วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

"คาโรลินา คูซคา" มาเรีย กอเร็ตตี้สัญชาติโปแลนด์



บุญราศีคาโรลินา คูซคา
Bl. Karolina Kózka
ฉลองวันที่ : 18 18 พฤศจิกายน
องค์อุปถัมภ์ : การเคลื่อนไหวแห่งดวงใจบริสุทธิ์(RCS) , สมาคมเยาวชนคาทอลิก , สังฆมณฑลเรสซอวกี้


บุญราศี คาโรลินา คูซโควนา เกิดมาในฐานะบุตรคนที่ 4 จาก 11คนของครอบครัวชาวนาผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆในฟาร์มเล็กๆขนาด 2 เฮกเตอร์ ผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากในวาล-รูดเซีย (Wał - Rudzie) ของนายยอห์น คูซคา (Jan Kózka)กับนางมาเรีย คูซคา(Maria Kózka) ที่สมรสกันในปีค.ศ.1890 และอาศัยทำงานอยู่ในประเทศโปแลนด์ ในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ.1898  โดยมีเรื่องเล่าถึงอัศจรรย์การเกิดของท่านว่า ในขณะนั้นมานดาของท่านกำลังเตรียมแป้งสำหรับอบขนมปังและจุดไฟเพื่ออุ่นเตาซึ่งกว่ามันจะร้อนก็ใช้ระยะเวลาที่นาน ดังนั้นมารดาของท่านจึงได้ไปโม่แป้งรอ ในขณะนั้นเองมารดาของท่านก็รู้สึกว่าเร็วๆนี้เด็กในท้องจะคลอดและที่แปลกก็คือมันไม่ใช่อาการเจ็บท้องคลอด ด้วยเหตุนี้มารดาของท่านจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงและคลอดท่านออกมาอย่างไม่มีปัญหาใดๆและหลังจากมารดาท่านก็อุ้มท่านไปล้างตัวและพบว่าได้บุตรี มารดาท่านก็จกลับไปอบขนมปังต่อให้เสร็จ




และได้รับศีลล้างบาป ในโบสถ์แรดโลเวีย(Radłowie) ในวันที่  7 สิงหาคม ค.ศ.1898 โดยคุณพ่อโยเซฟา โอลโซเวียคีโก(Józefa Olszowieckiego) ท่านเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งภายนอกและภายใน ท่านมีความจำที่ดีเพียง 8 ปีท่านก็แสดงให้เห็นถึงความรู้เรื่องคำสอน ท่านสามารถที่จะจดจำบทภาวนาและเพลงสวดได้อย่างรวดเร็วและท่านยังมีเสียงที่ไพเราะ นอกจากนั้นที่บ้านของท่านยังมีกฎที่ว่าใครทำผิดต้องถูกตี ซึ่งแน่นอนท่านไม่เคยถูกตีเลยแม้กระทั้งครั้งหนึ่ง และเมื่อท่านเจริญวัยพอสำหรับการเป็นนักเรียน ในปีค.ศ.1906 ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษาในฐานะนักเรียนในโรงเรียนในท้องถิ่นเป็นระยะเวลา 6 ปี ซึ่งครูผู้สอนต่างเห็นว่าท่านเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนรู้เร็วและนบนอบเชื่อฟัง ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจกลับมาทำงานในฟาร์ม ทั้งๆที่ท่านมีตัวเลือกดีๆมากมาย




นอกจากนั้นท่านยังเป็นเด็กที่มีนิสัยขี้อายและเจียมเนื้อเจียมตัวและเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเรื่องตลกหรือคุยในเวลาที่ไม่เหมาะสมและกระตือรือร้นและขยันและเป็นมิตรกับคนรอบข้างชนิดว่ามีเรื่องร้อนใจมา ท่านก็พร้อมที่จะช่วยแม้ว่ามันจะลำบากก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงต่างพากันเรียกท่านว่า นางฟ้าในร่างมนุษย์ และท่านยังเป็นที่รักของทุกคน ท่านไม่เคยต้องการที่จะแต่งงานแต่สำหรับท่านแล้ว สิ่งที่ท่านหวังมากที่สุดคือการได้อยู่ในสวรรค์กับพระมานดาของพวกเรา นอกจากนี้ท่านยังได้อุทิศตัวเองเพื่อสวดมนต์และรับใช้พระเจ้าและเพื่อนบ้าน. ในบางครั้งในวันที่ท่านเงียบๆ จะได้ยินท่านท่องบทวันทามารีย์เบาๆ ท่านเป็นคนแรกที่สวดมนต์ในบ้านของท่านและที่โบสถ์ ซึ่งในบางคืนท่านจะก็ภาวนาจนร่างกายของท่านได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอหรือพูดง่ายๆว่าท่านภาวนามากกว่านอน




