วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

'ฟรังซิสโกและยาซินทา' เด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา ตอน 8

นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

วันที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไป

ก่อนจะถึงวันดังกล่าวข่าวที่เล่ากันปากต่อปากถึงวันที่จะเกิดอัศจรรย์อย่างแน่นอนก็ชักนำผู้คนมากมายให้หลั่งไหลมาที่ฟาติมา และยิ่งนายอัลเวรีโน เด อัลเมยดา นักหนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการประจักษ์ที่ฟาติมาในหัวข้อเรื่องขบขันในหนังสือพิมพ์ที่อยู่ฝั่งของรัฐบาลซึ่งต่อต้านพระศาสนจักรอย่าง เซกูโล ซึ่งถูกกระจายไปทั่วโปรตุเกส ก็ยิ่งชักนำผู้คนมากมายให้พากันมาที่ฟาติมาในวันที่ 13 ตุลาคม จึงทำให้ในวันนั้นโควาจึงเป็นที่รองรับทั้งผู้ที่มาด้วยศรัทธา กับผู้ที่มาเพื่อชมละครปาหี่

และเมื่อถึงวันนั้นฟาติมาที่ดูเล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กไปอีก จากฝูงชนมากมายที่พากันเดินทามาร่วมกันที่นี่เพื่อเฝ้าดูอัศจรรย์ คุณพ่อยอห์น เดอ มาร์ชี บรรยายไว้ว่า ก่อนจะถึงวันนั้น บรรดากลุ่มนักเดินทางต่างมาพบกันที่ทางสู่ฟาติมา ชาวประมงจากวิเอยราทิ้งอวนและกระท่อมไม้ไว้ริมทะเลและลัดผ่านป่าสน อีกช่างฝีมือจากมารินยา ชาวนาจากมอนเต เรอัลอีกชาวเซร์ราจากต่างถิ่นที่ และจากทุกหนทุกแห่งที่ข่าวเรื่องอัศจรรย์ได้ขจรขจายไป ชาวบ้านต่างพากันทิ้งบ้านแลไร่นาของเขา และออกเดินทางมายังฟาติมาจากทั้งม้าบ้าง คาราวานบ้าง เดินเท้าบ้าง และทุกวิธีการขนส่งที่มี ถนนที่ตัดผ่านต้นสนและภูเขาตลอดสองวัน  สะท้อนเสียงการเดินทางและเสียงของบรรดาผู้แสวงบุญ

มาเรีย ดา กาเปนลินยาเล่าถึงวันเวลานั้นว่า แม้จะเป็นวันที่สิบสองซึ่งเป็นวันก่อนหน้า ก็มีผู้คนจำนวนมากมายที่มากเกินจะเชื่อไหว พวกเขาส่งเสียงดังจนได้ยินไปถึงที่หมู่บ้านของฉัน พวกเขาต้องพากันหลับในที่โล่งและไม่มีที่กั้นใด ๆ เพราะไม่มีที่หลบฝนหรือหนาวเลยที่โควา ซึ่งในเรื่องจำนวนของฝูงชนในวันนั้น มีการคาดกันซึ่งได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือประมาณเจ็ดหมื่นคน และมีนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งได้นับรถที่กลับจากฟาติมาไปโอเรมได้เกวียน 240 เล่ม จักรยาน 135 คัน และรถเก๋ง 100 คัน (นี่คือ ค.. 1917 – สมัยที่รถยนต์เป็นของหายาก) และแน่นอนนี่ไม่รวมนักเดินเท้าที่มีไม่รู้อีกกี่คน

แต่ก่อนจะถึงเวลาเที่ยงของวันที่ 13 ตุลาคม ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาที่ฟาติมาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 13 จนทำให้ทุกอาณาบริเวณพื้นที่เต็มไปด้วยความเฉอะแฉะ ความหนาวในวันนั้นคือลมต้นฤดูหนาวที่หนาวถึงกระดูก แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจจะหยุดบรรดานักจาริกทั้งหลายที่ยังยืนหยัดอยู่ที่โควา และการเดินทางมายังฟาติมา แม้ตอนนี้ถนนจะเต็มไปด้วยเปรอะโคนที่ถ้าเดินไม่ดีก็จมไปถึงข้อเท้า พวกเขาก็ยังคงมาและสวดภาวนา สวดลูกประคำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย โดยมีร่มคนละคันเป็นอาวุธ

