บุญราศีคาโรลินา คูซคา
Bl. Karolina Kózka
ฉลองวันที่
: 18 18 พฤศจิกายน
องค์อุปถัมภ์ : การเคลื่อนไหวแห่งดวงใจบริสุทธิ์(RCS) , สมาคมเยาวชนคาทอลิก , สังฆมณฑลเรสซอวกี้
บุญราศี
คาโรลินา คูซโควนา เกิดมาในฐานะบุตรคนที่ 4 จาก 11คนของครอบครัวชาวนาผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก
ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆในฟาร์มเล็กๆขนาด 2 เฮกเตอร์
ผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากในวาล-รูดเซีย (Wał - Rudzie) ของนายยอห์น คูซคา (Jan
Kózka)กับนางมาเรีย
คูซคา(Maria Kózka) ที่สมรสกันในปีค.ศ.1890 และอาศัยทำงานอยู่ในประเทศโปแลนด์ ในวันที่ 2
สิงหาคม ค.ศ.1898
โดยมีเรื่องเล่าถึงอัศจรรย์การเกิดของท่านว่า
ในขณะนั้นมานดาของท่านกำลังเตรียมแป้งสำหรับอบขนมปังและจุดไฟเพื่ออุ่นเตาซึ่งกว่ามันจะร้อนก็ใช้ระยะเวลาที่นาน
ดังนั้นมารดาของท่านจึงได้ไปโม่แป้งรอ ในขณะนั้นเองมารดาของท่านก็รู้สึกว่าเร็วๆนี้เด็กในท้องจะคลอดและที่แปลกก็คือมันไม่ใช่อาการเจ็บท้องคลอด
ด้วยเหตุนี้มารดาของท่านจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงและคลอดท่านออกมาอย่างไม่มีปัญหาใดๆและหลังจากมารดาท่านก็อุ้มท่านไปล้างตัวและพบว่าได้บุตรี
มารดาท่านก็จกลับไปอบขนมปังต่อให้เสร็จ
และได้รับศีลล้างบาป
ในโบสถ์แรดโลเวีย(Radłowie) ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ.1898 โดยคุณพ่อโยเซฟา โอลโซเวียคีโก(Józefa
Olszowieckiego) ท่านเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งภายนอกและภายใน
ท่านมีความจำที่ดีเพียง 8 ปีท่านก็แสดงให้เห็นถึงความรู้เรื่องคำสอน
ท่านสามารถที่จะจดจำบทภาวนาและเพลงสวดได้อย่างรวดเร็วและท่านยังมีเสียงที่ไพเราะ
นอกจากนั้นที่บ้านของท่านยังมีกฎที่ว่าใครทำผิดต้องถูกตี
ซึ่งแน่นอนท่านไม่เคยถูกตีเลยแม้กระทั้งครั้งหนึ่ง
และเมื่อท่านเจริญวัยพอสำหรับการเป็นนักเรียน ในปีค.ศ.1906
ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษาในฐานะนักเรียนในโรงเรียนในท้องถิ่นเป็นระยะเวลา 6 ปี
ซึ่งครูผู้สอนต่างเห็นว่าท่านเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนรู้เร็วและนบนอบเชื่อฟัง
ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจกลับมาทำงานในฟาร์ม ทั้งๆที่ท่านมีตัวเลือกดีๆมากมาย
นอกจากนั้นท่านยังเป็นเด็กที่มีนิสัยขี้อายและเจียมเนื้อเจียมตัวและเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเรื่องตลกหรือคุยในเวลาที่ไม่เหมาะสมและกระตือรือร้นและขยันและเป็นมิตรกับคนรอบข้างชนิดว่ามีเรื่องร้อนใจมา
ท่านก็พร้อมที่จะช่วยแม้ว่ามันจะลำบากก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงต่างพากันเรียกท่านว่า
นางฟ้าในร่างมนุษย์ และท่านยังเป็นที่รักของทุกคน
ท่านไม่เคยต้องการที่จะแต่งงานแต่สำหรับท่านแล้ว
สิ่งที่ท่านหวังมากที่สุดคือการได้อยู่ในสวรรค์กับพระมานดาของพวกเรา
นอกจากนี้ท่านยังได้อุทิศตัวเองเพื่อสวดมนต์และรับใช้พระเจ้าและเพื่อนบ้าน.