เพื่อนๆของท่านทุกคนต่างคิดว่าท่านปราศจากบาป แต่ไม่ท่านไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ดังนั้นในทุกๆวันศุกร์แรกของเดือนท่านจะเดินทางไปวัด เพื่อแก้บาปกับพระสงฆ์เสมอ และนอกจากนั้นท่านยังคอยทำความสะอาดโบสถ์และคอยช่วยเหลือผู้อื่นและสวดภาวนาให้ ด้วยความเต็มใจและสนุกสนาน และลูกประคำของท่านคือคำอธิษฐานอันทะนุทะหนอมในทุกที่ที่ท่านไป และท่านเคยกล่าวกับเพื่อนท่านว่า พกเสมอเพื่ออธิษฐานกับคุณ" และท่านยังอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือคนชราและผู้ป่วย และท่านยังรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของท่านและเด็กในหมู่บ้านของท่านสำหรับการเรียนคำสอน อ่านพระคัมภีร์ หนังสือประวัตินักบุญและพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้าในบริเวณต้นแพรใกล้ๆบ้านของท่าน และท่านยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อมิตรภาพ



แต่แล้วสมครามโลกครั้งที่ 1 ก็ประทุขึ้นมาระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในช่วงเวลาครุกกรุ่นนี้เองทหารรัสเซียก็ได้เข้ามาครอบครองหมู่บ้านของท่าน ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1914 วันนั้นท่านได้ขอมารดาท่านที่จะไปโบสถ์กับมารดาของท่าน แต่มารดาของท่านไม่อนุญาตและให้เหตุผลว่าด้านนอกมีทหารปะปนอยู่ ดังนั้นที่บ้านจะปลอดภัยที่สุด ฝ่ายท่านก็ยืนน้ำตาใสอาบสองแก้มพลางกล่าวหนูอยากจะไปโบสถ์ หนูกลัวสิ่งที่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้นในวันนี้”(I would rather go to church.I am afraid something bad will happen today.”) 




แต่มารดาของท่านไม่ได้ยินและเดินทางไปโบสถ์แค่เพียงคนเดียว ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่พลาดอย่างแรงของมารดาท่าน ด้วยเหตุนี้ทำให้ท่านอยู่กับบิดาพี่สาวและน้องชายของท่านที่บ้าน จนกระทั้งเวลา 9 นาฬิกาวันเดียวกัน ทหารรัสเซียก็มาถึงบ้านของครอบครัวท่านเพื่อถามหาทหารออสเตรียบิดาของท่านพยายามเอาใจพวกเขาแต่มันไม่ได้ผล ซึ่งในเวลานั้นท่านกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่  แต่กลับกันเขาได้บังคับให้บิดาของท่านและท่านออกมาข้างนอก โดยบอกว่าจะพาทั้งสองไปหาผู้บัญชาการ ครั้งแรกท่านและบิดาจะเดินไปทิศทางของหมู่บ้าน แต่ทหารรัสเซียกลับให้พวกท่านเดินไปในทิศทางของป่า ทหารและพวกท่านเดินมาจนถึงเขตป่า ทหารรัสเซียก็ใช้ปลายมีดที่ยื่นออกมาจากกระบอกปืนจ่อไปที่น่าอกของบิดาท่านและไล่ให้บิดาของท่านกลับไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างบังคับให้ท่านเข้าไปในเส้นทางสู่ป่า 



