึกษา จะไม่มีทางเป็นไปได้เลยหากขาดทีมของซิสเตอร์ด้านการศึกษา ท่านเข้าใจดีถึงความจำเป็นของภาษาอังกฤษ อันเป็นสิ่งที่ท่านไม่มี ดังนั้นในปี ค..1918 ท่านจึงเช่าอาคารที่เมืองทริชชูร์ เพื่อใช้เป็นหอพักสำหรับผู้ที่ท่านส่งไปศึกษาต่อที่โรงเรียนภาษาอังกฤษเมืองทริชชูร์  หลังจากนั้นท่านจึงจัดส่งซิสเตอร์จำนวนสี่คน และเด็กหญิงอีกยี่สิบคนไปศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นไป  นอกนี้แล้ว ท่านยังมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีความคิดที่ชัดเจนว่าจะให้คณะใหม่ของท่านดำเนินงานควบคู่ไปทั้งกับโรงเรียนและครอบครัว เพราะท่านตระหนักดีเช่นกันว่าการศึกษาต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวเป็นอันดับแรก

การก่อสร้างอารามหลังใหม่แล้วเสร็จในปี ค..1922 แต่เนื่องจากพระคุณเจ้าเมนาเชรีได้สิ้นใจไปก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นอารามหลังใหม่จึงถูกเปิดเสกโดยพระสังฆราชคนใหม่ของสังฆมณฑลทริซชูร์ นั่นคือพระคุณเจ้าฟรานซิส วาชาปิลลี ซึ่งก็เป็นผู้อนุญาตให้ท่านและคณะย้ายมาอยู่ที่อารามใหม่หลังนี้ ท่านนั้นเมื่อมองเห็นเหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้แล้ว ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก บัดนี้อารามที่กุสิกกัตตุสเสรีได้กลายเป็นบ้านแม่หลังที่สองของคณะนี้แล้ว และคณะสามารถดำเนินพันธกิจต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องที่ทางอีกต่อไป


ไม่นานหลังการย้ายอาราม ท่านก็เริ่มขยายขนาดอาคาร และจัดได้ตั้งโรงเรียนประถมศึกษาตอนต้นขึ้น มีคำบรรยายถึงประวัติในการดำเนินงานด้านการศึกษาของท่านที่ไพเราะว่า แม้ว่าข้ารับใช้พระเจ้าจะไม่เคยได้รับการศึกษาในโรงเรียน ท่านก็เอาจริงและให้ความสนใจกับเรื่องการศึกษาของคนอื่น ๆ มาก ๆ เมื่อใดก็ตามที่พวกซิสเตอร์เปิดอารามใหม่ พวกเธอก็ร้อนรนยิ่งที่จะสร้างโรงเรียน

ในอารามแม้จะผ่านสงครามครั้งใหญ่กับเจ้าปีศาจมาแล้ว มันก็หาได้เลิกระรานท่านไม่ เพียงแค่มันลดระดับการรังควานลง ซิสเตอร์โยฮันนาเป็นพยานว่า ฉันมักสังเกตเห็นว่าอาหารที่เธอกำลังตักเข้าปาก จะถูกผลักออกออกไปด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น บ่อยครั้งพวกเรามักได้ยินเสียงคร่ำครวญ และร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานของเธอ  พยานลำดับที่ 18 ให้การว่าตนเห็นอากาศเย็นกระหวัดไปที่ดวงตาของท่าน เหมือนมีแรงบางอย่างกระทำอยู่ คืนและวันในชีวิตนักบวชของท่าน จึงผ่านพ้นไปอย่างทุกข์ทน แต่ท่านก็ต่อสู้กับอย่างกล้าหาญและน้อมรับมัน ด้วยความเชื่อความหวังในพระเจ้า ในการเดินตามน้ำพระทัยของพระองค์เช่นกัน ดั่งเห็นชัดในข้อความจากจดหมายของท่านถึงคุณพ่อวิทยาทิลที่ว่า คุณพ่อที่เคารพของลูก ลูกไม่รู้จะอธิบายความเจ็บปวดลูก และลูกรู้สึกอย่างไรได้อย่างไร เอาง่าย ๆ ความเจ็บปวดของลูกเหมือนท้องทะเลที่ปั่นป่วน พระเจ้าทรงประสงค์ให้เป็นดังนั้นแก่ลูก