ในบางครั้งในวันที่ท่านเงียบๆ จะได้ยินท่านท่องบทวันทามารีย์เบาๆ ท่านเป็นคนแรกที่สวดมนต์ในบ้านของท่านและที่โบสถ์
ซึ่งในบางคืนท่านจะก็ภาวนาจนร่างกายของท่านได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอหรือพูดง่ายๆว่าท่านภาวนามากกว่านอน
เพื่อนๆของท่านทุกคนต่างคิดว่าท่านปราศจากบาป
แต่ไม่ท่านไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ดังนั้นในทุกๆวันศุกร์แรกของเดือนท่านจะเดินทางไปวัด
เพื่อแก้บาปกับพระสงฆ์เสมอ และนอกจากนั้นท่านยังคอยทำความสะอาดโบสถ์และคอยช่วยเหลือผู้อื่นและสวดภาวนาให้
ด้วยความเต็มใจและสนุกสนาน และลูกประคำของท่านคือคำอธิษฐานอันทะนุทะหนอมในทุกที่ที่ท่านไป
และท่านเคยกล่าวกับเพื่อนท่านว่า “พกเสมอเพื่ออธิษฐานกับคุณ" และท่านยังอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือคนชราและผู้ป่วย และท่านยังรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของท่านและเด็กในหมู่บ้านของท่านสำหรับการเรียนคำสอน
อ่านพระคัมภีร์ หนังสือประวัตินักบุญและพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้าในบริเวณต้นแพรใกล้ๆบ้านของท่าน
และท่านยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อมิตรภาพ
แต่แล้วสมครามโลกครั้งที่
1 ก็ประทุขึ้นมาระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ในช่วงเวลาครุกกรุ่นนี้เองทหารรัสเซียก็ได้เข้ามาครอบครองหมู่บ้านของท่าน ในวันที่
18 พฤศจิกายน ค.ศ.1914 วันนั้นท่านได้ขอมารดาท่านที่จะไปโบสถ์กับมารดาของท่าน แต่มารดาของท่านไม่อนุญาตและให้เหตุผลว่าด้านนอกมีทหารปะปนอยู่
ดังนั้นที่บ้านจะปลอดภัยที่สุด ฝ่ายท่านก็ยืนน้ำตาใสอาบสองแก้มพลางกล่าว “หนูอยากจะไปโบสถ์ หนูกลัวสิ่งที่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้นในวันนี้”(“I would rather go to
church.I am afraid something bad will happen today.”)