โดยทิ้งไว้เพียงบิดาของท่านที่ยังคงยืนและมองด้วยสายตาอันว่างเปล่าไปที่ป่าที่ลูกที่รักของเขาเข้าไปจนกระทั้งภาพของลูกรักของเขาค่อยๆไกลไปเรื่อยๆจนเลือนหายไปพร้อมกับทหาร ภายในจิตใจของเขาในตอนนี้เขาต้องการที่จะวิ่งไปขอความช่วยเหลือ แต่อนิจจาขาของเขามันกลับไม่ยอมขยับไปดังใจหวัง ดังนั้นบิดาของท่านจึงยืนอย่างนี้ไปจนกระทั้งมีเพื่อนบ้านวิ่งตามมา เมื่อพบเขาก็ได้กล่าวเพียงว่า "ป่า ... ทหารรัสเซีย.....คาโรลินา ... ... "  หลังจากพูดจบบิดาของท่านก็ก้มหน้า ด้วยตัวอันสั่นเทาจนไม่สามารถพุดอะไรได้มาก ก่อนที่บิดาของท่านจะเดินกลับบ้านไปในสภาพผีดิบและตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่รู้สึกถึงสันติภาพอีกเลยซักพัก




ข่าวเรื่องของท่านแพร่ไปอย่างรวดเร็วอย่างไฟลามทุ่ง พร้อมๆกับเพื่อนบ้านและญาติที่ต่างพากันมาหาบิดาและมานดาของท่านที่กลับมาจากโบสถ์และได้รู้เรื่องราวของบุตรสาว และพบภาพที่ช่างน่าหดหู่ยิ่งนัก ภาพของพ่อแม่ที่ใจลอยห่วงคิดถึงลูกสาว ที่ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร อันที่จริงใครจะไปรู้ว่าภายในของบิดามารดาของท่านเป็นอย่างไร บางทีมันอาจชอกช้ำกว่านั้นด้วยซ้ำ กลับมาที่ฝั่งชาวบ้านทุกคนที่ทราบข่าวก็ต่างพากันหารือกัน แล้วพร้อมใจกันไปที่ขอบป่าแต่ก็ไม่ได้เข้าไปในเขตป่าผืนนั้น


ขณะเดียวกันภายในป่าเด็กชายสองคนจากหมู่บ้าน ฟรานซิสเซฺค ซาเลสนี(Franciszek Zaleśny)กับ ฟรานซิสเซฺค  โบร์ด(Franciszek Brod) ได้หลบซ่อนตัวและม้าของพวกเขาจากพวกทหารรัสเซียและหลังจากที่พวกเขาหาสถานที่ซ่อนม้าที่เหมาะสมได้แล้วในพุ่มไม้และผูกม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงเดินทางกลับบ้านโดยใช้เส้นทางที่มีคนสัญจรน้อย ในระยะ 6 เมตรพวกเขาก็พลันเห็นการต่อสู่ระหว่างทหารรัสเซียกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีจุดประสงค์จะหลุดจากพันธนาการของทหารรัสเซีย พวกเขาเฝ้ามองเหตุการณ์นานถึง 10 นาที พวกเขาเห็นถึงความกล้าหาญของหญิงสาวคนนั้นที่จะปกป้องตัวเอง จนในที่สุดเธอสามารถหลุดจากพันธนาการจากทหารได้  เธอจึงรีบวิ่งไปในทิศทางของหมู่บ้านแต่พอเธอวิ่งไปได้ซักพัก ทหารก็จับเธอได้และลากตัวของเธอลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ ถึงจุดๆนี้พวกเขาทั้งสองจึงรีบวิ่งไปยังหมู่บ้านเพื่อบอกเรื่องที่เขาเห็น โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงคนนั้นคือ คาโรลินา