คุณแม่อธิการผู้แสนดี 

ในการจัดการอาราม ท่านรู้วิธีที่จะรับมือกับทุกคนด้วยความกรุณาและความเข้าใจ ท่านรู้ข้อจำกัดของตัวเองดี ท่านเปิดอ้ารับทุกความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการดูแลอาราม สัตบุรุษหลายคนจดจำได้ถึงความเคารพและการช่วยเหลือของท่านกับบรรดาซิสเตอร์ได้เป็นอย่างดี การปฏิบัติตัวของท่านต่อผู้อยู่ใต้บังคัญบัญชาถือเป็นแบบฉบับที่ดี กล่าวคือท่านไม่เคยถือตัว หรือเอาแต่ใจ หรือเผด็จการ ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เมื่อพบท่าน และสามารถไปหาท่านเสมอ

นอกนี้ท่านยังเอาใจใส่สมาชิกใหม่ของคณะ บุคลิกภาพและแบบฉบับของท่านมีส่วนในการเติบโตของสมาชิกใหม่มากกว่าคำแนะนำหรือคำชี้แนะของท่าน และแม้ท่านจะมีการศึกษาน้อย ท่านจึงอ่านหนังสือภาวนาได้ไม่มาก และไม่อาจจะสอนคำสอนชีวิตจิตและชีวิตนักพรตได้มากเท่าไรนัก ท่านก็เป็นศูนย์รวมของชีวิตฝ่ายจิต ท่านมักแนะนำให้นวกะเณรีของคณะถึงวิธีร่วมมิสซา ซึ่งนั่นก็คือวิธีรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าระหว่างมิสซาแบบของท่านเอง

คำแนะนำของท่านเปี่ยมไปด้วยเทววิทยาที่ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้อย่างชัดเจน ซิสเตอร์บางคนได้บันทึกแนวทางปฏิบัติของท่านไว้ดังนี้

. ปฏิบัติตามธรรมนูญ
. ในช่วงเวลาของโรคภัยไข้เจ็บหรือความทุกข์ยาก อยากทำหน้าบึ้งตึง
. เมื่อผู้ใหญ่ตักเตือนเธอ มันไม่ดีที่จะพูดโต้ตอบอันใด
. อย่าอิจฉาผู้มีสิ่งล้ำค่า
. อย่าสูญเสียเป้าหมาย
. มอบถวายให้กับพระกุมารเยซู ด้วยมงกุฎ, สร้อยข้อมือ, แหวนและเครื่องประดับอื่น ๆ
. อย่าเผลอหลับ และไม่มองที่นั่นที่นี่ในระหว่างมิสซา
. อย่าหลับในระหว่างรำพึง ถ้าหลับจงมาคุกเข่าอยู่ตรงกลางวัดแล้วเหยียดแขนออกเป็นรูปกางเขน
. อย่าหัวเราะเมื่อผู้ใหญ่ติเธอ หรือขัดจังหวะพวกท่านเหล่านั้น
. ของขวัญที่ได้รับจากทางบ้าน ควรจะมอบให้กับคณะ
. เมื่อเธอเดินรูป มันเป็นเรื่องดีแก่วิญญาณที่จะมองเห็นพระมารดามหาทุกข์ทุก ๆ ภาคที่เดินไป
. มอบความศรัทธาเป็นพิเศษต่อแม่พระมารดาของพระเจ้าและนักบุญยอแซฟ
.เมื่อเกิดเหตุการณ์พิเศษระหว่างเสิร์ฟอาหาร จงมองเพียงเล็กน้อย
. ในห้องอาหารให้จูบเท้าของพวกซิสเตอร์และแบกกางเขน ให้รักษาความเงียบหลังจากสัญญาณนอนในเวลากลางคืน

