นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
ภาพนิมิตนรกซึ่งไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำและคำขอของพระมารดาเร่งเร้าจิตใจของทั้งสามให้รุกร้อนเป็นไฟ ทั้งสามต่างสวดภาวนาไม่หยุดหย่อน และได้เริ่มแสวงหาวิธีพลีกรรมแบบใหม่เพื่อบรรลุถึงเป้าหมาย ทั้งสามทั้งสวดภาวนาและปฏิบัติตามแบบอย่างที่ทูตสวรรค์ได้สอนทั้งสามเป็นเวลานาน ๆ ณ ที่เดียวกับที่แรกที่ทูตสวรรค์ได้ประจักษ์มา นั่นคือ กาเบโซ กระทั่งเกินขีดที่จะรับไหว ทั้งสามจึงจะลุกขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะนั่งพัก เพราะทันทีทั้งสามก็จะรีบควักสายประคำมาสวดตามแบบที่แม่พระสอนต่ออย่างร้อนรน
นอกจากนี้ทั้งสามยังเริ่มทำกิจใช้โทษบาปที่ชวนให้เรานึกถึงแบบฉบับของบรรดาปิตาจารย์ในทะเลทรายในอดีตอย่างลับ ๆ ด้วยความหวังว่าจะช่วยเปิดประตูสวรรค์ให้กับบรรดาผู้ที่หลงทาง อาทิ ในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนแบบที่เรียกว่าแบบไทยๆว่า ‘ร้อนแบบระเบิดระเบ้อ’ ทั้งสามก็จะมิดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย มีครั้งหนึ่งเราได้เห็นน้ำใจที่เด็ดเดี่ยวของยาซินทาในการจะช่วยคนบาปด้วยวิธีนี้
โดยมีอยู่ว่าวันหนึ่งระหว่างกลับจากโควา ขณะทั้งสามผ่านบ่อน้ำที่มีชื่อว่า ‘กาเรยรา’ ซึ่งมีน้ำสกปรก สตรีบางคนชอบมาใช้น้ำที่นี่ไปซักผ้า ส่วนชาวบ้านอีกหลายคนก็ชอบเอาสัตว์มากินน้ำที่บ่อนี้ ยาซินทาซึ่งมีอาการอ่อนเพลียมากก็บอกกับลูเซียว่า “หัวของหนูเจ็บไปหมดแล้ว พี่ลูเซีย หนูหิวน้ำเหลือเกิน หนูคิดว่าหนูจะดื่มน้ำเสียที่นี่” ลูเซียจึงรีบปรามว่า “ไม่ใช่จากที่นี่นะ ยาซินทา ได้โปรดเถอะ แม่ของพี่ห้ามทำอย่างนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ท่านบอกว่ามันอาจทำให้พี่ป่วยได้เลยนะ พวกเราไปต่อและหาน้ำสะอาด ๆ กินได้นะ” ฝั่งยาซินทาก็ตอบว่า “หนูไม่ต้องการน้ำดื่มสะอาดหรอก ถ้าหนูต้องดื่มบ้างสิ่งหนูจะดื่มน้ำนี้ และยกถวายมันต่อแม่พระ”
หรือการรับผลไม้สดๆที่อุดมไปด้วยสารอาหารและน้ำผลไม้ที่ชุ่มช่ำ ลูเซียเล่าว่าเมื่อยาซินทาได้ผลองุ่นหรือผลมะเดื่อมาจากมารดา เธอจะไม่กินแต่จะซ่อนไว้ แล้วนำมาให้เด็กคนอื่น ๆ ที่เธอพบตามทาง เรื่องนี้จึงนับเป็นอีกเรื่องที่ย้ำเตือนถึงน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวของยุวนักบุญผู้ซ่อนเร้นผู้นี้
