วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560

'ฟรังซิสโกและยาซินทา' เด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา ตอน 6

นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

การจับกุม ตอน 1

หลังสื่อมากมายต่างประโคมข่าวเรื่องแม่พระประจักษ์มา ณ ฟาติมา และต่างพากันใส่สีตีไข่เรื่องราวจากบรรดานักข่าวผู้สักแต่จะเขียนข่าวหาเงิน หลาย ๆ คนต่างต้องการทราบชัดว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวเหล่านี้เป็นเช่นไร เด็ก ๆ เหล่านี้เป็นหุ่นเชิดของพวกเยซูอิตหรือเปล่า หรือของพวกพระสงฆ์ หรือขององค์สันตะปาปา หรือของชาวบ้านแถวโควา ดา อิเรีย ที่ต้องการจะอาศัยโอกาสโก่งราคาขนแกะของพวกเขากัน แต่อย่างไรก็ตามที่แน่ ๆ คือพวกนักข่าวต่างพากันสนุกที่จะเขียนเรื่องราวเหล่านี้ ฝั่งพวกฟีเมสันและผู้ที่นิยมชมชอบการปกครองของพรรคโอรเดม โนวาของลิทธิฟาสซิสต์ก็ต่างพากันหัวเราะขบขันต่อเรื่องราวเหล่านี้

แต่ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ของบ้านเมืองทุกคนจะเริงรื่นกับข่าวจากฟาติมา เพราะคนหนึ่งที่ไม่รู้สึกตลกเลยกับข่าวจากฟาติมาก็คือ เซนยอร์ อาร์ตูร์ ซานโตส นายกเทศมนตรีแห่งเมืองวิลา โนวา เด โอเรม ซึ่งฟาติมาขึ้นอยู่กับเมืองนี้ เขามีใจต่อต้านพระเป็นเจ้าอย่างเปิดเผยตามแบบพวกฟรีเมสัน และกลัวอย่างยิ่งว่าการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลที่ปฏิเสธศาสนาจะเริ่มขึ้นจากเขตปกครองของเขา เพราะเขาได้เห็นว่ามีเพื่อนกลุ่มบางคนของเขาเริ่มมีใจเชื่อในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเองเขาจึงมีคำสั่งเรียกให้ผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลอกลวงนี้มาไต่สวนที่ศาลาว่าการประจำเมืองในวันที่ 11 สิงหาคม

ดังนั้นในเวลาเช้าของวันที่ 11 สิงหาคม ลูเซียพร้อมบิดาจึงได้แวะไปที่บ้านของครอบครัวมาร์โตก่อนจะเดินทางไปโอเรม ซึ่งสิ่งแรกที่ลูเซียถามก็คือว่าฟรังซิสโกและยาซินทาจะไปด้วยไหม ซึ่งจริงแล้วทั้งสองก็อยากจะไปด้วย แต่นายมานูเอล บิดาของทั้งสองตัดสินใจจะไปเอง เขาจึงบอกเช่นนั้นไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวอะไรต่อ ลูเซียก็รีบวิ่งหายเข้าไปหาฟรังซิสโกและยาซินทา และพวกเราได้ยินยาซินทาบอกกับเธอว่า ถ้าพวกเขาจะฆ่าพี่ ช่วยบอกพวกเขาด้วยว่าฟรังซิสโกและหนูก็เหมือนพี่ พวกเราเชื่อในสิ่งเดียวกัน และพวกเราก็อยากจะถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน’” นายมานูเอลเล่า

หลังจากนั้นลูเซีย นายอันโตนิโอ ผู้เป็นบิดา และนายมานูเอลจึงออกเดินทางไปยังศาลาว่าการประจำเมืองโอเรม แต่ก็ปรากฏว่าศาลาว่าการกลับปิดเงียบ ทั้งสามจึงรออยู่ด้านนอก กระทั่งมีคนมาแจ้งว่าท่านนายกเทศมนตรีมิได้ทำงานอยู่ที่นี่ และได้พาทั้งสามไปพบเขา ณ อีกที่หนึ่ง  ซึ่งทันทีที่พบเขาก็รีบชิงถามหาว่าเด็กอยู่ไหน แต่นายมานูเอลสวนไปว่าเด็กไหน ทำให้นายอาร์ตูร์อึ้งไปพักหนึ่ง เพราะเขาน่าจะไม่ทราบว่ามีเด็กเห็นแม่พระถึงสามคน

นายมานูเอลจึงสบโอกาสแทรกพูดไปทำนองไม่ให้นายอาร์ตูร์ทราบว่ามีเด็กอีกสองคน ฝั่งนายอาร์ตูร์ที่มีอาการหัวเสียจึงหันไปหาลูเซียเพื่อเค้นเอาความลับจากเธอ แต่ก็ไร้ผลลูเซียมิได้ตอบอะไร ดังนั้นเขาจึงหันไปถามนายอันโตนิโอ บิดาของลูเซีย ว่าเชื่อเรื่องนี้ไหม เขาจึงตอบว่าไม่ แต่เขาเชื่อว่าเป็นเพียงการสนทนากับสตรีคนหนึ่งเท่านั้น แต่นายอันโตนิโอรีบสวนขึ้นมาว่าเขาก็เชื่อทุกอย่างที่ลูก ๆ ของเขาพูด นายอาร์ตูร์จึงหันมาถามซ้ำ ฝั่งนายมานูเอลก็ยืนยันว่าเขาเชื่อจริง ๆ ทุกคนจึงพากันหัวเราะเสียยกใหญ่

