
นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

หลังการประจักษ์ทั้งสาม
ทั้งสามยังคงเจริญชีวิตเช่นปกติ คือ ทั้งสามยังคงต้อนฝูงแกะของครอบครัวออกไปหากิน แต่เพียงเลี่ยงไปทางอื่นที่คนไม่ค่อยจะผ่านเพื่อหลีกหนีจากคำถามยืดยาวไม่รู้จบและการถากถางเยาะเย้ยอย่างไร้สาระ
มีวันหนึ่งหลังปล่อยแกะให้กินหญ้าตามอัธยาสัย ลูเซียได้ถามยาซินทาว่า “ยาซินทา น้องคิดอะไรอยู่ตอนนี้”
ฝั่งยาซินทาที่นั่งอยู่กับพื้นจึงเงยหน้าที่ฉายแววความเศร้าขึ้นมาพร้อมตอบว่า “หนูคิดถึงนรกและคนบาปผู้น่าสงสารที่ไปยังที่นั่น
โอ้ พี่ลูเซีย หนูสงสารวิญญาณพวกนั้นเหลือเกิน มีมนุษย์ถูกเผาที่นั่นเหมือนถ่านไฟ
หนูสงสัยว่าทำไมหนอแม่พระจึงไม่แสดงนรกให้กับผู้คนเหล่านั้นที่ได้ทำบาป
ถ้าพวกเขาได้เห็นมัน พวกเขาจะไม่หยุดทำบาปงั้นหรือ พี่ลูเซีย
ทำไมพี่ไม่ขอให้แม่พระแสดงนรกให้พวกเขาเห็นละ”
“พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย”
ลูเซียตอบลูกพี่ลูกน้องอย่างเรียบง่ายและเศร้าสร้อย
พลางมองญาติผู้น้อยปล่อยน้ำตาหยดใส ๆ ไหลออกมาตามอารมณ์ และเปลี่ยนมาคุกเข่าแล้วสวดบทภาวนาที่สตรีปริศนาสอนซ้ำไปซ้ำมา “ข้าแต่พระเจ้า โปรดอภัยบาปของลูกทั้งหลาย…” ก่อนเธอและฟรังซิสโกจะละจากแกะที่กำลังเล็มหญ้าไปตามประสา
แล้วมาก้มกราบพร้อมสวดร่วมกับยาซินทาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย “พี่ลูเซีย พี่ฟรังซิสโก
พวกเราต้องไม่หยุดสวดเพื่อช่วยวิญญาณที่น่าสงสารทั้งหลาย เพราะมีวิญญาณมากมายต้องไปนรก” ยาซินทาเคยกล่าวไว้
วันหนึ่งฟรังซิสโกที่ประทับใจต่อเหตุการณ์ในวันที่
13 มิถุนายนยังมิหาย
ก็อดสงสัยที่จะถามลูเซียไม่ได้ว่า “ทำไมแม่พระถึงถือดวงหทัยของพระนางซึ่งฉายแสงที่พวกเรารู้ดีว่าคือพระเจ้า
ทำไมเธอถึงอยู่ในแสงที่ส่องลงมาที่โลก ขณะที่เรากับยาซินทาอยู่ในแสงที่ส่องขึ้นสู่สวรรค์ละ” ลูเซียจึงเฉลยความหมายของแสงนั้นว่า “ก็เพราะนายกับยาซินทาจะได้ไปสวรรค์เร็ว ๆ นี้
ส่วนเราพร้อมกับดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ก็ยังต้องอยู่บนโลกนี้อีกนาน” แต่ฟรังซิสโกก็ยังไม่หายสงสัย เขาจึงถามต่อว่า “เธอต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน” ลูเซียก็ตอบตามจริงว่า “เราก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะ” แต่แค่นี้ก็อาจจะดับความข้องใจของฟรังซิสโกได้
เขาจึงมิวายถามต่อ “แม่พระไม่ได้บอกเธอหรือ” ฝั่งลูเซียแถลงตอบ “ใช่แล้ว และเราก็เข้าใจมันผ่านแสงที่ส่องลงมายังหัวใจของพวกเรา”

