พระมหาทรมาน ภาค คุกใต้ดิน
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงการจำลองขึ้นจากคำบอกเล่าของผู้ได้รับนิมิต
4 คนด้วยกัน โดนมีจุดประสงค์ที่ทำขึ้นมานี้เพื่อให้ใช้ระลึกในระหว่างค่ำคืนวันพฤหัสศักดิ์ในสัปดาห์มหาพรต
อาจจะมีข้อผิดพลาดบางประการ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
คำชี้แจง
สีดำมาจากคำบอกเล่าของ : ผู้น่าเคารพมารีย์
แห่ง พระเยซูเจ้าแห่งอาเกรดา ภคินีชาวสเปน (ค.ศ.1602-
ค.ศ.1665)
สีแดงมาจากคำบอกเล่าของ
: บุญราศีแอน แคทเทอรีน อัมเมอริก ภคินีชาวเยรมัน (ค.ศ.1774-ค.ศ.1824)
สีฟ้ามาจากคำบอกเล่าของ
: ภคินีมารีย์ มักดาเลน แห่ง
นักบุญคลารา ภคินีชาวอิตาลี
สีส้มมาจากคำบอกเล่าของ : ภคินีโจเซฟา เมเนนเดส ภคินีชาวสเปน(ค.ศ.1890-ค.ศ.1923)
“เที่ยงคืนได้ผ่านพ้นไปแล้ว
สมาชิกสภาทั้งหมดลงมติให้จับพระองค์ขังไว้ในคุกใต้ดินซึ่งเป็นอุโมงค์อยู่ใต้ดินของบ้านของกายฟาสซึ่งยังคงมีซากหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน
แสงสว่างไม่สามารถส่องผ่านเข้าไปในคุกนี้ได้เลยมันจึงมืดมิด
ข้างในคุกคละเคล้าไปด้วยกลิ่นเหม็นอันน่ารังเกียจ
ถ้าหากมันไม่ได้อยู่ห่างไกลและถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิดแล้วละก็
มันจะต้องส่งผลต่อตัวบ้านโดยรวมอย่างแน่นอน
คุกนี้ไม่เคยถูกทำความสะอาดมาเป็นเวลาหลายปี
ทั้งนี้เป็นเพราะมันอยู่ลึกมากและมีแต่นักโทษเท่านั้นที่จะถูกนำไปกักขังไว้
ไม่มีใครคิดที่จะลงไปข้างล่างนั่น
สถานที่นี้จึงไม่เหมาะสมอย่างสิ้นเชิงต่อมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย
“พระเป็นเจ้าได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าโดยผ่านทางประกาศกเยเรมีย์
ว่า พระเยซูเจ้าจะทรงถูกจองจำในคุก ท่านประกาศกเองก็ถูกจับขังคุกเช่นเดียวกัน
ในเยเรมีย์ 37:15 “บรรดาเจ้านายเดือดดาลต่อเยเรมีย์
จึงสั่งให้เฆี่ยนตีและขังท่านไว้ในคุกที่อยู่ในบ้านของโยนาทาน เลขานุการ
เพราะที่นั่นถูกทำให้เป็นคุก 37:16
ดังนั้นเยเรมีย์จึงอยู่ในคุกมืดเป็นเวลานานหลายวัน”
“คนรับใช้ของสมณะได้ลากองค์พระผู้เป็นเจ้าไปยังคุกใต้ดินที่มืดและสกปรก
โดยที่พระองค์ถูกมัดด้วยเชือกและโซ่ ที่เท้าของพระองค์ก็ถูกเขาเอาเชือกมามัดไว้ด้วยกัน
ทหารเหล่านี้ปฏิบัติต่อพระองค์ตามใจชอบด้วยความโหดเหี้ยม
พวกเขาลากพระองค์ไปด้วยเชือกทำให้พระองค์ทรงสะดุด ล้มลงกับพื้น
แต่พวกเขายังใช้เท้าเตะพระองค์พร้อมทั้งด่าว่าต่างๆนาๆไปในระหว่างบันไดแต่ละขั้น
นอกจากนั้นพวกเขายังฉีกกระชากถอดเสื้อพระองค์ออก แล้วเขาก็ทิ่มแทงร่างกายของพระองค์ด้วยโลหะแหลมคมหลังจากนั้นพวกเขาเอาเชือกมาผูกรอบตัวพระองค์
แล้วเขาก็ลากพระองค์ไปมาบนพื้นถ้ำสกปรกและเย็นยะเยือกนั้น และเขาจึงเอาพระองค์ไปไว้บนขื่อแล้วทิ้งพระองค์ไว้อย่างนั้น
จนกระทั่งพระองค์ไถลลื่นตกลงมาบนพื้นถ้ำสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส
จนน้ำตาไหลเป็นเลือดอาบใบหน้าของพระองค์ หลังจากนั้นเขาจึงผูกมัดพระองค์ไว้กับขอนไม้ใหญ่
แล้วเขาก็รุมล้อมพระองค์ กดพระองค์ไว้และทำทารุณกรรมต่อเราด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์ทุกชนิดที่มี
ทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายของพระองค์หลังจากนั้น เขาก็ขว้างก้อนหินใส่พระองค์
แล้วเอาคบไฟที่ลุกโชนอยู่มานาบและจี้ตามตัวของพระองค์ นอกจากนั้นเขายังใช้เครื่องมือมีคม
และพวกที่แหลมเหมือนเข็ม ฟาดใส่ตัวพระองค์ มันเจาะเนื้อหนังและฉีกกระชากเนื้อหลุดออกมา
และตัดเส้นเลือดขาดไปหลายเส้นตามตัวของพระองค์
ขณะเดียวกันเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเข้าไปในคุก
พระองค์ทรงสวดภาวนาด้วยสิ้นสุดจิตใจเพื่อขอให้พระบิดาแห่งสวรรค์ทรงยอมรับความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้
รวมทั้งความทุกข์ทรมานที่พระองค์จะทรงได้รับต่อจากนี้ด้วย
เพื่อเป็นยัญบูชาชดเชยบาปสำหรับมนุษย์ทั้งมวล แม้แต่ผู้ที่กล่าวหาพระองค์
และเพื่อผู้ที่จะได้รับความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคต
“ศัตรูขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ได้พักผ่อนเลยแม้ชั่วขณะ
แม้แต่ในคุกอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ที่มุมหนึ่งของคุกใต้ดินมีก้อนหินที่โผล่ยื่นออกมาจากพื้นดิน
พวกเขาจับพระองค์มัดติดไว้ที่ก้อนหินนี้
คนเหล่านี้กระทำทารุณต่อพระองค์โดยมัดพระองค์ให้อยู่ในท่าทางที่เจ็บปวดสาหัส
เพื่อทำให้พระองค์ไม่สามารถนั่งหรือยืนตรงเพื่อพักผ่อนพระวรกายได้ พวกเขาไม่ยอมแม้จะให้พระองค์พิงเสา
แม้ว่าพระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างมากจากทารุณกรรมที่ทรงได้รับ จากน้ำหนักของโซ่
และจากการหกล้มหลายครั้งจนพระองค์พยุงตัวประทับยืนอย่างยากลำบากด้วยพระบาทที่บอบช้ำและเป็นรอยแผล
และยังบังคับให้พระองค์วางเท้าของพระองค์บนถาดโลหะที่เผาจนสุดเป็นสีขาว
หลังจากนั้นพวกเขาละทิ้งพระองค์ไว้ที่ก้อนหิน
ปิดประตูคุกด้วยกุญแจและมอบหมายให้คนหนึ่งซึ่งดุร้ายที่สุดในบรรดาพวกเขาเป็นผู้คุม
“ถึงตอนนี้มีคนรับใช้บางคนตัดสินใจกลับมาที่คุกนี้อีกเพื่อเล่นสนุกบางอย่างต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ พวกเขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และกระหน่ำชกต่อยพระองค์ด้วยหมัด
พระเยซูเจ้ามิได้ทรงร้องหรือตรัสอะไรโต้ตอบพวกเขาเลย พระองค์มิได้ทรงทอดพระเนตรพวกเขาและทรงถ่อมพระองค์ตลอดเวลาด้วยการอยู่ในความสงบ
การกระทำอย่างโหดเหี้ยมของพวกเขามีจุดประสงค์จะทดสอบความอดทนของพระองค์
โดยคาดว่าพระองค์จะตอบโต้ด้วยการกระทำหรือกล่าวถ้อยคำที่หยาบคาย
แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นเป็นประจักษ์ถึงความสุภาพอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์
พวกเขากลับยิ่งทำทารุณกรรมมากขึ้นอีก
“พวกเขาปล่อยพระองค์จากก้อนหินและนำพระองค์มาไว้ที่กลางคุก
