นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
ก่อนจะถึงวันดังกล่าวข่าวที่เล่ากันปากต่อปากถึงวันที่จะเกิดอัศจรรย์อย่างแน่นอนก็ชักนำผู้คนมากมายให้หลั่งไหลมาที่ฟาติมา
และยิ่งนายอัลเวรีโน เด อัลเมยดา นักหนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการประจักษ์ที่ฟาติมาในหัวข้อเรื่องขบขันในหนังสือพิมพ์ที่อยู่ฝั่งของรัฐบาลซึ่งต่อต้านพระศาสนจักรอย่าง
‘เซกูโล’ ซึ่งถูกกระจายไปทั่วโปรตุเกส ก็ยิ่งชักนำผู้คนมากมายให้พากันมาที่ฟาติมาในวันที่
13 ตุลาคม
จึงทำให้ในวันนั้นโควาจึงเป็นที่รองรับทั้งผู้ที่มาด้วยศรัทธา
กับผู้ที่มาเพื่อชมละครปาหี่
และเมื่อถึงวันนั้นฟาติมาที่ดูเล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กไปอีก จากฝูงชนมากมายที่พากันเดินทามาร่วมกันที่นี่เพื่อเฝ้าดูอัศจรรย์
คุณพ่อยอห์น เดอ มาร์ชี บรรยายไว้ว่า “ก่อนจะถึงวันนั้น บรรดากลุ่มนักเดินทางต่างมาพบกันที่ทางสู่ฟาติมา
ชาวประมงจากวิเอยราทิ้งอวนและกระท่อมไม้ไว้ริมทะเลและลัดผ่านป่าสน อีกช่างฝีมือจากมารินยา
ชาวนาจากมอนเต เรอัล… อีกชาวเซร์ราจากต่างถิ่นที่
และจากทุกหนทุกแห่งที่ข่าวเรื่องอัศจรรย์ได้ขจรขจายไป ชาวบ้านต่างพากันทิ้งบ้านแลไร่นาของเขา
และออกเดินทางมายังฟาติมาจากทั้งม้าบ้าง คาราวานบ้าง เดินเท้าบ้าง และทุกวิธีการขนส่งที่มี
ถนนที่ตัดผ่านต้นสนและภูเขาตลอดสองวัน
สะท้อนเสียงการเดินทางและเสียงของบรรดาผู้แสวงบุญ”
มาเรีย
ดา กาเปนลินยาเล่าถึงวันเวลานั้นว่า “แม้จะเป็นวันที่สิบสองซึ่งเป็นวันก่อนหน้า
ก็มีผู้คนจำนวนมากมายที่มากเกินจะเชื่อไหว พวกเขาส่งเสียงดังจนได้ยินไปถึงที่หมู่บ้านของฉัน
พวกเขาต้องพากันหลับในที่โล่งและไม่มีที่กั้นใด ๆ เพราะไม่มีที่หลบฝนหรือหนาวเลยที่โควา”
ซึ่งในเรื่องจำนวนของฝูงชนในวันนั้น มีการคาดกันซึ่งได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือประมาณเจ็ดหมื่นคน และมีนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งได้นับรถที่กลับจากฟาติมาไปโอเรมได้เกวียน 240
เล่ม จักรยาน 135
คัน และรถเก๋ง 100
คัน (นี่คือ ค.ศ. 1917 – สมัยที่รถยนต์เป็นของหายาก)
และแน่นอนนี่ไม่รวมนักเดินเท้าที่มีไม่รู้อีกกี่คน
แต่ก่อนจะถึงเวลาเที่ยงของวันที่ 13 ตุลาคม ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาที่ฟาติมาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนถึงรุ่งเช้าของวันที่
13 จนทำให้ทุกอาณาบริเวณพื้นที่เต็มไปด้วยความเฉอะแฉะ