กลับมาที่บ้านของลูเซีย ขณะที่เวลาเช้ามาถึง จิตใจที่เคยเป็นปฏิปักษ์ของนางมาเรีย มารดาลูเซียก็เหมือนจะถูกขับไล่ไปพร้อมความมืดแห่งรัตติกาลด้วย นางได้ตัดสินใจเช่นมารดาคนหนึ่งจะทำต่อลูกสาวที่รักของเธอ ความจริงตลอดหลายเดือนนี้สิ่งที่นางทำไป อาจเป็นเพราะความรักที่นางมีต่อลูกคนนี้ ความรักของแม่ที่อยากจะปกป้องลูกน้อยให้ได้มีชีวิตที่ปกติสุข ถ้าลูกฉันกำลังจะตาย ฉันก็จะตายไปกับเธอ นางเอ่ย และได้พาสามีที่กำลังงุงงงกลับการตัดสินใจของนาง พร้อมลูเซียไปยังบ้านของครอบครัวมาร์โตเพื่อสมทบกับฟรังซิสโกและยาซินทา

ที่บ้านของครอบครัวมาร์โตพวกเด็ก ๆ และครอบครัวต่างพบกันคุกคามอย่างไร้มารยาทของบรรดานักจาริกทั้งหลายที่ต่างปีนป่ายข้าวของต่าง ๆ เพื่อหวังจะเห็นเด็ก ๆ จนเป็นที่เปรอะเปื้อนไปทั่ว แน่นอนเรื่องนี้ยังความทุกข์ใจเป็นมากกับนางโอลิมเปีย ผู้ที่จะต้องจัดการกับสิ่งสกปรกเหล่านี้ แต่ก็ยังดีที่นางได้สามีปลอบใจว่าอย่างน้อย ๆ พวกเขาก็เข้ามาไม่ได้ และระหว่างรออยู่ที่บ้านครอบครัวมาร์โตนี้เอง ที่มีสตรีนางหนึ่งจากปัมบาลินโยได้ฝ่าฝูงชนเพื่อเอาชุดมาให้ลูเซียและยาซินทา นายมานูเอลจำได้ว่าชุดของลูเซียเป็นสีฟ้า ส่วนของยาซินทาเป็นสีขาว

ขณะสองครอบครัวรอเวลาตามที่สตรีปริศนานัด เพื่อนบ้านคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาแจ้งกับนายมานูเอลไม่ให้ไป เพราะพวกเขาจะทำร้ายเขาแทนเด็ก ๆ แต่เขาปฏิเสธเพราะเขาเชื่อสิ่งที่ทั้งสามได้เล่ามาตลอด ส่วนนางโอลิมเปีย แม้นางจะศรัทธาแม่พระมาก แต่เพราะคำพูดมากมายของผู้แสวงบุญที่ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่ต่างแวะเวียนกันมาที่กรอกหูนางตลอดหลายเดือนก็ทำให้นางเขวไปมาก ซึ่งผิดกับลูกน้อยทั้งสองของนางที่เชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าพวกเขาได้เห็นสตรีคนนั้นจริง ๆ พ่อคะ ทำไมพวกเราต้องกังวลด้วยคะ ถ้าพวกเราถูกฆ่า พวกเราก็จะไปสวรรค์ และบรรดาผู้คนที่น่าสงสารที่กรูกันเข้ามาทำร้ายพวกเรา ก็จะต้องไปนรกเพราะความผิดบาปของพวกเขาเอง ยาซินทาบอกกับเขา

