วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ผู้สร้างบ้านแห่งความรัก "หลุยส์ มาร์แต็ง และ เซลี เกแร็ง"

นักบุญหลุยส์ มาร์แต็ง และ นักบุญเซลี เกแร็ง
St. Louis et Zélie Martin
ฉลองในวันที่ : 12 กรกฎาคม

หากเอยถึงนามนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู ทุกคนที่เป็นคริสตังคงรู้จักกันเป็นอย่างดีถึงความศักดิ์ของท่านและครอบครัวของท่าน  แต่เมื่อไม่นานมานี้เองบิดาและมารดาอันเป็นที่รักยิ่งของท่านก็ได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศี ไม่ใช่เพียงแค่เพราะว่าเขาทั้งสองเป็นบิดาและมารดาของนักบุญ แต่เพราะตัวอย่างจากการดำเนินชีวิตที่ติดตามองค์พระคริสต์และมีรูปแบบของชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเรียบง่ายทั้งในชีวิตของพวกเขาและในชีวิตของครอบครัวต่างหากละที่ทำให้ทั้งสองเป็นนักบุญ

หลุยส์ โยเซฟ สตานิสลอส มาร์แต็ง เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค..1823 ที่เมืองบอร์โดซ์ จังหวัดฌีรงด์ แคว้นอากีแตน ประเทศฝรั่งเศส เขาเป็นลูกคนสุดท้องของนายทหารชื่อ ปีแอร์ ฟร็องซัวส์ มาร์แต็ง กับ แฟนี บูเรโบ สองสามีภรรยาผู้หลังจากเกิดหลุยส์ได้ไม่นานก็พากันย้ายไปอาวิญง  สทราซบูร์ กระทั้งที่สุดเมื่อปีแอร์ออกจากราชการในปี ค..1830 ทั้งสองก็ตัดสินใจลงหลักปักฐานที่เมืองอลังซอง    หลุยส์จึงได้เข้าโรงเรียน จนจบชั้น แทนที่จะเลือกเดินตามรอยบิดา ในปี ค..1844 หลุยส์ก็ตัดสินใจไปเรียนทำนาฬิกาที่เมืองแรนส์กับญาติ ประมาณปีหนึ่งเขาจึงเดินทางไปเรียนต่อที่เมืองสทราซบูร์และปารีสตามลำดับ


อาเซลี มารี เกแร็ง หรือ เซลี เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค..1831 เมืองก็องเดอแล็ง ในจังหวัดออร์น แคว้นบัส-นอร์ม็องดี ประเทศฝรั่งเศส เธอเป็นลูกคนกลางจากลูกทั้งหมดสามคนของอดีตทหารผ่านศึกนามอิสิดอร์ เกแร็ง กับเกษตรกรหญิงนาม หลุยส์ ฌาน มาเซ เธอมีพี่สาวหนึ่งคนที่เกิดก่อนเธอสองปีคือ มารี หลุยส์ และน้องชายอีกหนึ่งคนที่เกิดให้หลังเธอสิบปีคือ อิสิดอร์  แต่อนิจจาชีวิตวัยเยาว์ของเธอไม่ได้สวยงามเลย ท่านให้คำจำกัดความชีวิตในช่วงนั้นในจดหมายถึงน้องชายว่าความเศร้าโอบคลุมไปทั่ว เพราะ หากคุณแม่เสียน้องไปพร้อมกับพี่ น้องก็รู้ ว่าท่านเป็นคนเคร่งแค่ไหน ท่านผู้แสนดีจะไม่คิดหาทางพร้อมกับพี่ และฉะนั้นเองพี่จึงทุกข์ใจเป็นยิ่งนัก

ในเดือนกันยายน ค..1844  ครอบครัวของเธอก็ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายมายังเมืองอลังซอง เธอและพี่สาวจึงได้เข้าโรงเรียนของคณะภคินีผู้เคารพนมัสการ ณ ที่นั่นเธอเป็นเด็กฉลาด ขยัน และตั้งใจเรียน และนอกจากนี้ระหว่างเรียนอยู่ที่นั่นเอง ที่ภายในของเธอ เธอก็รู้สึกถูกเรียกให้ถือพรหมจรรย์ ดิฉันต้องการเป็นนักบุญ ซึ่งไม่ง่ายเลย


ตัดกลับมาที่หลุยส์ มาร์แต็ง ที่เวลานี้โตเป็นหนุ่มใหญ่วัย 22 ปี ในระหว่างที่เขากำลังเรียนทำนาฬิกาอยู่ที่เมืองสทราซบูร์นั้น ใจหนึ่งของเขาก็ปรารถนาจะถวายตนรับใช้พระอยู่ในคณะการ์ตูนเซียน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปสมัครเข้าอารามกร็องด์ แซงต์ แบร์นาร์ด ของคณะซึ่งตั้งบนเทือกเขาแอลป์ สวัส  และเริ่มเรียนภาษาละติน แต่เรียนไปเท่าไรๆ แม้เขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่อาจทำได้ ทำให้ท้ายสุดเขาจึงต้องจำโบกมืออำลาความฝันนี้ไป และกลับมาเรียนทำนาฬิกาต่อ