ความหนาวในวันนั้นคือลมต้นฤดูหนาวที่หนาวถึงกระดูก แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจจะหยุดบรรดานักจาริกทั้งหลายที่ยังยืนหยัดอยู่ที่โควา
และการเดินทางมายังฟาติมา แม้ตอนนี้ถนนจะเต็มไปด้วยเปรอะโคนที่ถ้าเดินไม่ดีก็จมไปถึงข้อเท้า
พวกเขาก็ยังคงมาและสวดภาวนา สวดลูกประคำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย โดยมีร่มคนละคันเป็นอาวุธ
กลับมาที่บ้านของลูเซีย
ขณะที่เวลาเช้ามาถึง จิตใจที่เคยเป็นปฏิปักษ์ของนางมาเรีย มารดาลูเซียก็เหมือนจะถูกขับไล่ไปพร้อมความมืดแห่งรัตติกาลด้วย
นางได้ตัดสินใจเช่นมารดาคนหนึ่งจะทำต่อลูกสาวที่รักของเธอ ความจริงตลอดหลายเดือนนี้สิ่งที่นางทำไป
อาจเป็นเพราะความรักที่นางมีต่อลูกคนนี้ ความรักของแม่ที่อยากจะปกป้องลูกน้อยให้ได้มีชีวิตที่ปกติสุข
“ถ้าลูกฉันกำลังจะตาย ฉันก็จะตายไปกับเธอ” นางเอ่ย และได้พาสามีที่กำลังงุงงงกลับการตัดสินใจของนาง
พร้อมลูเซียไปยังบ้านของครอบครัวมาร์โตเพื่อสมทบกับฟรังซิสโกและยาซินทา
ที่บ้านของครอบครัวมาร์โตพวกเด็ก ๆ และครอบครัวต่างพบกันคุกคามอย่างไร้มารยาทของบรรดานักจาริกทั้งหลายที่ต่างปีนป่ายข้าวของต่าง ๆ เพื่อหวังจะเห็นเด็ก ๆ
จนเป็นที่เปรอะเปื้อนไปทั่ว แน่นอนเรื่องนี้ยังความทุกข์ใจเป็นมากกับนางโอลิมเปีย
ผู้ที่จะต้องจัดการกับสิ่งสกปรกเหล่านี้ แต่ก็ยังดีที่นางได้สามีปลอบใจว่าอย่างน้อย ๆ พวกเขาก็เข้ามาไม่ได้
และระหว่างรออยู่ที่บ้านครอบครัวมาร์โตนี้เอง ที่มีสตรีนางหนึ่งจากปัมบาลินโยได้ฝ่าฝูงชนเพื่อเอาชุดมาให้ลูเซียและยาซินทา
นายมานูเอลจำได้ว่าชุดของลูเซียเป็นสีฟ้า ส่วนของยาซินทาเป็นสีขาว
ขณะสองครอบครัวรอเวลาตามที่สตรีปริศนานัด
เพื่อนบ้านคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาแจ้งกับนายมานูเอลไม่ให้ไป เพราะพวกเขาจะทำร้ายเขาแทนเด็ก ๆ
แต่เขาปฏิเสธเพราะเขาเชื่อสิ่งที่ทั้งสามได้เล่ามาตลอด ส่วนนางโอลิมเปีย
แม้นางจะศรัทธาแม่พระมาก แต่เพราะคำพูดมากมายของผู้แสวงบุญที่ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่ต่างแวะเวียนกันมาที่กรอกหูนางตลอดหลายเดือนก็ทำให้นางเขวไปมาก
ซึ่งผิดกับลูกน้อยทั้งสองของนางที่เชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าพวกเขาได้เห็นสตรีคนนั้นจริง ๆ
“พ่อคะ ทำไมพวกเราต้องกังวลด้วยคะ ถ้าพวกเราถูกฆ่า พวกเราก็จะไปสวรรค์
และบรรดาผู้คนที่น่าสงสารที่กรูกันเข้ามาทำร้ายพวกเรา
ก็จะต้องไปนรกเพราะความผิดบาปของพวกเขาเอง” ยาซินทาบอกกับเขา
เมื่อแต่งตัวแล้วเสร็จครบแล้ว
ลูเซีย
ฟรังซิสโก และยาซินทา พร้อมบิดามารดาของทั้งสามจึงได้เออกเดินทางไปยังโควา ดา
