นักบุญอัลฟอนซา แห่ง การปฏิสนธินิรมล
St. Alphonsa
of the Immaculate Conception
องค์อุปถัมภ์ : ผู้เจ็บป่วย
วันฉลอง : 28 กรกฎาคม
‘อัลฟอนซา’ เป็นนามของหญิงชาวอินเดียคนแรก ที่ได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญในพระศาสนจักรคาทอลิก ท่านเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1910 ที่เมืองกุดามัลลูร์ ในรัฐเกราลา ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ท่านเป็นลูกคนที่สี่ของยอแซฟ มุททาธุปาดาทู มัททาทูพาดาทู กับ มารีย์ พูธุคารี ครอบครัวคริสตัง จารีตท้องถิ่นเกราลาอย่าง ‘ซีโรมลาพา’ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นคริสตังจารีตนี้คนแรก ที่ได้รับเกียรติยกขึ้นเป็นนักบุญได้เช่นกัน
มารดาของท่านคลอดท่านก่อนกำหนดในเดือนที่แปดของการตั้งครรภ์ท่านจากความตกใจกลัวอย่างสุดขีด
โดยเรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่ง เนื่องด้วยอากาสที่แสนจะร้อนอบอ้าว นางพูธุคารีซึ่งตั้งท้องท่านได้แปดเดือนจึงออกมานอนที่ชานระเบียงบ้านเพื่อรับลมที่พัดมา
แต่ขณะกำลังงีบหลับอยู่นั้นเอง พลันก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยมาจากไหนไม่รู้ แล้วเข้าไปรัดเอวนาง
จนพอที่จะทำให้นางสะดุ้งตื่น ซึ่งเมื่อนางเห็นว่าสิ่งใดปลุกนาง
สัญชาตญาณก็สั่งให้นางรีบขว้างงูนั้น แล้วเขวี้ยงไปให้ไกลตัวโดยพลัน
แต่แม้นงูจะไม่หยุดอยู่แล้ว นางก็ยังคงอยู่สภาพช็อคสุดขีด
จนทำให้ท่านคลอดก่อนกำหนดในที่สุด
กลับมาที่เหตุการณ์ของเราต่อ
ภายหลังจากลืมตาดูโลกได้แปดวัน ในวันที่ 26 สิงหาคม ท่านก็ได้รับศีลล้างบาป ด้วยนามว่า ‘อันนา
หรือ อันนากุตตี’ (อันนากุตตี แปลว่า อันนาน้อย) ณ วัดพระแม่มารีย์ กูดามาลูร์ แต่อนิจจาเพียงสามเดือนให้หลังจากที่ท่านเกิด
มารดาของท่านก็ถึงแก่กรรมลงอย่างสงบ ดังนั้นชีวิตนับแต่วันนั้นมา
ท่านจึงมีคุณตาคุณยายซึ่งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเอลุมพารัมบิลเป็นคนคอยเลี้ยงดูควบคู่ไปกับบิดาของท่าน
และก็ผ่านคุณยายผู้เคร่งและรักการภาวนา ในวัย 5 ปี
ท่านก็เริ่มเรียนรู้มันอย่างกระตือรือร้น
และเริ่มสวดภาวนาร่วมกับครอบครัวในทุก ๆ เย็นที่ห้องพระ
เมื่ออายุได้ 7 ปี ท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันที่
11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 ซึ่งเมื่อเล่าย้อนถึงวันนั้นในอีกหลายปีต่อมากับเพื่อน ๆ ของท่าน
ท่านก็เล่าว่า “เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงความสุขเป็นพิเศษในวันนี้
ก็เพราะฉันได้มีพระเยซูเจ้าในหัวใจไงละ” และแต่นั้นมา ท่านก็ไปมิสซาและรับศีลเป็นประจำทุกวัน
แม้จะไม่มีมารดาเช่นเด็กคนอื่น ๆ
บุคคลสำคัญที่คอยปลูกฝังความเชื่อให้ท่านก็คือ คุณยายของท่าน หญิงชราทั้งปลูกฝังความจงรักภักดีต่อพระนางมารีย์ มารดาของชาวเราและบรรดานักบุญทั้งหลาย