เมื่อแต่งตัวแล้วเสร็จครบแล้ว ลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทา พร้อมบิดามารดาของทั้งสามจึงได้เออกเดินทางไปยังโควา ดา อิเรีย แต่ไม่ทันจะพ้นประตูบ้านไปเท่าไร ทั้งหมดก็ถูกบรรดาผู้แสวงบุญกรูกันเข้ามา ราวกับพวกเด็ก ๆ มีอำนาจของนักบุญทั้งหลาย นายมานูเอลเล่า ดังนั้นการเดินทางไปยังโควา จึงค่อนข้างจะทุลักทุเลพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม สุดท้ายทั้งสามก็สามารถเดินทางมาถึงโควา ดา อิเรียได้อย่างปลอดภัย แต่กระนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ไม่อาจจะฝ่าฝูงชนจำนวนมหึมาที่คอยอยู่เพื่อไปที่ต้นโอ๊คได้ แต่โชคดีที่มีคนขับรถคนหนึ่งได้มาอุ้มยาซินทาฝ่าฝูงชนเข้าไป พร้อมตะโกนว่า ขอทางให้พวกเด็ก ๆ ที่เห็นแม่พระด้วย ฝั่งนายมานูเอลก็พยายามตามทั้งสามไป แต่ก็ถูกเบียดเสียดอย่างหนัก ยาซินทาจึงร้องขึ้นด้วยความกลัวและเริ่มร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นบิดาของตนกำลังถูกผู้คนเบียดเสียด อย่าผลักพ่อหนู อย่าทำร้ายท่าน เธอตะโกนบอกฝูงชน

การประจักษ์ครั้งที่ 6 วันที่ 13 ตุลาคม

ที่สุดทั้งสามก็สามารถฝ่าฝูงชนจนมาถึงต้นโอ๊คที่สตรีปริศนามา ที่นั่นยาซินทายังคงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งรอบตัว ฝั่งลูเซียและฟรังซิสโกในชุดสำหรับวันอาทิตย์พร้อมถุงใส่ของเล็ก ๆ ก็พยายามจะหาทางปลอบน้องเล็กคนนี้อย่างสุดกำลัง และขณะรออยู่นั้นพระสงฆ์องค์หนึ่งก็ได้ตรงเข้ามาหาทั้งสามว่าแม่พระจะมากี่โมง ตอนเที่ยงค่ะ คุณพ่อ ลูเซียตอบ พระสงฆ์องค์นั้นจึงดูนาฬิกาของตน แล้วกล่าวกับทั้งสามว่า ฟังนะ นี่เที่ยงแล้ว เธอกำลังพยายามบอกหรือว่าแม่พระเป็นคนโกหก ดีเลย เด็กน้อย ดีเลย

แล้วเขาก็ก้มมองนาฬิกาเรือนงามของเขาอีกครั้งในเวลาเพียงไม่กี่นาที นี่เที่ยงแล้ว สิ่งที่พวกเธอเห็นเป็นภาพลวงตาใช่ไหม มันเป็นเรื่องไร้สาระใช่ไหม งั้นกลับบ้านไปแล้ว ทุกคนนั่นแหละ กลับไปบ้านได้แล้ว  พระสงฆ์ท่านนั้นเย้ยอย่างผู้กำชัยชนะ ก่อนตรงเข้าผลักทั้งสามให้ไปจากที่นี่ แต่ลูเซียไม่ยอมไปไหน ทั้งไม่มีน้ำตาใดหลุดมาจากดวงตาของเธอ เพราะบัดนี้เธอมีแต่เพียงความเชื่ออยู่ทุกอณูของร่างกาย แม่พระบอกว่าพระนางจะมา คุณพ่อคะ และหนูก็รู้ดีค่ะว่าพระนางจะรักษาสัญญาของพระนางค่ะ ลูเซียตอบพระสงฆ์ท่านนั้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