อิเรีย แต่ไม่ทันจะพ้นประตูบ้านไปเท่าไร ทั้งหมดก็ถูกบรรดาผู้แสวงบุญกรูกันเข้ามา “ราวกับพวกเด็ก ๆ มีอำนาจของนักบุญทั้งหลาย” นายมานูเอลเล่า ดังนั้นการเดินทางไปยังโควา
จึงค่อนข้างจะทุลักทุเลพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม สุดท้ายทั้งสามก็สามารถเดินทางมาถึงโควา
ดา อิเรียได้อย่างปลอดภัย แต่กระนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ไม่อาจจะฝ่าฝูงชนจำนวนมหึมาที่คอยอยู่เพื่อไปที่ต้นโอ๊คได้
แต่โชคดีที่มีคนขับรถคนหนึ่งได้มาอุ้มยาซินทาฝ่าฝูงชนเข้าไป พร้อมตะโกนว่า “ขอทางให้พวกเด็ก ๆ ที่เห็นแม่พระด้วย” ฝั่งนายมานูเอลก็พยายามตามทั้งสามไป
แต่ก็ถูกเบียดเสียดอย่างหนัก ยาซินทาจึงร้องขึ้นด้วยความกลัวและเริ่มร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นบิดาของตนกำลังถูกผู้คนเบียดเสียด “อย่าผลักพ่อหนู อย่าทำร้ายท่าน” เธอตะโกนบอกฝูงชน
การประจักษ์ครั้งที่
6 วันที่
13 ตุลาคม
ที่สุดทั้งสามก็สามารถฝ่าฝูงชนจนมาถึงต้นโอ๊คที่สตรีปริศนามา
ที่นั่นยาซินทายังคงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งรอบตัว ฝั่งลูเซียและฟรังซิสโกในชุดสำหรับวันอาทิตย์พร้อมถุงใส่ของเล็ก ๆ ก็พยายามจะหาทางปลอบน้องเล็กคนนี้อย่างสุดกำลัง
และขณะรออยู่นั้นพระสงฆ์องค์หนึ่งก็ได้ตรงเข้ามาหาทั้งสามว่าแม่พระจะมากี่โมง “ตอนเที่ยงค่ะ คุณพ่อ” ลูเซียตอบ พระสงฆ์องค์นั้นจึงดูนาฬิกาของตน
แล้วกล่าวกับทั้งสามว่า “ฟังนะ นี่เที่ยงแล้ว เธอกำลังพยายามบอกหรือว่าแม่พระเป็นคนโกหก
ดีเลย เด็กน้อย ดีเลย”
แล้วเขาก็ก้มมองนาฬิกาเรือนงามของเขาอีกครั้งในเวลาเพียงไม่กี่นาที
“นี่เที่ยงแล้ว สิ่งที่พวกเธอเห็นเป็นภาพลวงตาใช่ไหม
มันเป็นเรื่องไร้สาระใช่ไหม งั้นกลับบ้านไปแล้ว ทุกคนนั่นแหละ กลับไปบ้านได้แล้ว”
พระสงฆ์ท่านนั้นเย้ยอย่างผู้กำชัยชนะ ก่อนตรงเข้าผลักทั้งสามให้ไปจากที่นี่
แต่ลูเซียไม่ยอมไปไหน ทั้งไม่มีน้ำตาใดหลุดมาจากดวงตาของเธอ เพราะบัดนี้เธอมีแต่เพียงความเชื่ออยู่ทุกอณูของร่างกาย
“แม่พระบอกว่าพระนางจะมา คุณพ่อคะ และหนูก็รู้ดีค่ะว่าพระนางจะรักษาสัญญาของพระนางค่ะ” ลูเซียตอบพระสงฆ์ท่านนั้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แล้วทั้งสามจึงเฝ้ารอสตรีปริศนาที่เชื่อว่าคือแม่พระต่อท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกอยู่
กระทั่งถึงเวลาเที่ยงวันจริง ๆ ลูเซียที่มองไปทางตะวันออก
จึงกระซิบกับยาซินทาเบา ๆ ว่า “คุกเข่าลงกันเถอะ แม่พระกำลังจะมา
พี่เห็นฟ้าฟ้าแลบ” เช่นนั้นทั้งสามจึงพร้อมใจกันคุกเข่าลง