ไม่เพียงเท่านั้นทั้งสามยังเอาเชือกมามัดไว้รอบเอว โดยมีที่มาจากว่า วันหนึ่งลูเซียเผอิญไปเจอกับเส้นเชือกเส้นหนึ่งถูกทิ้งไว้ ด้วยความคิดแบบเด็ก ๆ ที่อยากรู้อยากลอง เธอจึงเอามันมาลองรัดที่แขนดูก็ปรากฏว่ามันสร้างความเจ็บปวดให้เธอพอควร เมื่อรู้เช่นนั้น ลูเซียจึงหยุดคิดชั่วครู่ แล้วจึงพูดกับสองพี่น้องมาร์โตว่า “นี่เป็นสิ่งที่พวกเราใช่พลีกรรมได้นิ พวกเราสามารถเอามันไปผูกแบบนี้ และสวมมันไว้รอบเอวของพวกเราได้” ฝั่งทั้งสองเมื่อฟังก็เห็นดีเห็นงามด้วย ดังนั้นนับแต่วันนั้นมาทั้งสามจึงรัดเชือกรอบเอวไว้ตลอดไม่จะยามไหน
ลูเซียเล่าภายหลังว่าการพลีกรรมเช่นนี้สร้างความเจ็บปวดให้พวกเธออยู่มากโข มากชนิดให้ทำยาซินทาไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ เธอเล่าต่อว่า “ถ้าพวกเราพยายามขอให้เธอแกะมันออก เธอก็จะรีบสวนขึ้นทันควันว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแกะมันออกสักหน่อย เพราะมันเป็นไปก็เพื่อการกลับใจของคนบาป”
การประจักษ์ครั้งที่ 5 วันที่ 13 กันยายน
ล่วงเข้าสู่เดือนกันยายน จิตใจของทั้งสามก็ยิ่งกระวนกระวายใจและร้อนรุ่มถึงการมาตามสัญญาของสตรีผู้ยังไม่เคยเผยนามยิ่งขึ้น เพราะการมาของเธอในอาภรณ์อันสุกสว่างนำมาซึ่งความรัก ความหวัง และความเชื่อให้ทั้งสาม เสมือนหนึ่งหยาดน้ำทิพย์จากสวรรค์ที่ชุบชูหัวใจที่เหนื่อยล้าจากการทดลองนานาที่ยิ่งทวีขึ้นตามวันและเวลา อันคือการดูถูกที่สาดเทเข้ามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
และเมื่อถึงวันตามกำหนดของสตรีปริศนาที่หลาย ๆ คนไม่เว้นทั้งสามเชื่อว่าคือแม่พระ ผู้คนมากมายประมาณสามหมื่นคนก็พากันเดินทางมายังแอ่งโควา ดา อิเรีย พยานคนหนึ่งในวันนั้นเล่าว่า “มันเป็นการแสวงบุญที่สมชื่อ เป็นภาพเคลื่อนไหวที่จับใจ ตลอดชีวิตฉันไม่เคยเห็นการแสดงความศรัทธาเช่นนี้มาก่อน ตรงบริเวณที่เกิดการประจักษ์ ผู้ชายทุกคนต่างถอดหมวกออก เกือบทุกคนต่างคุกเข่าลงและสวดลูกประคำอย่างศรัทธา” (วันนี้มงซินญอร์ ยวง ฟรังซิสโก กัวเรสมา ผู้แทนสันตสำนักของสังฆมณฑเลยเรียที่ฟาติมาอยู่ในเขตปกครอง ไปเป็นสักขีพยานด้วย)
ในวันดั่งกล่าวจัดเป็นวันที่วุ่นวายอีกวันสำหรับลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทาเพราะบรรดาผู้แสวงบุญพยายามจะบุกเข้าไปในบ้านของสองครอบครัว เพื่อหวังจะฝากคำภาวนาให้ไปทูลต่อสตรีปริศนานั้น และยิ่งถึงเวลาออกเดินทางไปยังโควาเพื่อพบกับสตรีผู้งดงามในเวลาเที่ยงวัน ผู้แสวงบุญก็ยิ่งพากันเบียดเสียดเข้าใกล้ ๆ ทั้งสามไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี หรือชาวบ้านตาสีตาสาก็ต่างหวังจะฝากคำภาวนาไปกับทั้งสาม บ้างที่เข้ามาใกล้ได้ก็คุกเข่าลงขอฝากคำภาวนา แต่บ้างที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ก็ตะโกนขอฝากคำภาวนาแทน