ชะตากรรมไม่ต่างกันเกิดขึ้นกับเซลี เพราะเมื่อเธอเรียนจบแล้ว ด้วยรู้สึกมีกระแสเรียก เธอจึงขอเข้าคณะนั้น แต่ก็ถูกคุณแม่อธิการปฏิเสธ เซลีจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานและมีลูกถวายแด่พระทุกคน เธอจึงหนไปหาแม่พระเพื่อถามว่าเธอจะหาสินสอดที่ไหน ทันทีก็มีเสียงภายในตรัสกับเธอว่า จงไปทำผ้าลูกไม้อาลังซองดังนั้นเซลีจึงเริ่มเรียนถักผ้าลูกไม้ตามแบบอาลังซอง ทำให้บัดนี้ชายหญิงคู่หนึ่งผู้ไม่เคยรู้จักกันก่อน จึงต่างประสบชะตาเดียวกัน คือ การไม่ได้ไล่ตามความฝันในอาราม แต่ทั้งสองก็ไม่เคยรู้เลยว่า พระเจ้าทรงประสงค์ให้ทั้งสองเกิดมาคู่กัน เพื่อเป็นแบบอย่างครอบครัวคริสต์ชนที่ดีทั้งภายในและภายนอกในอนาคต


ภายหลังจากความผิดหวัง หลุยส์ก็ไปเรียนทำนาฬิกาต่อที่ปารีสอยู่ประมาณสามปี เขาจึงเดินทางกลับมายังเมืองอาลังซอง และได้เปิดร้านรับซ่อมนาฬิกาและเครื่องประดับอย่างขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ที่ ถนน รือ ดือ ปงต์ เนฟ ในเดือนพฤศจิกายน ค..1850 เวลาไล่เลี่ยกันในปลายปี ค..1853 หลังจากหันมาทำงานเป็นช่างถักลูกไม้แล้ว เซลีกับพี่สาวก็ได้ร่วมกันเปิดร้านทำผ้าลูกไม้ที่ถนน รือ แซงต์ บาลีเซอ และด้วยฝีมือของเธอ ไม่นานงานของเธอก็เป็นเลื่องลือกัน

เซลีตระหนักดีว่าเธอต้องรักลูกจ้างเหมือนสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง เช่นเดียวกันกับเพื่อนบ้านและผู้คนที่เธอรู้จัก เธอก็ต้องรักพวกเขาเช่นนั้น เซลีพร้อมเสมอที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรม และพร้อมเสมอเช่นกันที่จะช่วยคนอื่นๆ เธอมีพระคัมภีร์เป็นเครื่องชี้นำเธอไปในทุกหนแห่ง ส่วนหลุยส์ พอเขากลับมาจากปารีส เขาก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบภายใต้การรำพึงภาวนา อาจมีไปตกปลาบ้าง ล่าสัตว์บ้างสองสามครั้ง  และพบเพื่อนกลุ่มคาทอลิกวิตัล โรเมต(กลุ่มคริสตังผู้ใหญ่ 12 คนที่มารวมตัวกัน)ในตอนเย็น


ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีกระทั้งวันหนึ่งในช่วงเดือนเมษายน ค..1858 ภายหลังจากพี่สาวของเซลีเข้าอารามแม่พระเสด็จเยี่ยมที่เลอ ม็องซ์ไปแล้ว ขณะเซลีกำลังเดินข้ามสะพานแซงต์ ลิวนาร์ด เธอก็เดินสวนกับชายคนหนึ่ง ผู้มีใบหน้าแบบผู้ดีเก่า เขาหายใจอย่างช้าๆ และมีท่วงท่าที่สง่าน่าประทับใจเหลือเกิน นี่คือเขาที่เราเตรียมไว้เพื่อลูก เสียงหนึ่งก้องขึ้นในวิญญาณของเซลี

ชายผู้นั้นก็คือ หลุยส์ ช่างซ่อมนาฬิกา ผู้ที่เวลาไล่ๆกันมารดาของเขาที่ไม่อยากให้บุตรชายเป็นโสดเท่าไรนัก ก็ได้เล่าให้เขาฟังถึงช่างถักลูกไม้สาวที่เธอพบที่โรงเรียนสอนถักชื่อว่า เซลี ดังนั้นนับจากวันนั้นเมื่อได้รู้ว่าใครเป็นใครแล้ว ทั้งสองก็ได้มาพบกัน เริ่มจากการชมกันและกัน และในไม่ช้าความรักก็ผลิบานในหัวใจของทั้งสอง ความแคลงใจเรื่องการถวายตนมลายไปสิ้น ทั้งสองต่างเห็นพ้องกันว่าการแต่งงานของพวกเขาไม่ใช่งานแต่งแบบชนชั้นกลางทั่วไปในอาลังซอง แต่คือการร่วมกันเปิดประตูไปสู่น้ำพระทัยของพระเจ้า