เช่นกันบรรดาผู้แสวงบุญจำนวนมากมายก็ต่างคุกเข่าลง
และบัดดลใบหน้าของทั้งสามก็เป็นภาพสะท้อนความยินดีและการประทับอยู่ของสตรีปริศนา ณ
บนยอดโอ๊คที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้และริบบิ้น
เวลานี้เบื้องหน้าของทั้งสามสิริรุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ได้บดบังบรรดาริบบิ้นไหมและพฤกษานานาให้หายไปสิ้น
“ท่านประสงค์สิ่งใดจากหนูหรือคะ” ลูเซียถามเช่นเดิม ฝั่งสตรีปริศนาก็ตอบกลับมาว่า
“ฉันปรารถนาให้มีการสร้างวัดขึ้นที่นี่เพื่อถวายเกียรติแก่ฉัน
ฉันคือแม่พระแห่งลูกประคำ จงสวดสายประคำทุกวันต่อไป สงครามกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
และพวกทหารก็กำลังจะได้กลับบ้านของพวกเขา” แล้วจึงบังเกิดความเงียบขึ้นขณะหนึ่งระหว่างโลกและสวรรค์
“หนูมีคำภาวนามากมายจากผู้คนมากมาย
ท่านจะประทานให้พวกเขาตามคำขอหรือไม่คะ” ลูเซียทำลายความเงียบ “บางคนใช่ แต่บางคนก็ไม่จ๊ะ”
สตรีผู้บอกนามว่าคือแม่พระแห่งลูกประคำตอบกลับมา “มนุษย์ต้องแก้ไขความประพฤติของพวกเขา
และวอนขอการอภัยโทษบาปของพวกเขา พวกเขาต้องไม่กระทำการอันขัดเคืองพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป
เพราะพระองค์ทรงถูกทำให้คัดเขืองพระทัยมากเกินพอแล้ว” สตรีปริศนาเอ่ยด้วยถ้อยวจีที่จริงจัง
“และนั่นคือสิ่งที่ท่านประสงค์ใช่ไหมคะ” ลูเซียถามอีกครั้ง “ไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วจ๊ะ”
สตรีผู้บัดนี้ทราบดีแล้วคือพระมารดาพระเจ้าตรัสตอบ ก่อนพระนางจะค่อย ๆ ลอยขึ้นไปทางตะวันออก
พร้อมชี้มือไปยังท้องฟ้าที่อึมครึมเหนือทั้งสาม พลันท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆดำทมิฬนั้นก็มลายหายไป
ปรากฏดวงอาทิตย์หน้าตาคล้ายแผ่นเงินกำลังหมุนอยู่บนนภากาศที่บัดนี้แจ่มใส
และจากมือทั้งสองที่คว้ำลงของสตรีนั้น ก็ปรากฏรังสีสว่างสาดลงมาจนดูคล้ายหนึ่งจะทำอันตรายทั้งสาม
และบดบังดวงอาทิตย์ให้อับแสงลง เป็นเวลานี้เองที่ลูเซียตะโกนขึ้นว่า “ดูดวงอาทิตย์สิ”
หลังจากนั้นแทนที่พระนางจะอันตรธานหายไปเช่นครั้งที่แล้ว ๆ มา
ตรงข้ามพระนางกลับประทับอยู่ทางฝั่งขวาของดวงอาทิตย์พร้อมแสงสว่างที่สาดออกมาจนคล้ายหนึ่งดวงดาวที่ลอยเคว้งกลางโพยมบน
และทันใดพระนางก็เปลี่ยนมาแต่งอาภรณ์ผ้าคลุมสีฟ้าแทนสีขาวเช่นปกติ แล้วนักบุญโยเซฟที่อุ้มพระกุมารวัยประมาณหนึ่งขวบในอ้อมแขนขวาจึงประจักษ์มา
ทั้งสองพระองค์ต่างสวมอาภรณ์เป็นสีแดง ท่านนักบุญได้ทำสำคัญมหากางเขนเหนือผู้คนสามครั้ง
ก่อนจะอันตรธานหาย
