นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
การจับกุม ตอน 1
หลังสื่อมากมายต่างประโคมข่าวเรื่องแม่พระประจักษ์มา
ณ ฟาติมา และต่างพากันใส่สีตีไข่เรื่องราวจากบรรดานักข่าวผู้สักแต่จะเขียนข่าวหาเงิน
หลาย ๆ คนต่างต้องการทราบชัดว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวเหล่านี้เป็นเช่นไร
เด็ก ๆ เหล่านี้เป็นหุ่นเชิดของพวกเยซูอิตหรือเปล่า หรือของพวกพระสงฆ์
หรือขององค์สันตะปาปา หรือของชาวบ้านแถวโควา ดา อิเรีย
ที่ต้องการจะอาศัยโอกาสโก่งราคาขนแกะของพวกเขากัน
แต่อย่างไรก็ตามที่แน่ ๆ คือพวกนักข่าวต่างพากันสนุกที่จะเขียนเรื่องราวเหล่านี้
ฝั่งพวกฟีเมสันและผู้ที่นิยมชมชอบการปกครองของพรรคโอรเดม โนวาของลิทธิฟาสซิสต์ก็ต่างพากันหัวเราะขบขันต่อเรื่องราวเหล่านี้
แต่ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ของบ้านเมืองทุกคนจะเริงรื่นกับข่าวจากฟาติมา
เพราะคนหนึ่งที่ไม่รู้สึกตลกเลยกับข่าวจากฟาติมาก็คือ ‘เซนยอร์ อาร์ตูร์ ซานโตส’ นายกเทศมนตรีแห่งเมืองวิลา โนวา เด โอเรม
ซึ่งฟาติมาขึ้นอยู่กับเมืองนี้ เขามีใจต่อต้านพระเป็นเจ้าอย่างเปิดเผยตามแบบพวกฟรีเมสัน และกลัวอย่างยิ่งว่าการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลที่ปฏิเสธศาสนาจะเริ่มขึ้นจากเขตปกครองของเขา
เพราะเขาได้เห็นว่ามีเพื่อนกลุ่มบางคนของเขาเริ่มมีใจเชื่อในเรื่องเหล่านี้
ดังนั้นเองเขาจึงมีคำสั่งเรียกให้ผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลอกลวงนี้มาไต่สวนที่ศาลาว่าการประจำเมืองในวันที่
11 สิงหาคม
ดังนั้นในเวลาเช้าของวันที่
11 สิงหาคม
ลูเซียพร้อมบิดาจึงได้แวะไปที่บ้านของครอบครัวมาร์โตก่อนจะเดินทางไปโอเรม ซึ่งสิ่งแรกที่ลูเซียถามก็คือว่าฟรังซิสโกและยาซินทาจะไปด้วยไหม
ซึ่งจริงแล้วทั้งสองก็อยากจะไปด้วย แต่นายมานูเอล บิดาของทั้งสองตัดสินใจจะไปเอง
เขาจึงบอกเช่นนั้นไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวอะไรต่อ
ลูเซียก็รีบวิ่งหายเข้าไปหาฟรังซิสโกและยาซินทา “และพวกเราได้ยินยาซินทาบอกกับเธอว่า ‘ถ้าพวกเขาจะฆ่าพี่
ช่วยบอกพวกเขาด้วยว่าฟรังซิสโกและหนูก็เหมือนพี่ พวกเราเชื่อในสิ่งเดียวกัน
และพวกเราก็อยากจะถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน’” นายมานูเอลเล่า
หลังจากนั้นลูเซีย
นายอันโตนิโอ ผู้เป็นบิดา และนายมานูเอลจึงออกเดินทางไปยังศาลาว่าการประจำเมืองโอเรม
แต่ก็ปรากฏว่าศาลาว่าการกลับปิดเงียบ ทั้งสามจึงรออยู่ด้านนอก
กระทั่งมีคนมาแจ้งว่าท่านนายกเทศมนตรีมิได้ทำงานอยู่ที่นี่ และได้พาทั้งสามไปพบเขา
ณ อีกที่หนึ่ง
ซึ่งทันทีที่พบเขาก็รีบชิงถามหาว่าเด็กอยู่ไหน แต่นายมานูเอลสวนไปว่าเด็กไหน
ทำให้นายอาร์ตูร์อึ้งไปพักหนึ่ง เพราะเขาน่าจะไม่ทราบว่ามีเด็กเห็นแม่พระถึงสามคน
นายมานูเอลจึงสบโอกาสแทรกพูดไปทำนองไม่ให้นายอาร์ตูร์ทราบว่ามีเด็กอีกสองคน
ฝั่งนายอาร์ตูร์ที่มีอาการหัวเสียจึงหันไปหาลูเซียเพื่อเค้นเอาความลับจากเธอ
แต่ก็ไร้ผลลูเซียมิได้ตอบอะไร ดังนั้นเขาจึงหันไปถามนายอันโตนิโอ บิดาของลูเซีย
ว่าเชื่อเรื่องนี้ไหม เขาจึงตอบว่าไม่
แต่เขาเชื่อว่าเป็นเพียงการสนทนากับสตรีคนหนึ่งเท่านั้น
แต่นายอันโตนิโอรีบสวนขึ้นมาว่าเขาก็เชื่อทุกอย่างที่ลูก ๆ ของเขาพูด
นายอาร์ตูร์จึงหันมาถามซ้ำ ฝั่งนายมานูเอลก็ยืนยันว่าเขาเชื่อจริง ๆ ทุกคนจึงพากันหัวเราะเสียยกใหญ่
หลังจากนั้นเมื่อสอบสวนอะไรจนได้เวลา
นายอาร์ตูร์จึงให้ทั้งสามกลับบ้านได้
แต่ก่อนจะไปเขาก็มิวายขู่ลูเซียว่าหากเธอไม่ยอมบอกความลับแก่เขา เขาก็จะฆ่าเธอเสีย
ดังนั้นทั้งสามจึงได้เดินทางกลับมายังฟาติมา
และทันทีที่ลูเซียได้พบกับฟรังซิสโกและยาซินทา