หลังจากนั้นเมื่อสอบสวนอะไรจนได้เวลา นายอาร์ตูร์จึงให้ทั้งสามกลับบ้านได้ แต่ก่อนจะไปเขาก็มิวายขู่ลูเซียว่าหากเธอไม่ยอมบอกความลับแก่เขา เขาก็จะฆ่าเธอเสีย ดังนั้นทั้งสามจึงได้เดินทางกลับมายังฟาติมา และทันทีที่ลูเซียได้พบกับฟรังซิสโกและยาซินทา ซึ่งมานั่งร้องห่มร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจอยู่ที่บริเวณบ่อน้ำที่ลานบ้านของลูเซีย ดวงตาของสองพี่น้องก็เหมือนดั่งมารีย์และมาร์ธาที่ได้เห็นลาซารัสคืนชีวิต ยาซินทารีบพูดทั้งน้ำตาว่า พี่ลูเซีย พี่ลูเซีย พี่สาวพี่บอกหนูว่าพวกเขาฆ่าพี่ไปเสียแล้ว

กลับมาที่โอเรม หลังจากได้สอบสวนและข่มขู่ลูเซียแล้วไม่ได้อะไร เขาก็หาได้ละความพยายามที่จะเค้นเอาความจริงจากปากของเด็กผู้อ้างว่าเห็นแม่พระที่โควา ดา อิเรียให้ได้ และล้มเลิกเรื่องโกหกที่จะบั่นทอนรัฐบาลที่ปฏิเสธศาสนาซึ่งเขาภักดี ที่สุดเขาจึงตัดสินใจที่จะลักพาตัวเด็กเหล่านั้นมาเค้นเอาความลับเสีย โดยเขาได้เลือกวันที่สำคัญ นั่นก็คือวันของการประจักษ์ในเดือนนี้

รุ่งเช้าของวันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม วันนั้นนายอาร์ตูร์ นายกเทศมนตรีประจำเมืองก็ได้แสร้งแวะเข้ามาหานายมานูเอล บิดาของฟรังซิสโกและยาซินทา พร้อมบอกว่าหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด เขาใคร่จะตามไปดูอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก (นายมานูเอลเล่าย้อนในภายหลังว่า เขาเป็นนักแสดงที่เก่งเลยทีเดียว) ก่อนจะชวนให้พาเด็ก ๆ นั่งไปบนรถม้าของเขา เพื่อ พวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อเหมือนดังท่านนักบุญโทมัส แล้วสอดส่ายตาอันเจ้าเล่ห์ไปทั่วเพื่อหาทั้งสาม ด้วยท่าทีที่กระวนกระวาย

กระทั่งทั้งสามมาพร้อมกันที่ห้องแล้ว นายกเทศมนตรีผู้เล่ห์เหลี่ยมก็เชื้อเชิญให้ทั้งสามไปรถม้ากับเขา ทีแรกทั้งสามปฏิเสธ แต่เขาก็พยายามคะยั้นคะยออีกครั้งโดยอ้างเหตุผลว่าทั้งสามจะได้เดินทางสะดวก และยังเสริมอีกว่าเขาจะแวะหาคุณพ่อเจ้าวัดฟาติมาอีก ดังนั้นทั้งสามจึงตกลงเดินทางร่วมไปกับเขา โดยทีแรกมีบิดาของทั้งลูเซียและบิดาของฟรังซิสโกและยาซินทาได้ตามไปด้วยจนถึงบ้านพักคุณพ่อ ซึ่งที่นั่นนายอาร์ตูร์ก็ได้พาทั้งสามไปพบคุณพ่อ

หลังจากนั้นเขาจึงให้ฟรังซิสโกนั่งข้างเขาที่เป็นคนขับ แล้วให้ลูเซียและยาซินทานั่งด้านหลัง ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนรถม้า
ออกไปตามทาง จนพ้นถึงถนนสายหลักรถม้าที่ดูท่าจะวิ่งไปทางโควา ดา อิเรียอย่างช้า ๆ ก็กลับเปลี่ยนทิศไปทางโอเรมและถูกเร่งความเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นดังนั้นก็หันไปถามนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ว่า คุณจะพาพวกเราไปไหน นี่ไม่ใช่ทางไปโควา ดา อิเรียนิ ฝั่งนายอาร์ตูร์ก็รีบแสร้งตอบว่าเขาจะพาทั้งสามไปพบกับพระสงฆ์ที่โอเรม และเดี๋ยว ๆ ก็จะจัดรถพากลับมาที่โควาให้

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงได้ ทั้งสามจึงมาถึงบ้านพักของนายอาร์ตูร์ ณ ที่นั่นทั้งสามถูกนำตัวไปขังไว้ที่ห้อง ๆ หนึ่ง และถูกขู่ว่าหากทั้งสามไม่ยอมบอกความลับของทั้งสามแก่เขา เขาก็จะไม่ปล่อยทั้งสามออกไป จากนั้นจึงจากทั้งสามไป ฝั่งทั้งสามที่บัดนี้ถูกทิ้งอยู่ลำพัง ก็เข้าใจสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองดี ถ้าพวกเขาจะฆ่าพวกเราเสีย มันก็ไม่สำคัญหรอก จริงไหม เพราะพวกเราจะได้ไปสวรรค์กันทุกคน ยาซินทากล่าว

ทั้งสามถูกขังจนล่วงถึงเวลาเที่ยงอันเป็นเวลาตามนัดหมายของแม่พระ ฟรังซิสโกก็เอ่ยขึ้นว่า บางทีพระนางอาจประจักษ์มาที่นี่ก็ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น ไม่มีเสียงฟ้าร้อง หรือแสงสว่างใด ๆ ปรากฏ ดังนั้นเองเมื่อไร้สัญญาใด ๆ จากสวรรค์เช่นนี้ น้ำตาหยดใสของลูกผู้ชายเช่นฟรังซิสโกก็เริ่มไหลออกมา พระนางจะมาหาพวกเราไหม เราอยากพบพระนาง ฟรังซิสโกเอ่ยทั้งน้ำตา ลูเซียจึงรีบเข้าไปปลอบเขาและขอให้เข้ากล้าหาญไว้