ส่วนเรื่องการพลีกรรมในช่วงนี้ลูเซียจดจำได้ว่า
วันหนึ่งเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้แนะมารดาของลูเซียให้พาแกะไปที่ทุ่งหญ้าที่หนึ่งซึ่งอุดมสมบูรณ์
ซึ่งแม้ว่ามันค่อนข้างจะตั้งอยู่ไกลบ้านพอสมควรและฤดูนี้ทางยุโรปก็เป็นฤดูร้อน นางมาเรียก็รับข้อเสนอนี้
และได้กำชับลูเซียก่อนไปว่าให้หาที่ร่ม ๆ ใต้ต้นไม้ใกล้บ่อน้ำเป็นที่พักหลบแดด
และเมื่อถึงเวลาจริง ๆ ขณะทั้งสามเดินทางไปที่นั่น ทั้งสามก็พบกลุ่มเด็กกลุ่มเดิม
และแน่นอนยาซินทาก็ไม่ช้าที่จะนำอาหารกลางวันไปมอบให้พวกเขาเช่นปกติ
จนเมื่อถึงที่หมายทั้งสามก็ปล่อยแกะให้เล็มหญ้าไป “มันเป็นวันที่ฟ้าเปิด แต่ดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า
ซึ่งในท่ามกลางทุ่งหญ้าอันแห้ง แสนรกร้าง กลับดูจะเผาทุกสิ่งให้เป็นจุล” ลูเซียเล่าย้อนไปถึงสภาพอากาศในวันนั้น
และก็ตามทมที่ลูเซียบรรยายถึงสภาพอากาศ วันนั้นทั้งสามต่างกระหายน้ำมาก แต่บริเวณนั้นก็ไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดเดียวที่ให้ทั้งสามได้ดื่ม
ดังนั้นแรก ๆ ทั้งสามจึงยกถวายความทุกข์ยากนี้เป็นเครื่องพลีกรรมเพื่อบรรดาคนบาปอย่างไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง

แต่เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ยามบ่าย
ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุที่ทวีขึ้นตามเวลา ทั้งสามก็ไม่อาจจะทนอดน้ำต่อไปได้
ประจวบเหมาะพอดีว่าแถว ๆ นั้นมีบ้านหลังหนึ่งอยู่พอดี
ตัวลูเซียที่เห็นจึงตัดสินใจบอกกับฟรังซิสโกและยาซินทาว่าตนจะไปขอน้ำเล็กน้อยจากบ้านหลังนั้น
ฝั่งสองพี่น้องที่คอแห้งไม่ต่างกันก็ต่างเห็นดีด้วย ดังนั้นเอง ลูเซียจึงรีบไปที่บ้านหลังนั้น
ซึ่งพอหญิงชราเจ้าของบ้านทราบความต้องการของผู้มาเยือน นางก็จัดหาน้ำให้เหยือกหนึ่งพร้อมแถมขนมปังไปอีกนิดหน่อย
ฝั่งลูเซียก็รับของเหล่านั้นมาด้วยความรู้สึกขอบคุณ
แล้วจึงรีบกลับมาหาญาติทั้งสองคนที่รอท่าอยู่
เมื่อถึงเธอรีบยื่นเหยือกและบอกให้ฟรังซิสโกดื่มก่อน
แต่แทนที่เขาจะดื่ม ฟรังซิสโกกลับตอบกลับลูเซียว่า “เราไม่เอา” ฝั่งลูเซียจึงถามถึงเหตุผล ฟรังซิสโกจึงแถลงกับมาว่า “เราอยากรับความทุกข์ทรมานเพื่อการกลับใจของคนบาปน่ะ” ลูเซียจึงหันไปหายาซินทาพร้อมบอก “น้องต้องดื่มนะ ยาซินทา”
ฝั่งยาซินทาเอง ที่แม้จะหิวน้ำแค่ไหน แต่ด้วยดวงใจที่กว้างใหญ่ของเธอ
เธอก็ตอบกลับลูเซียมาว่า “แต่หนูอยากถวายพลีกรรมนี้เพื่อคนบาปเหมือนกัน”