ซึ่งมานั่งร้องห่มร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจอยู่ที่บริเวณบ่อน้ำที่ลานบ้านของลูเซีย
ดวงตาของสองพี่น้องก็เหมือนดั่งมารีย์และมาร์ธาที่ได้เห็นลาซารัสคืนชีวิต
ยาซินทารีบพูดทั้งน้ำตาว่า “พี่ลูเซีย พี่ลูเซีย
พี่สาวพี่บอกหนูว่าพวกเขาฆ่าพี่ไปเสียแล้ว”
กลับมาที่โอเรม
หลังจากได้สอบสวนและข่มขู่ลูเซียแล้วไม่ได้อะไร
เขาก็หาได้ละความพยายามที่จะเค้นเอาความจริงจากปากของเด็กผู้อ้างว่าเห็นแม่พระที่โควา
ดา อิเรียให้ได้ และล้มเลิกเรื่องโกหกที่จะบั่นทอนรัฐบาลที่ปฏิเสธศาสนาซึ่งเขาภักดี ที่สุดเขาจึงตัดสินใจที่จะลักพาตัวเด็กเหล่านั้นมาเค้นเอาความลับเสีย
โดยเขาได้เลือกวันที่สำคัญ นั่นก็คือวันของการประจักษ์ในเดือนนี้…
รุ่งเช้าของวันจันทร์ที่
13 สิงหาคม วันนั้นนายอาร์ตูร์ นายกเทศมนตรีประจำเมืองก็ได้แสร้งแวะเข้ามาหานายมานูเอล
บิดาของฟรังซิสโกและยาซินทา พร้อมบอกว่าหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด
เขาใคร่จะตามไปดูอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก (นายมานูเอลเล่าย้อนในภายหลังว่า
“เขาเป็นนักแสดงที่เก่งเลยทีเดียว”) ก่อนจะชวนให้พาเด็ก ๆ นั่งไปบนรถม้าของเขา เพื่อ “พวกเราจะได้เห็น
และจะได้เชื่อเหมือนดังท่านนักบุญโทมัส” แล้วสอดส่ายตาอันเจ้าเล่ห์ไปทั่วเพื่อหาทั้งสาม
ด้วยท่าทีที่กระวนกระวาย
กระทั่งทั้งสามมาพร้อมกันที่ห้องแล้ว
นายกเทศมนตรีผู้เล่ห์เหลี่ยมก็เชื้อเชิญให้ทั้งสามไปรถม้ากับเขา
ทีแรกทั้งสามปฏิเสธ แต่เขาก็พยายามคะยั้นคะยออีกครั้งโดยอ้างเหตุผลว่าทั้งสามจะได้เดินทางสะดวก
และยังเสริมอีกว่าเขาจะแวะหาคุณพ่อเจ้าวัดฟาติมาอีก
ดังนั้นทั้งสามจึงตกลงเดินทางร่วมไปกับเขา
โดยทีแรกมีบิดาของทั้งลูเซียและบิดาของฟรังซิสโกและยาซินทาได้ตามไปด้วยจนถึงบ้านพักคุณพ่อ
ซึ่งที่นั่นนายอาร์ตูร์ก็ได้พาทั้งสามไปพบคุณพ่อ
ออกไปตามทาง
จนพ้นถึงถนนสายหลักรถม้าที่ดูท่าจะวิ่งไปทางโควา ดา อิเรียอย่างช้า ๆ
ก็กลับเปลี่ยนทิศไปทางโอเรมและถูกเร่งความเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน
ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นดังนั้นก็หันไปถามนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ว่า “คุณจะพาพวกเราไปไหน นี่ไม่ใช่ทางไปโควา ดา
อิเรียนิ” ฝั่งนายอาร์ตูร์ก็รีบแสร้งตอบว่าเขาจะพาทั้งสามไปพบกับพระสงฆ์ที่โอเรม
และเดี๋ยว ๆ ก็จะจัดรถพากลับมาที่โควาให้
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงได้
ทั้งสามจึงมาถึงบ้านพักของนายอาร์ตูร์ ณ
ที่นั่นทั้งสามถูกนำตัวไปขังไว้ที่ห้อง ๆ หนึ่ง
และถูกขู่ว่าหากทั้งสามไม่ยอมบอกความลับของทั้งสามแก่เขา
เขาก็จะไม่ปล่อยทั้งสามออกไป จากนั้นจึงจากทั้งสามไป
ฝั่งทั้งสามที่บัดนี้ถูกทิ้งอยู่ลำพัง ก็เข้าใจสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองดี “ถ้าพวกเขาจะฆ่าพวกเราเสีย มันก็ไม่สำคัญหรอก
จริงไหม เพราะพวกเราจะได้ไปสวรรค์กันทุกคน” ยาซินทากล่าว
ทั้งสามถูกขังจนล่วงถึงเวลาเที่ยงอันเป็นเวลาตามนัดหมายของแม่พระ
ฟรังซิสโกก็เอ่ยขึ้นว่า “บางทีพระนางอาจประจักษ์มาที่นี่ก็ได้” แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น ไม่มีเสียงฟ้าร้อง
หรือแสงสว่างใด ๆ ปรากฏ ดังนั้นเองเมื่อไร้สัญญาใด ๆ จากสวรรค์เช่นนี้
น้ำตาหยดใสของลูกผู้ชายเช่นฟรังซิสโกก็เริ่มไหลออกมา “พระนางจะมาหาพวกเราไหม เราอยากพบพระนาง” ฟรังซิสโกเอ่ยทั้งน้ำตา
ลูเซียจึงรีบเข้าไปปลอบเขาและขอให้เข้ากล้าหาญไว้
แล้วเธอจึงหันไปปลอบยาซินทาที่ร้องไห้หามารดาว่า
“ให้พวกเรายกถวายความทุกข์ของเราเพื่อคนบาป
ตามที่แม่พระทรงขอพวกเรากันเถอะ”