บรรดาผู้แสวงบุญเหล่านั้นต่างมีความหวัง บ้างหวังให้ลูกของตนหายป่วย บ้างหวังการรักษาสำหรับตนเอง บ้างก็หวังให้ลูกชายหรือสามีปลอดภัยจากสงคราม หรือบ้างหวังการกลับใจของใครสักคน “พวกเขาขอทุกสิ่งทุกอย่าง ความเจ็บป่วยของมนุษยชาติทั้งมวลดูเหมือนถูกนำมาวางไว้เบื้องหน้าพวกเรา บางคนก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ หรือกำแพงเพื่อหวังจะได้เห็นพวกเราเดินไป ที่อยู่ใกล้ ๆ พวกเราก็พยายามจะตอบกลับไปบางส่วน และพยุงคนที่คุกเข่าให้ลุกขึ้น พวกเราคงไม่อาจจะเดินต่อไปได้แน่ ถ้าไม่มีใครสักคนที่คอยช่วยเปิดทางให้พวกเราอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย” ลูเซียเล่า
และเมื่อมาถึงที่หมายที่หน้าต้นโอ๊คซึ่งถูกเว้นไว้ให้ทั้งสาม ทั้งสามก็พากันคุกเข่าลง แล้วลูเซียจึงก่อสวดสายประคำ โดยมีบรรดานักแสวงบุญคอยรับว่า “สันตมารีย์ พระมารดาพระเจ้า…” เริ่มจากทีละนิดละหน่อย ก่อนค่อย ๆขยายไปเป็นวงกว้าง จนเวลาล่วงมาระยะหนึ่งทั้งสามจึงหยุดสวด พร้อมลุกขึ้นมองไปทางทิศตะวันออก ด้วยใบหน้าที่สะท้อนความอัศจรรย์น่าประหลาดออกมาอย่างแจ่มชัด ก่อนค่อยมองกลับมาที่ต้นโอ๊คเบื้องหน้า แล้วจึงคุกเข่าลงอีกครั้ง
“ท่านประสงค์สิ่งใดจากหนูหรือคะ” ลูเซียเอ่ยถามสตรีปริศนาผู้ประทับยืนอยู่เบื้องหน้า “จงสวดสายประคำต่อไป เด็ก ๆ ของฉัน หมั่นสวดทุกวันเพื่อสงครามจะได้ยุติ ในเดือนตุลาคม องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเสด็จลงมา พร้อม ๆ กับแม่พระมหาทุกข์และแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล ทั้งนักบุญยอแซฟก็จะประจักษ์มาพร้อมพระกุมารเยซูเพื่ออวยพรโลกอีกด้วย” สตรีปริศนาตอบลูเซียด้วยสีหน้าที่ไม่ยิ้มแต่น้ำเสียงก็ไม่ได้ทุ่มต่ำ ก่อนจะหยุดชั่วครู่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเช่นมารดาคุยกับบุตรของเธอว่า “พระเจ้าทรงพอพระทัยกับการพลีกรรมของพวกหนูนะ แต่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้พวกหนูสวมสายรัดเอวเวลานอน ใส่มันแค่ตอนกลางวันก็พอแล้วจ๊ะ”
ฝั่งลูเซียเมื่อได้ยินว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยพลีกรรมน้อยๆของทั้งสาม ก็มิวายหลบสายตาลงมา กระทั่งสตรีปริศนากล่าวจบ เธอจึงช้อนสายตาขึ้นไปหาสตรีปริศนาผู้มีอาภรณ์สุกสว่างดั่งสุริยา แล้วถามต่อว่า
“หนูมีคำขอความช่วยเหลือจากท่านมากมาย ท่านจะช่วยเด็กหญิงตัวน้อยที่หูหนวกและเป็นใบ้ไหมคะ”
“เธอจะดีขึ้นในปีนี้” สตรีปริศนาก็ตอบ