และยังคอยเล่าเรื่องราวของนักบุญต่าง ๆ ให้ท่านฟัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาและนักบุญดอกไม้น้อย ๆ แห่งลิซิเออร์ (นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู) จนทำให้ท่านมีความปรารถนาที่จะเป็นนักบุญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวันหนึ่งที่ได้พบท่านดอกไม้น้อย ๆ ได้ปรากฏมาหาท่านที่สวน และได้บอกท่านถึงความยิ่งใหญ่ของชีวิตการเป็นนักบวช ทั้งขอให้ท่านได้ดำเนินชีวิตเช่นนี้ นอกนั้นแล้วผ่านทางบิดา ท่านก็เรียนรู้วิธีพลีกรรมชดเชยบาป (คือ การคุกเข่าสวดบนก้อนกวด) อีกด้วย
ส่วนการศึกษาในโรงเรียน
ในปีเดียวกันที่ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรก ท่านก็ได้เริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมอาร์พุคคาระ
โธนนันคูซี ณ ที่นั่นท่านได้เพื่อนสนิทที่สุดเป็นชาวฮินดูชื่อ
ลักษมี ซึ่งได้เล่าในยามชราว่า “แม่จำอันนากุตติได้เสมอ แม่ไม่มีทางลืมเธอได้หรอก” ทั้งสองชอบไปเล่นด้วยกัน
และมักไปมาหาสู่กันมิได้ขาด ดังนั้นเธอจึงได้เป็นหนึ่งในประจักษ์พยานชีวิตอันน่าอัศจรรย์ของท่าน
ที่แม้เธอจะเป็นคนฮินดู เธอก็ยอมรับ
หนึ่งคำพยานเหล่านั้นก็คือเรื่องราวการอภัยของท่านกับเด็กชายเกเรที่แกล้งท่าน “มันเป็นเพราะนิสัยให้อภัยของอันนากุตตีนี้เองที่ทำให้เธอเป็นนักบุญ ไม่ใช่อย่างอื่นที่ทำ เธอเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย” เธอกล่าวสรุปเรื่อง
ท่านเรียนที่นั่นอยู่สามปี
ในปี ค.ศ. 1918 นางอันนัมมา มูริคคาน คุณป้าผู้เจ้าระเบียบที่รักและเอ็นดูท่าน ก็มารับท่านไปเรียนต่อในโรงเรียนที่หมู่บ้านมุททุชิรา
ทำให้นับแต่เวลานั้นมา ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นแม่ศรีเรือนที่เพียบพร้อมด้วยความรักจากนางอันนัมมาผู้เสมือนหนึ่งเป็นมารดาอีกคนของท่าน “อันนากุตติรักคุณป้าของเธอมาก” ลักษมีเล่า ดังเองอนาคตของท่านจึงถูกวางไว้ให้ออกเย้าออกเรือนไปกับชายที่เหมาะสมในเวลาที่สมควร
ซึ่งขัดกับความปรารถนาของท่านเสียจริง “เธอไม่ชอบการแต่งงาน เธอไม่ชอบแม้กระทั่งการได้ยินเรื่องแต่งงาน แต่คุณป้าของเธอก็พยายามจะทำมันให้ได้ เธอสงวนหัวใจของเธอไว้ให้กับพระเจ้าของเธออยู่ภายใน
เธอมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์”
ความเด็ดเดี่ยวครั้งนี้ของท่านไม่ไร้เปล่า
เพราะมันเป็นผลให้คุณป้าของท่านอนุญาตให้ท่านเข้าอารามคณะฟรานซิสกัน กลาริส คณะภคินีพื้นเมืองของเกราลาได้ อันนับเป็นการเสียสละครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ
จนเธอไม่อาจจะหักห้ามใจได้ และได้ตรอมใจตายในเวลาต่อมาด้วยความเสียใจ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ขอย้อนกลับมาหลังจากท่านได้รับอนุญาตเช่นนี้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของคุณพ่อยากอบ