แล้วพระเยซูคริสตเจ้าจึงประจักษ์มาที่ตรงบริเวณฐานของดวงอาทิตย์ในอาภรณ์สีแดง ที่ด้านข้างของพระองค์ ปรากฏพระมารดาของพระองค์ที่มาในลักษณะของแม่พระมหาทุกข์
กำลังจ้องมองโลกมนุษย์ ทั้งสามไม่เห็นดาบเสียบอยู่ที่ดวงหทัยของพระนาง
แต่ทั้งสามก็ทราบว่านี่คือแม่พระมหาทุกข์ หลังจากนั้นองค์พระเยซูเจ้าซึ่งปรากฏเพียงครึ่งพระองค์ก็ทรงอวยพระโลก
แล้วนิมิตของฟรังซิสโกและยาซินทาจึงจบลง ส่วนลูเซียนั้นได้เห็นแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมลต่อ
(เธอเชื่อว่าเช่นนั้นเพราะเธอเห็นสายจำพวกอยู่ที่มือของพระนาง)
สุริยาพลันหมุนเวียนไป
ขณะที่ทั้งสามได้เห็นนิมิตต่อ
ฝั่งฝูงชนเมื่อได้ยินลูเซียตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ดูดวงอาทิตย์สิ” ก็ปรากฏว่าฝนที่ลงเม็ดมาแต่เมื่อคืนก็พลันหยุดตก
ดวงสุริยาที่เร้นกายในม่านเมฆกลับปรากฏชัดขึ้นอีกครั้งกลางนภา
แต่แทนที่มันจะเป็นเช่นทุกวัน
ตรงข้ามดวงอาทิตย์นั้นกลับเริ่มหมุนเร็วและเร็วขึ้นเหมือนล้อเกวียนที่ถูกโคชักลาก
ก่อนสาดลำแสงหลากสีจากรอบ ๆ ตัวมันออกไปทุกทิศทุกทาง ลำแสงเหล่านี้มีสีแดงที่ต้น
แล้วจึงค่อย ๆ คลีคลายเป็นเป็นสีต่าง ๆ ที่ปลายของมัน อันฉาบย้อมทุกสิ่งบนพื้นที่ให้เป็นสีนั้นไป
เหมือนหนึ่งแสงนั้นได้ลอดผ่านกระจกสีต่าง ๆ และที่พิเศษกว่าคือทุกคนสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้อย่างสบายตา
ผู้คนในบริเวณนั้นที่ต่างพากันคุกเข่าลง
บ้างร้องออกมาดัง ๆ ว่า “ลูกเชื่อแล้ว ลูกเชื่อแล้ว”
บ้างก็ร่ำไห้อย่างหวาดกลัวว่า “พระเยซูช่วยลูกด้วย” บ้างก็ร้องอย่างยินดีว่า “อัศจรรย์”
บ้างก็ร้องขอชีวิตว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดอภัยบาปของลูกด้วย” แต่บ้างก็ร้องหาแม่พระว่า “แม่พระ ช่วยลูกด้วย” เวลานั้นมีทั้งความหวาดกลัวและความยินดีอาบไปทั่วผืนดินที่ชื่อโควา
ที่บัดนี้บรรจุคนกว่าเจ็ดหมื่นคนไว้ คือความหวาดกลัวว่านี่จะคือวันสิ้นโลก และความยินดีต่ออัศจรรย์ของพระเป็นเจ้า
จอมสวรรค์
ให้เรามาฟังคำพยานจากผู้คนในที่แห่งนั้นกัน “และข้าพเจ้าก็ได้เห็นดวงอาทิตย์เหมือนจาน มีขอบชัด
ซึ่งส่องแสงออกมาโดยไม่อันตรายใดๆต่อสายตา … มันไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ถูกหมอกบัง (ไม่มีหมอกในเวลานั้น) เพราะมันมิได้ถูกอะไรบัง
หรือมีลักษณะสลัว ๆ เลย … มันไม่ใช่การกระพริบของดวงดาวเช่นทั่วๆไป” (ดร. อัลเมยดา การ์เร็ตต์ นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากมหาลัยโคอิมบรา) “ผู้คนสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้เหมือนกับมองดวงจันทร์” (มาเรีย