“และการกลับใจของบางคนที่ขอมาละคะ แล้วก็การรักษาคนเจ็บป่วยอีกค่ะ” ลูเซียถามต่อ
“บางคนฉันจะรักษา และบางคนฉันจะไม่รักษา” สตรีนั้นเฉลยความ “ในเดือนตุลาคมฉันจะทำอัศจรรย์เพื่อทุกคนจะได้เชื่อ”
แล้วสตรีนั้นก็ลอยขึ้นไปเช่นทุกครั้งผ่านมา ฝั่งลูเซียที่เห็นดังนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า “ถ้าพวกคุณต้องการเห็นเธอ จงดูเถิด” บรรดาผู้แสงบุญทั้งหลายที่ได้ยินจึงต่างพากันมองไปตามทิศที่เด็กทั้งสามมองไป และก็มีหลาย ๆ คนได้แลเห็นสิ่งประหลาด พวกเขาไม่ได้เห็นสตรีปริศนา แต่พวกเขากลับแลเห็นดวงไฟขนาดใหญ่ (ต้นฉบับใช้คำว่า ลูกบอลสว่าง) ลอยขึ้นจากยอดต้นโอ๊ค แล้วหายลับที่ตรงดวงอาทิตย์
เหตุการณ์ประหลาดในวันเดียวกัน
“…เมื่อถึงเวลาเที่ยงบังเกิดความเงียบโดยสมบูรณ์ มีเพียงเสียงพึมพำสวดเท่านั้นที่ลอยออกมา แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงร้องสรรเสริญแม่พระ พร้อมกับมีคนยกแขนชี้ไปที่บางสิ่งที่อยู่บนฟ้า ‘ดูนั่น คุณไม่เห็นนั่นหรือ’
‘เห็น ๆ …’ มีเสียงตอบอย่างพอใจจากผู้ที่ได้เห็น เวลานั้นไม่มีเมฆบนท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม และตัวข้าพเจ้า ก็เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ คือมองขึ้นไปและพิจารณามัน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เห็นสิ่งแตกต่างที่คนอื่นเห็น นับเป็นโชคดีของข้าพเจ้ายิ่งนัก ที่ข้าพเจ้าสามารถพูดได้ว่าข้าพเจ้าได้เห็น
ข้าพเจ้าประหลาดใจยิ่งนักเมื่อข้าพเจ้าเห็นวัตถุทรงกลมซึ่งสุกสว่างอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก โดยค่อย ๆ ลอยเลื่อนไปอย่างช้า ๆ และตระหง่านอยู่กลางนภากาศ เพื่อนของข้าพเจ้าได้มองขึ้นไปเช่นกัน และนับเป็นโชคดีนักที่ได้เห็นภาพนิมิตที่ไม่คาดคิดและน่าทึ่งเช่นเดียวกัน แต่ทันใดนั้นเองวัตถุทรงกลม ซึ่งมีแสงอันประหลาด ก็หายวับไป
ที่ใกล้ ๆ พวกเรามีเด็กหญิงคนหนึ่งแต่งตัวแบบเดียวกับลูเซีย อายุอานามก็น่าจะไล่เลี่ยกัน เธอยังคงร้องไห้ออกมาอย่างมีความสุข ‘หนูยังเห็นมัน หนูยังเห็นมัน ตอนนี้มันกำลังลงมา…’
หลังจากนั้นไม่กี่นาที คะเนได้เท่าระยะการประจักษ์ เธอก็เริ่มปล่อยโฮออกมาอีกครั้งพร้อมชี้ไปที่ท้องฟ้า ‘ตอนนี้มันกำลังลอยขึ้นอีกครั้งแล้ว’ และเธอจึงมอบตามวัตถุทรงกลมนั้นไปด้วยสายตาของเธอ กระทั่งมันหายลับไปในทิศของดวงอาทิตย์ ‘คุณคิดเช่นไรกับกับวัตถุทรงกลมนี้’ ข้าพเจ้าถามเพื่อนของข้าพเจ้า ที่ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ‘นั่นคือแม่พระ’ เขาตอบโดยไม่ลังเล