ก่อนลูเซียจะนำสวดว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า
พลีกรรมนี้เพื่อความรักของพระองค์ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ”” “และทั้งนี้ยังเพื่อพระสันตะปาปา และเพื่อชดเชยการทำขัดเคืองดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์” แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะปลอบยาซินทาให้หยุดร้องได้
แต่กระนั้นท่ามกลางความโชคร้าย
ก็นับเป็นโชคดีของทั้งสาม เพราะเมื่อเวลาล่วงเข้าถึงยามบ่าย
ภรรยาของท่านนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ ก็ได้แอบมาเปิดห้องที่สามีขังทั้งสามไว้ แล้วพาทั้งสามมาเล่นกับลูกๆของนาง
พร้อมจัดหาอาหารเที่ยงให้ทั้งสามได้กินให้หายหิวตลอดช่วงบ่าย และในเวลาต่อมา
ก็เป็นนางเองที่ได้จัดหาหนังสือและของเล่นตามกำลังไปมอบให้ทั้งสาม
เพื่อให้ทั้งสามได้คลายความทุกข์อันเกิดแต่ความโหดร้ายของผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง
เหตุการณ์ ณ
โควา ดา อิเรีย
ในวันเดียวกันกับที่ทั้งสามถูกนายกเทศมนตรีลักพาตัวไป
ที่โควา ดา อิเรีย ฝูงชนมากมายที่ยังไม่ทราบเรื่องก็ต่างเฝ้าคอยการประจักษ์อยู่รอบๆต้นโอ๊คที่แม่พระทรงประทับยืนคุยกับทั้งสาม
นางมาเรีย ดา กาเปลินยา เล่าว่า “ฝูงชนในวันนั้นมากเสียยิ่งกว่าในเดือนกรกฎาคม โอ้
มันช่างเยอะอะไรเช่นนี้ เยอะจริง ๆ
บ้างก็เดินเท้ากันมาและเอาห่อผ้าแขวนไว้กับต้นไม้ บ้างก็ขี่ม้ามา บ้างก็ขี่ล่อมา
มีรถจักรยาน และทุกสิ่งด้วย และบนถนนก็มีแต่เสียงอึกทึกด้วยนะ”
จนเวลาล่วงมาถึงเวลาเที่ยง
เมื่อฝูงชนที่ต่างสวดภาวนาสลับร้องเพลงไม่เห็นทั้งสามมาสักที
ก็เริ่มพากันร้อนใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จนมีคนจากฟาติมามาแจ้งว่าทั้งสามถูกนายกเทศมนตรีลักพาตัวไปเสียแล้ว
ฝูงชนก็เริ่มลุกฮือด้วยความเดือดดาล
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำประการใดก็ปรากฏเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยฟ้าแลบ
เหมือนการประจักษ์ในครั้งที่ผ่านๆมา จนสร้างความตกใจแก่ผู้คนบริเวณนั้นเป็นอันมาก ชนิดพากันถอยกรูออกจากต้นไม้ในเร็วพลัน
จากนั้นทุกสายตาจึงได้ประจักษ์กับก้อนเมฆก้อนเล็ก ๆ
ที่มีลักษณะบางมาก ๆ และขาวมาก ๆ ค่อย ๆ ลอยมาหยุดที่เหนือต้นโอ๊ค
และชั่วขณะมันก็ค่อย ๆ ลอยกลับขึ้นไปบนฟ้าจนเลือนหายไปจากสายตา
เวลาเดียวกันทุกสายตาก็ได้แลเห็นอัศจจรย์อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อใบหน้าของแต่ละคนได้เปล่งแสงสีรุ้งออกมา
ทั้งต้นไม้ทั้งหลายที่ดูจะเต็มไปด้วยใบ ก็ดูคล้ายเต็มไปด้วยหมู่บุพผาชาติ
ไม่เว้นแม้แต่พื้นดิน และเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมก็ปรากฏรังสีหลากสีเปล่งประกายออกมา
นอกนี้แล้วโคมไฟที่แขวนที่ซุ้มตรงต้นโอ๊คที่แม่พระประจักษ์ก็เปล่งสีคล้ายสีทองออกมาให้เห็นอีกด้วย
“แน่นอนว่าแม่พระได้เสด็จมาแล้ว ฉันรู้ดี
แม้ว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ตาม”
นางมาเรียกล่าวสรุป
เมื่อเหตุอัศจรรย์จบลงแล้ว
ผู้คนได้เป็นประจักษ์พยานถึงอัศจรรย์ในวันนี้ก็พากันกลับมายังฟาติมา
พลางตะโกนต่อต้านนายอาร์ตูร์ นายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ และคุณพ่อเฟร์เรยรา
รวมถึงทุกคนที่มีส่วนต่อการลักพาตัวเด็กน้อยทั้งสามไป บ้างตะโกนออกมาว่า “พวกเราจงไปโอเรมและประท้วงกัน” แต่บ้างก็ตะโกนว่า “พวกเราไปกัน ไปตีพวกมันทั้งหมด ไปหาพระสงฆ์ด้วย
เพราะเป็นความผิดของท่าน ไปกันเสียเดี๋ยวนี้เถอะ
ไปตกลงกับไอ้นายกเทศมนตรีให้รู้แล้วรู้รอดไป” ซึ่งแม้นายมานูเอลจะพยายามปรามให้ทุกคนสงบ แต่ก็หาได้มีใครฟังเขาไม่ เขาจึงกลับจำต้องกลับบ้านไป