เห็นเหตุการณ์ดังนี้ ลูเซียจึงตัดสินใจเอาน้ำในเหยือกไปเทไว้ในโพรงหินแถวนั้นเพื่อให้แกะได้ดื่ม ก่อนจะเอาเหยือกกับไปคืนหญิงชรานางนั้น แต่เหตุการณ์วันนี้ยังไม่จบ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เสียงจิ้งหรีดเรไร เสียงตั๊กแตน ผสานเสียงกบในบ่อแถว ๆ นั้นก็ระงงเซ็งแซ่ไปทั่ว ตัวยาซินทาที่อยู่ในภาวะที่ขาดน้ำขาดอาหาร ก็สุดจะทนกับเสียงเหล่านี้ได้ “ช่วยไปบอกเจ้าจิ้งหรีดและเจ้ากบให้เงียบทีจะได้ไหม น้องเจ็บหัวไปหมดแล้ว” เธอเอ่ยขึ้นอย่างง่าย ๆ ตามความรู้สึก “น้องไม่อยากถวายความทุกข์ยากนี้เพื่อคนบาปหรือ” ฟรังซิสโกเอ่ยถามน้องสาวที่บ่นปวดหัว ฝั่งยาซินทาเมื่อได้ฟังพี่ชาย ก็ตัดสินใจจะยกถวายความทุกข์นี้เป็นพลีกรรม เธอใช้สองมือน้อย ๆ มาจับหัวพร้อมพูดตอบพี่ชายไปว่า “อยากสิ งั้นก็ให้พวกมันร้องต่อไปละกัน”
ผู้คนมากมายกับคำถามชวนปวดหัว

ข่าวการประจักษ์มีผลต่อเด็ก ๆ ทั้งสามยิ่ง
ไม่เพียงต่อการมีจิตใจที่ร้อนรนในการน้อมรับกางเขนต่าง ๆ ดั่งที่เล่าไปเสียมาก
แต่ยังผลถึงการดำรงชีวิตที่แสนปกติของทั้งสาม กล่าวคือเมื่อข่าวยิ่งแพร่ไป ผู้คนต่างถิ่นมากมายก็หลั่งไหลมาหาเด็กเลี้ยงแกะผู้เห็นแม่พระที่โควา
นายมานูเอลเป็นพยานว่ามีพวกสตรีชอบพากันมาเพื่อหวังจะล่วงรู้ถึงความลับที่ทั้งสามเก็บซ่อนไว้
หรือเพื่อถามคำถามจุกจิกมากมาย โดยพวกนางทั้งคุกเข่าอ้อนวอนบ้าง
ติดสินบนด้วยเงินทองบ้างกับยาซินทา ชนิดไม่สนเวลาว่าตอนนั้นครอบครัวมาร์โตจะทำอะไรอยู่
แต่กระนั้นพวกนางก็ไม่เคยได้ล่วงรู้ความลับเลย (เขากล่าวติดตลกในเรื่องนี้ว่า “ทุกคนต่างแต่งกายด้วยชุดแฟนซีของพวกเขา และมีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน”)
ส่วนพวกสุภาพบุรุษ
ช้างเท้าหน้านะหรือ เอาเป็นว่าแค่เรื่องศาสนาบางทีพวกเขาก็แทบจะไม่เชื่ออยู่แล้ว
ยิ่งเป็นเรื่องการประจักษ์แบบนี้พวกเขายิ่งไม่เชื่อเข้าไปอีก
เช่นนั้นการที่พวกเขาเดินทางมาหาบรรดาเด็ก ๆ จึงไม่ใช่การมาเพื่อถามอย่างศรัทธาหรืออะไรแบบพวกผู้หญิงที่ดูจะแต่งตัวแปลก (แต่ก็ถามมีสาระ) แต่เป็นการมาถามเพื่อเอาสนุกเข้าว่า นายมานูเอลให้ข้อสังเกตเรื่องนี้ว่า
“พวกเขามาเพียงเพื่อเล่นสนุกกับชาวบ้านธรรมดา ๆ อย่างพวกเราที่ไม่รู้วิธีอ่านเขียน”

“คำถามที่พวกเขาถาม บางครั้งก็เป็นเรื่องน่าละอาย ประมาณว่า
‘แม่พระมีแกะกับแพะไหม’ ‘แม่พระกินชีสไหม’ คนช่างจินตนาการเหล่านี้มีคำถามที่คนโง่ยังไม่คิดจะถาม” นายมานูเอลเล่า
แต่ก็เหมือนพระเป็นเจ้าจะทรงประทานพระพรในการหยั่งรู้ให้กับทั้งสาม