แล้วเธอจึงหันไปปลอบยาซินทาที่ร้องไห้หามารดาว่า ให้พวกเรายกถวายความทุกข์ของเราเพื่อคนบาป ตามที่แม่พระทรงขอพวกเรากันเถอะ ก่อนลูเซียจะนำสวดว่า ข้าแต่พระเยซูเจ้า พลีกรรมนี้เพื่อความรักของพระองค์ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ”” และทั้งนี้ยังเพื่อพระสันตะปาปา และเพื่อชดเชยการทำขัดเคืองดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะปลอบยาซินทาให้หยุดร้องได้

แต่กระนั้นท่ามกลางความโชคร้าย ก็นับเป็นโชคดีของทั้งสาม เพราะเมื่อเวลาล่วงเข้าถึงยามบ่าย ภรรยาของท่านนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ ก็ได้แอบมาเปิดห้องที่สามีขังทั้งสามไว้ แล้วพาทั้งสามมาเล่นกับลูกๆของนาง พร้อมจัดหาอาหารเที่ยงให้ทั้งสามได้กินให้หายหิวตลอดช่วงบ่าย และในเวลาต่อมา ก็เป็นนางเองที่ได้จัดหาหนังสือและของเล่นตามกำลังไปมอบให้ทั้งสาม เพื่อให้ทั้งสามได้คลายความทุกข์อันเกิดแต่ความโหดร้ายของผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง

เหตุการณ์ ณ โควา ดา อิเรีย

ในวันเดียวกันกับที่ทั้งสามถูกนายกเทศมนตรีลักพาตัวไป ที่โควา ดา อิเรีย ฝูงชนมากมายที่ยังไม่ทราบเรื่องก็ต่างเฝ้าคอยการประจักษ์อยู่รอบๆต้นโอ๊คที่แม่พระทรงประทับยืนคุยกับทั้งสาม นางมาเรีย ดา กาเปลินยา เล่าว่า ฝูงชนในวันนั้นมากเสียยิ่งกว่าในเดือนกรกฎาคม โอ้ มันช่างเยอะอะไรเช่นนี้ เยอะจริง ๆ บ้างก็เดินเท้ากันมาและเอาห่อผ้าแขวนไว้กับต้นไม้ บ้างก็ขี่ม้ามา บ้างก็ขี่ล่อมา มีรถจักรยาน และทุกสิ่งด้วย และบนถนนก็มีแต่เสียงอึกทึกด้วยนะ

จนเวลาล่วงมาถึงเวลาเที่ยง เมื่อฝูงชนที่ต่างสวดภาวนาสลับร้องเพลงไม่เห็นทั้งสามมาสักที ก็เริ่มพากันร้อนใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนมีคนจากฟาติมามาแจ้งว่าทั้งสามถูกนายกเทศมนตรีลักพาตัวไปเสียแล้ว ฝูงชนก็เริ่มลุกฮือด้วยความเดือดดาล แต่ยังไม่ทันจะได้ทำประการใดก็ปรากฏเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยฟ้าแลบ เหมือนการประจักษ์ในครั้งที่ผ่านๆมา จนสร้างความตกใจแก่ผู้คนบริเวณนั้นเป็นอันมาก ชนิดพากันถอยกรูออกจากต้นไม้ในเร็วพลัน

จากนั้นทุกสายตาจึงได้ประจักษ์กับก้อนเมฆก้อนเล็ก ๆ ที่มีลักษณะบางมาก ๆ และขาวมาก ๆ ค่อย ๆ ลอยมาหยุดที่เหนือต้นโอ๊ค และชั่วขณะมันก็ค่อย ๆ ลอยกลับขึ้นไปบนฟ้าจนเลือนหายไปจากสายตา เวลาเดียวกันทุกสายตาก็ได้แลเห็นอัศจจรย์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อใบหน้าของแต่ละคนได้เปล่งแสงสีรุ้งออกมา ทั้งต้นไม้ทั้งหลายที่ดูจะเต็มไปด้วยใบ ก็ดูคล้ายเต็มไปด้วยหมู่บุพผาชาติ ไม่เว้นแม้แต่พื้นดิน และเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมก็ปรากฏรังสีหลากสีเปล่งประกายออกมา  นอกนี้แล้วโคมไฟที่แขวนที่ซุ้มตรงต้นโอ๊คที่แม่พระประจักษ์ก็เปล่งสีคล้ายสีทองออกมาให้เห็นอีกด้วย แน่นอนว่าแม่พระได้เสด็จมาแล้ว ฉันรู้ดี แม้ว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ตาม นางมาเรียกล่าวสรุป

เมื่อเหตุอัศจรรย์จบลงแล้ว ผู้คนได้เป็นประจักษ์พยานถึงอัศจรรย์ในวันนี้ก็พากันกลับมายังฟาติมา พลางตะโกนต่อต้านนายอาร์ตูร์ นายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ และคุณพ่อเฟร์เรยรา รวมถึงทุกคนที่มีส่วนต่อการลักพาตัวเด็กน้อยทั้งสามไป บ้างตะโกนออกมาว่า พวกเราจงไปโอเรมและประท้วงกัน แต่บ้างก็ตะโกนว่า พวกเราไปกัน ไปตีพวกมันทั้งหมด ไปหาพระสงฆ์ด้วย เพราะเป็นความผิดของท่าน ไปกันเสียเดี๋ยวนี้เถอะ ไปตกลงกับไอ้นายกเทศมนตรีให้รู้แล้วรู้รอดไป ซึ่งแม้นายมานูเอลจะพยายามปรามให้ทุกคนสงบ แต่ก็หาได้มีใครฟังเขาไม่ เขาจึงกลับจำต้องกลับบ้านไป