แต่มารดาของท่านไม่ได้ยินและเดินทางไปโบสถ์แค่เพียงคนเดียว ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่พลาดอย่างแรงของมารดาท่าน ด้วยเหตุนี้ทำให้ท่านอยู่กับบิดาพี่สาวและน้องชายของท่านที่บ้าน จนกระทั้งเวลา 9 นาฬิกาวันเดียวกัน ทหารรัสเซียก็มาถึงบ้านของครอบครัวท่านเพื่อถามหาทหารออสเตรียบิดาของท่านพยายามเอาใจพวกเขาแต่มันไม่ได้ผล ซึ่งในเวลานั้นท่านกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ แต่กลับกันเขาได้บังคับให้บิดาของท่านและท่านออกมาข้างนอก โดยบอกว่าจะพาทั้งสองไปหาผู้บัญชาการ ครั้งแรกท่านและบิดาจะเดินไปทิศทางของหมู่บ้าน แต่ทหารรัสเซียกลับให้พวกท่านเดินไปในทิศทางของป่า ทหารและพวกท่านเดินมาจนถึงเขตป่า ทหารรัสเซียก็ใช้ปลายมีดที่ยื่นออกมาจากกระบอกปืนจ่อไปที่น่าอกของบิดาท่านและไล่ให้บิดาของท่านกลับไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างบังคับให้ท่านเข้าไปในเส้นทางสู่ป่า
แต่มารดาของท่านไม่ได้ยินและเดินทางไปโบสถ์แค่เพียงคนเดียว ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่พลาดอย่างแรงของมารดาท่าน ด้วยเหตุนี้ทำให้ท่านอยู่กับบิดาพี่สาวและน้องชายของท่านที่บ้าน จนกระทั้งเวลา 9 นาฬิกาวันเดียวกัน ทหารรัสเซียก็มาถึงบ้านของครอบครัวท่านเพื่อถามหาทหารออสเตรียบิดาของท่านพยายามเอาใจพวกเขาแต่มันไม่ได้ผล ซึ่งในเวลานั้นท่านกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ แต่กลับกันเขาได้บังคับให้บิดาของท่านและท่านออกมาข้างนอก โดยบอกว่าจะพาทั้งสองไปหาผู้บัญชาการ ครั้งแรกท่านและบิดาจะเดินไปทิศทางของหมู่บ้าน แต่ทหารรัสเซียกลับให้พวกท่านเดินไปในทิศทางของป่า ทหารและพวกท่านเดินมาจนถึงเขตป่า ทหารรัสเซียก็ใช้ปลายมีดที่ยื่นออกมาจากกระบอกปืนจ่อไปที่น่าอกของบิดาท่านและไล่ให้บิดาของท่านกลับไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างบังคับให้ท่านเข้าไปในเส้นทางสู่ป่า
โดยทิ้งไว้เพียงบิดาของท่านที่ยังคงยืนและมองด้วยสายตาอันว่างเปล่าไปที่ป่าที่ลูกที่รักของเขาเข้าไปจนกระทั้งภาพของลูกรักของเขาค่อยๆไกลไปเรื่อยๆจนเลือนหายไปพร้อมกับทหาร ภายในจิตใจของเขาในตอนนี้เขาต้องการที่จะวิ่งไปขอความช่วยเหลือ แต่อนิจจาขาของเขามันกลับไม่ยอมขยับไปดังใจหวัง ดังนั้นบิดาของท่านจึงยืนอย่างนี้ไปจนกระทั้งมีเพื่อนบ้านวิ่งตามมา เมื่อพบเขาก็ได้กล่าวเพียงว่า "ป่า ... ทหารรัสเซีย.....คาโรลินา ... ... " หลังจากพูดจบบิดาของท่านก็ก้มหน้า ด้วยตัวอันสั่นเทาจนไม่สามารถพุดอะไรได้มาก ก่อนที่บิดาของท่านจะเดินกลับบ้านไปในสภาพผีดิบและตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่รู้สึกถึงสันติภาพอีกเลยซักพัก
ข่าวเรื่องของท่านแพร่ไปอย่างรวดเร็วอย่างไฟลามทุ่ง
พร้อมๆกับเพื่อนบ้านและญาติที่ต่างพากันมาหาบิดาและมานดาของท่านที่กลับมาจากโบสถ์และได้รู้เรื่องราวของบุตรสาว
และพบภาพที่ช่างน่าหดหู่ยิ่งนัก ภาพของพ่อแม่ที่ใจลอยห่วงคิดถึงลูกสาว
ที่ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร อันที่จริงใครจะไปรู้ว่าภายในของบิดามารดาของท่านเป็นอย่างไร
บางทีมันอาจชอกช้ำกว่านั้นด้วยซ้ำ
กลับมาที่ฝั่งชาวบ้านทุกคนที่ทราบข่าวก็ต่างพากันหารือกัน แล้วพร้อมใจกันไปที่ขอบป่าแต่ก็ไม่ได้เข้าไปในเขตป่าผืนนั้น