แล้วทั้งสามจึงเฝ้ารอสตรีปริศนาที่เชื่อว่าคือแม่พระต่อท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกอยู่ กระทั่งถึงเวลาเที่ยงวันจริง ๆ  ลูเซียที่มองไปทางตะวันออก จึงกระซิบกับยาซินทาเบา ๆ ว่า คุกเข่าลงกันเถอะ แม่พระกำลังจะมา พี่เห็นฟ้าฟ้าแลบ เช่นนั้นทั้งสามจึงพร้อมใจกันคุกเข่าลง เช่นกันบรรดาผู้แสวงบุญจำนวนมากมายก็ต่างคุกเข่าลง และบัดดลใบหน้าของทั้งสามก็เป็นภาพสะท้อนความยินดีและการประทับอยู่ของสตรีปริศนา ณ บนยอดโอ๊คที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้และริบบิ้น

เวลานี้เบื้องหน้าของทั้งสามสิริรุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ได้บดบังบรรดาริบบิ้นไหมและพฤกษานานาให้หายไปสิ้น ท่านประสงค์สิ่งใดจากหนูหรือคะ ลูเซียถามเช่นเดิม ฝั่งสตรีปริศนาก็ตอบกลับมาว่า ฉันปรารถนาให้มีการสร้างวัดขึ้นที่นี่เพื่อถวายเกียรติแก่ฉัน ฉันคือแม่พระแห่งลูกประคำ จงสวดสายประคำทุกวันต่อไป สงครามกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว และพวกทหารก็กำลังจะได้กลับบ้านของพวกเขา แล้วจึงบังเกิดความเงียบขึ้นขณะหนึ่งระหว่างโลกและสวรรค์

หนูมีคำภาวนามากมายจากผู้คนมากมาย ท่านจะประทานให้พวกเขาตามคำขอหรือไม่คะ ลูเซียทำลายความเงียบ บางคนใช่ แต่บางคนก็ไม่จ๊ะ สตรีผู้บอกนามว่าคือแม่พระแห่งลูกประคำตอบกลับมา มนุษย์ต้องแก้ไขความประพฤติของพวกเขา และวอนขอการอภัยโทษบาปของพวกเขา พวกเขาต้องไม่กระทำการอันขัดเคืองพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงถูกทำให้คัดเขืองพระทัยมากเกินพอแล้ว สตรีปริศนาเอ่ยด้วยถ้อยวจีที่จริงจัง

และนั่นคือสิ่งที่ท่านประสงค์ใช่ไหมคะ ลูเซียถามอีกครั้ง ไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วจ๊ะ สตรีผู้บัดนี้ทราบดีแล้วคือพระมารดาพระเจ้าตรัสตอบ ก่อนพระนางจะค่อย ๆ ลอยขึ้นไปทางตะวันออก พร้อมชี้มือไปยังท้องฟ้าที่อึมครึมเหนือทั้งสาม พลันท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆดำทมิฬนั้นก็มลายหายไป ปรากฏดวงอาทิตย์หน้าตาคล้ายแผ่นเงินกำลังหมุนอยู่บนนภากาศที่บัดนี้แจ่มใส และจากมือทั้งสองที่คว้ำลงของสตรีนั้น ก็ปรากฏรังสีสว่างสาดลงมาจนดูคล้ายหนึ่งจะทำอันตรายทั้งสาม และบดบังดวงอาทิตย์ให้อับแสงลง เป็นเวลานี้เองที่ลูเซียตะโกนขึ้นว่า ดูดวงอาทิตย์สิ

หลังจากนั้นแทนที่พระนางจะอันตรธานหายไปเช่นครั้งที่แล้ว ๆ มา ตรงข้ามพระนางกลับประทับอยู่ทางฝั่งขวาของดวงอาทิตย์พร้อมแสงสว่างที่สาดออกมาจนคล้ายหนึ่งดวงดาวที่ลอยเคว้งกลางโพยมบน และทันใดพระนางก็เปลี่ยนมาแต่งอาภรณ์ผ้าคลุมสีฟ้าแทนสีขาวเช่นปกติ แล้วนักบุญโยเซฟที่อุ้มพระกุมารวัยประมาณหนึ่งขวบในอ้อมแขนขวาจึงประจักษ์มา ทั้งสองพระองค์ต่างสวมอาภรณ์เป็นสีแดง ท่านนักบุญได้ทำสำคัญมหากางเขนเหนือผู้คนสามครั้ง ก่อนจะอันตรธานหาย