การจับกุม ตอน 2

หลังจากอาหารเย็น นายอาร์ตูร์ก็พยายามบังคับให้ทั้งสามสารภาพเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง แต่ก็ไร้ผล ดังนั้นด้วยความหัวเสียที่ไม่อาจจะทำอะไรเด็กเหล่านี้ได้เลย เขาจึงจับทั้งสามขังไว้ตลอดคืน กระทั่งรุ่งเช้าคนที่มีความทุกข์มากสุดก็น่าจะเป็นตัวยาซินทา  เพราะแรกสุดเธอคิดถึงนางโอลิมเปียผู้เป็นมารดา ทั้งเธอยังไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ แต่แทนที่จะร้องไห้เพียงอย่างเดียว ตรงกันข้ามเธอได้หันไปหาแม่พระเพื่อขอให้พระนางทรงประทานพละกำลังและคำแนะนำแก่เธอ

สิ่งแรกที่พวกเด็ก ๆ ประสบในตอนเช้าของวันใหม่ ก็คือการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนผู้เป็นสตรีสูงวัยนางหนึ่ง ซึ่งมีอาวุธก็คือแตรที่เธอใช้ส่งเสียงกวนประสาททั้งสาม เพื่อจะให้ทั้งสามสติแตกจนยอมบอกความลับ แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นนายอาร์ตูร์จึงตัดสินใจลงมือเองอีกครั้ง คราวนี้เขาให้พาพวกเด็ก ๆ มาพบในเวลาประมาณสิบนาฬิกา ก่อนเขาจะทำทีเป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่ควักเหรียญเงินแวววาวจำนวนหนึ่งและสร้อยคอทองคำมาวางไว้ที่โต๊ะพลางพูด ได้โปรดเถอะนะ เรื่องความลับน่ะ แต่ก็ยังไร้ผลอยู่ดี

ที่สุดเมื่อเวลาล่วงเข้าถึงยามบ่ายทั้งสามก็ถูกจับโยนเข้าคุกประจำเมืองอันมืดมิด สกปรก และมีแต่พวกอาชญากรทั้งหลายของท่านนายกเทศมนตรี พร้อมคำขู่ของท่านนายกเทศมนตรีที่ว่า พวกเธอจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปจนกว่าพวกเธอจะยอมสารภาพ และถ้าพวกเธอใช้เวลาคิดนานเกินไป พวกเราก็จะเอาพวกเธอไปทอดในน้ำมันร้อน ๆ เสีย ฝั่งทั้งสามก็หาได้สงสัยไม่ว่านี่จะเป็นเพียงคำขู่ ซ้ำเชื่อว่านี่จะเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตของทั้งสามแล้ว

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ดูเหมือนว่ายาซินทาจะเป็นคนที่ทุกข์ใจมากที่สุดในเรื่องนี้ สิ่งที่สร้างความรวดร้าวให้ดวงใจน้อยๆของเธอมากที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่การต้องเป็นมรณสักขี แต่คือการรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งจากบิดามารดาที่รักของเธอ เธอพยายามจะซ่อนหยาดน้ำตาใส ๆ ที่ค่อย ๆ เอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองจากลูเซียและฟรังซิสโก โดยการหันไปมองตลาดที่จัตุรัสผ่านหน้าต่างของคุก  แต่ไม่วายวิธีนี้ก็ไม่อาจหลอกลูเซียได้ ทำไมน้องถึงร้องไห้ ยาซินทา ลูเซียเอ่ยถาม เพราะพวกเราจะตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พบคุณพ่อคุณแม่เลย พวกท่านไม่ได้มาเยี่ยมพวกเราเลย พวกท่านเป็นห่วงเรามากแค่ไหนกัน ยาซินทาตอบ

ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อเห็นน้องสาวเป็นทุกข์ดังนี้ ก็พูดปลอบน้องสาวว่า อย่ากังวลใจไปเลยนะ ยาซินทา พวกเราสามารถถวายสิ่งนี้เพื่อคนบาปได้เช่นกันนะ ดังนั้นทั้งสามจึงจับมือกัน และได้ยกถวายความทุกข์ยากนานาที่เกิดขึ้นกับตัวเองต่อพระเป็นเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเปิดเผยพระเมตตาอันมิรู้สิ้นสุดแก่ผู้คนอีกมากมายที่พวกเขาไม่รู้จัก ดังที่ปฏิบัติจนเป็นนิสัย ด้วยการสวดพร้อมกันว่า ข้าแต่พระเยซูเจ้า พลีกรรมนี้เพื่อความรักของพระองค์ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ

นอกนี้แล้วบรรดานักโทษที่อยู่ในคุก เมื่อเห็นทั้งสามก็ยังพากันมาช่วยปลอบโยนทั้งสาม มีคนหนึ่งบอกว่า เอาน่า ฉลาดหน่อย บอกท่านนายกเทศมนตรีเรื่องความลับไปเถอะ และพวกหนูจะได้กลับบ้านเสียที เรื่องสตรีนั้นไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น ซึ่งสิ้นเสียงยาซินทาก็รีบหันขวับไปจ้องหน้าชายคนนั้นอย่างไม่เชื่อหู พร้อมตอบว่า ไม่สำคัญหรือคะ แต่เราอยากจะตายดีกว่าบอกความลับ จนทำให้พวกนักโทษต่างได้แต่เกาหัวแกก ๆ กันด้วยความงงงวย และความอัศจรรย์ใจ