นี่คือความมั่นใจอย่างไม่ต้องสงสัยเลยของข้าพเจ้า พวกเด็ก ๆ ได้พินิจถึงองค์พระมารดาพระเจ้า ในขณะที่มัน (น่าจะหมายถึงดวงไฟ) ได้มอบวิธีการ หรือได้รับการสำแดง ซึ่งนำพระนางจากสรวงสวรรค์มายังสถานที่อัตคัดของแซร์รา ดา ไอเรแก่พวกเรา ข้าพเจ้าต้องขอย้ำว่าผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวพวกเราต่างได้เห็นสิ่งเดียวกัน เพราะมีเสียงมีเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงสรรเสริญแม่พระลอยมา แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้เห็นอะไร ที่ใกล้ ๆ ตัวพวกเรามีทั้งแสดงอาการร่าเริง และทั้งร่ำไห้อย่างขมขื่นเพราะไม่ได้เห็นอะไรเลย…” บางตอนจากจดหมายเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1917 ของพระคุณเจ้ายวง ฟรังซิสโก กัวเรสมา ซึ่งเขียนเล่าไว้ใน ค.ศ. 1932
นอกนี้ในวันนี้ยังมีพยานหลายคนไม่เพียงแต่แลเห็นดวงไฟสว่าง แต่ยังมีคนได้เห็นเสาเมฆสูง 16 ฟุตปรากฏขึ้นที่ต้นไม้ที่สตรีปริศนายืนอยู่อีกด้วย และปรากฏฝนดอกไม้ อันมีลักษณะคล้ายละอองทิพย์แห่งเหมันต์ ปลิวตกลงมาจากฟากฟ้าพร้อมแสงระยิบระยับ ซึ่งแต่ก่อนกลีบดอกไม้สีขาวเหล่านั้นจะตกถึงพื้นดินเบื้องล่าง มันก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย บางคนพยายามจะเอาหมวกรองรับมันไว้ แต่ก่อนมันจะตกลงในหมวก มันก็สลายหายไปสิ้น (เหตุการณ์ฝนดอกไม้เช่นนี้ยังเกิดซ้ำอีกหลายครั้งที่ฟาติมา)
ความเป็นความตาย
วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป
เด็กน้อยทั้งสามแห่งฟาติมาต่างเฝ้ารอวันที่สตรีปริศนาสัญญาว่าจะทำอัศจรรย์ให้ผู้คนได้เชื่อ
เป็นพิเศษกับฟรังซิสโกที่ได้ทราบจากลูเซียว่าไม่เพียงแต่สตรีปริศนาจะทำอัศจรรย์
แต่ในวันนั้นองค์พระเยซูเจ้าจะทรงมาด้วย “โอ้ วิเศษที่สุด เราเคยเห็นพระองค์ถึงสองครั้ง (ฟรังซิสโกย้อนถึงการได้แลเห็นพระเยซูเจ้าในแสงสว่างลึกลับในเดือนมิถุนายนและกรกฎา) และเราก็รักที่เห็นพระองค์ให้มาก ๆ” เขาอุทานขึ้นอย่างยินดีเมื่อได้ทราบเรื่องนี้
และหลังจากนั้นหลาย ๆ ครั้งเขาก็มักถามลูเซียขึ้นว่า
“เหลืออีกกี่วันถึงจะถึงวันที่ 13 เราอยากให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ
เพื่อเราจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง” ก่อนจะหยุดคิดช่วงขณะและเอ่ยเสริมด้วยดวงใจที่ลุกร้อนเป็นไฟที่จะปลอบโยนว่า “แต่ฟังก่อนนะ พระองค์จะยังเศร้าพระทัยไหม
เราเสียใจที่ต้องเห็นพระองค์เศร้าพระทัยแบบนี้
เรายกถวายพลีกรรมทั้งหมดที่เราคิดได้แด่พระองค์ บางครั้ง