มูริคเคน ในการติดต่ออาราม ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1927 ด้วยวัย 17 ปี ท่านจึงได้เข้านวกะสถานของคณะที่เมืองภาระนันกานัม
สังฆมณฑลปาลาย หลังจากนั้นในวันที่ 2 สิงหาคม ปีถัดมาท่านจึงได้รับผ้าคลุมศีรษะ
และกลายโปสตุลันต์ของคณะด้วยชื่อใหม่ว่า ‘ภคินีอันฟอนซาแห่งการปฏิสนธินิรมล’ ภายหลังจากวันฉลองนักบุญอัลฟอนโซ
“ท่านสวยเฉียบด้วยแก้มสีชมพูระเรื่อ” ชายชราอดีตนักเรียนคนหนึ่งเล่า “บางเวลาพวกเราขอให้เธอร้องเพลงให้ฟัง” ชายชราอีกคนเป็นพยาน “ตายังจำเพลงหนึ่งได้นะ
ท่านบอกว่าเพลงนี้คุณแม่ของท่าน (น่าจะคือคุณป้า
เพราะท่านมักเรียกคุณป้าว่าคุณแม่) เป็นคนสอนท่าน
ขณะท่านร้องดวงตาของท่านจะปริ่มน้ำตา – โปรดเสด็จมาเถิด องค์พระเยซูเจ้า
พระผู้ไถ่ที่รักยิ่งของลูก เสด็จเถิด เสด็จเถิด โปรดเสด็จมาในสวนแห่งดวงใจของลูก
โปรดประทับในตัวลูก และหลั่งเปลวไฟแห่งรักของพระองค์ โปรดครองราชย์ในตัวของลูก และสำแดงแสงสว่างแห่งสวรรค์ไปชั่วกาลนาน” อดีตนักเรียนคนเดียวกับที่ชมท่านว่าสวยเล่า “ท่านตีผมเบา ๆ และอธิบายว่าทำไมท่านถึงต้องลงโทษ เหตุการณ์นี้แหละที่ช่วยตาโตมาอย่างว่านอนสอนง่ายตลอดเวลา” ชายชราคนที่สองเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่เขาแอบโดดเรียนมาเล่นน้ำแล้วถูกท่านจับได้
ในฐานะนวกะท่านเขียนข้อตั้งใจของท่านในบันทึกส่วนตัวว่า “ดิฉันไม่ปรารถนาจะทำหรือพูดตามความชอบของดิฉัน ทุกคราที่ดิฉันทำผิด ดิฉันจะทำพลีกรรม … ดิฉันรารถนาจะเอาใจใส่ทุกคน ดิฉันจะพูดแต่คำพูดดีๆกับคนอื่นเท่านั้น ดิฉันปรารถนาจะบังคับตาของดิฉันจากความรุนแรง ดิฉันจะทูลขออภัยต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกครั้งเมื่อดิฉันปราชัย และจะชดเชยมันผ่านการทำพลีกรรม ไม่ว่าความทุกข์ของดิฉันจะเป็นเช่นไร ดิฉันจะไม่ขอบ่นและถ้ายามใดดิฉันได้รับความอับอาย ดิฉันจะมองหาที่ลี้ภัยในดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า”
ที่ภาระนันกานัมท่านได้รับหน้าที่ให้เป็นครูในโรงเรียนมัธยมสตรี
ระหว่างนั้นแม้จะไม่มีโรคร้ายที่เคยเกือบฆ่าชีวิตท่านไปมารุมเร้า แต่ก็มีอาการป่วยออด ๆ แอด ๆ รุมเร้าท่านตลอด ดังที่ท่านได้รับแจ้งแล้วในนิมิตร แต่ทุกวันท่านก็ไม่เคยแสดงให้ใครเห็นเลยว่าท่านกำลังเผชิญกับอาการป่วย ในยามกลางวันท่านดำเนินชีวิตเช่นบรรดาซิสเตอร์คนอื่น ๆ ที่มีสุขภาพแข็งแรง
แต่ในเวลากลางคืนที่ไม่มีใครเห็น ท่านก็ทนทรมานกับอาการป่วยจนหลายครั้งถึงขั้นนอนไม่หลับอยู่บ่อย ๆ
“รับทรมานด้วยความรักและความชื่นชมยินดีต่อมัน
นี่แหละคือทุกสิ่งที่ดิฉันต้องการบนโลกใบนี้” ท่านเขียนในจดหมายฉบับหนึ่ง
ท่านระลึกเสมอว่าทุกคนที่ทำให้เธอทุกข์ใจและความทุกข์ยากต่างล้วนเป็น
‘เครื่องมือพิเศษของพระเจ้า’
ซึ่งพระองค์ทรงประทานมาเพื่อทำให้ท่านศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นท่านจึงเพียรทนน้อมรับมันเสมอ