เมื่อเห็นว่าไม่อาจจะเปลี่ยนใจเพื่อนร่วมคุกทั้งสามได้ พวกนักโทษจึงพากันมาทำให้ทั้งสามได้บรรเทาใจบ้างตามที่พวกเขาจะสามารถ พอดีนักโทษคนหนึ่งมีหีบเพลงชักหรือที่เรียกกันว่า คอนเซอร์ตินาเขาจึงเอามันออกมาเล่น สักพักนักโทษคนอื่น ๆ ก็พากันเปล่งเสียงร้องเพลงตามมา จนเปลี่ยนคุกที่มืดมนให้กลายเป็นเหมือนงานฉลองเล็ก ๆ ซึ่งการปฏิบัติดังนี้ก็ทำให้ยาซินทาซึ่งบัดนี้ดีขึ้นมากและน้ำตาได้แห้งไปแล้ว เริ่มมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก

เธอไม่ขยับเท้าก็ขยับศีรษะไปมาตามจังหวะ กระทั่งนักโทษสูงอายุคนหนึ่งตัดสินใจมาขอเธอเต้นรำ เธอจึงตอบตกลงอย่างสุภาพตามมารยาท ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นภาพนักโทษตัวใหญ่ที่กำลังพยายามหาวิธีจะเต้นกับคู่เต้นตัวน้อยของเขา จนที่สุดเลยต้องอุ้มเธอขึ้นมาเหมือนก้อนขนมปัง แล้วจึงเต้นต่อไปก็เริ่มหัวเราะออกมา ทำให้บัดนี้บรรยากาศที่เศร้าสลดได้จางหายไปจากห้องขัง อุปมาเหมือนหนึ่งแมวยามตื่นกลัวแล้ววิ่งหนีหายไป

แต่ขณะหมุนไปตามจังหวะเพลงเอง ยาซินทาก็ฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้ ว่านี่ไม่ใช่วิธีเตรียมจิตเตรียมใจให้พร้อมต่อการเป็นมรณสักขีอย่างดี ทั้งเธอก็ไม่ทราบแน่ว่าแม่พระจะทรงโปรดการปฏิบัติเช่นนี้หรือเปล่า ดังนั้นเธอจึงขอให้นักโทษที่อุ้มเธอเต้นรำให้ช่วยวางเธอลง แล้วเธอจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋า จนหาเหรียญแม่พระเจอเธอจึงเอาออกมาและขอให้นักโทษคนหนึ่งช่วยแขวนมันไว้กับตะปูอันหนึ่งที่ผนัง ก่อนเธอ ลูเซีย และฟรังซิสโกจะพร้อมใจกันคุกเข่าลง แล้วเริ่มสวดสายประคำ

ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าว นักโทษในคุกก็เริ่มคุกเข่าลงและสวดตามทั้งสามโดยเริ่มจากคนที่มีอายุก่อน แต่ก็มีชายคนหนึ่งไม่ยอมถอดหมวกออก ฟรังซิสโกที่เห็นจึงลุกไปหาเขา ก่อนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า คุณผู้ชายครับ เมื่อคุณสวดภาวนา คุณต้องคิดจะถอดหมวกออกด้วยนะครับ ฝั่งนักโทษคนนั้นเมื่อเห็นเพื่อน ๆ ร่วมห้องพากันหัวเราะใส่เขา เขาก็รีบถอดหมวกออกและเขวี้ยงลงพื้นอย่างหัวเสีย ฟรังซิสโกที่เห็นเช่นนั้นก็ก้มตังลงหยิบหมวกนั้นขึ้นมาอย่างสุภาพ ก่อนปัดมันนิดหน่อยให้สะอาด แล้วเขาจึงค่อยเอามันไปวางไว้บนม้านั่งอย่างเบามือ ก่อนจะกลับไปสวดต่อ

ทั้งหมดร่วมสวดสายประคำกันไปได้ยังไม่ทันจบ ก็ปรากฏเสียงเอ็ดตะโรอันน่ากลัวลอยมาใกล้ประตูคุก ก่อนจะตามาด้วยเสียงเปิดประตูคุก เผยให้เห็นผู้คุมที่ยืนจังก้าพร้อมประกาศว่า เธอทั้งสามคน ใช่ พวกเธอนั่นแหละถึงเวลาแล้ว ฝั่งทั้งสามเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รีบก้าวออกมาเพื่อน้อมรับการทรมานที่จะเกิดขึ้น ก่อนจะถูกนำตัวไปพบท่านนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

สบายดีไหมละ ท่านนายกเทศมนตรีเอ่ยทักทานทั้งสามทันทีที่พบหน้า แต่ก็ต้องตะลึงงึงงัน เมื่อไม่มีคำตอบใด ๆ หลุดมาจากทั้งสาม ไม่พอทั้งสามเองก็หาได้มีปฏิกิริยาที่แสดงถึงการยอมแพ้ไม่ เขาจึงหันไปทำถามผู้ช่วยเรื่องหม้อน้ำมันเดือดที่สั่งไว้ ฝั่งผู้ช่วยก็รายงานว่าตอนนี้น้ำมันนั้นเดือดได้ที่แล้ว ได้ยินเช่นนี้ เขาก็หันกลับมาหาทั้งสามพร้อมขู่ว่า นี่เป็นโอกาสุดท้ายแล้วนะที่พวกเธอจะบอกความลับมา พวกเธอได้ยินใช่ไหม งั้นดีเลย เธอก่อนเลย

เขาพูดเช่นนี้พร้อมมองไปที่ยาซินทา ผู้หวาดกลัวจนถึงขั้นหน้าซีด ก่อนจะสั่งยามเสียงดังว่า เอาเธอไปโยนลงหม้อเป็นคนแรก ฝั่งยาซินทาก็ตะโกนลั่นว่า พระเยซูเจ้าที่รัก ช่วยหนูด้วย แม่พระ ช่วยหนูด้วย แล้วเธอจึงโดนยามเข้าจับตัวและพาตัวไปอีกห้องหนึ่ง แต่ถึงแม้เวลานั้นความกลัวจะแผ่ซ่านไปทุกอณูของร่างกายเธอ ยาซินทาก็ยังคงไม่ปริปากเรื่องความลับให้พวกเขาได้รู้