ไม่เพียงแต่ซิสเตอร์ในอารามที่ท่านดูแล คนงานและคนใช้ในอารามท่านก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ท่านให้เงินเขาตรงเวลา ทั้งยังให้ความรักกับพวกเขาอย่างเคยถือตัว ท่านคอยมอบอาหารให้เขาทุกวัน และแสดงให้พวกเขาเห็นความเห็นอกเห็นใจดุจมารดา เชวาเย่ แก็คชัคโก อดีตคนงานในอาราม เล่าถึงท่านว่า ท่านระมัดระวังมากในเรื่องอาหารของเรา แม้ท่านจะมีกิจธุระมากท่านก็ให้ความใส่ใจในการจัดหามัน ท่านรักที่จะทำงานร่วมกับพวกเรา ท่านชอบเล่นกับเราและชอบให้กำลังใจเรา ท่านแบ่งอาหารของท่านให้เราทุกวัน ท่านรักพวกเรามาก เวลาท่านได้ของขวัญอะไรมา ท่านก็จะเอามาแบ่งให้เด็ก ๆ กับคนงานในอาราม เหมือนที่ท่านแบ่งให้ซิสเตอร์คนอื่น ๆ 

มารดา 

จากคำพยานมากมาย หลายคนมักจะพูดถึงกิจการเมตตาของท่านต่อผู้ยากไร้ ก่อนจะทันถูกถามจากสอบสวนในกระบวนการขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญเสียอีก ซึ่งหนึ่งในกิจเมตตาเหล่านั้นก็คืองานเมตตาต่อเด็กกำพร้า  โดยทุก ๆ ครั้งที่ท่านพบเด็กคนใดถูกปฏิเสธหรือไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ ท่านก็จะตรงไปนำพวกเขาเหล่านั้นไปยังอารามในทันที ดั่งเรื่องที่มีบันทึกว่า คุณแม่มารีอัม เทรเซียทราบว่ามีอัมบัตตธี (สตรีในวรรณะต่ำ)ในปุเทนชิระคนหนึ่งกำลังกำลังจะตาย และรีบไปดูแลเธอในเร็วพลันหลังจากเธอสิ้นใจ ทารกเพศหญิงตัวน้อยคลานไปหาร่างกายไร้วิญญาณของมารดา ดังนั้นท่านจึงก้มตัวลงอุ้มเด็กกำพร้านั้น และพาเธอไปยังอาราม ท่านได้จัดให้เธอรับศีลล้างบาป และตั้งชื่อเธอว่า บริยิต

ท่านดูแลเด็กๆกำพร้าเหล่านั้นดุจมารดาแท้ของพวกเขา ท่านมีความรักของแม่อย่างแท้จริง แอนนี่ หนึ่งในเด็กกำพร้าที่ท่านดูแล เขียนเล่าในภายหลังว่า ท่านเป็นคุณแม่ตลอดชีวิตของดิฉัน ท่านทั้งอาบน้ำ หวีผม และแต่งตัวให้ฉันเวลาไปโรงเรียน เมื่อดิฉันกลับมาจากโรงเรียน คุณแม่ก็จะเอาอาหารบางส่วนของท่านให้ดิฉัน

ความศรัทธาพิเศษต่อแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ฯ 

ในเรื่องนี้พยานหลายคนก็ได้ให้การถึงสิ่งนี้ พยานลำดับที่เก้าได้ให้การว่า ฉันสังเกตว่าวันฉลองแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์จะเป็นวันแห่งความสุขของท่าน ท่านแสดงถึงสิ่งนี้ด้วยการให้ของขวัญแก่เด็ก ๆ และใช้เวลาทำกิจกรรมสันทนาการตลอดทั้งวัน ซึ่งในเรื่องความศรัทธานี้ ท่านจะเตรียมจิตใจของท่านเพื่อฉลองด้วยการอดอาหาร พลีกรรม และสวดวันทามารีย์สี่สิบบทติดต่อกัน 25 วัน

พยานอีกคนเล่าว่า ท่านสอนพวกเราว่าพระเจ้าทรงดูแลทุกความต้องการของเรา และสอนให้เราสวดบทภาวนาสั้นๆว่า ‘ข้าแต่พระมารดาของลูก ความวางใจของลูก ท่านแนะให้เราสวดมันบ่อย ๆ ระหว่างทำกิจการต่าง ๆ