แล้วพระเยซูคริสตเจ้าจึงประจักษ์มาที่ตรงบริเวณฐานของดวงอาทิตย์ในอาภรณ์สีแดง ที่ด้านข้างของพระองค์ ปรากฏพระมารดาของพระองค์ที่มาในลักษณะของแม่พระมหาทุกข์ กำลังจ้องมองโลกมนุษย์ ทั้งสามไม่เห็นดาบเสียบอยู่ที่ดวงหทัยของพระนาง แต่ทั้งสามก็ทราบว่านี่คือแม่พระมหาทุกข์ หลังจากนั้นองค์พระเยซูเจ้าซึ่งปรากฏเพียงครึ่งพระองค์ก็ทรงอวยพระโลก แล้วนิมิตของฟรังซิสโกและยาซินทาจึงจบลง ส่วนลูเซียนั้นได้เห็นแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมลต่อ (เธอเชื่อว่าเช่นนั้นเพราะเธอเห็นสายจำพวกอยู่ที่มือของพระนาง)

สุริยาพลันหมุนเวียนไป

ขณะที่ทั้งสามได้เห็นนิมิตต่อ ฝั่งฝูงชนเมื่อได้ยินลูเซียตะโกนขึ้นเสียงดังว่า ดูดวงอาทิตย์สิ ก็ปรากฏว่าฝนที่ลงเม็ดมาแต่เมื่อคืนก็พลันหยุดตก ดวงสุริยาที่เร้นกายในม่านเมฆกลับปรากฏชัดขึ้นอีกครั้งกลางนภา แต่แทนที่มันจะเป็นเช่นทุกวัน ตรงข้ามดวงอาทิตย์นั้นกลับเริ่มหมุนเร็วและเร็วขึ้นเหมือนล้อเกวียนที่ถูกโคชักลาก ก่อนสาดลำแสงหลากสีจากรอบ ๆ ตัวมันออกไปทุกทิศทุกทาง ลำแสงเหล่านี้มีสีแดงที่ต้น แล้วจึงค่อย ๆ คลีคลายเป็นเป็นสีต่าง ๆ ที่ปลายของมัน อันฉาบย้อมทุกสิ่งบนพื้นที่ให้เป็นสีนั้นไป เหมือนหนึ่งแสงนั้นได้ลอดผ่านกระจกสีต่าง ๆ  และที่พิเศษกว่าคือทุกคนสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้อย่างสบายตา

ผู้คนในบริเวณนั้นที่ต่างพากันคุกเข่าลง บ้างร้องออกมาดัง ๆ ว่า ลูกเชื่อแล้ว ลูกเชื่อแล้ว  บ้างก็ร่ำไห้อย่างหวาดกลัวว่า พระเยซูช่วยลูกด้วย บ้างก็ร้องอย่างยินดีว่า อัศจรรย์ บ้างก็ร้องขอชีวิตว่า ข้าแต่พระเจ้า โปรดอภัยบาปของลูกด้วย แต่บ้างก็ร้องหาแม่พระว่า แม่พระ ช่วยลูกด้วย เวลานั้นมีทั้งความหวาดกลัวและความยินดีอาบไปทั่วผืนดินที่ชื่อโควา ที่บัดนี้บรรจุคนกว่าเจ็ดหมื่นคนไว้ คือความหวาดกลัวว่านี่จะคือวันสิ้นโลก และความยินดีต่ออัศจรรย์ของพระเป็นเจ้า จอมสวรรค์