ขณะเดียวกันภายในป่าเด็กชายสองคนจากหมู่บ้าน
ฟรานซิสเซฺค ซาเลสนี(Franciszek
Zaleśny)กับ
ฟรานซิสเซฺค โบร์ด(Franciszek
Brod) ได้หลบซ่อนตัวและม้าของพวกเขาจากพวกทหารรัสเซียและหลังจากที่พวกเขาหาสถานที่ซ่อนม้าที่เหมาะสมได้แล้วในพุ่มไม้และผูกม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาทั้งสองจึงเดินทางกลับบ้านโดยใช้เส้นทางที่มีคนสัญจรน้อย ในระยะ 6
เมตรพวกเขาก็พลันเห็นการต่อสู่ระหว่างทหารรัสเซียกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีจุดประสงค์จะหลุดจากพันธนาการของทหารรัสเซีย
พวกเขาเฝ้ามองเหตุการณ์นานถึง 10 นาที
พวกเขาเห็นถึงความกล้าหาญของหญิงสาวคนนั้นที่จะปกป้องตัวเอง
จนในที่สุดเธอสามารถหลุดจากพันธนาการจากทหารได้
เธอจึงรีบวิ่งไปในทิศทางของหมู่บ้านแต่พอเธอวิ่งไปได้ซักพัก
ทหารก็จับเธอได้และลากตัวของเธอลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ ถึงจุดๆนี้พวกเขาทั้งสองจึงรีบวิ่งไปยังหมู่บ้านเพื่อบอกเรื่องที่เขาเห็น
โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงคนนั้นคือ “คาโรลินา”
(บทตอนนี้เป็นการคาดการสถานการณ์ที่ได้จากการชันสูตรศพท่าน)หลังจากที่ท่านถูกลากเข้าไปในป่าแล้ว เขาก็พยายามจะขืนใจท่าน
ท่านพยายามต่อสู้กับเขา ก็หลุดจากพันธนาการ ท่านก็รีบวิ่งหนีอีกครั้งในคราวนี้ท่านวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตผ่านดงหนามของต้นแบล็กเบอรรี่ซึ่งมันขีดข่วนขาของท่านจนเป็นแผลและฝากหนามไว้บางส่วนในขาของท่านที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยโคลนซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่ท่าน
แต่ท่าก็ยังคงวิ่งต่อไปจนถึงชายป่า การไล่ล่าครั้งกินระยะทางครอบคลุมไปกว่า 1
กิโลเมตร จนในที่สุดจากความไคร่กลายเป็นความโกธรและเมื่อถือจุดๆหนึ่งนายทหารจึงชักดาบคอซแซคของเขาออกมาและเตรียมพร้อมฆ่าท่าน
หลังจากท่านก็ตระหนักได้ว่ามันคือการต่อสู้เพื่อชีวิตของท่าน ท่านจึงหันไปเผชิญหน้ากับเขาและเช่นกันเขาก็เงื้อมดาบขึ้นเตรียมฟันท่านก่อน
จะฟันท่านแต่ทันทีทันใดท่านก็ใช้มือขวาของท่านรับดาบไว้ซึ่งมันทำให้แขนขวาของท่านได้รับบาดเจ็บ
จากนั้นท่านก็พยายามใช้มือซ้ายของท่านเพื่อคว้าปืนของทหารซึ่งเป็นผลให้ท่าสูญเสียนิ้ว
แต่ถึงแม้ท่านจะเจ็บปวดและมีเลือดซักเพียงใดท่านก็ยังคงเลือกที่จะต่อสู้กับเขา จนสุดท้ายเขาจึงใช้ดาบตัดคอท่าน
จนท่านล้มลงกับพื้นและสิ้นใจในไม่กี่นาทีในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1914
เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยหิมะและทหารรัสเซียได้ยาตราทัพออกไปแล้ว
แต่ความเศร้าโศกก็ยังไม่จางหายไป แต่กระนั้นบิดาของท่านก็กลับไปทำงานเช่นเดิมด้วยไม่มีทางเลือกอื่น
เป็นระยะเวลาถึง 2 สัปดาห์ ยังไม่มีใครรุ้ว่าท่านเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนกระทั้งวันศุกร์
ที่ 4 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นขณะที่ฟรานซิสเซฺค ซวีซ(Franciszek
Szwiec)
ไปหาฝืนในป่า ขณะนั้นเขาสังเกตเห็นวัตถุสีขาว
และเมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆเขาก็พบว่าวัตถุนั้นคือร่างอันไรวิญญาณของคาโรลินาที่ถูกลักพาตัวไป
ทันทีทันใดเขรีบไปแจ้งกับบิดาของท่านว่า “ลูกสาวของคุณ ... ป่า ... คาโรลินา ...