ดังนั้นเวลานี้ภายในห้องสอบสวนจึงเหลือเพียงลูเซียซึ่งหันไปหาฟรังซิสโก ญาติอีกคนที่เหลืออยู่กับเธอ ฝั่งฟรังซิสโกเองก็หนุนใจลูเซียว่า ถ้าพวกเขาฆ่าพวกเรา จะเป็นอะไรไปเล่า พวกเราจะได้อยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่หรือ ลูเซีย มีอะไรที่เธอจะต้องการไปมากกว่านี้อีก ลูเซียจึงตอบว่า ไม่ ฟรังซิสโก เราแน่ใจว่าไม่มีจริงๆ หลังจากนั้นลูเซียจึงเฝ้ามองภาพเพื่อนชายของตนที่กำลังขยับเม็ดประคำในกระเป๋าเสื้อ พร้อมขยับปากสวดไป จนยามที่เฝ้าทั้งสองสังเกตเห็น เขาจึงถามขึ้นว่า เธอพูดอะไรอยู่น่ะ ฟรังซิสโกจึงตอบเขาว่า วันทามารีย์ เพื่อให้น้องสาวตัวน้อยของผมจะได้ไม่หวาดกลัว

ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณไม่มีเสียงอันใดเล็ดลอดออกมาจากห้องที่ยาซินทาหายไป กระทั่งประตูห้องนั้นเปิดออกโดยยามคนเดียวกับที่อุ้มยาซินทาไป ยามผู้นั้นก็ได้เดินตรงมา พร้อมวางมือบนตัวฟรังซิสโก พลางพูดว่า ตอนนี้น้องสาวของเธอสุกเหลืองเลยทีเดียวนะพ่อหนุ่มน้อย ตอนนี้ก็ถึงคราวเธอละ เธออาจจะบอกความลับได้แล้วนะ อย่าโง่และดื้อไปเลยน่า บอกท่านสิ่งที่นายกเทศมนตรีอยากรู้ไปเถอะ ฟรังซิสโกจึงตอบกลับไปว่า ผมทำไม่ได้หรอกครับ มันเป็นไปไม่ได้เลย ผมบอกใครไม่ได้จริง ๆ ครับ ดังนั้นเองยามผู้นั้นจึงจับฟรังซิสโกเข้าห้องเดียวกับที่ยาซินทาถูกพาไปในทันที

ตอนนี้พอถึงคราวของลูเซียที่บัดนี้ถูกทิ้งอยู่ลำพัง เมื่อถูกขอให้เปิดเผยความลับเพื่อแลกกับชีวิต เธอก็หาได้หวาดกลัวไม่ ตรงข้ามเธอได้ประกาศชัดว่า “หนูเชื่อจริง ๆ ว่าได้พูดกับคน และสำหรับพวกเรามันเป็นมากกว่านั้น หนูไม่กลัวหรอก และหนูก็ได้มอบความใจไว้กับแม่พระแล้วค่ะ” ดังนั้นเธอจึงถูกพาตัวไปยังหองที่ทั้งยาซินทาและฟรังซิสโกถูกพาเข้าก่อนหน้านี้ แต่แทนที่จะพบกลับหม้อไอน้ำที่บรรจุน้ำมันเดือดระอุ เธอกลับได้พบกับฟรังซิสโกและยาซินทาที่
รอท่าอยู่ในห้องนั้น โดยมิเป็นอันตรายอันใด ดังนั้นทั้งสามจึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง

เย็นวันนั้นหลังการพยายามเค้นความลับของท่านนายกเทศมนตรีจอมเจ้าเล่ห์ด้วยแผนหม้อน้ำมันเดือดปลอม ๆ ทั้งสามก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากภรรยาของท่านนายกเทศมนตรี นางได้จัดหาอาหารให้ทั้งสาม ทั้งยังจัดที่หลับที่นอนให้ทั้งสามได้นอนอย่างสบายใจที่ห้องใต้หลังคาของบ้านตลอดคืน กระทั่งรุ่งสางของวันต่อมาอันเป็นวันฉลองแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ นายอาร์ตูร์ก็ยอมแพ้ต่อการเค้นความลับจากเด็กน้อยทั้งสามคน และได้พาทั้งสามคนมาส่งคืนให้กับคุณพ่อเฟร์เรยรา คุณพ่อเจ้าวัดฟาติมา ณ ที่พระแท่น

การประจักษ์ครั้งที่ 4 วันที่ 19 สิงหาคม

หลังร่วมมิสซาประจำวันอาทิตย์ที่วัดแล้ว ทั้งลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทา พร้อมกับสัตบรุษผู้ศรัทธาอีกจำนวนหนึ่งก็ได้พากันไปสวดสายประคำ ณ โควา ดา อิเรีย กระทั่งจบสายทั้งสามก็ได้รับเชิญจากสุภาพบุรุษผู้แสนดีคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฟาติมา ชื่อ เซนยอร์ อัลเวส ให้ไปเป็นแขกรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน ซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธ เว้นเสียแต่มารดาของลูเซียที่บ่นอุบอิบว่ากลัว ตัวลูเซียจะลืมหน้าที่ดูแลแกะไป