โด การ์โม) “ฉันเห็นดวงอาทิตย์หมุนและดูเหมือนจะลงมาข้างล่าง มันคล้ายล้อจักรยาน” (ยวง การ์เรยรา) “ดวงอาทิตย์เริ่มเต้น และในบางช่วงมันก็ดูเหมือนจะหลุดลงมาจากท้องฟ้า
และวิ่งตรงมาเบื้องหน้าพวกเราเหมือนล้อไฟ” (อัลเฟรโด ดา
ซิลวา ซาสโตส)
“พวกเรามองเห็นดวงอาทิตย์ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุบางประการก็ทำให้พวกเราตาไม่ต้องบอด
มันดูเหมือนกำลังกระพริบเข้ากระพริบออก เป็นจังหวะไปเรื่อย ๆ มันสาดลำแสงไปทุกทิศทุกทางและย้อมทุกสิ่งด้วยสีสันหลากสี
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ผู้คน อากาศ และพื้นดิน
แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดสำหรับฉัน ตามที่ฉันคิดนะ ก็คือการที่ดวงอาทิตย์ไม่อันตรายใดใดต่อตาของพวกเรา
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ และทุกคนต่างมองขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นสักพักดวงอาทิตย์จึงหยุดนิ่ง
แล้วจึงเริ่มเต้นอีกครั้งบนฟ้า
กระทั่งมันดูจะหลุดออกมาจากที่ของมันแล้วตรงมาหาพวกเรา มันเป็นเวลาที่น่ากลัวจริง ๆ ” นายมานูเอล มาร์โต
“…อนึ่งข้าพเจ้าได้เห็นฝูงชนหันหน้าไปหาดวงอาทิตย์ ซึ่งปรากฏออกมาจากกลุ่มเมฆและอยู่ ณ
จุดสูงสุดของท้องฟ้า มันแลดูคล้ายแผ่นโลหะเงินที่มีลักษณะทื่อ ๆ
และสามารถจ้องมองได้อย่างสบายไร้กังวล มันอาจจะเป็นปรากฏการณ์อุปราคาก็ได้ แต่ ณ
เวลานั้นมีแต่เสียงตะโกนโหวกเหวก และหนึ่งในคนที่อยู่ใกล้ ๆ ข้าพเจ้าตะโกนว่า ‘อัศจรรย์ อัศจรรย์’…” นายอเวลีโน
เด อัลเมยดาเขียนในหนังสือพิมพ์โอ เซกูโล ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่สนับสนุนรัฐบาล
และต่อต้านพระศาสนจักร
ปรากฏการประหลาดท้าสายตาของมนุษย์บังเกิดขึ้นถึงสามรอบ
ดวงอาทิตย์ที่ ‘เต้นรำ’ จึงกลับมาสูสภาพปกติอีกครั้ง และอัศจรรย์อันดับต่อไปก็บังเกิดให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง
เมื่อเสื้อผ้าไม่ว่าจะเป็นชุด ถุงเท้า และรองเท้าหรือพื้นดินที่เคยเปียกแฉกจากฝนที่เทลงมาแต่เมื่อคืน
กลับแห้งสนิทเสมือนหนึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่เคยเปียกฝนมา
ไม่เพียงแต่ฝูงชนบริเวณโควา
ดา อิเรียเท่านั้นได้เป็นประจักษ์พยานถึงอัศจรรย์คราวนี้ เพราะห่างไปอีกสิบเอ็ดไมล์จากฟาติมา
คือที่หมู่บ้านอัลบูริเตล ก็ปรากฏมีพยานมากมายได้เห็นเหตุอัศจรรย์คราวนี้
นี่คือบันทึกของคุณพ่ออินาซิโอ โลเรนโซ หนึ่งในพยานเหล่านั้นซึ่งได้รับการยืนยันจากพยานคนอื่น ๆ ที่พยานผู้นี้ได้เอ่ยถึง