ครั้งหนึ่งพระสังฆราชได้มาเยี่ยมและถามท่านว่า “เธอทำอะไรระหว่างคืน” ทันทีท่านก็ตอบท่านกำลังอยู่ในห้วงแห่ง ‘รัก’
อยู่ หรืออีกคราวเมื่อมีภคินีรูปหนึ่งถามท่านในทำนองเดียวกัน ท่านก็ได้ตอบเธอไปว่า“ดิฉันกำลังทวีกิจการแห่งรักต่อดวงพระหฤทัยค่ะ” และที่สุดวันหนึ่งท่านก็รับการรักษาให้หายจากอาการป่วยออด ๆ แอด ๆ นี้อย่างน่าอัศจรรย์
ท่านจึงได้กลับมามีชีวิตปกติสุขเช่นซิสเตอร์คนอื่นๆ
แม้จะหายจาโรคแล้ว
การทดลองและความยากลำบากมากมาย ๆ ก็ถาโถมเข้ามาท่านโดยตลอด
แต่ทุกครั้งท่านก็สามารถที่จะเอาชนะมันและก้าวผ่านมันไปได้เสมอ ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ คือ การรักพระและเพื่อนพี่น้อง
ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น และส่งผ่านความงดงามของพระเจ้าที่ท่านได้ประสบภายในวิญญาณ ไปยังผู้คนรอบตัวท่านด้วยรอยยิ้มที่โอบอ้อมอารี
ซึ่งสะท้อนชัดถึงวิญญาณอันสุกใส จากการชิดสนิทกับพระเป็นเจ้าของท่าน
มารีย์ เชชี แม่ครัวประจำอารามที่สนิทกับท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านไปได้ผลโทงเทงฝรั่งสองผลมาจากครูที่โรงเรียน
ท่านจึงเรียกให้เธอไปพบและขอให้เธอนำผลโทงเทงฝรั่งที่ท่านได้มาไปทำชัทนีย์หรือแกงข้นอินเดียมาให้ท่านรับประทาน
พร้อมบอกว่าท่านไม่ชอบชัทนีย์ผลตะลิงปลิง ฝั่งมารีย์เมื่อรู้ความต้องการของท่านแล้วก็รับเอาผลโทงเทงมา
แล้วเอาไปย่าง แต่ด้วยภาระงานมากมาย เธอจึงลืมไปว่าย่างผลโทงเทงไว้ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีผลโทงเทงนั้นก็ไหม้เสียแล้ว
แต่ด้วยรับคำมาแล้ว เธอจึงใช้ผลตะลิงปลิงซึ่งมีรสเปรี้ยวเหมือนกันมาทำแทน (เหตุการณ์นี้เกิดหลังท่านล้มป่วยหนัก)
แต่ไม่ทันจะหายขาดได้นานเท่าใดในวันที่
14 มิถุนายน ค.ศ.1939 ท่านก็ล้มป่วยลงอีกครั้ง
คราวนี้ท่านมีไข้ขึ้นสูง จนไม่อาจทำอะไรได้ ซึ่งภายหลังเมื่อแพทย์ได้ทำการตรวจดูก็สรุปว่าท่านป่วยเป็นโรคปอดบวม
ดังนั้นท่านจึงต้องละจากงานทุกอย่างในอาราม และได้รับคำสั่งจากคุณแม่อธิการให้พักรักษาตัวอยู่ที่ห้องของท่านแทน
กุนเย็ตตัน
เล่าถึงเรื่องราวสมัยเด็กระหว่างท่านกับเขาว่า “ในปี ค.ศ.1938
ขณะพ่อกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.4 ที่โรงเรียนภาระนันกานัม ในเวลาช่วงพัก
พวกพ่อก็จะพากันไปเก็บชมพู่และผลหม่อนจากสวนของอาราม
วันหนึ่งขณะพวกพ่อทั้งสามไปที่นั่น พ่อก็พบพวกซิสเตอร์กลาริสนั่งเย็บเครื่องแบบสีน้ำตาลกาแฟอยู่
คุณแม่อธิการจึงสั่งห้ามพวกพ่อขว้างก้อนหิน
เขย่าและปีนต้นไม้ แต่ให้เก็บไปเฉพาะผลที่ล่วงลงมาเท่านั้น
พวกพ่อจึงเชื่อฟังคำสั่งนี้ในวันต่อๆไป วันต่อมาพวกพ่อก็กลับไปที่นั่นอีกครั้ง
คราวนี้พ่อไม่เห็นซิสเตอร์ในชุดน้ำตาลสักคน พ่อเห็นแต่ซิสเตอร์ในชุดขาวเพียงคนเดียว
ซิสเตอร์ที่กำลังป่วยจะได้ใส่ชุดสีขาว แต่ท่านก็ได้มองมาที่พวกพ่อ พวกพ่อจึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะ
ที่จะพยายามเด็ดชมพู่สักสองผล แต่ยังไงก็ไม่รู้คุณแม่ก็มาพบมัน ท่านจึงจับพวกพ่อได้คาหนังคาเขาและได้ดุพวกพ่อ
ฝั่งซิสเตอร์ชุดขาวจึงกวักมือเรียกพวกพ่อ พวกพ่อจึงเข้าไปหาท่าน”
หลังจากนั้นเพียงไม่นานหัวฝีที่ขาหนีบของท่านก็ลามใหญ่จนเป็นฝีขนาดใหญ่
สร้างความเจ็บปวดเหลือประมาณให้ท่านเป็นทวีคูณ ท่านเริ่มไม่สามารถอาหารใด ๆ ได้ และนับวันอาการของท่านก็มีแต่จะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ
จนถึงบรรดาซิสเตอร์ในอารามคิดว่าท่านคงใกล้จะสิ้นใจแล้ว
ดังนั้นจึงมีการจัดให้ท่านรับศีลเสบียง แต่ท่านรู้ดีว่านี่ไม่ใช่วาระสุดท้าย ท่านได้ทำนายว่าท่านจะผ่านเวลานี้ไปได้ในวันฉลองนักบุญเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ กล่าวคือในวันที่ 30
กันยายนซึ่งเป็นวันครบรอบมรณกรรมของนักบุญเทเรซา ท่านก็หายจากอาการร้ายเหล่านี้ รวมถึงได้รับพระพรให้สามารถอ่านภาษาทมิฬได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากการอ่านภาษามลายัม (ภาษาท้องถิ่นของรัฐเกราลา) ที่ท่านได้หลงลืมไป
นอกนี้แล้วเมื่อทราบว่าซิสเตอร์เทเรเซียและพระสังฆราชติดเชื้อมาลาเรีย ท่านก็ยกจิตใจของท่านขึ้นไปหาพระเจ้าเพื่อขอป่วยเป็นมาลาเรียแทนทั้งสอง เพราะทั้งสองยังต้องทำงานเพื่อพระศาสนจักรอีกมากมาย และพระเป็นเจ้าทรงมิได้ปฏิเสธคำขอของเจ้าสาวคนนี้ เพราะไม่นานเมื่อทั้งสองหากขาดจากไข้มาลาเรีย ท่านก็ติดเชื้อมาลาเรียแทน
ร่างของท่านถูกบรรจุในโลงอย่างเรียบง่ายและถูกฝังในวันรุ่งขึ้น กุนเย็ตตันเล่าว่า “พ่อยืนอยู่ใกล้ ๆ และมองเห็นทุกสิ่ง ท่านดูสวยมากในโลง
ท่านดูไม่เหมือนคนตายสักนิด เมื่อท่านยังมีชีวิต
ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่าท่านเป็นคนสวยมาก ๆ ท่านมีพระพรที่พิเศษจริง ๆ
พวกเรามีภาพถ่ายของท่านขณะมีชีวิตอยู่สี่ถึงห้าใบ แต่ไม่รูปใดเลยที่จะสะท้อนความงามจริง ๆ ของท่านเลย
มันมีเอกลักษณ์มาก ๆ
ดังนั้นพ่อขอสรุปว่าความงามของท่านนั้นเป็นประจักษ์พยานถึงพระหรรรษทานพิเศษของพระเจ้าในตัวท่าน
กล้องไม่อาจบันทึกความงดงามของพระเจ้าไว้ได้”
“ด้วยความเชื่อมั่นสุดหัวใจพ่อ พ่อขอยืนยันว่าพวกเรากำลังได้ร่วมในพิธีปลงศพของนักบุญ
เมื่อใดก็ตามที่โลกตระหนึกได้ถึงคุณค่าแท้จริงของเธอ
ผู้คนมามายเป็นประวัติการณ์จากทั่วอินเดียจะพากันมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้
พ่อมั่นใจเท่ากับมนุษย์คนหนึ่งจะสามารถตัดสินใจได้ ว่าภคินีน้อยผู้นี้มิได้ศักดิ์สิทธิ์น้อยไปกว่าดอกไม้น้อยๆแห่งลิซิเออร์เลย … ภาระนันกานัมอันเป็นฝังร่างไร้วิญญาณของเธอจะกลายเป็นสักการสถาน
ซึ่งหากแม้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว
สถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นลิซเออร์ของอินเดีย” – บทเทศน์ของคุณพ่อโรมารุส
คุณพ่อวิญญาณของท่าน ในพิธีปลงศพของท่าน