จนเวลาล่วงถึงยามบ่าย หลังเสร็จมื้อเที่ยงแล้ว ทั้งสามพร้อมพี่ชายของฟรังซิสโกและยาซินทาชื่อ ยวง จึงเดินทางกลับมาบ้านเพื่อต้อนฝูงแกะออกไปกินหญ้าตามหน้าที่ แต่ครั้งนี้ยาซินทามิได้ตามไปด้วยเพราะนางโอลิมเปียได้เรียกให้ยาซินทากลับเข้าบ้านเสียก่อน ดังนั้นเด็กเลี้ยงแกะทั้งสามคนอันประกอบด้วย ลูเซีย ฟรังซิสโก และยวง จึงหารือกัน และได้พากันต้อนแกะไปกินหญ้าในที่ๆได้ตกลงกันไว้ นั่นก็คือที่ วาลินโยส

วาลินโยส เป็นบริเวณที่ดินซึ่งเป็นของลุงของลูเซีย สถานที่แห่งนี้ไม่ไกลมากนักจากอัลยุสเตรลคะเนเป็นระยะที่คนๆหนึ่งจะตีลูกกอล์ฟถึง ลักษณะของมันคือเป็นพื้นที่ราบสีเขียวสด ซึ่งโอบล้อมด้วยโขดหินตามธรรมชาติ และละลานตาไปด้วยหมู่ดอกไม้ประจำฤดูร้อน (ทางยุโรปจะมีฤดูร้อนคือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม) นี่แหละคือลักษณะโดยประมาณของสถานที่ที่วันนี้ลูเซียและฟรังซิสโกพร้อมพี่ชายของเขา พาฝูงแกะมาเล็มหญ้า

ทั้งสามเฝ้าแกะจนเวลาล่วงมาประมาณสี่โมงเย็น ลูเซียก็เริ่มสัมผัสได้ว่าอากาสรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนไปเหมือนที่เกิดขึ้นก่อนการประจักษ์ที่โควา คือเป็นลักษณะอากาศที่ทำให้รู้สดชื่น ไม่พอแสงแดดที่เคยสาดส่องลงมาก็ค่อย ๆ พลันหายไป แม่พระรึ ใครหนอจะทำเช่นนี้ได้ ลูเซียคิด ส่วนตัวฟรังซิสโกเองก็สัมผัสได้ถึงปรากฏการณ์เหล่านี้ เขายืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างคาดหวัง แต่ก็มิได้ปริปากพูดอันใด เขาทำเพียงรอพระนางอย่างเงียบ ๆ

ยวง ได้โปรดไปตามยาซินทามาที แม่พระกำลังจะมาแล้ว ได้โปรดเถอะนะ ลูเซียรีบเอ่ยขึ้นอย่างงตื่นเต้น ทำให้ยวงที่งงงวยกับภาพที่เห็นเกิดความเข้าใจ แต่ใจหนึ่งเขาก็อยากเห็นการเสด็จมาของแม่พระ เขาจึงไม่ได้ทำตาม จนลูเซียต้องเอาเงินให้ เขาจึงรีบวิ่งกลับไปตามยาซินทาซึ่งตอนนี้ไปอยู่ที่บ้านของคุณแม่ทูนหัวมาสมทบกับทั้งสองที่วาลินโยส  สถานที่ธรรมดาที่พระมารดาพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเพื่อมอบสารแก่โลก

และเมื่อยาซินทาเดินทางมาถึงที่วาลินโยสได้สักสองสามนาทีแล้ว สตรีผู้งดงามแห่งโควาก็ได้ประจักษ์มาหาทั้งสาม ณ บนต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งสูงกว่าต้นโอ๊คที่โควานิดหน่อย ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ก็รีบถามเช่นเดิมว่า ท่านประสงค์สิ่งใดคะ แม่พระก็ตรัสตอบเธอดังเช่นครั้งแรกว่า จงมาที่โควา ดา อิเรียอีกครั้งในวันที่สิบสาม และสวดสายประคำทุก ๆ วันต่อไปเถิด จากนั้นลูเซียจึงทูลขอให้พระนางทรงกระทำอัศจรรย์ ณ โควา เพื่อผู้คนจะได้ยอมรับเสียทีว่าพระนางนั้นมาจากสวรรค์

แม่พระจึงตรัสสัญญาว่า ฉันจะทำในเดือนสุดท้าย ฉันจะแสดงอัศจรรย์เพื่อว่าคนทั้งหลายจะได้เชื่อ ฝั่งลูเซียกับรับว่า ค่ะ ค่ะ แล้วเธอจึงนึกได้ถึงคำถามที่นางมาเรีย ดา กาเปลินยาถามเมื่อเช้าเรื่องเงินบริจาคของผู้คน ที่อยู่กับนางตั้งแต่เหตุอัศจรรย์ในวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา เธอจึงทูลพระนางต่อว่า พวกเราจะทำอะไรกับเงินบริจาคที่ผู้คนทิ้งไว้ที่โควา ดา อิเรียดีคะ พระนางจึงแถลงข้อตั้งใจว่า ฉันอยากให้หนูใช้มันทำบุษบกเล็ก ๆ สองอันสำหรับวันฉลองแม่พระลูกประคำ ฉันอยากให้หนูและยาซินทาแบกอันหนึ่งพร้อมด้วยเด็กหญิงอีกสองคน หนูจะต้องสวดชุดขาวด้วยนะ และจากนั้นฉันอยากให้ฟรังซิสโก พร้อมด้วยเด็กชายอีกสามคนช่วยกันแบกบุษบกอีกอัน ส่วนเงินที่เหลือให้นำมาสมทบทุนสร้างวัดน้อยที่จะตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้