เพราะนายมานูเอล บิดาของยาซินทาได้เล่าว่าเมื่อมีคนที่จะมาหาทั้งสามหมายจะมาถามคำถามอันไร้แก่นสารเพื่อความสาแก่ใจ
ทั้งสามก็จะพากันไปซ่อนก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะทันเอาเท้าย่างเข้ามาในบ้านเสียอีก
เช่นครั้งหนึ่งมีครอบครัวที่อยากรู้อยากเห็นถึงกับขับรถคันใหญ่มาถึงบ้านของนายมานูเอล
แต่ยังไม่ทันจะเข้ามากันครบ “แต่เหมือนเล่นกล
เพราะเด็ก ๆหายไป” นายมานูเอลเล่าถึงความทรงจำอันชวนขบขัน “ลูเซียไปหลบใต้เตียง ฟรังซิสโกขึ้นไปหลบที่ห้องใต้หลังคา
แต่ยาซินทาของฉัน ผู้เชื่องช้า ถูกจับได้เสียก่อน ฉันจำได้ว่าเมื่อครอบครัวนั้นกลับกันไป
ลูเซียจึงออกจากที่ซ่อนมาพูดกับยาซินทาว่า ‘น้องบอกอะไรเขาไปเมื่อเข้าถามหาพี่’ ‘ทำไมถามงั้นละพี่ หนูไม่ได้บอกอะไรเลย
วางใจได้เลยพี่ลูเซีย หนูควรทำยังไงดีละ หนูรู้ว่าพี่อยู่ที่ไหนและการโกหกก็เป็นบาป
แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนเขลาสักหน่อย’”
คนอีกกลุ่มที่เข้ามาพบทั้งสามก็และเป็นคนที่จัดว่าเหมือนหายนะ สำหรับความสงบในบ้านสำหรับนายมานูเอล ก็คือ ‘บรรดาพระสงฆ์’ บรรดาคุณพ่อเหล่านี้ “ถามและถามพวกเรา แล้วถ้าเกิดยังไม่พอใจ พวกท่านก็เริ่มถามจากตั้งแต่แรกอีก” ลูเซียเขียนเล่า และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เมื่อทั้งสามเห็นพระสงฆ์มาบ้าน ทั้งสามก็จะพยายามซ่อนตัว เพราะไม่อยากจะตอบคำถามที่น่าเบื่อเหล่านี้ แต่ก็เถอะ ถ้าคราวใดหนีไม่พ้นจริง ๆ ทั้งสามก็จะยกการพบพระสงฆ์เหล่านี้เป็น‘เครื่องพลีกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุด’
(ลูเซียเขียนเช่นนี้จริง ๆ )
มาถึงจุดนี้ผู้อ่านคงคิดว่าการมาของผู้แสวงบุญช่างสงใสเหล่านี้สร้างความทุกข์ไม่น้อยแก่ทั้งลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทา แต่จะกล่าวเช่นนั้นเสียทั้งหมดก็หาถูกไม่ เพราะคุณพ่อบางองค์ที่มาเยี่ยมทั้งสาม บางท่านก็ได้มอบสิ่งดี ๆ ให้ทั้งสาม อาทิ คุณพ่อท่านหนึ่งได้เคยบอกกับลูเซียว่า “หนูต้องรักพระให้มาก ๆ เพราะพระหรรษทานและผลนานาที่พระองค์ประทานแก่หนูนะ” ส่วนคุณพ่อสององค์ก็เคยสอนทั้งสามให้สวดเพื่อพระสันตะปาปา จนจุดประกายความรักต่อองค์สันตบิดรในดวงใจของยาซินทาไปอีกด้วย
ความบีบคั้นของครอบครัวซานโตส
ไม่เพียงแต่ครอบครัวซานโตสจะต้องเผชิญกับความอับอายถึงเรื่องสตรีปริศนาที่โควา แต่ยิ่งผู้แสวงบุญมากขึ้นเท่าไรครอบครัวซานโตสก็ต้องพบกับปัญหาใหม่ที่ตามมานั่นก็คือ ‘ปัญหาปากท้อง’ เพราะแปลงผักเล็ก ๆ ของครอบครัวที่โควา แหล่งอาหารประจำวันของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ถั่ว มะกอก และผลโอ๊ค ต่างถูกผู้แสวงบุญเหยียบย้ำทำลายด้วยความไม่ตั้งใจ ชนิดที่ว่าไม่อาจจะนำพืชผลธัญญาใด ๆ มาลงปลูกได้อีก “คุณแม่ของดิฉันไม่สนความรู้สึกของดิฉันเลย ท่านได้แต่คร่ำครวญ ท่านเคยบอกกับดิฉันว่า ‘เมื่อลูกต้องการอะไรมากิน ลูกก็ไปขอสตรีคนนั้นของลูกก็แล้วกัน’ ส่วนพี่สาวของดิฉันเคยก็บอกว่า ‘น้องก็ไปเอาที่โควา ดา อิเรียเสียซิ’” ลูเซียเขียนเล่าถึงช่วงเวลาอันแสนบีบคั้นหัวใจของเธอ เวลาที่ความกลัวได้ไล่ล่าลูเซียอย่างหนัก ชนิดเธอไม่กล้าแม้แต่จะหยิบขนมปังที่โต๊ะกินข้าว

นอกนี้จากการที่มีฝูงชนมากมายพากันมาหาลูเซีย
ก็ยังส่งผลให้บรรดาพี่สาวของลูเซียที่หารายได้เสริมมาจุนเจือครอบครัวด้วยการรับจ้างเย็บผ้าและทอผ้าไม่อาจจะได้ทำงานเหล่านี้อย่างเต็มที่
เพราะต้องออกไปเลี้ยงแกะแทนลูเซียที่ถูกผู้แสวงบุญตั้งคำถามมากมายชวนปวดหัว ไม่พอช่วงนี้พี่สาวลูเซียยังจำได้ว่า
มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งมาบอกกับนางมาเรีย ว่าหล่อนไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสามยังบอกว่าตนเห็นแม่พระ
เพราะหล่อนไปเห็นลูเซียได้เงินตั้งสิบเซนต์จากสตรีนางหนึ่ง
ฝั่งนางมาเรียพอรู้เช่นนี้ก็รีรอ นางรีบเรียกลูเซียมาถามว่าเป็นความจริงไหม
ฝั่งลูเซียก็บอกว่าสตรีคนนั้นให้เงินเธอแค่ห้าเซนต์ ไม่ใช่สิบเซนต์
แต่นางมาเรียก็ไม่เชื่อ ซ้ำยังตีบุตรสาวด้วยด้ามไม้กวาดพร้อมบอกว่าคนที่กล้าโกหกเรื่องเล็ก ๆ ได้ก็กล้าโกหกเรื่องใหญ่ ๆ ได้เช่นกัน
จนตีเสร็จยาซินทาก็มาถึง และบอกกับนางมาเรียว่าเธอต่างหากที่ได้เงินสิบเซนต์
ไม่ใช่ลูเซีย
ลูเซียต้องพบคำเยาะเย้ยคำถามถางนานาทั้งจากนางมาเรีย
แม่บังเกิดเกล้า และจากสตรีคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านที่ไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะได้จิกกัดให้พลาดไปแม้แต่นาทีเดียว
ผิดกับสองพี่น้องมาร์โตที่นายมานูเอลคอยปกป้องทั้งสอง
จึงไม่มีใครมาทำอะไรสองพี่น้องเท่าไร
แต่กระนั้นตัวยาซินทาก็อยากจะประสบเช่นเดียวกับลูเซียมากกว่า “หนูหวังให้คุณพ่อคุณแม่ของหนูเป็นเหมือนของพี่จัง
แล้วหนูจะได้ถูกตีเช่นกัน และหนูก็ได้มีพลีกรรมแบบอื่นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” ยาซินทาเปรยถึงความปรารถนากับลูเซีย
“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”