ให้เรามาฟังคำพยานจากผู้คนในที่แห่งนั้นกัน และข้าพเจ้าก็ได้เห็นดวงอาทิตย์เหมือนจาน มีขอบชัด ซึ่งส่องแสงออกมาโดยไม่อันตรายใดๆต่อสายตา มันไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ถูกหมอกบัง (ไม่มีหมอกในเวลานั้น) เพราะมันมิได้ถูกอะไรบัง หรือมีลักษณะสลัว ๆ เลย มันไม่ใช่การกระพริบของดวงดาวเช่นทั่วๆไป” (ดร. อัลเมยดา การ์เร็ตต์ นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากมหาลัยโคอิมบรา) ผู้คนสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้เหมือนกับมองดวงจันทร์” (มาเรีย โด การ์โม) ฉันเห็นดวงอาทิตย์หมุนและดูเหมือนจะลงมาข้างล่าง มันคล้ายล้อจักรยาน” (ยวง การ์เรยรา) ดวงอาทิตย์เริ่มเต้น และในบางช่วงมันก็ดูเหมือนจะหลุดลงมาจากท้องฟ้า และวิ่งตรงมาเบื้องหน้าพวกเราเหมือนล้อไฟ” (อัลเฟรโด ดา ซิลวา ซาสโตส)

พวกเรามองเห็นดวงอาทิตย์ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุบางประการก็ทำให้พวกเราตาไม่ต้องบอด มันดูเหมือนกำลังกระพริบเข้ากระพริบออก เป็นจังหวะไปเรื่อย ๆ มันสาดลำแสงไปทุกทิศทุกทางและย้อมทุกสิ่งด้วยสีสันหลากสี ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ผู้คน อากาศ และพื้นดิน  แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดสำหรับฉัน ตามที่ฉันคิดนะ ก็คือการที่ดวงอาทิตย์ไม่อันตรายใดใดต่อตาของพวกเรา ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ และทุกคนต่างมองขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นสักพักดวงอาทิตย์จึงหยุดนิ่ง แล้วจึงเริ่มเต้นอีกครั้งบนฟ้า กระทั่งมันดูจะหลุดออกมาจากที่ของมันแล้วตรงมาหาพวกเรา มันเป็นเวลาที่น่ากลัวจริง ๆ  นายมานูเอล มาร์โต

“…อนึ่งข้าพเจ้าได้เห็นฝูงชนหันหน้าไปหาดวงอาทิตย์ ซึ่งปรากฏออกมาจากกลุ่มเมฆและอยู่ ณ จุดสูงสุดของท้องฟ้า มันแลดูคล้ายแผ่นโลหะเงินที่มีลักษณะทื่อ ๆ และสามารถจ้องมองได้อย่างสบายไร้กังวล มันอาจจะเป็นปรากฏการณ์อุปราคาก็ได้ แต่ ณ เวลานั้นมีแต่เสียงตะโกนโหวกเหวก และหนึ่งในคนที่อยู่ใกล้ ๆ ข้าพเจ้าตะโกนว่า อัศจรรย์ อัศจรรย์’… นายอเวลีโน เด อัลเมยดาเขียนในหนังสือพิมพ์โอ เซกูโล ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่สนับสนุนรัฐบาล และต่อต้านพระศาสนจักร

ปรากฏการประหลาดท้าสายตาของมนุษย์บังเกิดขึ้นถึงสามรอบ ดวงอาทิตย์ที่ เต้นรำจึงกลับมาสูสภาพปกติอีกครั้ง และอัศจรรย์อันดับต่อไปก็บังเกิดให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง เมื่อเสื้อผ้าไม่ว่าจะเป็นชุด ถุงเท้า และรองเท้าหรือพื้นดินที่เคยเปียกแฉกจากฝนที่เทลงมาแต่เมื่อคืน กลับแห้งสนิทเสมือนหนึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่เคยเปียกฝนมา

ไม่เพียงแต่ฝูงชนบริเวณโควา ดา อิเรียเท่านั้นได้เป็นประจักษ์พยานถึงอัศจรรย์คราวนี้ เพราะห่างไปอีกสิบเอ็ดไมล์จากฟาติมา คือที่หมู่บ้านอัลบูริเตล ก็ปรากฏมีพยานมากมายได้เห็นเหตุอัศจรรย์คราวนี้ นี่คือบันทึกของคุณพ่ออินาซิโอ โลเรนโซ หนึ่งในพยานเหล่านั้นซึ่งได้รับการยืนยันจากพยานคนอื่น ๆ ที่พยานผู้นี้ได้เอ่ยถึง