ปรากฏการณ์พิเศษในอาราม

ใบหน้าเรืองแสงสว่าง

หลายต่อหลายครั้งใบหน้าของท่านจะเรืองแสงออกมาภายหลังท่านรับศีลมหาสนิท ซิสเตอร์โยฮันนา ซึ่งอยู่กับท่านให้การเป็นลายลักษร์อักษรว่า หลังจากรับศีลแล้ว เธอก็เข้าสู่ภวังค์ และใบหน้าของเธอก็สว่างขึ้น ฉันเป็นพยานถึงเหตุการณ์ดั่งกล่าวในมิสซาเสมอ ฉันชอบหันกลับไป และมองใบหน้าของเธอในเวลานั้น

กลิ่นหอมพิเศษ

หลาย ๆ คนที่เข้าใกล้ท่านมักได้กลิ่นหอมประหลาดฟุ้งออกมาจากตัวของท่าน ซิสเตอร์โยฮันนา เป็นพยานถึงปรากฏการณ์กลิ่นหอมเกิดขึ้นถึงสามครั้งที่วัดน้อย เมื่อท่านเปิดตู้ศีล และเชิญให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนประจำมาสวดภาวนาเป็นพิเศษร่วมกับท่าน 

อดีตเด็กหญิงที่พักอยู่ที่หอพักในอารามกุสิกกัตตุสเสรี เป็นพยานว่าเมื่อมีการรักษาอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน ก็จะบังเกิดมีกลิ่นหอมประหลาดให้ผู้คนที่ร่วมสวดอยู่กับท่านได้กลิ่น ดั่งเช่นคราวหนึ่งที่มีซิสเตอร์คนหนึ่งในอารามกุสิกกัตตุสเสรีป่วยเป็นไข้ทรพิษ และจวนเจียนจะสิ้นใจเต็มที ท่านก็นำซิสเตอร์และทุกคนในอารามที่ต่างพากันหวาดกลัวโรคร้ายจะแพร่ระบาดเข้าไปในวัดน้อยเพื่อสวดภาวนา ท่านได้ตรงไปเปิดตู้ศีลและสวดภาวนาร่วมกับทุกคนอย่างร้อนรน พวกเราทุกคนได้กลิ่นหอมหวานไปทั่วทั่ววัดน้อย ที่สุดซิสเตอร์ผู้นั้นก็หาย และไม่มีใครได้รับผลกระทบใด ๆ เลย พยานที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นกล่าวสรุป

รอยแผลศักดิ์สิทธิ์

ที่อารามท่านใช้วิธีปกปิดรอยแผลของท่านด้วยการสวมใส่เครื่องแบคณะยาว ๆ และกำมือไว้ มีพยานเล่าถึงเวลานั้นว่า ฉันรูเรื่องรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะมาบ้านของฉันตอนฉันอายุแปดขวบ ทำให้ฉันอยากเห็นมัน ดังนั้นเอง เมื่อคนอื่น ๆ กำลังคุยกับท่านอยู่ ฉันจึงผละออกมาจากแถวนั้นและมายืนอยู่ใกล้ ๆ ท่าน และมองไปที่ฝ่ามือของท่าน ข้ารับใช้พระเจ้าคงเข้าใจดีว่าฉันกำลังมองมันอยู่และฉันคิดว่าท่านก็อนุญาต ฉันเห็นหลังมือของท่านเป็นแผลเป็นตรงรอยแผล ซึ่งฉันพบว่ามันเป็นเหมือนกันทั้งที่มือและเท้าทั้งสองข้าง วันเดียวกันคุณป้าของฉันที่นอนอยู่ใกล้ ๆ ท่าน เห็นคราบเลือดเป็นรอยแบบมงกุฎหนามที่ผ้าคลุมศีรษะของท่าน ท่านเล่าให้ฉันฟังในวันถัดมา ซิสเตอร์อากาธา ที่คอยดูแลอาหารให้ข้ารับใช้พระเจ้า ยังเล่าให้ฉันฟังว่าเธอเคยเห็นท่านรับทรมานในระยะต่าง ๆ ของพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าอีกด้วย ประสบการณ์พระมหาทรมานของท่านเกิดในวันศุกร์เทศกาลมหาพรต

ข้าแต่ท่านนักบุญมารีอัม เทรเซีย ช่วงวิงวอนเทอญ



ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...