ที่สุดในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 13 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ภายหลังจากคบหาดูใจกันดีแล้ว หลุยส์ก็จูงมือเซลีเข้าพิธีสาบานรัก ณ วัดนอเตร ดาม ในเมืองอาลังซอง พร้อมการตัดสินใจที่ว่าทั้งคู่จะอยู่กันแบบพี่ชายน้องสาวบนความไม่มักมากต่อกันและกัน แต่พระปรีชาญาณไม่ได้กำหนดให้ทั้งสองเจริญชีวิตเช่นนี้ ทั้งสองถือกฎเช่นนี้อยู่สิบเดือน ผ่านคำแนะนำของคุณพ่อวิญญาณ ทั้งสองจึงเปลี่ยนความคิด ดังนั้นในช่วงระหว่างปี ค..1860 ถึง ค..1873 เซลีจึงได้ให้กำเนิดบุตรธิดาถึงเก้าคนแต่รอดเพียงห้าคนดังนี้
1.มารี บุตรีและบุตรคนแรกเกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค..1860
2.โปลีน บุตรีคนที่ 2 เกิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค..1861
3.เลโอนี บุตรีคนที่ 3 เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค..1863
4.เฮเลน บุตรีคนที่ 4 เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค..1864 (เกี่ยวข้องกับอาการป่วยของเซลีในอนาคต) เฮเลนเสียชีวิตลงในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค..1870
5.โจเซฟ บุตรคนที่ 5 และบุตรชายคนแรก เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค..1866  แต่ไม่นานในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค..1867 ทารกโจเซฟก็ได้เสียชีวิตลง
6.ฌอง บัพติส บุตรคนที่ 6 เกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค..1867 แต่ไม่ถึงปีฌองก็เสียชีวิตลงในวันที่ 24 สิงหาคม ค..1868
7.เซลีน บุตรคนที่ 7 เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค..1869
8.มารี เมลามี บุตรคนที่ 8 เกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค..1870 และเสียชีวิตลงในวันที่ 10 ตุลาคม ปีเดียวกัน
9.มารี ฟร็องซัวส์ เทเรซา เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค..1873 

ต่อมาสืบเนื่องจากลูกไม้ของเซลีขายดีมาก ในปี ค..1860 หลุยส์จึงเลิกทำร้านและหันมาช่วยขายผ้าลูกไม้ของเซลีด้วยการพกออกไปขายตามที่ต่างๆ ทั้งช่วยออกแบบลายลูกไม้ร่วมกับเธอด้วย ฝ่ายเซลีเองก็รับหน้าที่ดูแลลูกจ้างหญิงสิบห้าคนที่จะทำงานที่บ้านของตัวเอง โดยมีกำหนดวันพฤหัสบดีเป็นวันที่เธอจะไปตรวจงานและรับฝ้ายมาให้ และให้คำแนะนำพวกเขาในการทำในสัปดาห์ต่อไป และเมื่องานเสร็จเซลีก็จะทำหน้าที่ประกอบมัน จนบ่อยๆเธอต้องทำงานถึงดึกดื่น


แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยลืมหน้าที่มารดา เธอพร้อมเสมอที่จะให้เวลากับลูกๆ เมื่อพวกเขาต้องการ และเมื่อลูกสาวคนต่อสองคนเข้าโรงเรียนประจำ เธอก็มักเขียนจดหมายหาพวกเขาบ่อยๆ ส่วนความสัมพันธ์ของเธอกับสามีน่ะหรือ คงไม่ต้องบอก พวกเขายังคงรักกันหวานชื่อดี สังเกตจากจดหมายที่เซลีเขียน ภรรยาของพี่ผู้รักพี่มากเสียกว่าชีวิตของเธอเอง , น้องขอสวมกอดพี่ น้องรักพี่ ฝั่งของหลุยส์ใช่ย่อย พี่ขอสวมกอดน้องด้วยสุดหัวใจพี่ขณะรอคอยความยินดีของการได้อยู่ร่วมกับน้องอีกครั้งหนึ่ง

ในปี ค..1871 ทั้งสองก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านเก่าของเซลี ที่นั่นทั้งสองได้ช่วยกันอบรมบรรดาธิดาน้อยๆที่เหลืออยู่ และได้ให้กำเนิดธิดาคนสุดท้ายคือ มารี ฟร็องซัวส์ เทเรซา แม้ว่าจะต้องผ่านความทุกข์จากการสูญเสียลูกไปถึงเก้าคน ทั้งคู่ก็น้อมรับน้ำพระทัยพระ เมื่อดิฉันปิดตาของลูกรักและเตรียมฝังศพของเพวกขานั้น แน่นอนดิฉันย่อมเสียใจ แต่ขอบคุณพระหรรษทานของพระเจ้า ดิฉันพร้อมสละทุกสิ่งเพื่อน้ำพระทัยของพระเสมอ ดิฉันไม่เสียใจเลยที่ต้องรับเจ็บปวดและเสียสละเพราะพวกเขา


เซลีกล่าวต่อว่า ดิฉันละไม่เข้าใจคนที่กล่าวว่า เธอจะได้ควรได้รับสิ่งดีกว่านี้โดยไร้เรื่องทั้งหมดนี้ เสียจริงๆ เซลีกล่าวเสริมอีกว่า เดี๋ยวนี้พวกเขากำลังเพลินเพลงอยู่ในสวรรค์ ทั้งนี้ดิฉันก็ไม่ได้สูญเสียเขาไปตลอดเสียหน่อย ชีวิตนั้นสั้นนัก และดิฉันจะได้พบพวกเขาอีกครั้งในสวรรค์

ดังนั้นทั้งสองจึงตั้งใจดูแลของขวัญที่เหลืออยู่นี้อย่างดี พวกเรามีชีวิตอยู่เพียงเพื่อพวกเขา พวกเขาคือความสุขทั้งหมดของเรา เซลีเขียน เธอสอนให้ลูกๆทุกคนหมั่นถวายหัวใจของพวกเขาต่อพระเจ้าผู้แสนดี เพื่อพวกเธอจะได้สามารถน้อมรับความยากลำบากต่างๆในชีวิตประจำวันซึงเป็นที่โปรดปรานของพระเยซูเจ้าได้ ดิฉันรักเด็กมาก ดิฉันเกิดมาเพื่อมีลูกความปรารถของเซลีคือการที่ลูกๆทุกคนของเธอจะเป็นนักบุญ และแม้จะมีความตั้งใจเช่นนี้ มันก็ไม่ได้หยุดเธอให้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ เกม ทำให้ทุกๆคนในครอบครัวต่างมีความสุข


ส่วนฝ่ายความเชื่อ ทั้งสองจะตื่นไปมิสซาตอน 5.30 . ทุกวันและหมั่นรับศีลหลายครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นที่แปลกในสมัยนั้น นอกจากนั้นทั้งสองยังอดอาหารและพลีกรรม ทั้งสองจะไม่ทำงานวันอาทิตย์ ทั้งไปเยี่ยมคนชรา คนป่วย คนใกล้ตาย และเมื่อมีโอกาสทั้งสองก็มักเชื้อเชิญให้คนเรร่อนมาร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขาอย่างไม่รังเกียจ นอกจากนี้ในช่วงแรกๆที่แต่งงาน ทั้งสองยังช่วยสงเคราะห์เด็กที่มารดาเสียชีวิต และเด็กๆคนอื่นอีกถึงสิบเอ็ดคน

ระหว่างดูแลลูกอยู่นั่นเอง ตั้งแต่ปี ค..1876 เป็นต้นมาเซลีก็เริ่มมีอาการเจ็บที่หน้าอก เธอจึงไปพบแพทย์และได้คำตอบว่า เธอป่วยเป็นเนื้องอกที่เต้านมซึ่งอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว คือ ไม่มีทางรักษา ทำได้ดีสุดคือต่อชีวิตเธอไป ทันทีเซลีรีบทรงข่าวนี้ไปบอกหลุยส์  ทั้งจึงช่วยกันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ไม่นานโปลีนก็ผ่านมาได้ยินทั้งสองพูดกันเธอจึงคะยั้นคะยอจนทั้งจำต้องบอก และไม่นานลูกๆที่เหลือก็รู้อาการป่วยของมารดา กระนั้นเธอก็ไม่ดำเนินชีวิตผิดแปลกไปจากอื่น นอกจากสวดภาวนาด้วยใจร้อนรนมากขึ้นเพื่อวิงวอนการรักษา เธอยังคงทำผ้าลูกไม้และดูแลงานบ้านที่ยุ่งวุ่นวายแม้จะมีมารีมาคอยช่วย


ลุมาถึงมหาพรตปี ค..1873 ทั้งที่ไม่ค่อยแข็งแรงเธอก็ยังคงร่วมอดอาหารและอดเนื้อร่วมกับพระศาสนจักร กระทั้งมาถึงช่วงมิถุนายน เซลีพร้อมมารี โปลีนและเลโอนิน ก็ตัดสินใจเดินทางไปลูร์ดเพื่อหวังอัศจรรย์แห่งแม่พระ แต่ก็ไร้ผล เธอเริ่มมีอาการเจ็บคอ  กระนั้นท่ามกลางผิดหวังของลูกๆ เซลีก็กล่าวปลอบใจลูกๆว่า แม่พระได้ตรัสกับแม่เช่นเดียวกับที่ทรงตรัสกับแบร์นาแด็ตว่า แม่จะทำให้ลูกมีความสุข แต่ไม่ใช่ในโลกนี้แต่เป็นในโลกหน้า’”

เมื่อกลับมาถึงอาลังซองเธอก็จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อทุกสิ่งจะได้พร้อมในยามที่เธอไม่อยู่  และสุดท้ายหลังจากเจ็บหนักถึงสองวัน ในเวลา 0.30 . ของวันที่ 28 สิงหาคม ค..1877 ขณะอายุเพียง 45 ปี  ท่ามกลางสามีทีรักและน้องชาย น้องสะใภ้ ดิฉันรักรอยยิ้มของคุณแม่และความลึกล้ำของท่านที่ดูเหมือนจะพูดว่า นิรันดร์ภาพดึงดูดลูกและทำให้ลูกเป็นสุข บัดนี้ลูกกำลังไปยังท้องฟ้าเพื่อชื่นชมพระเจ้า’ ”


หลังจากนั้นด้วยการกระตุ้นของน้องสะใภ้ของเซลี หลุยส์ก็ขายบ้านที่เมืองอาลังซอง และย้ายมายังเมืองลิซิเออซ์ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน เพราะก่อนตายเซลีได้มองไปยังเซลิน น้องสะใภ้ของเธอ เธอจึงถือว่าเซลีได้ฝากลูกๆของเธอไว้กับเธอ ดังนั้นเพื่อให้ง่าย เธอจึงขอให้เขาพาครอบครัวย้ายมา  และเมื่อมาถึงหลุยส์ก็ได้คฤหาสน์ที่รายล้อมไปด้วยสวนในบุยซงเน็ตส์ เป็นบ้าน สำหรับบรรดาธิดาน้อยของเขา

หลุยส์ตัดขาดจากทุกสิ่งในอาลังซอง และทุ่มเทเวลาที่เหลือทั้งหมดเพื่อธิดาน้อยที่น่ารักของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทเรซาน้อยที่เขามักเรียกเธอว่า “ราชินีน้อย” เขาหยุดทำงาน และเจริญชีวิตอย่างสันโดษผ่านการอ่านหนังสือ การเขียน และการรำพึง โดยมีมารีวัย 17 ปีทำหน้าที่เป็นคนดูแลงานบ้าน ส่วนโปลีนที่ขณะนั้นอายุได้ 16 ปี ก็มีหน้าที่คอยสอนหนังสือเล็กน้อยๆแก่น้องเล็กๆทั้งสองโดยเฉพาะเทเรซา นอกนี้ครอบครัวก็มีกิจวัตรหลักๆคือในวันอาทิตย์ครอบครัวจะพากันไปร่วมมิสซาอาสนวิหารประจำเมือง ก่อนจะไปร่วมกันทานอาหารกับคุณน้าทั้งสองที่บ้าน


เซลีเคยกล่าวว่า นักบุญเป็นสามีของดิฉัน ดิฉันปรารถนาให้เป็นเช่นเดียวกันกับผู้หญิงทุกคน เซลียังได้บันทึกเรื่องราวของหลุยส์เรื่องหนึ่งว่า ครั้งหนึ่งหนึ่งในนาฬิกาของหลุยส์โดยทหารปรัสเซียขโมยไป ดังนั้นด้วยความโกธร หลุยส์จึงจับผู้ร้ายนั้นโยนออกจากบ้านอย่างตึงตัง ก่อนจะรีบไปยื้นฟ้องชายคนนั้น แต่เมื่อเขาตระหนักได้ว่าชายผู้นั้นจะต้องถูกยิงเป้าแน่ รุ่งขึ้นเขาจึงเดินทางไปศาลและถอนฟ้องชายคนนั้นเสีย นักบุญเทเรซาเองก็บันทึกว่า คุณแม่และทุกคนที่รู้จักท่านต่างก็ยืนยันได้ว่า ท่านไม่เคยพูดสิ่งใดที่ขาดความเมตตาจิตแม้เพียงคำเดียว

เมื่อเลโอนี เซลิน เทเรซา โตพอหลุยส์ก็ให้พวกเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำของคณะเบเนดิกตินในลิซิเออซ์ หลังจากนั้นในปี ค..1882 โปลิน บุตรสาวคนที่สองของเขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าอารามคาร์แมลในลิซิเออร์และได้รับนามใหม่ว่า “ภคินีอักเนสแห่งพระเยซูเจ้า ก่อนจะตามด้วยมารี บุตรสาวคนแรกก็ตัดสินใจเช่นเดียวกับน้องของเธอ เธอเข้าอารามคาร์แมลลิซิเออซ์ในเดือนสิงหาคม ค..1886 และได้รับนามใหม่ว่าภคินีมารีแห่งพระหฤทัย” 


ซึ่งหลุยส์ก็อนุญาต แม้ลึกๆเขาจะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียมารีผู้เป็นดั่งอัญมณีของเขาไป เพราะเขาเลือกที่จะน้อมรับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ไม่ทันทีความเจ็บปวดจะหายไปในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน เลโอนีก็ขอเข้าอารามคณะกลาริส แต่เพียงเจ็ดสัปดาห์ต่อมาเธอก็ต้องออกจากอาราม เพราะชีวิตยากไร้ไม่เหมาะกับเธอ ทำให้บรรยากาศของครอบครัวมาร์แต็งกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เพียงไม่นาน

ในฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา เลเอนีก็ขอเข้าอารามแม่พระเสด็จเยี่ยมในเมืองก็อง(ซึ่งเธอต้องถูกให้ออกถึงสองครั้ง กระทั้งที่สุดหลังจากเทเรซสิ้นใจแล้ว เธอจึงได้เข้าอารามตามที่ฝันและได้รับนาม ภคินีฟรังซัวส์ เทเรซา) ระหว่างนั้นเองในวันที่ 1 พฤษภาคม ค..1887 หลุยส์ก็มีอาการอัมพาตที่ซีกซ้ายของร่างกาย โชคยังดีที่ไม่ก่ชั่วโมงเขาก็หานเป็นปกติ


หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของเทเรซาในช่วงคริสต์มาสปี ค..1886 เธอก็มีใจปรารถนาที่จะเป็นคาเมไลท์ไม่ใช่เพื่อไปหาพี่สาวของเธอ แต่เพื่อติดตามองค์พระคริสต์ ด้วยเหตุนี้ต่อมาหลังจากการภาวนาประจำวันในวันที่ 2 มิถุนายน ปีถัดมา เธอก็ไปหาบิดาของเธอในสวนและแสดงเจตจำนงที่จะเข้าอาราม  ในครั้งแรกหลุยส์ได้กล่าวกับราชินีน้อยของเขาว่าเธอยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมแผนการนี้ไว้แล้ว เพราะเพียงแว๊บเดียว หลุยส์ก็ละทิ้งความเชื่อนั้น พร้อมกล่าวเสริมว่านับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระเจ้าทรงขอเขาและบุตรสาวของเขา

และเมื่อสามรถเอาชนะใจน้าอิสิดอร์ได้แล้ว หลุยส์ก็พาราชินีน้อยไปขออนุญาตเข้าอารามกับพระสังฆราช ภายหลังจากการสัมภาษณ์อันเป็นไปด้วยดี พระสังฆราชก็กล่าวว่าท่านจะตัดสินใจในภายหลัง แต่ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าของเทเรซา หลุยส์จึงตัดสินใจพาเทเรซาและเซลินไปกรุงโรม เพื่อเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13


ทั้งสามนั่งรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังโรมผ่านสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี เวนิส โบโลญญาและโรม ตามลำดับ กระทั้งมาถึงเฉพาะพักตร์ของสมเด็จพระสันตะปาปา เทเรซาก็รีบทิ้งตัวลงแทบพระบาทของพระองค์พรางอ้อนวอนต่อพระองค์เพื่อที่เธอจะได้เข้าอารามคาร์แมล เหตุการณ์ในวันนั้นตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน ค..1887 แต่อนิจจาสุดท้ายแผนการนี้ก็ล้มเหลว กระทั้งวันที่ 1 มกราคม ค..1888 จดหมายฉบับหนึ่งจากอารามจ่าหน้าถึงครอบครัวมาร์แต็ง ก็มาถึงบ้านของพวกเขา

เทเรซารีบแกะจดหมายนั้น และพบว่ามันคือจดหมายนัดวันเข้าอารามในช่วงเดือนเมษายนความดีใจเออล้นไปทั่ววิญญาณเทเรซา เธอรอคอยวันนั้นอย่าใจจดใจจ่อ และระหว่างรอนี้พ่อที่แสนดีอย่างหลุยส์ก็เสนอจะพาราชินีน้อยของเขาไปแสวงบุญที่เยรูซาเลม แต่หากไปจริง เธอจะต้องเลื่อนเวลาเข้าอารามไป ซึ่งแน่นอนเทเรซาไม่ยอม ดังนั้นในวันที่ 9 เมษายน ค..1888 เทเรซาจึงเข้าอารามคาร์แมลในลิซิเออร์  ณ ประตูที่กั้นเขตพรต เขาอวยพรราชินีน้อยของเขาพรางปล่อยให้ตาไหลเอ่อออกมาจากดวงตาชราคู่นั้น คืนนั้นเพื่อนของหลุยส์ บอกกับเขาว่า แกนี่ดีเสียกว่าอับบราฮัมตัวจริงอีกนะ หลุยส์ก็ตอบว่า ถูกแล้ว หากผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกับอับบราฮัม ผมก็จะถวายบูชาเช่นเดียวกัน แต่ในเวลาเดียวกันผมได้สวด สวดและสวด ผมพยายามยกมีดอย่างน่ากลัวอย่างช้าๆและขอให้พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์และลูกแกะมา


หลังจากนั้นรุ่งขึ้นเขาเขียนถึงเพื่อนๆว่า ราชินีน้อยของผมเข้าอารามคาร์แมลเมื่อวานนี้ มีแต่พระเป็นเจ้าเท่านั้นที่จะทรงขอพลีกรรมเช่นนี้ได้ แต่พระองค์ทรงช่วยผมมากทีเดียว จนหัวของผมมีแต่ความยินดี แม้ในขณะที่กำลังร้องไห้ นับแต่วันนั้นมาสุขภาพของหลุยส์ก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ เซลีนเขียนถึงพี่สาวและน้องสาวของเธอว่า คุณพ่อน้อยของพวกเรายามนี้ช่างชรา และไม่แข็งแรงแล้ว (…) หัวใจของน้องแตกสลาย เมื่อน้องคิดว่าท่านจะไปในไม่ช้า

วันหนึ่งในระหว่างหลุยส์แวะมาเยี่ยมลูกๆ หลุยส์ได้บอกกับลูกๆว่า พ่อเพิ่มกลับจากอาลังซอง ในวัดนอเตร ดาม พ่อได้รับพระหรรษทานยิ่งใหญ่ และความเทาใจมากมายจนต้องวิงวอนว่า พระเจ้าข้า นี่มันมากเกินไป ลูกมีความสุขมากเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่หนทางไปสวรรค์ ลูกต้องการเจ็บปวดเพื่อพระองค์ และขอถวายตัวของลูกให้เป็น..”เทเรซาได้เล่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นว่า คำว่า เครื่องบูชา หยุดอยู่เพียงที่ริมฝีปากของท่าน ท่านไม่กล้าเอ่ยออกมาต่อหน้าพวกเรา


หลุยส์เริ่มป่วยด้วยอาการหลอดเลือดแข็งตัว เขามีอาการเลือดเป็นพิษที่ทำให้เขามีอาการวิงเวียนศีรษะและสูญเสียความทรงจำ เขาเริ่มจะเดินหายออกไปจากบ้าน และต้องใช้เวลาสามหรือสี่วันจึงจะพบเขาที่เลออาฟวร์ไม่ก็ที่อื่น เพราะเขาหวังจะทำตามปรารถนาเดิมคือใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ความทุกข์นี้ไม่ใช่มีแต่เพียงหลุยส์ เทเรซาเองก็ทุกข์เพราะบัดนี้ทั้งลิซเออซ์ไม่เว้นแม้แต่ในอารามเต็มไปด้วยข่าวที่ว่า หากหลุยส์เป็นบ้าก็เพราะลูกสาวที่รักของเขาเข้าอาราม

แต่ก่อนวันรับเสื้อของเทเรซาในวันที่ 1 มกราคม อาการของหลุยส์ก็ดีขึ้นจนพอมาร่วมพิธีครั้งนี้ได้ เทเรซาถือว่าวันนั้นเป็น วันแห่งชัยชนะของท่าน เพราะวันนั้นเซลีนก็ได้เผยความปรารถนาว่าจะเข้าอารามคาร์แมลเช่นกัน ทันที่ทราบหลุยส์รีบกล่าวขึ้นด้วยความยินดีว่า เราต้องไปเฝ้าศีลเดี๋ยวนี้ และขอบคุณพระเยซูเจ้าสำหรับพระหรรษทานที่พระองค์ทรงโปรยปรายลงมายังครอบครัวของเรา และสำหรับเกียรติที่พระองค์ทรงประทานแก่เราด้วยการเลือกเจ้าสาวของพระองค์จากบ้านของพ่อ เพราะมันเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ที่พระองค์ทรงขอลูกๆของพ่อจากพ่อ หากพ่อมีสิ่งใดที่ดีกว่า พ่อจะไม่ลังเลที่จะถวายแด่พระองค์เลย


แต่หลังจากวันนั้นหลุยส์ก็ต้อง ดื่มกาลิกษ์อันขื่นขม สืบเนื่องจากหลุยส์หายออกจากบ้านบ่อยๆจนเกินกว่าที่เซลินและเลโอนินจะดูแลได้ ดังนั้นในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค..1889 ตามคำสั่งแพทย์ หลุยส์จึงถูกกักตัวไว้ ณ สถาบันจิตเวชพระมหาไถ่ ในก็อง ที่นี่คุณลุงทำอะไรได้เต็มทีเลยนะคะ พยาบาลกล่าวต้อนรับหลุยส์ ลุงรู้ แต่ลุงต้องการทำที่อื่น แต่ก็ดีแล้วละ ทั้งชีวิตลุงทั้งรับคำสั่งและออกคำสั่ง ดังนั้นบางทีพระเจ้าอาจจะทรงชำระลุง ด้วยการข่มความทะนงตัวและความเจ้ากี่เจ้าการของลุงอาศัยคำสั่งของที่นี่ก็ได้

เดือนมิถุนายนด้วยกลัวหลุยส์จะผลาญทรัพย์ อิสิดอร์จึงให้เขาสละหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สิน วันนั้นชายชราผู้เข้มแข็งได้หลั่งน้ำตาอีกครั้ง อา เหล่านี้เป็นลูกของฉันที่ทิ้งฉัน ณ ที่นั่น อาทิตย์ละครั้งเลโอนินและเซลินจะนั่งรถไฟมาเยี่ยมบิดา ซึ่งอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาสามปี เราอาจกล่าวได้ว่าสามปีนั่นเป็นสามปีแห่งความทรงจำของพนักงานทุกคน เพราะความอ่อนโยนและความเมตตาของหลุยส์ได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาอย่างแจ่มชัด พ่อทราบดีว่าทำพระเจ้าถึงทรงประทานบททดสอบนี้แก่พ่อ พ่อไม่เคยอายต่อชีวิตของพ่อ ที่พระองค์ทรงประสงค์


ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค..1892 ประมาณสามปีได้ที่หลุยส์มาอยู่ที่สถาบัน สืบเนื่องจากหลุยส์กลายเป็นอัมพาตเลโอนินและเซลินจึงสามารถรับเขากลับมาบ้านในลิซิเออซ์ ที่ทั้งสองเช่าอยู่ในเกรังส์ เพราะสัญญาเช่าที่บุยซงเน็ตส์หมดไปตั้งแต่วันฉลองพระคริสตสมภพ ปี ค..1889 หลังจากนั้นก็เป็นบ้านใกล้ๆกัน ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเองทั้งสองยังได้พาบิดาผู้ชราไปพบกับธิดาน้อยทั้งสี่ในอารามคาร์แมล นับเป็นครั้งแรกในรอบสีปีและครั้งสุดท้ายบนโลกนี้  เมื่อถึงเวลาจากกัน และเรากำลังกล่าวอำลา ท่านยกสายขึ้นและชี้ไปที่สวรรค์เป็นเวลานาน ท่านไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใด นอกจากวลีเดียวซึ่งท่านกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า ในสวรรค์’ ”(บันทึกของเทเรซา)

หลุยส์พำนักอยู่ที่ลิซิเออซ์โดยมีเลโอนินและเซลินดูแล จนถึงช่วงฤดูร้อน ปี ค..1893 ทั้งสามก็ไปพักที่ปราสาทลา มูสส์ ซึ่งเป็นมรดกของคุณน้าอิสิดอร์ ก่อนกลับมา แต่อากาศดีก็ไม่ช่วยอะไร 27 พฤษภาคม ค..1894 หลุยส์ก็มีอาการเป็นอัมพาตที่แขนซ้าย 5 มิถุนายน หลุยส์ก็มีอาการหัวใจวาย และแม้จะมีความลำบากในการเดินทางทั้งสามก็พากันนไปยังลา มูสส์อีกครั้งในต้นเดือนกรกฎาคม ตลอดเวลานั้นเขาขอให้ธิดาน้อยสวดให้เขาตลอด กระทั้งในเช้าของวันที่ 29 กรกฎาคม ขณะอายุ 70 ปี หลุยส์ก็คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบด้วยอาการหัวใจวาย


หลังจากนั้นเซลินก็ได้ถวายตนในอารามคาร์แมลลิซเออซ์และได้รับนามว่า ภคินีเยเนเวีย แห่ง พระพักตร์ศักดิ์สิทธิ์และภายหลังจากการสถาปนาเทเรซาเป็นนักบุญแล้ว ก็มีการกระตุ้นให้มีการดำเนินเรื่องขอแต่งตั้งบิดามารดาของท่านนักบุญเป็นนักบุญ ดังนั้นในปี ค..1957 จึงมีการเปิดกระบวนการขอแต่งตั้งเป็นนักบุญโดยเปิดแยกกัน แต่ปิดพร้อมกัน หลังจากนั้นในปี ค..1971 จึงมีการรวมกระบวนการของทั้งคู่เป็นกระบวนการเดียวกัน ดังนั้นทำให้ทั้งสองเป็นคู่สมรสคู่แรกที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนักบุญพร้อมกัน

กระทั้งมีการอัศจรรย์การรักษาหนูน้อยเปียโตร ชีลิโร ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรงและแพทย์ยืนยืนว่าหนูน้อยจะตายในไม่ช้า แต่อาศัยคำแนะนำของคุณพ่ออันโตนิโอที่แนะนำและเล่าเรื่องของคุณพ่อและคุณแม่ของนักบุญเทเรซาให้อาเดลและวาลเตร บิดามารดาของหนูน้อยฟัง ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจทำนพวารแด่ท่านทั้งสองเพื่อวิงวอนขอการรักษาหนูน้อย และอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เมื่อหนูน้อยหายขาดจากอาการ ในวันที่ 19 ตุลาคม ค..2008 ทั้งสองก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศี  ซึ่งในพิธีวันนั้น หนูน้อยเปียโตรก็มาร่วมในพิธีครั้งนี้ด้วย


ต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี คงเป็นข้อพระธรรมที่บอกถึงคุณลักษณะของทั้งสองท่านได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งสองเป็นแบบอย่างของคริสต์ชนที่ดีที่ติดตามองค์พระคริสต์ด้วยใจร้อนรนในแบบของฆราวาส พวกเขาทั้งสองร่วมกันสร้างบ้านแห่งความรักที่ผลิตแต่สิ่งดีๆออกมา จึงไม่แปลกอะไรเลยที่ลูกสาวของพวกเขาจะเลือกพระคริสต์เช้าเป็นเจ้าบ่าวของพวกเธอ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเทเรซานักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งลิซิเออร์  และในอนาคตไม่ไกลนี้พวกเราคงจะมีครอบครัวนักบุญองค์ใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นแน่ เพราะตอนนี้ลูกสาวทั้งสี่ของพวกเขากำลังได้รับการเดินเรื่องเป็นบุญราศีตามพ่อแม่และน้องสาวของพวกเขาไป 

++ปัจจุบันทั้งสองจะได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญสามีภรรยาคู่แรกที่ผ่านทุกขั้นตอน ในวันที่ 18 ตุลาคม ค..2015 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ภายหลังมีอัศจรรย์ที่บาเลนเซีย



ข้าแต่ท่านนักบุญหลุยส์ มาร์แต็ง และ บุญราศีเซลี เกแร็ง แบบอย่างอันน่าสมควรยิ่งของบิดามารดาคริสตชนที่ดี โปรดช่วยวิงวิอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง
http://carmelitesisters.ie/blessed-louis-zelie-martin/

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...