ลูเซียได้เขียนอธิบายความหมายของบุษบกนี้ในหนังสือของเธอว่า บุษบกที่แม่พระกล่าวไว้นี้ ไม่ได้หมายถึงบุษบกที่ใช้แบกพระรูปหรือรูปนนักบุญในการแห่ แต่เป็นบุษบกของถวายที่ประชาชนนำมาถายเพื่อเข้าร่วมในขบวนแห่ ความจริงผู้คนมีความคุ้นเคยที่จะขอบคุณพระเป็นเจ้าโดยการถวายของที่เป็นผลงาน หรือผลผลิตของตนตามความสามารถของแต่ละคน ของถวายเหล่านี้เจ้าหน้าที่จะรวบรวมและจัดวางไว้บนบุษบกเพื่อนำเข้าร่วมขบวนแห่ในวันฉลองใหญ่ ๆ หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีมิสซาก็จะมีการแห่และถวายสิ่งของต่างๆ แด่พระเป็นเจ้าเพื่อเป็นการขอบพระคุณสำหรับพระพรต่าง ๆ ที่ได้รับ และเป็นการช่วยค่าใช้จ่ายของวัดอีกด้วย

กลับที่เหตุการณ์ที่วาลินโยส ลูเซียได้ทูลพระนางเรื่องบรรดาผู้ป่วยที่มาขอให้เธอช่วย บางคนฉันจะรักษาให้หายในปีนี้ จงสวดภาวนา สวดภาวนาให้มาก ๆ จงทำพลีกรรมเพื่อคนบาป วิญญาณหลายดวงต้องไปนรก เพราะไม่มีใครทำพลีกรรมและสวดภาวนาเพื่อพวกเขา พระนางตรัสเช่นนี้แล้ว ก็ทรงลอยขึ้นไปทางทิศตะวันออก จนพ้นวิสัยที่ทั้งสามจะแลเห็นไปในที่สุด

เมื่อไม่เห็นพระนางแล้ว ทั้งสามก็ได้พากันตัดเอากิ่งของต้นไม้บริเวณที่ผ้าคลุมของแม่พระมาสัมผัส ก่อนที่ฟรังซิสโกและยาซินทาจะรีบวิ่งกลับบ้านไปพร้อมกิ่งเหล่านั้นอย่างผู้มีชัย โดยทิ้งให้ลูเซียและพี่ชายของตนเฝ้าฝูงแกะต่อไป กระทั่งมาพบมารดาและพี่สาวของลูเซียที่ยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมเพื่อนบ้าน ยาซินทาก็รีบตรงมาหานางมาเรียพลางพูดว่า โอ้ คุณป้าคะ พวกเราได้เห็นแม่พระอีกครั้งแล้วค่ะ พวกเราเห็นท่านที่วาลินโยสค่ะ ฝั่งนางมาเรียจึงตอบอย่างระอาใจว่า อา ยาซินทา เมื่อไรเรื่องโกหกพวกนี้จะจบลงเสียที หนูเห็นแม่พระทั่วทุกหนแห่ง ไม่ว่าหนูจะไปที่ไหนเลยหรือ

แต่พวกเราเห็นท่านจริง ๆ นะคะ ยาซินทาตอบพลางยื่นกิ่งไม้จากต้นไม้นั้นให้นางมาเรียดู พร้อมพูดว่า ดูนี่สิคะ คุณป้า ได้โปรดเถอะนะคะ นี่คือที่ที่แม่พระทรงเหยียบ และอันนี้ก็ที่อื่น ฝั่งนางมาเรียจึงขอดูกิ่งไม้นั้น แล้วจึงรับมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ กลิ่นอะไรกันนี่ ไม่ใช่กลิ่นกุหลาบซะด้วยสิ แต่ช่างหอมเสียจริง  จะเป็นอะไรได้บ้างนะ นางมาเรียกล่าวขึ้น ฝั่งเพื่อนบ้านและพี่สาวของลูเซียเองก็ต่างได้กลิ่นหอมประหลาดนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้จับมาดมใกล้ ๆ นางมาเรียก็รีบเก็บมันไว้ที่โต๊ะพลางบอกว่าจนกว่าจะรู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร จะเป็นการดีกว่าที่จะเอาไปไว้ที่นี่  

มาเรีย โดส อันโยส เล่าสรุปเหตุอัศจรรย์ว่า แต่พอถึงตอนเย็น ฉันจำได้ว่า เมื่อพวกเราต้องการดูมัน พวกเราก็หากิ่งไม้นั้นเสียแล้ว พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าใครเอามันไป กระนั้นฉันยังจำได้ดีถึงความประทับใจของคุณแม่ของฉัน และฉันคิดว่าแต่นั้นมาท่านก็เริ่มเมตตาลูเซีย ฝั่งคุณพ่อเอง ท่านก็ดูมีท่าทีอ่อนลงเช่นเดียวกัน ดังนั้นเองท่านทั้งสองจึงคอยปกป้องลูเซียเวลามีคนอื่นจะมาเอาโทษเธอ ปล่อยลูเซียอยู่อย่างสงบเถิด เผื่อว่าสิ่งที่เธอบอกอาจจะเป็นความจริงก็ได้ท่านเคยบอกพวกเขาเช่นนี้

กิ่งไม้หายไปไหน ชะลอยแม่พระจะทรงส่งทูตสวรรค์มาเอาไปหรือ หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่ เพราะเป็นตัวของยาซินทาเองที่ได้อาศัยความว่องไว ตอนนางมาเรียเดินกลับออกมา วิ่งเข้าไปเอากิ่งไม้นั้นมา แล้วนำกลับไปให้ทั้งนายมานูเอล และนางโอลิมเปียได้ดู ซึ่งพอนายมานูเอลได้เห็นทีแรก เขาก็ได้กลิ่นหอมประหลาดที่ไม่คำใดๆจะอธิบายได้ แต่พอเขาได้เอามาดมใกล้ ๆ กลิ่นประหลาดนั้นก็กลับจางหายไปเสียเฉย ๆ


ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหา...