นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
หลังการประจักษ์จบลงทั้งฟรังซิสโกและยาซินทาก็มีชีวิตที่มิได้ผิดแปลกไปจากเดิมเว้นเสียแต่ไม่ได้ไปเลี้ยงแกะแล้วเพราะนางโอลิมเปียตัดสินใจขายแกะไป
ส่วนลูเซีย ญาติผู้พี่ก็เริ่มไปโรงเรียนตามคำสั่งของแม่พระ
ดังนั้นทั้งสองก็มีโอกาสติดตามเธอไปเรียนพร้อมกันด้วย
ซึ่งแต่ก่อนจะเข้าเรียนทั้งสามก็จะแวะไปเฝ้าศีลที่วัดสักระยะก่อน
หลังจากนั้นจึงไปเข้าเรียน แต่ในวันแรกขณะยังไม่ทันจะเข้าเรียน
ฟรังซิสโกก็ระลึกถึงคำทำนายของแม่พระที่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงไม่นานได้
“เธอไปเรียนเหอะ
เราจะอยู่กับพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนพระองค์ มันดีแล้วหรือที่จะเรียนอ่านเขียน
ถ้าเราจะไปสวรรค์ในไม่ช้านี้” เขาตัดสินใจบอกลูเซียก่อนจะเข้าเรียนเพียงเสี้ยววิ
หลังจากนั้นเขาจึงผลักจากทั้งสอง แล้วตรงไปวัดที่ใกล้ที่สุด เพื่อคุกเข่าลง ณ
เบื้องหน้าตู้ศีล และเมื่อลูเซียและยาซินทากลับจากโรงเรียนในตอนบ่าย
ทั้งสองก็พบฟรังซิสโกสวดอยู่ที่เดิม (และหลังจากนั้นหลาย ๆ ครั้งเขาก้มักปฏิบัติเช่นนี้)
แม้ตลอดการประจักษ์
ฟรังซิสโกจะไม่เคยได้ยินเสียงตรัสของแม่พระ แต่ภายหลังจากการประจักษ์มาเขาก็ยิ่งทวีความศรัทธาของตนมากขึ้น
เขามักใช้เวลานาน ๆ ไปกับการคิดถึงพระเยซูเจ้าและสารที่แม่พระมอบแก่โลก
และบางเวลาที่เขาสวด เมื่อลูเซียและยาซินทามาเรียก เขาก็ไม่ได้ยินทั้งสอง (แต่ในเวลาปกติเขาก็พร้อมเสมอที่จะช่วยงานครอบครัว) ยามนี้คำพูดของทูตสวรรค์ในการประจักษ์ครั้งที่สามที่ว่า
“และปลอบโยนพระเจ้า” คือคำที่ตราตรึงในวิญญาณน้อยๆของเขา
เขาปรารถนายิ่งที่จะปลอบโยนพระองค์
ผู้ทรงต้องทุกข์ทนเพราะบาปผิดของมนุษย์ที่พระองค์รัก
ครั้งหนึ่งลูเซียและยาซินทาผ่านมาพบเขากำลังกราบอยู่หลังกำแพง
ทั้งสองจึงถามเขาไปว่า “ทำไมไม่มาสวดกับเราละ” ฝั่งฟรังซิสโก ก็ตอบกลับทั้งสองไปว่า “เราชอบอยู่คนเดียว เพื่อคิดถึงแม่พระและการปลอบโยน” อีกคราวลูเซียเคยถามฟรังซิสโกตรง ๆ ว่า “ฟรังซิสโก นายชอบอะไรมากที่สุด ปลอบโยนพระเจ้าหรือทำให้คนบาปกลับใจ”
เขาก็ตอบเธอว่า “เราชอบปลอบโยนองค์พระผู้เป็นเจ้า
เธอไม่เห็นหรอว่าแม่พระเศร้าแค่ไหนตอนที่บอกพวกเราว่ามนุษย์ไม่ควรทำเคืองพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงขัดเคืองพระทัยเป็นยิ่งนักอีกต่อไป เราอยากปลอบโยนองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วค่อยไปทำให้คนบาปกลับใจ เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัยอีกต่อไป
ไม่นานเราก็จะได้อยู่ในสวรรค์ และเมื่อเราถึงที่นั่นแล้วนะ
เราก็จะปลอบโยนองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระมาก ๆ ”
ส่วนยาซินทา
เดชะพระหรรษทานและความช่วยเหลือจากแม่พระ
วิญญาณของเธอก็ลุกร้อนไปด้วยไฟแห่งความรักต่อพระและความปรารถนาที่จะช่วยวิญญาณทั้งหลายจากการไปนรก
บัดนี้ชีวิตของเธอมอบพลีเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ความรอดของวิญญาณทั้งหลาย ความสำคัญของพระบิดาเจ้าและพระสงฆ์ และความจำเป็นและความรักต่อศีลศักดิ์สิทธิ์
ทุกวันเธอเฝ้าไปร่วมมิสซา พร้อมความหวังว่าจะได้รับพระองค์สักวันหนึ่งเพื่อชดเชยบาปของโลกที่ทำให้ดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า
และดวงหทัยนิรมลของแม่พระต้องระทมทุกข์ นอกนี้สำหรับเธอแล้ว
ไม่มีอะไรจะน่าสนใจไปยิ่งกว่าการสำแดงพระองค์อย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท
ยาซินทาเคยเอ่ยบ่อย ๆ ว่า “หนูรักที่จะอยู่ที่มาก ๆ หนูมีเรื่องราวมากมายจะคุยกับพระองค์”
เธอไม่เคยเหนื่อยที่จะบอกทุกคนที่พบว่าพระเยซูเจ้าและแม่พระรักพวกเขา
เธอเคยบอกกับลูเซียว่า “หนูชอบที่จะทูลกับองค์พระเยซูหลาย ๆ ครั้งว่า
หนูรักพระองค์ ซึ่งเมื่อหนูพูดเช่นนี้ หนูก็รู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในหัวใจของหนู
แต่มันไม่เคยเผาหนู” , “หนูรักองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระมาก ๆ
หนูไม่เคยเหนื่อยที่จะบอกทั้งสองพระองค์ว่าหนูรักพระองค์ทั้งคู่เลย” และเธอยังร้อนรนยิ่งในการที่จะปลีกตัวเองจากโลก และใฝ่หาแต่สวรรค์
ในทั้งสามเธอนับเป็นหนึ่งในด้านการทรมานร่างกายเพื่อทำให้คนบาปกลับใจนับตั้งแต่ได้รับการประจักษ์ครั้งที่หนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นการสละน้ำใจตน การสละนิสัยตน
การอดอาหารกลางวันแล้วเอาไปให้คนยากไร้หรือเจ้าแกะกินแทน
การปฏิเสธที่จะดื่มน้ำในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวตลอดวัน การอดอาหารในช่วงมหาพรต
และการเลิกเอาเวลาไปเล่นเกมส์ตามปกติมา แล้วมาเพิ่มเวลาสวดภาวนาให้มากขึ้น
ดังที่เล่าไปแล้ว
ระยะแรกยาซินทารัดเชือกนี้ตลอดเวลา
แต่ในการประจักษ์ครั้งหนึ่ง แม่พระได้ตรัสบอกเธอว่า “พระเจ้าทรงพอพระทัยกับการพลีกรรมของพวกหนูนะ
แต่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้พวกหนูสวมสายรัดเอวเวลานอน
ใส่มันแค่ตอนกลางวันก็พอแล้วจ๊ะ” ทำให้แต่นั้นมาทั้งสามจึงนบนอต่อคำสั่งนี้
และได้ยิ่งทวีการพลีกรรมมากยิ่ง ๆ ขึ้น เพราะบัดนี้ทั้งสามต่างรู้ดีแล้ว
ว่าพระเจ้าและแม่พระทรงพระพระทัยการปฏิบัติเช่นนี้
ทั้งฟรังซิสโกและยาซินทาต่างรัดเชือกนี้จนเกือบถึงวันสุดท้ายของพวกเขา
แม้มันจะสร้างบาดแผลให้พวกเขาก็ตาม (เรื่องนี้ไม่มีใครล่วงรู้เลย เพราะทั้งสองมิได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ใคร
ซ้ำในช่วงท้ายของชีวิตทั้งฟรังซิสโกและยาซินทาก็ได้ปลดเชือกนี้ออกเพื่อมิให้ครอบครัวล่วงรู้
และได้มอบให้ลูเซียนำไปทำลายในวันเดียวกัน)
นิมิตเรื่องสันตะบิดร
และไม่เพียงแต่พลีกรรมเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยาซินทายังตระหนักถึงความจำเป็นยิ่งที่จะต้องพลีกรรมเพื่อองค์สันตะบิดร
ผู้ทรงเป็นประมุขแห่งพระศาสนจักร
และเธอก็มีโอกาสเห็นนิมิตเกี่ยวกับความทุกข์ของพระสันตะปาปาถึงสองครั้ง
ครั้งแรกยาซินทาเล่าว่า “หนูเห็นพระองค์อยู่ในบ้านหลังใหญ่
พระองค์คุกเข่าพร้อมซุกหน้าลงที่มือพร้อมร้องไห้ มีคนมากมายอยู่ข้างนอกนั่น
บ้างขว้างก้อนหิน บ้างก็พูดดูหมิ่นและคำหยาบ”
ส่วนอีกครั้งขณะเกิดขึ้น
ขณะเธอกำลังกราบและสวดบทภาวนาที่ทูตสวรรค์สอนที่ถ้ำ
อยู่ ๆ ยาซินทาก็รีบรุดขึ้นพรวดพราด และบอกแก่ญาติผู้พี่ว่า “ดูซิ พี่ไม่เห็นถนนหลายสาย ทางเท้าหลายทาง
และทุ่งมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังร้องไห้ด้วยความหิว เพราะไม่มีอะไรจะกิน
และพระสันตะปาปาในวัดกำลังสวดภาวนาต่อดวงหทัยของแม่พระงั้นหรือ”
ทำให้หลังจากนั้นมาทั้งสามจึงระลึกถึงองค์สันตะบิดรอยู่เสมอ
และได้คอยสวดเพื่อพระองค์อย่างไม่เคยหยุดหย่อน ทั้งสามตกลงกันว่าจะสวดบทวันทามารีย์สามครั้งหลังสวดสายประคำเสร็จเพื่ออุทิศแด่พระสันตะปาปา
นิมิตปีศาจ
เหมือนการที่ฟรังซิสโกมีความร้อนรนมากขึ้นจะทำให้ปีศาจไม่พอใจ
คล้ายกับว่าการที่ฟรังซิสโกมอบชีวิตเพื่อปลอบโลมใจของพระเยซูเจ้า จะทำให้แผนการต่าง ๆ นานาของมันที่จะเร่งพระพิโรธให้ตกมาสู่โลกเร็วขึ้น
แล้วคนจำนวนมากมายที่มันชักนำจะได้ไม่มีเวลาพอที่จะกลับใจใช้โทษบาป และท้ายสุดก็จะต้องถูกทำลายไปในไฟนรก
หรือนี่จะเป็นการย้ำเตือนกับพวกเราว่าปีศาจนั้นน่ากลัวเพียงใด เพราะขนาดเด็กชายที่ใจกล้าที่สุดยังต้องร้องเสียงหลงเมื่อพบมัน
พวกเราก็ก็มิอาจจะเข้าใจน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระเป็นเจ้าได้
ลูเซียได้ทบทวนเล่าถึงความทรงจำนี้ว่า
วันหนึ่งขณะเธอและสองพี่น้องมาร์โตพาแกะไปอาหารที่บริเวณซึ่งเรียกกันว่า ‘เปเดรยรา’ ระหว่างปล่อยเจ้าแกะน้อยให้เล็มหญ้า ทั้งสามก็พากันเล่นอยู่ใกล้นั้น
กระโดดไปตามก้อนหินที่มีอย่างดาษเดียรบ้าง ตะโกนฟังเสียงสะท้อนจากช่องเขาบ้าง
กระทั่งถึงจุดหนึ่งฟรังซิสโกก็ปลีกตัวไปสวดภาวนาอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ตามปกติ
เมื่อเวลาไปล่วงไปได้นานพอดู
จู่ ๆ ทั้งสองที่กำลังเล่นกันอยู่ก็ได้ยินเสียงฟรังซิสโกตะโกนเรียกทั้งสองและแม่พระพร้อม ๆ ปล่อยโฮออกมา
ลูเซียและยาซินทาที่เล่นอยู่จึงพากันออกตามหาตัวฟรังซิสโก “นาย/พี่อยู่ไหน” ทั้งสองส่งเสียงเรียก “อยู่นี่ อยู่นี่” ฟรังซิสโกขานรับ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไรนัก
เพราะต้องใช้เวลาสักพัก ทั้งสองจึงมาพบตัวฟรังซิสโกที่บัดนี้สั่นสะท้านเป็นลูกนก กำลังคุกเข่าอยู่
และมีอาการหัวเสียที่ไม่เขาไม่อาจจะลุกขึ้นยืนได้
“เกิดอะไรขึ้น มีอะไรไม่ดีหรือเปล่า” ลูเซียถาม “มันเป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่พวกเราเห็นในนรก
มันอยู่ตรงนี้พร้อมหายใจออกมาเป็นไฟ” ฟรังซิสโกเล่าด้วยน้ำเสียงระทึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
แต่ทั้งสองที่ตามาที่หลังก็ไม่เห็นอะไรตามที่เขาบอก “ดังนั้นดิฉันจึงหัวเราะออกมาและบอกเขาว่า
‘นายไม่เคยอยากคิดถึงเรื่องนรก เพราะจะได้ไม่กลัวนิ และตอนนี้นายมาเป็นคนแรกที่กลัวเสียนี่’ อันที่จริงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ยาซินทาคิดถึงเรื่องนรก
เขามักจะบอกกับเธอว่า ‘อย่าคิดถึงเรื่องนรกให้มาก
คิดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระแทนสิ’” ลูเซียบันทึก
เหมือนเดิมมิแปรเปลี่ยน
แม้การประจักษ์จะจบไปแล้ว
หลาย ๆ คนก็ยังเดินทางมายังอัลยุสเตร์ลเพื่อขอคำภาวนาจากเด็ก ๆ แต่การมีชื่อเสียงเช่นนี้ก็ไม่เคยทำให้เด็กทั้งสามเปลี่ยนไป
พวกเขายังคงมีชีวิตที่เรียบง่ายและถ่อมตน นอกนี้ยิ่งผู้คนเริ่มมองหาพวกเขามาเท่าไร
ทั้งสามก็ยิ่งซ่อนตนจากสายตาของพวกมากยิ่งขึ้น (ดั่งที่เล่าไปบ้าง) เช่นวันหนึ่งขณะทั้งสามกำลังเดินไปบนถนนของหมู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม
รถคันใหญ่ที่มีสุภาพบุรุษและสุภาสตรีแต่งตัวดูภูมิฐานนั่งมาก็มาจอดที่หน้าทั้งสาม
“ดูนั่นสิ พวกเขากำลังมาหาพวกเรา…” ฟรังซิสโกเอ่ยขึ้น “พวกเราจะไปซ่อนกันดีไหม” ยาซินทาถามต่อ “เป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเขาจะไม่รู้
เดินต่อไปเถอะและเธอก็จะเห็นว่าพวกเขาจำพวกเราไม่ได้” ลูเซียตอบ แต่ขณะทั้งสามกำลังจะออกเดินต่อ
ผู้แวะเวียนเข้ามาก็ถามทั้งสามขึ้นว่า “พวกหนูมาจากอัลยุสเตร์ลหรือเปล่า” ลูเซียจึงตอบว่า “ใช่ค่ะ ท่าน” ผู้แวะเวียนจึงถามต่อว่า “เธอรู้จักเด็กเลี้ยงแกะสามคนที่แม่พระประจักษ์มาหาไหม
ถ้าหนูรู้จักพวกเขา หนูพอจะบอกที่อยู่ของพวกเขาได้ไหม” ลูเซียก็ตอบไปว่า “ไปตามถนนสายนี้แล้วลงไปทางซ้าย…” เธออธิบายทางไปบ้านของพวกเขาจนจบ ผู้แวะเวียนจึงขอบคุณและออกรถไป
ทิ้งให้ทั้งสามที่ต่างพากันวิ่งอย่างลิงโลดเข้าไปหาที่หลบตัวจากสายตาของพวกเขา
มีอีกคราวมีกลุ่มผู้ศรัทธาย่อม ๆ มาดักรอทั้งสามที่บ้าน