เราก็ไม่อยากจะหนีจากผู้คนเหล่านั้น เพราะเราจะได้ทำพลีกรรม”
แต่ขณะเด็ก ๆ ทั้งสามตั้งตารอวันนั้นด้วยความหวังและความยินดีเต็มฤทัย
คนในครอบครัว (เว้นนายมานูเอล บิดาของฟรังซิสโกและยาซินทา) ของทั้งสามก็หาได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับทั้งสามไม่
ตรงกันข้ามพวกเขากับจมอยู่ในความวิตกกังวลและความตึงเครียดอย่างถึงที่สุด
เพราะมีคำขู่มากมายถูกส่งมายังบ้านของสองครอบครัว ว่าหากอัศจรรย์ไม่เกิดขึ้น อันตรายจะต้องบังเกิดแก่บ้านของพวกเขา
“พวกเราได้ยินมาว่าหากอัศจรรย์ไม่เกิดขึ้น
บ้านของพวกเราจะถูกวางระเบิด พวกเรากลัวมาก
และเพื่อนบ้านของเราก็ต่างเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น” นางมาเรีย โดส อันโยส พี่สาวของลูเซียเล่า เวลานี้บิดาของลูเซี ยต้องหันไปพึ่งสุราเพื่บรรเทาความกังวล
กระทั่งถึงคืนวันที่
12 ตุลาคม ค.ศ. 1917 ความเครียดมากมายก็ประดาดังเข้ามาในความคิดของนางมาเรียโรซา
มารดาของลูเซีย จนนางมิอาจจะกลั้นใจหลับตาให้สนิท ล่วงถึงเวลาเช้านางจึงตัดสินใจเข้าไปปลุกลูเซีย บุตรสาวของเธอที่หลับอย่างมีสุข ด้วยความหวังครั้งสุดท้ายที่จะเปลี่ยนจิตใจที่เพ้อฝันตามความคิดของนาง
เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวของนาง “ไปแก้บาปเดี๋ยวนี้นะ” นางบอกกับลูกสาวที่พึ่งตื่นนอนจากนิทรา
“ทำไมหรือคะแม่” ลูเซียเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ก็เพราะทุกคนต่างพูดกับพวกเราว่าพวกเราจะถูกฆ่าในวันพรุ่งนี้ที่โควา
ดา อิเรีย ลูกได้ยินแม่ใช่ไหม หากสตรีคนนั้นไม่ทำอัศจรรย์
ฝูงชนจะกรูเข้ามาฆ่าพวกเรา” นางมาเรียเอ่ย “โอ้ แม่คะ ได้โปรดเถอะนะคะ” ลูเซียวิงวอนมารดาพร้อมความหวังที่จะให้มารดาวางใจและเชื่อ
“ฆ่าพวกเรา ลูกรัก และดังนั้นจะเป็นการดีที่พวกเราจะไปแก้บาป
เราจะได้เตรียมตัวให้พร้อม” นางบอกเหตุผล “งั้น ถ้าแม่ต้องไป แม่คะ หนูจะไปกับแม่เองค่ะ
แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ หนูไม่กลัวที่จะต้องถูกฆ่า หนูไม่กลัวจริง ๆ และนอกนี้แล้วลูกยังรู้ดีว่าเธอจะทำทุกอย่างตามที่เธอได้สัญญาไว้” ลูเซียเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ฝั่งนางมาเรียเมื่อเห็นดังนั้น
จะด้วยความอ่อนล้าหรือเหตุผลกลใด นางก็ตัดสินใจกลับไปที่เตียง พร้อมเตรียมใจของนางให้พร้อมต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง
เหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตของนาง ครอบครัว ฟาติมา และโปรตุเกสไปตลอดกาล….
“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”