การจับกุม ตอน
2
หลังจากอาหารเย็น
นายอาร์ตูร์ก็พยายามบังคับให้ทั้งสามสารภาพเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง แต่ก็ไร้ผล
ดังนั้นด้วยความหัวเสียที่ไม่อาจจะทำอะไรเด็กเหล่านี้ได้เลย
เขาจึงจับทั้งสามขังไว้ตลอดคืน
กระทั่งรุ่งเช้าคนที่มีความทุกข์มากสุดก็น่าจะเป็นตัวยาซินทา เพราะแรกสุดเธอคิดถึงนางโอลิมเปียผู้เป็นมารดา
ทั้งเธอยังไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ แต่แทนที่จะร้องไห้เพียงอย่างเดียว
ตรงกันข้ามเธอได้หันไปหาแม่พระเพื่อขอให้พระนางทรงประทานพละกำลังและคำแนะนำแก่เธอ
สิ่งแรกที่พวกเด็ก ๆ ประสบในตอนเช้าของวันใหม่
ก็คือการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนผู้เป็นสตรีสูงวัยนางหนึ่ง
ซึ่งมีอาวุธก็คือแตรที่เธอใช้ส่งเสียงกวนประสาททั้งสาม
เพื่อจะให้ทั้งสามสติแตกจนยอมบอกความลับ แต่ก็ไม่เป็นผล
ดังนั้นนายอาร์ตูร์จึงตัดสินใจลงมือเองอีกครั้ง
คราวนี้เขาให้พาพวกเด็ก ๆ มาพบในเวลาประมาณสิบนาฬิกา ก่อนเขาจะทำทีเป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่ควักเหรียญเงินแวววาวจำนวนหนึ่งและสร้อยคอทองคำมาวางไว้ที่โต๊ะพลางพูด
“ได้โปรดเถอะนะ เรื่องความลับน่ะ” แต่ก็ยังไร้ผลอยู่ดี
ที่สุดเมื่อเวลาล่วงเข้าถึงยามบ่ายทั้งสามก็ถูกจับโยนเข้าคุกประจำเมืองอันมืดมิด
สกปรก และมีแต่พวกอาชญากรทั้งหลายของท่านนายกเทศมนตรี พร้อมคำขู่ของท่านนายกเทศมนตรีที่ว่า
“พวกเธอจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปจนกว่าพวกเธอจะยอมสารภาพ
และถ้าพวกเธอใช้เวลาคิดนานเกินไป พวกเราก็จะเอาพวกเธอไปทอดในน้ำมันร้อน ๆ เสีย”
ฝั่งทั้งสามก็หาได้สงสัยไม่ว่านี่จะเป็นเพียงคำขู่
ซ้ำเชื่อว่านี่จะเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตของทั้งสามแล้ว
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ดูเหมือนว่ายาซินทาจะเป็นคนที่ทุกข์ใจมากที่สุดในเรื่องนี้
สิ่งที่สร้างความรวดร้าวให้ดวงใจน้อยๆของเธอมากที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่การต้องเป็นมรณสักขี
แต่คือการรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งจากบิดามารดาที่รักของเธอ
เธอพยายามจะซ่อนหยาดน้ำตาใส ๆ ที่ค่อย ๆ เอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองจากลูเซียและฟรังซิสโก
โดยการหันไปมองตลาดที่จัตุรัสผ่านหน้าต่างของคุก
แต่ไม่วายวิธีนี้ก็ไม่อาจหลอกลูเซียได้ “ทำไมน้องถึงร้องไห้ ยาซินทา” ลูเซียเอ่ยถาม “เพราะพวกเราจะตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พบคุณพ่อคุณแม่เลย
พวกท่านไม่ได้มาเยี่ยมพวกเราเลย พวกท่านเป็นห่วงเรามากแค่ไหนกัน” ยาซินทาตอบ
ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อเห็นน้องสาวเป็นทุกข์ดังนี้
ก็พูดปลอบน้องสาวว่า “อย่ากังวลใจไปเลยนะ ยาซินทา
พวกเราสามารถถวายสิ่งนี้เพื่อคนบาปได้เช่นกันนะ” ดังนั้นทั้งสามจึงจับมือกัน และได้ยกถวายความทุกข์ยากนานาที่เกิดขึ้นกับตัวเองต่อพระเป็นเจ้า
เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเปิดเผยพระเมตตาอันมิรู้สิ้นสุดแก่ผู้คนอีกมากมายที่พวกเขาไม่รู้จัก
ดังที่ปฏิบัติจนเป็นนิสัย ด้วยการสวดพร้อมกันว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า พลีกรรมนี้เพื่อความรักของพระองค์ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ …”
นอกนี้แล้วบรรดานักโทษที่อยู่ในคุก
เมื่อเห็นทั้งสามก็ยังพากันมาช่วยปลอบโยนทั้งสาม มีคนหนึ่งบอกว่า “เอาน่า ฉลาดหน่อย
บอกท่านนายกเทศมนตรีเรื่องความลับไปเถอะ และพวกหนูจะได้กลับบ้านเสียที