ในเวลาเดียวกันก็มัดพระองค์ไว้ด้วยผ้า นอกจากนั้นเขายังเอาหนามขดเป็นมงกุฎ
แล้วกดลงบนศีรษะของพระองค์ แล้วเขาก็ผูกผ้าปิดตาพระองค์ด้วยผ้าขี้ริ้วที่ส่งกลิ่นเหม็นสกปรก
แล้วก็เริ่มต้นต่อยพระองค์ด้วยหมัดทีละคนๆหรือไม่ก็เตะถีบพระองค์และสบประมาท
แต่ละคนพยายามที่จะทำทารุณให้หนักและมากกว่าคนก่อน พวกเขาพูดว่า “ผู้ทำนาย” “ลองทายดูสิว่าใครที่ต่อยแก” พระชุมพาผู้ทรงสุภาพที่สุดทรงนิ่งเงียบ
ทรงยอมรับการทารุณกรรมและการสบประมาททั้งหมดที่กระหน่ำมายังพระองค์
ดังนั้นพวกเขาจึงด่าทอและสบประมาทเยาะเย้ยพระองค์และชกต่อยพระองค์ต่อไป
“ต่อมา
คนที่กักขฬะที่สุดตัดสินใจที่จะถอดเสื้อผ้าของพระองค์จนเปล่าเปลือย แต่พระยุติธรรมของพระเป็นเจ้าไม่ทรงอนุญาตต่อการกระทำอันหยาบคายและจาบจ้วงเช่นนี้
ดังนั้นจึงปรากฏว่าไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้
มือเท้าของพวกเขาไม่สามารถขยับเขยื้อน จนไม่อาจทำสิ่งที่เขาตั้งใจ
พวกเขาจึงละทิ้งความตั้งใจนั้นซึ่งมีผลทำให้มือเท้าขยับเขยื้อนได้อีก
พวกเขาคิดว่านี่คงเป็นเวทมนต์ของชายที่ชื่อเยซู นอกจากนั้นเขายังบังคับพระองค์ให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่มีตะปูแหลมคม
ตะปูเหล่านั้นทิ่มลึกเข้าไปในร่างกายของพระองค์ และราดน้ำมันสนและน้ำตะกั่วหลอมเหลวบนบาดแผลตามร่างกายของพระองค์
แล้วด้วยความโหดร้าย เขาผลักพระองค์พลัดตกจากเก้าอี้ ให้พระองค์ลงไปกองบนพื้นอย่างน่าอดสู
ไม่พอเขาเพิ่มการทรมานและการเหยียดหยามพระองค์
ด้วยการทึ้งหนวดเคราหลุดจากใบหน้าของพระองค์
แล้วเขาก็เอาตะปูและเหล็กแหลมจิ้มแทงใบหน้าของพระองค์ ที่ที่เขาทึ้งหนวดเคราของพระองค์หลุดไป
จากนั้นเขาก็จับพระองค์โยนกองไปกับพื้น บนไม้กางเขนที่วางนอนอยู่ แล้วเขาก็มัดพระองค์ไว้อย่างแน่นหนากับไม้กางเขน
จนพระองค์แทบหายใจไม่ออกและพากันย่ำศีรษะของพระองค์ แล้วคนหนึ่งก็เหยียบหน้าอกของพระองค์
แล้วเอาหนามแหลมอันหนึ่งจากมงกุฎ แล้วเสียบทะลุลิ้นของพระองค์และด้วยจิตใจแข็งกระด้าง
และปราศจากความรู้สึกหวาดกลัวต่อบาปกรรมใดๆ พวกเขาเทปฏิกูลและอาจมที่เน่าเหม็นใส่ลงไปในปากของพระองค์และด่าคำหยาบใส่หน้าพระองค์อย่างไม่หยุดปากทั้ง
เยาะเย้ยพระองค์ สบประมาทพระองค์ จนเขาเองรู้สึกว่าค่ำคืนนั้นช่างยาวนาน
หลังจากนั้นพวกเขาจึงจับพระเยซูเจ้ามัดไว้กับเสาให้อยู่บนพื้นเย็นยะเยือก แล้วจึงละจากพระองค์ไป ปล่อยให้พระองค์หนาวสั่นเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย”
“พระเยซูเจ้ายังคงสวดภาวนาเพื่อศัตรูของพระองค์ต่อไป
และพวกเขาได้ละจากพระองค์สักพักหนึ่งเป็นเวลาไม่นาน
พระองค์ทรงประทับพิงอยู่กับเสาเพื่อพักผ่อน แสงสว่างเจิดจ้าล้อมรอบพระองค์
แสงยามรุ่งอรุณเริ่มส่องสว่างแล้ว - -
เป็นสัญญาณการเริ่มต้นวันแห่งพระมหาทรมานของพระองค์ องค์พระผู้ไถ่ - -
แสงสลัวๆส่องผ่านรูแคบๆของคุกกระทบองค์พระชุมพาผู้ศักดิ์สิทธิ์
ผู้ทรงรับแบกบาปของโลกไว้บนพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงผินพระพักตร์ไปยังแสงสว่างนั้น
ทรงยกพระหัตถ์ที่ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนขึ้น
และด้วยพระอริยบทอันนุ่มนวลทรงขอบพระคุณพระบิดาสวรรค์ของพระองค์สำหรับแสงรุ่งอรุณที่ทรงประทานมาในวันนี้
อันเป็นวันแห่งความปรารถนาอันแสนยาวนานของบรรดาประกาศก
และเป็นวันแห่งการรอคอยที่พระองค์เองได้ทรงถอนหายใจด้วยความปรารถนาอันลึกซึ้งในเวลาที่ทรงบังเกิดมาบนโลก
และยังเกี่ยวข้องกับพระวาจาที่ทรงตรัสกับสานุศิษย์ว่า “เรามีการชำระล้างชนิดหนึ่งซึ่งจะต้องได้รับ
และจิตใจของเรารู้สึกหวั่นไหวสักเพียงไรจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จบริบูรณ์?”
ในตอนี้พระเยซูเจ้ายังทรงสวมเสื้อคลุมเก่าที่สกปรก
ซึ่งมีเศษกรังของน้ำลายและสิ่งสกปรกอื่นๆที่ทหารขว้างใส่พระองค์
เพราะพวกทหารไม่ยอมให้พระองค์สวมเสื้อผ้าของพระองค์เองอีก แต่ได้มัดพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ไว้ด้วยกัน
แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายถึงความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่องค์พระผู้ศักดิสิทธิ์ยิ่งทรงได้รับจากการกระทำไร้หัวใจเช่นนี้
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าโศกจนสุดบรรยาย
และทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายราวกับว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
เราควรจะละอายใจในความอ่อนแอของเราที่ไม่อาจทนฟังการบรรยายถึงหรือการพูดถึงพระมหาทรมานเหล่านั้นซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงทนรับไว้อย่างสงบและอดทนเพื่อความรอดของพวกเราทั้งหลาย
ความน่าสะพรึงกลัวที่เรารู้สึกได้นั้นเปรียบได้กับความรู้สึกของฆาตกรที่ถูกบังคับให้วางมือบนบาดแผลที่เขาเองได้กระทำต่อเหยื่อของเขา
พระเยซูเจ้าทรงทนรับความทรมานทุกประการโดยมิได้ทรงเผยพระโอษฐ์บ่นว่า ตำหนิ
มนุษย์หรือบาปของมนุษย์ ที่กระทำผิดต่อพระผู้ทรงเป็นพี่ชาย
เป็นพระผู้ไถ่และเป็นพระเจ้าของพวกเขา ฉันเองก็เป็นคนบาปหนา
และบาปของฉันก็เป็นสาเหตุของความทรมานเหล่านี้ด้วย
“ในวันพิพากษา
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปิดเผย
เราจะได้เห็นบาปของเราที่มีส่วนทำให้องค์พระบุตรของพระเป็นเจ้าต้องรับทนทรมาน
เราจะเห็นว่าบาปของเรานั้นทำให้พระองค์ต้องรับความทุกข์ทรมานหนักมากสักเพียงไร
บาปชนิดใดที่เป็นสาเหตุหรือมีส่วนร่วมในทารุณกรรมซึ่งกระทำต่อพระเยซูเจ้าโดยศัตรูที่เหี้ยมโหดของพระองค์
อนิจจา ถ้าหากเราจะสามารถรู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง เราคงจะสวดภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยพระวาจาที่เราพบบ่อยๆในหนังสือภาวนา
: “พระเจ้าข้า โปรดอนุญาตให้ลูกตาย
ดีกว่าที่จะทำบาปผิดต่อพระองค์ด้วยเถิด”
โดยพระมหาทรมานอันน่าเศร้าสลดยิ่งของพระเยซูเจ้า ของทรงโปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