ข้าพเจ้ามีอายุได้เก้าขวบในขณะนั้น และอยู่โรงเรียนในหมู่บ้าน ตอนนั้นเวลาประมาณสักเที่ยง มีเสียงร้องเสียงตะโกนโหวกเหวกจากทั้งผู้ชายและผู้หญิงบางคนดังมาจากถนนหน้าโรงเรียนจนพวกเราพากันประหลาดใจ คุณครูของพวกเรา ผู้ใจดีและศรัทธา ซึ่งมีนิสัยขี้วิตกและน่าประทับใจ เป็นคนแรก ๆ ที่วิ่งนำเด็ก ๆ ซึ่งวิ่งตามหลังท่านไปที่ถนน
ที่ข้างนอก ชาวบ้านต่างพากันตะโกน ร้องไห้ และชี้ไปที่ดวงอาทิตย์โดยมิได้สนต่อคำถามที่เคร่งเครียดของคุณครูของพวกเราเลย มันเป็นอัศจรรย์ อัศจรรย์ของดวงอาทิตย์ที่พิเศษ ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนตรงบริเวณเหนือเนินเขาที่หมู่บ้านของข้าพเจ้าตั้งอยู่
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะอธิบายส่งข้าพเจ้าเห็นและรู้สึกได้เช่นไร ข้าพเจ้าเพ่งมองไปที่ดวงอาทิตย์ซึ่งดูซีดกว่าปกติและไม่รู้สึกเจ็บตา จนคล้าย ๆบอลหิมะที่หมุนด้วยตัวของมันเอง นอกนี้มันยังทำท่าจะลงมาข้างล่างในลักษณะซิกแซก จนน่ากลัวว่าจะทำลายโลกเสีย ดังนั้นเองด้วยความหวาดกลัว ข้าพเจ้าจึงวิ่งและไปซ่อนตัวในท่ามกลางชาวบ้านที่พากันร่ำไห้และคิดว่านี่จะเป็นวันสิ้นโลก
...
ขณะที่ทุกคนพากันร้องไห้และร้องขอให้พระเป็นเจ้าทรงอภัยโทษบาปของพวกเขา พวกเราทุกคนก็ออกวิ่งไปที่วัดน้อยทั้งสองแห่งของหมู่บ้าน ซึ่งเต็มแน่นไปด้วยชาวบ้านคนอื่น ๆ นอกนี้ในระหว่างอัศจรรย์ ทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวของพวกเราเปลี่ยนเป็นสีรุ้งไปทั้งสิ้น พวกเราเห็นพวกเราด้วยกันเป็นสีฟ้าบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง และอื่น ๆ อีกมาก ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้ยิ่งทวีความกลัวของชาวบ้านให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุการณ์ประหลาดเกิดได้สักสิบนาที ดวงอาทิตย์จึงกลับเป็นเช่นเดิม ฝั่งชาวบ้านเมื่อรู้ว่าปลอดภัยแล้ว จึงต่างพากันร่วมใจกันระเบิดเสียงแห่งความยินดีและโมทนาคุณสรรเสริญแม่พระ”

บัดนี้การประจักษ์แห่งฟาติมาได้จบลงแล้ว แต่ชีวิตของยุวนักบุญกำลังจะดำเนินต่อไปตามคำทำนายของสตรีปริศนา ที่บัดนี่เราทราบแล้วว่าคือ แม่พระแห่งลูกประคำ หรือ พระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า ตอนต่อไปเราจะนำทผู้อ่านทุกท่านไปพบกับความศักดิ์สิทธิ์ที่จะยิ่งฉายแววมากขึ้น และท้ายสุดผู้อ่านทุกคนจะได้พบคำตอบว่า ไฉนพระเป็นเจ้าจึงยกเด็กน้อทั้งสองประดับไว้บนพระแท่นอันงดงามแห่งพระศาสนจักรในกาลสมัยนี้


ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...