ฉันพบเธอ”
ทันทีทันใดทุกคนต่างรีบพากันไปยังที่เกิดเหตุ ทุกคนพบร่างของท่านนอนหงายอยู่กับพื้นดินในลักษณะเท้าเปล่าห่างจากที่บิดาท่านเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้ายเป็นระยะ
1 กม. ผ้าโพกศีรษะที่ขาดออกจากศีรษะของท่านยังคงอยู่ในมือของท่าน
ตามศีรษะและไหล่ของท่านเต็มไปด้วยเลือดที่ซึมลงพื้นดิน
หลังจากการชันสูตรศพแล้วจึงมีการบรรจุร่างท่านไว้ในโลงและแห่ไปยังสุสานในวันที่
6 ธันวาคม ค.ศ.1914
เป็นภาพที่น่าแปลกเมื่อในขบวนศพของท่านนั้นมีทหารรัสเซียร่วมขบวนอยู่ด้วย ก่อนที่จะมีการย้ายร่างของท่านอีกครั้งไปไว้ข้างโบสถ์และสร้างรูปปั้นแม่พระคนที่ท่านรักที่สุดไว้
ณ เหนือหลุมนั้น และจารจารึกข้อพระธรรมจากพระวรสารนักบุญมัธทิวไว้ว่า “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์เป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า” เพื่อเน้นย้ำความทรมานของท่าน
โดยผู้ที่กระทำการย้ายครั้งนี้คือพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลทารโนวสกี(Tarnowskiej) และหลังจากการฟันฝ่าวิกฤตต่างๆมากมายอาทิการถกเถียงเรื่องที่ว่าท่านตายเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์จริงหรือไม่
สงครามโลกครั้งที่ 2 จนในที่สุดวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ.1987 ท่านก็ได้รับการสถาปนาให้ท่านได้เป็นบุญราศี
โดย สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์นปอลที่สอง ณ ประเทศโปแลนด์
ข้อมูลอ้างอิง
จากชีวิตนี้เราคงไ้ด้เรียนรู้อะไรมากมาย ว่าสวรรค์เป็นของทุกคนไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ ทุกคนก็สามารถไคว่คว้ามันได้ เหมือนท่านบุญราศีที่ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปี ท่านบุญญราศก็สามารถที่จะไปสวรรคได้ ผู้เขียนไม่ได้หมายถึงทุกคนต้องไปเป็นมรณสักขีแบบท่าน แต่อยากให้ทุกคนรู้เสมอว่าสวรรค์อยู่แค่เพียงเอื้อมมือเราหากเราเดินตามทางสวรรค์ ไม่ต้องกลัวสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเหมือนท่านบุญราศีที่กล้าที่จะหันกลับไปต่อสู้กับความชั่วหลาย โดยไม่คิดกลัวเพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์
ข้าแต่ท่านบุญราศีคาโรลินา คูซคา ผู้พลีชีวิตดีกว่าต้องตกอยู่ในบาป โปรดช่วยวิงวอนเทอญ
ข้อมูลอ้างอิง