หลังทั้งสามกลับจากที่กาเบโซและวาลินโยส คราวนั้นทั้งสามไม่อาจจะหนีผู้แสวงบุญเหล่านี้ได้ทันเช่นครั้งก่อน ๆ
ตอนนั้นลูเซียและยาซินทาถูกกลุ่มศรัทธาจำนวนหนึ่งล้อมไว้ แล้วขอคำภาวนาต่าง ๆ นานา
ส่วนตัวฟรังซิสโกเองที่เริ่มป่วยก็ถูกสตรีนางหนึ่งดึงตัวไป เพื่อให้ช่วยมาอวยพรบรรดาสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกประคำ
เหรียญ ไม้กางเขน และข้าวของอื่น ๆ ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อเห็นเช่นนั้น
ก็รีบตอบสตรีคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง และบ่งบอกถึงความงดงามที่แฝงเร้นในวิญญาณว่า
“ผมอวยพรไม่ได้หรอกครับ และมันก็ไม่เหมาะสมด้วย เพราะมีแต่พระสงฆ์เท่านั้นที่ทำได้”
หัวใจที่มอบแด่เพื่อนมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก
แม้จะไม่ชอบพบผู้แสวงบุญมากเท่าไร
แต่เมื่อพบผู้แสวงบุญที่มีความทุกข์ใจมาขอคำภาวนาจริง ๆ
ไม่ใช่มาเพื่อหาคำตอบสารพัดที่จะสรรหามาถาม สองยุวนักบุญก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธที่ช่วยเหลือพวกเขาด้วยคำภาวนาน้อย ๆ ของทั้งสอง จงบังเกิดผลหลายคราว ดั่งเช่นเรื่องราวที่จะยกมาสาธกให้ได้ฟัง
อันเกิดกับสองสตรี และหนึ่งทหารกล้า
เรื่องที่หนึ่งเกิดขึ้นระหว่างทั้งสามเดินทางไปยังโควา
ก็เผอิญไปพบกับบรรดาผู้แสวงบุญกลุ่มหนึ่งบริเวณทางโค้งเข้า ฝั่งผู้แสงบุญเหล่านั้นเมื่อพบทั้งสามก็ต่างพากันดีใจ
รีบมาล้อมหน้าล้อมหลังทั้งสาม และเพื่อพวกเขาจะได้เห็นและได้ยินทั้งสามได้อย่างทั่วถึง
จึงมีคนหนึ่งอุ้มลูเซียและยาซินทาขึ้นบนกำแพงใกล้ ๆ แต่พอถึงคราวจะอุ้มฟรังซิสโกขึ้นไปบ้าง
เขาก็ตอบปฏิเสธ (เป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดจากอาการป่วยของฟรังซิสโกที่เริ่มแสดงอาการ
ทำให้เขามีอาการเหมือนจะเป็นลมอยู่ตลอด – ผู้เรียบเรียง)
ก่อนค่อย ๆ ถอยออกไปพิงกับกำแพงฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบ ๆ
เวลานั้นมีสตรีนางหนึ่งมาพร้อมบุตรชายของนางมาจากซาน
มาเมเด ด้วยใจที่ต้องการอัศจรรย์ เมื่อเห็นว่าคงไม่มีทางแน่ที่จะฝ่าฝูงชนเข้าไปหาสองสาวได้แน่
นางพร้อมบุตรจึงเดินไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าฟรังซิสโกที่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ แล้ววอนขอให้เขาทูลต่อแม่พระผู้น่ารักให้ทรงรักษาสามีของเธอให้หายและไม่ต้องออกไปร่วมรบในสงคราม
ฝั่งฟรังซิสโกเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงพร้อม ๆ กับถอดหมวกออก และถามทั้งสองกลับว่าอยากจะสวดสายประคำไหม
ฝั่งทั้งสองก็ตอบว่าอยาก ดังนั้นฟรังซิสโกจึงเริ่มก่อสวดลูกประคำ และชั่วขณะฝูงชนที่ต่างกำลังแย่งกันถามคำถามมากมาย
ก็พากันหยุดถามและพากันคุกเข่าลงร่วมใจสวดลูกประคำ
“จากนั้น พวกเขาได้ตามพวกเราไปที่โควา
ดา อิเรีย พร้อมร่วมสวดสายประคำไปตลอดทาง ซึ่งเมื่อถึงที่นั่น พวกเราก็สวดต่ออีกหนึ่งสาย
แล้วพวกเขาจึงลาพวกเรากลับไปด้วยความสุข สตรีผู้น่าสงสารคนนั้นสัญญาว่าจะกลับมาและโมทนาคุณแม่พระสำหรับพระหรรษทานที่เธอได้รับ
ถ้าเธอได้รับจริง ๆ ซึ่งในเวลาต่อมา เธอกลับมาที่นี่หลายต่อหลายต่อครั้ง ไม่เพียงพร้อมบุตรชายของเธอ
แต่พร้อมสามี ที่หายดี…” ลูเซียสรุปเรื่องราวทั้งหมด
ส่วนเรื่องที่สองที่สามเป็นเรื่องของยาซินทา
ซึ่งมีอยู่ว่าคราวหนึ่งยาซินทาเกิดพบสตรีคนหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคร้ายมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเธอ
เพื่อขอให้เธอช่วยวอนขอแม่พระให้รักษาเธอทั้งน้ำตา เหตุการณ์นี้จับใจยาซินทามาก เธอรีบใช้มือน้อย ๆ ของเธอที่สั่นเทาด้วยความสะเทือนใจประคองสตรีคนนั้นให้ลุกขึ้น
แต่เมื่อเห็นว่าเกินกำลังของตนแน่แล้ว เธอจึงเลือกที่จะคุกเข่าลงไปและได้ก่อสวดวันทามารีย์ร่วมกับสตรีคนนั้นสามครั้ง
แล้วจึงขอให้เธอลุกขึ้นพร้อมให้ความมั่นใจว่าเธอจะได้รับการรักษาให้หาย
และแต่นั้นมายาซินทาก็สวดให้สตรีคนนั้นทุกวัน จนเธอได้พบสตรีคนนั้นกลับมาโมทนาคุณพระแม่เจ้าที่ฟาติมาในเวลาต่อมา
และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของทหารนายหนึ่ง
ที่ร้องไห้เหมือนเด็กมาบอกกับทั้งสามว่าเขาได้รับคำสั่งให้ไปประจำการที่แนวหน้า
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ภรรยาของเขากำลังล้มป่วยหนัก และเขาเองก็มีลูกกับเธอถึงสามคน ดังนั้นใครเล่าจะดูแลลูกของเขากัน สิ่งที่เขาปรารถนาก็เพียงแค่คำขอสักประการคือให้เขาไม่ต้องไปไม่ก็ภรรยาของเขาหายขาด
ฝั่งยาซินทาเมื่อทราบความต้องการของเขาแล้ว เธอก็ชวนเขาให้สวดสายประคำด้วยกัน
“อย่าร้องไห้ไปเลยนะคะ แม่พระท่านใจดีมาก ๆ
พระนางจะประทานพระคุณตามที่คุณขอแน่นอนค่ะ” เธอบอกกับเขาก่อนจะจากกัน จากนั้นมาหลังสวดสายประคำเสร็จ
ยาซินทาก็จะสวดบทวันทามารีย์ให้เขาเสมอ จนหลายเดือนต่อมาทหารนายนั้นก็ได้กลับมาที่ฟาติมาอีกครั้ง
พร้อมภรรยาและบุตรทั้งสามของเขา
เพื่อโมทนาคุณแม่พระสำหรับพระคุณถึงสองชั้นสำหรับเขา
นั่นคือการที่เขาไม่ต้องไปประจำที่หน่วยหน้าเพราะก่อนหน้าจะถูกส่งไปนั้นเขาก็เกิดป่วยเป็นไข้หวัดเสียเฉย ๆ
ส่วนภรรยาของเขาก็หายดี
หัวใจที่มอบแด่ผู้ทุกข์ยากนี้ของสองข้ารับใช้ตัวน้อยของพระเจ้าไม่เคยถูกจำกัดแม้ในยามเจ็บป่วยจะถาโถมเข้ามา
เช่นคราวที่ตัวฟรังซิสโกล้มป่วยหนักจนลุกไปไหนมาไหนไม่ไหว เมื่อมีสตรีคนหนึ่งมาขอให้เขาช่วยสวดให้คนคนหนึ่งหายป่วยและการกลับใจของคนคนหนึ่ง
ฟรังซิสโกก็รับสวดให้สตรีคนนั้น (ในเวลาต่อมาเมื่อฟรังซิสโกได้สิ้นใจลง สตรีนางนั้นจึงได้กลับที่ฟาติมา
และได้ขอให้ลูเซียและยาซินทาพาไปที่หลุมที่ฟรังซิสโกนอนฝังร่าง
เพื่อขอบคุณสำหรับคำภาวนาน้อย ๆ ของเขา) และคงมีอีกมากที่ลูเซียอาจจำมิได้
นักรักษาศีลธรรมน้อย
ฟรังซิสโกมีคุณลักษณะหนึ่งที่ได้รับหลังการประจักษ์มา ก็คือ การเริ่มหลีกลี้จากการร้องรำทำเพลงไร้สาระ และการคอยเป็นผู้เตือนให้ลูเซียไม่ปฏิบัติสิ่งที่นำมาซึ่งบาปอันเป็นที่คัดเคืองพระทัยพระเป็นเจ้า เพื่อดำเนินชีวิตตามที่สตรีปริศนาวอนขอให้ทำ จนทำให้ผู้เรียบเรียงอดนึกถึงอุปนิสัยของคุณพ่อเจ้าวัดผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งตำบลอาร์ส ซึ่งก็คือท่านนักบุญยอห์น มารี เวียนเนย์ ที่ไม่ถูกกับการร้องทำเพลงเต้นรำที่ไร้สาระ และนำมาซึ่งบาปไปเสีย จนท่านต้องออกมาเทศน์สอนให้บรรดาสัตบุรุษละเลิกสิ่งเหล่านี้ไปเสียมิได้
เช่น คราวหนึ่งเมื่อมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งชวนทั้งสามไปช่วยร้องเพลงให้ฟังเพราะนางไม่ได้ฟังเพลงที่สดใสจากทั้งสามมานานมากแล้ว ฝั่งลูเซียก็รับคำและได้ร้องเพลงให้สตรีนางนั้นฟัง แต่พอถูกขอให้ร้องอีกรอบเมื่อเพื่อน ๆ คนอื่นตามสมทบ ฟรังซิสโกก็เข้ามาบอกกับลูเซียว่า “อย่าร้องเพลงนี้ต่อไปอีกเลยนะ องค์พระผู้เป็นเจ้ามิทรงประสงค์ให้พวกเรามาร้องเพลงเช่นนี้ในเวลานี้” ดังนั้นเองทั้งสามจึงพากันค่อย ๆ หลบไปจากที่แห่งนั้น แล้วไปนั่งที่บ่อน้ำที่ทั้งสามชอบไป ลูเซียเขียนเล่าไว้ในเวลาต่อมาว่า “…กล่าวตามตรง บัดนี้ดิฉันพึงเขียนบทเพลงเหล่านั้นภายใต้ความนบนอบเสร็จ ดิฉันซ่อนใบหน้าของดิฉันด้วยความละอาย…”
และแม้ในเวลาที่เจ็บป่วยหนัก ฟรังซิสโกก็ไม่เคยละเลยสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือเมื่อพบว่าลูเซียอยู่ใกล้บาป เขาก็ไม่รอช้าที่จะเตือนเธอ ดั่งเช่นเย็นวันหนึ่งขณะลูเซียกลับจากโรงเรียนพร้อมเพื่อน ๆ กลุ่มใหญ่ ซึ่งหลังจากแยกลาจากเพื่อนๆเพื่อมาเยี่ยมสองพี่น้องมาร์โตตามปกติ ฟรังซิสโกที่ยินทุกสิ่งทีเกิดขึ้นภายนอก ก็ถามลูเซียขึ้นว่า “เธอมากับคนพวกนั้นหรือ” ฝั่งลูเซียก็ยอมรับไปตามตรงว่าเธอมากกับกลุ่มคนเมื่อกี้ “อย่าไปไหนมาไหนกับพวกเขาอีกนะ เพราะเธออาจจะได้เรียนรู้วิธีที่จะทำบาป เมื่อเธอกลับจากโรงเรียนจงไปและเฝ้าพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนเร้นสักครู่ แล้วเธอจึงค่อยกลับมาบ้านตามลำพังนะ” ฟรังซิสโกเตือน
“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”