เรื่องสตรีนั้นไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”
ซึ่งสิ้นเสียงยาซินทาก็รีบหันขวับไปจ้องหน้าชายคนนั้นอย่างไม่เชื่อหู พร้อมตอบว่า “ไม่สำคัญหรือคะ แต่เราอยากจะตายดีกว่าบอกความลับ”
จนทำให้พวกนักโทษต่างได้แต่เกาหัวแกก ๆ กันด้วยความงงงวย และความอัศจรรย์ใจ
เมื่อเห็นว่าไม่อาจจะเปลี่ยนใจเพื่อนร่วมคุกทั้งสามได้
พวกนักโทษจึงพากันมาทำให้ทั้งสามได้บรรเทาใจบ้างตามที่พวกเขาจะสามารถ
พอดีนักโทษคนหนึ่งมีหีบเพลงชักหรือที่เรียกกันว่า ‘คอนเซอร์ตินา’
เขาจึงเอามันออกมาเล่น
สักพักนักโทษคนอื่น ๆ ก็พากันเปล่งเสียงร้องเพลงตามมา
จนเปลี่ยนคุกที่มืดมนให้กลายเป็นเหมือนงานฉลองเล็ก ๆ ซึ่งการปฏิบัติดังนี้ก็ทำให้ยาซินทาซึ่งบัดนี้ดีขึ้นมากและน้ำตาได้แห้งไปแล้ว
เริ่มมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
เธอไม่ขยับเท้าก็ขยับศีรษะไปมาตามจังหวะ
กระทั่งนักโทษสูงอายุคนหนึ่งตัดสินใจมาขอเธอเต้นรำ เธอจึงตอบตกลงอย่างสุภาพตามมารยาท
ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นภาพนักโทษตัวใหญ่ที่กำลังพยายามหาวิธีจะเต้นกับคู่เต้นตัวน้อยของเขา
จนที่สุดเลยต้องอุ้มเธอขึ้นมาเหมือนก้อนขนมปัง แล้วจึงเต้นต่อไปก็เริ่มหัวเราะออกมา ทำให้บัดนี้บรรยากาศที่เศร้าสลดได้จางหายไปจากห้องขัง
อุปมาเหมือนหนึ่งแมวยามตื่นกลัวแล้ววิ่งหนีหายไป
แต่ขณะหมุนไปตามจังหวะเพลงเอง
ยาซินทาก็ฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้
ว่านี่ไม่ใช่วิธีเตรียมจิตเตรียมใจให้พร้อมต่อการเป็นมรณสักขีอย่างดี
ทั้งเธอก็ไม่ทราบแน่ว่าแม่พระจะทรงโปรดการปฏิบัติเช่นนี้หรือเปล่า
ดังนั้นเธอจึงขอให้นักโทษที่อุ้มเธอเต้นรำให้ช่วยวางเธอลง
แล้วเธอจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋า จนหาเหรียญแม่พระเจอเธอจึงเอาออกมาและขอให้นักโทษคนหนึ่งช่วยแขวนมันไว้กับตะปูอันหนึ่งที่ผนัง
ก่อนเธอ ลูเซีย และฟรังซิสโกจะพร้อมใจกันคุกเข่าลง แล้วเริ่มสวดสายประคำ
ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าว
นักโทษในคุกก็เริ่มคุกเข่าลงและสวดตามทั้งสามโดยเริ่มจากคนที่มีอายุก่อน
แต่ก็มีชายคนหนึ่งไม่ยอมถอดหมวกออก ฟรังซิสโกที่เห็นจึงลุกไปหาเขา
ก่อนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “คุณผู้ชายครับ เมื่อคุณสวดภาวนา คุณต้องคิดจะถอดหมวกออกด้วยนะครับ”
ฝั่งนักโทษคนนั้นเมื่อเห็นเพื่อน ๆ ร่วมห้องพากันหัวเราะใส่เขา
เขาก็รีบถอดหมวกออกและเขวี้ยงลงพื้นอย่างหัวเสีย ฟรังซิสโกที่เห็นเช่นนั้นก็ก้มตังลงหยิบหมวกนั้นขึ้นมาอย่างสุภาพ
ก่อนปัดมันนิดหน่อยให้สะอาด แล้วเขาจึงค่อยเอามันไปวางไว้บนม้านั่งอย่างเบามือ
ก่อนจะกลับไปสวดต่อ
ทั้งหมดร่วมสวดสายประคำกันไปได้ยังไม่ทันจบ
ก็ปรากฏเสียงเอ็ดตะโรอันน่ากลัวลอยมาใกล้ประตูคุก ก่อนจะตามาด้วยเสียงเปิดประตูคุก
เผยให้เห็นผู้คุมที่ยืนจังก้าพร้อมประกาศว่า “เธอทั้งสามคน ใช่ พวกเธอนั่นแหละถึงเวลาแล้ว” ฝั่งทั้งสามเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รีบก้าวออกมาเพื่อน้อมรับการทรมานที่จะเกิดขึ้น
ก่อนจะถูกนำตัวไปพบท่านนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“สบายดีไหมละ” ท่านนายกเทศมนตรีเอ่ยทักทานทั้งสามทันทีที่พบหน้า
แต่ก็ต้องตะลึงงึงงัน เมื่อไม่มีคำตอบใด ๆ หลุดมาจากทั้งสาม
ไม่พอทั้งสามเองก็หาได้มีปฏิกิริยาที่แสดงถึงการยอมแพ้ไม่ เขาจึงหันไปทำถามผู้ช่วยเรื่องหม้อน้ำมันเดือดที่สั่งไว้
ฝั่งผู้ช่วยก็รายงานว่าตอนนี้น้ำมันนั้นเดือดได้ที่แล้ว ได้ยินเช่นนี้ เขาก็หันกลับมาหาทั้งสามพร้อมขู่ว่า
“นี่เป็นโอกาสุดท้ายแล้วนะที่พวกเธอจะบอกความลับมา
พวกเธอได้ยินใช่ไหม งั้นดีเลย เธอก่อนเลย”
เขาพูดเช่นนี้พร้อมมองไปที่ยาซินทา
ผู้หวาดกลัวจนถึงขั้นหน้าซีด ก่อนจะสั่งยามเสียงดังว่า “เอาเธอไปโยนลงหม้อเป็นคนแรก” ฝั่งยาซินทาก็ตะโกนลั่นว่า “พระเยซูเจ้าที่รัก ช่วยหนูด้วย แม่พระ ช่วยหนูด้วย” แล้วเธอจึงโดนยามเข้าจับตัวและพาตัวไปอีกห้องหนึ่ง
แต่ถึงแม้เวลานั้นความกลัวจะแผ่ซ่านไปทุกอณูของร่างกายเธอ
ยาซินทาก็ยังคงไม่ปริปากเรื่องความลับให้พวกเขาได้รู้
ดังนั้นเวลานี้ภายในห้องสอบสวนจึงเหลือเพียงลูเซียซึ่งหันไปหาฟรังซิสโก
ญาติอีกคนที่เหลืออยู่กับเธอ ฝั่งฟรังซิสโกเองก็หนุนใจลูเซียว่า “ถ้าพวกเขาฆ่าพวกเรา จะเป็นอะไรไปเล่า
พวกเราจะได้อยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่หรือ ลูเซีย มีอะไรที่เธอจะต้องการไปมากกว่านี้อีก” ลูเซียจึงตอบว่า “ไม่ ฟรังซิสโก เราแน่ใจว่าไม่มีจริงๆ”
หลังจากนั้นลูเซียจึงเฝ้ามองภาพเพื่อนชายของตนที่กำลังขยับเม็ดประคำในกระเป๋าเสื้อ
พร้อมขยับปากสวดไป จนยามที่เฝ้าทั้งสองสังเกตเห็น เขาจึงถามขึ้นว่า “เธอพูดอะไรอยู่น่ะ” ฟรังซิสโกจึงตอบเขาว่า “วันทามารีย์
เพื่อให้น้องสาวตัวน้อยของผมจะได้ไม่หวาดกลัว”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณไม่มีเสียงอันใดเล็ดลอดออกมาจากห้องที่ยาซินทาหายไป
กระทั่งประตูห้องนั้นเปิดออกโดยยามคนเดียวกับที่อุ้มยาซินทาไป
ยามผู้นั้นก็ได้เดินตรงมา พร้อมวางมือบนตัวฟรังซิสโก พลางพูดว่า “ตอนนี้น้องสาวของเธอสุกเหลืองเลยทีเดียวนะพ่อหนุ่มน้อย
ตอนนี้ก็ถึงคราวเธอละ เธออาจจะบอกความลับได้แล้วนะ อย่าโง่และดื้อไปเลยน่า
บอกท่านสิ่งที่นายกเทศมนตรีอยากรู้ไปเถอะ” ฟรังซิสโกจึงตอบกลับไปว่า “ผมทำไม่ได้หรอกครับ มันเป็นไปไม่ได้เลย ผมบอกใครไม่ได้จริง ๆ ครับ”
ดังนั้นเองยามผู้นั้นจึงจับฟรังซิสโกเข้าห้องเดียวกับที่ยาซินทาถูกพาไปในทันที
ตอนนี้พอถึงคราวของลูเซียที่บัดนี้ถูกทิ้งอยู่ลำพัง เมื่อถูกขอให้เปิดเผยความลับเพื่อแลกกับชีวิต เธอก็หาได้หวาดกลัวไม่ ตรงข้ามเธอได้ประกาศชัดว่า “หนูเชื่อจริง ๆ ว่าได้พูดกับคน และสำหรับพวกเรามันเป็นมากกว่านั้น หนูไม่กลัวหรอก และหนูก็ได้มอบความใจไว้กับแม่พระแล้วค่ะ” ดังนั้นเธอจึงถูกพาตัวไปยังหองที่ทั้งยาซินทาและฟรังซิสโกถูกพาเข้าก่อนหน้านี้ แต่แทนที่จะพบกลับหม้อไอน้ำที่บรรจุน้ำมันเดือดระอุ เธอกลับได้พบกับฟรังซิสโกและยาซินทาที่
เย็นวันนั้นหลังการพยายามเค้นความลับของท่านนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ด้วยแผนหม้อน้ำมันเดือดปลอม ๆ
ทั้งสามก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากภรรยาของท่านนายกเทศมนตรี
นางได้จัดหาอาหารให้ทั้งสาม ทั้งยังจัดที่หลับที่นอนให้ทั้งสามได้นอนอย่างสบายใจที่ห้องใต้หลังคาของบ้านตลอดคืน
กระทั่งรุ่งสางของวันต่อมาอันเป็นวันฉลองแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
นายอาร์ตูร์ก็ยอมแพ้ต่อการเค้นความลับจากเด็กน้อยทั้งสามคน
และได้พาทั้งสามคนมาส่งคืนให้กับคุณพ่อเฟร์เรยรา คุณพ่อเจ้าวัดฟาติมา ณ ที่พระแท่น
การประจักษ์ครั้งที่
4 วันที่ 19 สิงหาคม
หลังร่วมมิสซาประจำวันอาทิตย์ที่วัดแล้ว
ทั้งลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทา
พร้อมกับสัตบรุษผู้ศรัทธาอีกจำนวนหนึ่งก็ได้พากันไปสวดสายประคำ ณ โควา ดา อิเรีย
กระทั่งจบสายทั้งสามก็ได้รับเชิญจากสุภาพบุรุษผู้แสนดีคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฟาติมา
ชื่อ เซนยอร์ อัลเวส ให้ไปเป็นแขกรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
ซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธ เว้นเสียแต่มารดาของลูเซียที่บ่นอุบอิบว่ากลัว
ตัวลูเซียจะลืมหน้าที่ดูแลแกะไป
จนเวลาล่วงถึงยามบ่าย
หลังเสร็จมื้อเที่ยงแล้ว ทั้งสามพร้อมพี่ชายของฟรังซิสโกและยาซินทาชื่อ ยวง
จึงเดินทางกลับมาบ้านเพื่อต้อนฝูงแกะออกไปกินหญ้าตามหน้าที่
แต่ครั้งนี้ยาซินทามิได้ตามไปด้วยเพราะนางโอลิมเปียได้เรียกให้ยาซินทากลับเข้าบ้านเสียก่อน
ดังนั้นเด็กเลี้ยงแกะทั้งสามคนอันประกอบด้วย ลูเซีย ฟรังซิสโก และยวง จึงหารือกัน
และได้พากันต้อนแกะไปกินหญ้าในที่ๆได้ตกลงกันไว้ นั่นก็คือที่ ‘วาลินโยส’
วาลินโยส
เป็นบริเวณที่ดินซึ่งเป็นของลุงของลูเซีย
สถานที่แห่งนี้ไม่ไกลมากนักจากอัลยุสเตรลคะเนเป็นระยะที่คนๆหนึ่งจะตีลูกกอล์ฟถึง
ลักษณะของมันคือเป็นพื้นที่ราบสีเขียวสด ซึ่งโอบล้อมด้วยโขดหินตามธรรมชาติ
และละลานตาไปด้วยหมู่ดอกไม้ประจำฤดูร้อน (ทางยุโรปจะมีฤดูร้อนคือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม)
นี่แหละคือลักษณะโดยประมาณของสถานที่ที่วันนี้ลูเซียและฟรังซิสโกพร้อมพี่ชายของเขา
พาฝูงแกะมาเล็มหญ้า
ทั้งสามเฝ้าแกะจนเวลาล่วงมาประมาณสี่โมงเย็น
ลูเซียก็เริ่มสัมผัสได้ว่าอากาสรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนไปเหมือนที่เกิดขึ้นก่อนการประจักษ์ที่โควา
คือเป็นลักษณะอากาศที่ทำให้รู้สดชื่น
ไม่พอแสงแดดที่เคยสาดส่องลงมาก็ค่อย ๆ พลันหายไป “แม่พระรึ ใครหนอจะทำเช่นนี้ได้” ลูเซียคิด ส่วนตัวฟรังซิสโกเองก็สัมผัสได้ถึงปรากฏการณ์เหล่านี้
เขายืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างคาดหวัง แต่ก็มิได้ปริปากพูดอันใด
เขาทำเพียงรอพระนางอย่างเงียบ ๆ
“ยวง ได้โปรดไปตามยาซินทามาที แม่พระกำลังจะมาแล้ว
ได้โปรดเถอะนะ” ลูเซียรีบเอ่ยขึ้นอย่างงตื่นเต้น
ทำให้ยวงที่งงงวยกับภาพที่เห็นเกิดความเข้าใจ
แต่ใจหนึ่งเขาก็อยากเห็นการเสด็จมาของแม่พระ เขาจึงไม่ได้ทำตาม จนลูเซียต้องเอาเงินให้
เขาจึงรีบวิ่งกลับไปตามยาซินทาซึ่งตอนนี้ไปอยู่ที่บ้านของคุณแม่ทูนหัวมาสมทบกับทั้งสองที่วาลินโยส
สถานที่ธรรมดาที่พระมารดาพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเพื่อมอบสารแก่โลก
และเมื่อยาซินทาเดินทางมาถึงที่วาลินโยสได้สักสองสามนาทีแล้ว
สตรีผู้งดงามแห่งโควาก็ได้ประจักษ์มาหาทั้งสาม ณ
บนต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งสูงกว่าต้นโอ๊คที่โควานิดหน่อย ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว
ก็รีบถามเช่นเดิมว่า “ท่านประสงค์สิ่งใดคะ” แม่พระก็ตรัสตอบเธอดังเช่นครั้งแรกว่า “จงมาที่โควา ดา อิเรียอีกครั้งในวันที่สิบสาม
และสวดสายประคำทุก ๆ วันต่อไปเถิด”
จากนั้นลูเซียจึงทูลขอให้พระนางทรงกระทำอัศจรรย์ ณ โควา
เพื่อผู้คนจะได้ยอมรับเสียทีว่าพระนางนั้นมาจากสวรรค์
แม่พระจึงตรัสสัญญาว่า
“ฉันจะทำในเดือนสุดท้าย
ฉันจะแสดงอัศจรรย์เพื่อว่าคนทั้งหลายจะได้เชื่อ” ฝั่งลูเซียกับรับว่า “ค่ะ ค่ะ” แล้วเธอจึงนึกได้ถึงคำถามที่นางมาเรีย ดา
กาเปลินยาถามเมื่อเช้าเรื่องเงินบริจาคของผู้คน
ที่อยู่กับนางตั้งแต่เหตุอัศจรรย์ในวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา
เธอจึงทูลพระนางต่อว่า “พวกเราจะทำอะไรกับเงินบริจาคที่ผู้คนทิ้งไว้ที่โควา
ดา อิเรียดีคะ” พระนางจึงแถลงข้อตั้งใจว่า “ฉันอยากให้หนูใช้มันทำบุษบกเล็ก ๆ สองอันสำหรับวันฉลองแม่พระลูกประคำ
ฉันอยากให้หนูและยาซินทาแบกอันหนึ่งพร้อมด้วยเด็กหญิงอีกสองคน
หนูจะต้องสวดชุดขาวด้วยนะ และจากนั้นฉันอยากให้ฟรังซิสโก
พร้อมด้วยเด็กชายอีกสามคนช่วยกันแบกบุษบกอีกอัน ส่วนเงินที่เหลือให้นำมาสมทบทุนสร้างวัดน้อยที่จะตั้งอยู่
ณ ที่แห่งนี้”
ลูเซียได้เขียนอธิบายความหมายของบุษบกนี้ในหนังสือของเธอว่า
“บุษบกที่แม่พระกล่าวไว้นี้