หลายปีต่อมาภายหลังจากการจากไปของท่าน
เสียงดำรัสหนึ่งก็ตรัสขึ้นในพิธีมิสซาโดยบุรุษผู้หนึ่งว่า “ท่านได้เข้ามายังความรักต่อความทุกข์ทรมาน
เพราะท่านรักความทรมานของพระคริสตเจ้า ท่านได้เรียนรู้ความรักต่อไม้กางเขนผ่านความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขน” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของใครที่ไหน แต่คือพระสุรเสียงของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ที่ตรัสเทศน์ในโอกาสสถาปนาซิสเตอร์อันฟอนซาแห่งการปฏิสนธินิรมลและคุณพ่อคูริอาคอส
เอลีอาส ชาวาราขึ้นเป็นบุญราศี ในวันเสาร์ ที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1986 ณ ปรำพิธีชั่วคราว สนามกีฬานาฮรู
เมืองก็อตตายัม ประเทศอินเดีย ภายหลังจากเหตุการณ์อัศจรรย์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านได้รับการพิสูจน์
และที่สุดในวันที่
12 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ซิสเตอร์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ ก็ได้เป็นศักดิ์ศรีแก่ประเทศอินเดีย
เมื่อดำรัสแต่งตั้งนักบุญของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 จบลงภายหลังการทูลขอการแต่งตั้งบุญราศีอัลฟอนซาขึ้นเป็นนักบุญ พร้อมกันนั้น พระองค์ได้ตรัสเทศน์ถึงท่านว่า “ภคินีอัลฟอนซาเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมมาก
ท่านมั่นใจว่าการรับทรมานทั้งทางกายและทางใจจะเป็นหนทางนำเราไปสวรรค์
ท่านเชื่อว่าสิ่งนี้ (ความทุกข์ทั้งกายและใจ) คือชุดวิวาห์ที่พระบิดาเจ้าทรงประทานให้ เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับคำเชิญเข้างานมงคลสมรส
ท่านได้มอบชีวิตของตนให้เป็นของพระคริสตเจ้า และตอนนี้ ท่านได้ร่วมสุขในงานเลี้ยงด้วยเนื้อวัวอ้วนพีและเหล้าองุ่นในอาณาจักรสวรรค์แล้ว”
ซึ่งหากเรามองดี ๆ จากมุมมองของผู้แปลแล้วชีวิตของท่านก็เหมือนปลาคาร์ฟในความเชื่อสืบทอดมาแต่โบราณในประเทศจีนที่ว่า
ที่ ณ ต้นน้ำของแม่น้ำฮวงโห จะเป็นช่วงที่กระแสน้ำมีความเชี่ยวกรากเป็นอย่างยิ่ง
ปลาทุกตัวที่ว่ายทวนน้ำขึ้นไป จะถูกกระแสน้ำพัดตกลงมาตายหมดทุกตัว จะมีก็แต่เพียงปลาคาร์ฟเท่านั้น
ที่สามารถว่ายทวนน้ำตกขึ้นไปได้ ปลาคาร์ฟที่ว่ายทวนขึ้นกระแสน้ำขึ้นไปถึงประตูมังกร
จะกลายร่างเป็นมังกร และบินไปสู่สรวงสวรรค์ เปรียบกับท่านที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค์มากมายในชีวิตของท่านไม่จะเรื่องต่างมากมาย
แต่สุดท้ายท่านก็มาถึงฝั่งฝันและได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่จากพระสวามีเจ้าของท่าน
คือชีวิตนิรันดร์กาล
“พระเยซูเจ้าทรงเป็นคู่ชีวิตคนเดียวของฉัน
และไม่มีใครอื่นอีก”
ท่านบอกกับพี่สาวของท่าน เมื่อท่านอายุได้ 12 ปี
ข้อมูล/อ้างอิง
http://www.vatican.va/news_services/liturgy/saints/2008/ns_lit_doc_20081012_alfonsa_en.html