“ข้าพเจ้ามีอายุได้เก้าขวบในขณะนั้น
และอยู่โรงเรียนในหมู่บ้าน ตอนนั้นเวลาประมาณสักเที่ยง มีเสียงร้องเสียงตะโกนโหวกเหวกจากทั้งผู้ชายและผู้หญิงบางคนดังมาจากถนนหน้าโรงเรียนจนพวกเราพากันประหลาดใจ
คุณครูของพวกเรา ผู้ใจดีและศรัทธา ซึ่งมีนิสัยขี้วิตกและน่าประทับใจ
เป็นคนแรก ๆ ที่วิ่งนำเด็ก ๆ ซึ่งวิ่งตามหลังท่านไปที่ถนน
ที่ข้างนอก
ชาวบ้านต่างพากันตะโกน ร้องไห้ และชี้ไปที่ดวงอาทิตย์โดยมิได้สนต่อคำถามที่เคร่งเครียดของคุณครูของพวกเราเลย
มันเป็นอัศจรรย์ อัศจรรย์ของดวงอาทิตย์ที่พิเศษ ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนตรงบริเวณเหนือเนินเขาที่หมู่บ้านของข้าพเจ้าตั้งอยู่
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะอธิบายส่งข้าพเจ้าเห็นและรู้สึกได้เช่นไร
ข้าพเจ้าเพ่งมองไปที่ดวงอาทิตย์ซึ่งดูซีดกว่าปกติและไม่รู้สึกเจ็บตา จนคล้าย ๆบอลหิมะที่หมุนด้วยตัวของมันเอง
นอกนี้มันยังทำท่าจะลงมาข้างล่างในลักษณะซิกแซก จนน่ากลัวว่าจะทำลายโลกเสีย
ดังนั้นเองด้วยความหวาดกลัว
ข้าพเจ้าจึงวิ่งและไปซ่อนตัวในท่ามกลางชาวบ้านที่พากันร่ำไห้และคิดว่านี่จะเป็นวันสิ้นโลก
...
ขณะที่ทุกคนพากันร้องไห้และร้องขอให้พระเป็นเจ้าทรงอภัยโทษบาปของพวกเขา พวกเราทุกคนก็ออกวิ่งไปที่วัดน้อยทั้งสองแห่งของหมู่บ้าน ซึ่งเต็มแน่นไปด้วยชาวบ้านคนอื่น ๆ นอกนี้ในระหว่างอัศจรรย์ ทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวของพวกเราเปลี่ยนเป็นสีรุ้งไปทั้งสิ้น พวกเราเห็นพวกเราด้วยกันเป็นสีฟ้าบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง และอื่น ๆ อีกมาก ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้ยิ่งทวีความกลัวของชาวบ้านให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุการณ์ประหลาดเกิดได้สักสิบนาที ดวงอาทิตย์จึงกลับเป็นเช่นเดิม ฝั่งชาวบ้านเมื่อรู้ว่าปลอดภัยแล้ว จึงต่างพากันร่วมใจกันระเบิดเสียงแห่งความยินดีและโมทนาคุณสรรเสริญแม่พระ”
บัดนี้การประจักษ์แห่งฟาติมาได้จบลงแล้ว
แต่ชีวิตของยุวนักบุญกำลังจะดำเนินต่อไปตามคำทำนายของสตรีปริศนา
ที่บัดนี่เราทราบแล้วว่าคือ ‘แม่พระแห่งลูกประคำ’ หรือ พระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า ตอนต่อไปเราจะนำทผู้อ่านทุกท่านไปพบกับความศักดิ์สิทธิ์ที่จะยิ่งฉายแววมากขึ้น
และท้ายสุดผู้อ่านทุกคนจะได้พบคำตอบว่า ไฉนพระเป็นเจ้าจึงยกเด็กน้อยทั้งสองประดับไว้บนพระแท่นอันงดงามแห่งพระศาสนจักรในกาลสมัยนี้
“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”