ไม่ได้หมายถึงบุษบกที่ใช้แบกพระรูปหรือรูปนนักบุญในการแห่
แต่เป็นบุษบกของถวายที่ประชาชนนำมาถายเพื่อเข้าร่วมในขบวนแห่
ความจริงผู้คนมีความคุ้นเคยที่จะขอบคุณพระเป็นเจ้าโดยการถวายของที่เป็นผลงาน
หรือผลผลิตของตนตามความสามารถของแต่ละคน
ของถวายเหล่านี้เจ้าหน้าที่จะรวบรวมและจัดวางไว้บนบุษบกเพื่อนำเข้าร่วมขบวนแห่ในวันฉลองใหญ่ ๆ หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีมิสซาก็จะมีการแห่และถวายสิ่งของต่างๆ
แด่พระเป็นเจ้าเพื่อเป็นการขอบพระคุณสำหรับพระพรต่าง ๆ ที่ได้รับ
และเป็นการช่วยค่าใช้จ่ายของวัดอีกด้วย”
กลับที่เหตุการณ์ที่วาลินโยส
ลูเซียได้ทูลพระนางเรื่องบรรดาผู้ป่วยที่มาขอให้เธอช่วย “บางคนฉันจะรักษาให้หายในปีนี้ จงสวดภาวนา
สวดภาวนาให้มาก ๆ จงทำพลีกรรมเพื่อคนบาป วิญญาณหลายดวงต้องไปนรก
เพราะไม่มีใครทำพลีกรรมและสวดภาวนาเพื่อพวกเขา” พระนางตรัสเช่นนี้แล้ว ก็ทรงลอยขึ้นไปทางทิศตะวันออก
จนพ้นวิสัยที่ทั้งสามจะแลเห็นไปในที่สุด
เมื่อไม่เห็นพระนางแล้ว
ทั้งสามก็ได้พากันตัดเอากิ่งของต้นไม้บริเวณที่ผ้าคลุมของแม่พระมาสัมผัส
ก่อนที่ฟรังซิสโกและยาซินทาจะรีบวิ่งกลับบ้านไปพร้อมกิ่งเหล่านั้นอย่างผู้มีชัย
โดยทิ้งให้ลูเซียและพี่ชายของตนเฝ้าฝูงแกะต่อไป
กระทั่งมาพบมารดาและพี่สาวของลูเซียที่ยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมเพื่อนบ้าน
ยาซินทาก็รีบตรงมาหานางมาเรียพลางพูดว่า “โอ้ คุณป้าคะ พวกเราได้เห็นแม่พระอีกครั้งแล้วค่ะ
พวกเราเห็นท่านที่วาลินโยสค่ะ”
ฝั่งนางมาเรียจึงตอบอย่างระอาใจว่า “อา ยาซินทา เมื่อไรเรื่องโกหกพวกนี้จะจบลงเสียที
หนูเห็นแม่พระทั่วทุกหนแห่ง ไม่ว่าหนูจะไปที่ไหนเลยหรือ”
“แต่พวกเราเห็นท่านจริง ๆ นะคะ” ยาซินทาตอบพลางยื่นกิ่งไม้จากต้นไม้นั้นให้นางมาเรียดู
พร้อมพูดว่า “ดูนี่สิคะ คุณป้า ได้โปรดเถอะนะคะ
นี่คือที่ที่แม่พระทรงเหยียบ และอันนี้ก็ที่อื่น” ฝั่งนางมาเรียจึงขอดูกิ่งไม้นั้น
แล้วจึงรับมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ “กลิ่นอะไรกันนี่
ไม่ใช่กลิ่นกุหลาบซะด้วยสิ แต่ช่างหอมเสียจริง
จะเป็นอะไรได้บ้างนะ”
นางมาเรียกล่าวขึ้น
ฝั่งเพื่อนบ้านและพี่สาวของลูเซียเองก็ต่างได้กลิ่นหอมประหลาดนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้จับมาดมใกล้ ๆ
นางมาเรียก็รีบเก็บมันไว้ที่โต๊ะพลางบอกว่าจนกว่าจะรู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร
จะเป็นการดีกว่าที่จะเอาไปไว้ที่นี่
มาเรีย โดส
อันโยส เล่าสรุปเหตุอัศจรรย์ว่า “แต่พอถึงตอนเย็น ฉันจำได้ว่า เมื่อพวกเราต้องการดูมัน
พวกเราก็หากิ่งไม้นั้นเสียแล้ว พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าใครเอามันไป กระนั้นฉันยังจำได้ดีถึงความประทับใจของคุณแม่ของฉัน
และฉันคิดว่าแต่นั้นมาท่านก็เริ่มเมตตาลูเซีย ฝั่งคุณพ่อเอง
ท่านก็ดูมีท่าทีอ่อนลงเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเองท่านทั้งสองจึงคอยปกป้องลูเซียเวลามีคนอื่นจะมาเอาโทษเธอ ‘ปล่อยลูเซียอยู่อย่างสงบเถิด
เผื่อว่าสิ่งที่เธอบอกอาจจะเป็นความจริงก็ได้’ ท่านเคยบอกพวกเขาเช่นนี้”
กิ่งไม้หายไปไหน
ชะลอยแม่พระจะทรงส่งทูตสวรรค์มาเอาไปหรือ หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่
เพราะเป็นตัวของยาซินทาเองที่ได้อาศัยความว่องไว ตอนนางมาเรียเดินกลับออกมา
วิ่งเข้าไปเอากิ่งไม้นั้นมา แล้วนำกลับไปให้ทั้งนายมานูเอล และนางโอลิมเปียได้ดู
ซึ่งพอนายมานูเอลได้เห็นทีแรก เขาก็ได้กลิ่นหอมประหลาดที่ไม่คำใดๆจะอธิบายได้ แต่พอเขาได้เอามาดมใกล้ ๆ
กลิ่นประหลาดนั้นก็กลับจางหายไปเสียเฉย ๆ
“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”