(บทตอนนี้เป็นการคาดการสถานการณ์ที่ได้จากการชันสูตรศพท่าน)หลังจากที่ท่านถูกลากเข้าไปในป่าแล้ว เขาก็พยายามจะขืนใจท่าน ท่านพยายามต่อสู้กับเขา ก็หลุดจากพันธนาการ ท่านก็รีบวิ่งหนีอีกครั้งในคราวนี้ท่านวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตผ่านดงหนามของต้นแบล็กเบอรรี่ซึ่งมันขีดข่วนขาของท่านจนเป็นแผลและฝากหนามไว้บางส่วนในขาของท่านที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยโคลนซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่ท่าน แต่ท่าก็ยังคงวิ่งต่อไปจนถึงชายป่า การไล่ล่าครั้งกินระยะทางครอบคลุมไปกว่า 1 กิโลเมตร จนในที่สุดจากความไคร่กลายเป็นความโกธรและเมื่อถือจุดๆหนึ่งนายทหารจึงชักดาบคอซแซคของเขาออกมาและเตรียมพร้อมฆ่าท่าน หลังจากท่านก็ตระหนักได้ว่ามันคือการต่อสู้เพื่อชีวิตของท่าน ท่านจึงหันไปเผชิญหน้ากับเขาและเช่นกันเขาก็เงื้อมดาบขึ้นเตรียมฟันท่านก่อน จะฟันท่านแต่ทันทีทันใดท่านก็ใช้มือขวาของท่านรับดาบไว้ซึ่งมันทำให้แขนขวาของท่านได้รับบาดเจ็บ จากนั้นท่านก็พยายามใช้มือซ้ายของท่านเพื่อคว้าปืนของทหารซึ่งเป็นผลให้ท่าสูญเสียนิ้ว แต่ถึงแม้ท่านจะเจ็บปวดและมีเลือดซักเพียงใดท่านก็ยังคงเลือกที่จะต่อสู้กับเขา จนสุดท้ายเขาจึงใช้ดาบตัดคอท่าน จนท่านล้มลงกับพื้นและสิ้นใจในไม่กี่นาทีในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1914




เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยหิมะและทหารรัสเซียได้ยาตราทัพออกไปแล้ว แต่ความเศร้าโศกก็ยังไม่จางหายไป แต่กระนั้นบิดาของท่านก็กลับไปทำงานเช่นเดิมด้วยไม่มีทางเลือกอื่น เป็นระยะเวลาถึง 2 สัปดาห์ ยังไม่มีใครรุ้ว่าท่านเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนกระทั้งวันศุกร์ ที่ 4 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นขณะที่ฟรานซิสเซฺค ซวีซ(Franciszek Szwiec) ไปหาฝืนในป่า ขณะนั้นเขาสังเกตเห็นวัตถุสีขาว และเมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆเขาก็พบว่าวัตถุนั้นคือร่างอันไรวิญญาณของคาโรลินาที่ถูกลักพาตัวไป ทันทีทันใดเขรีบไปแจ้งกับบิดาของท่านว่า ลูกสาวของคุณ ... ป่า ... คาโรลินา ... ฉันพบเธอ ทันทีทันใดทุกคนต่างรีบพากันไปยังที่เกิดเหตุ ทุกคนพบร่างของท่านนอนหงายอยู่กับพื้นดินในลักษณะเท้าเปล่าห่างจากที่บิดาท่านเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้ายเป็นระยะ 1 กม. ผ้าโพกศีรษะที่ขาดออกจากศีรษะของท่านยังคงอยู่ในมือของท่าน ตามศีรษะและไหล่ของท่านเต็มไปด้วยเลือดที่ซึมลงพื้นดิน




หลังจากการชันสูตรศพแล้วจึงมีการบรรจุร่างท่านไว้ในโลงและแห่ไปยังสุสานในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.1914 เป็นภาพที่น่าแปลกเมื่อในขบวนศพของท่านนั้นมีทหารรัสเซียร่วมขบวนอยู่ด้วย ก่อนที่จะมีการย้ายร่างของท่านอีกครั้งไปไว้ข้างโบสถ์และสร้างรูปปั้นแม่พระคนที่ท่านรักที่สุดไว้ ณ เหนือหลุมนั้น และจารจารึกข้อพระธรรมจากพระวรสารนักบุญมัธทิวไว้ว่า บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า เพื่อเน้นย้ำความทรมานของท่าน โดยผู้ที่กระทำการย้ายครั้งนี้คือพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลทารโนวสกี(Tarnowskiej) และหลังจากการฟันฝ่าวิกฤตต่างๆมากมายอาทิการถกเถียงเรื่องที่ว่าท่านตายเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์จริงหรือไม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 จนในที่สุดวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ.1987 ท่านก็ได้รับการสถาปนาให้ท่านได้เป็นบุญราศี โดย สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์นปอลที่สอง ณ ประเทศโปแลนด์



จากชีวิตนี้เราคงไ้ด้เรียนรู้อะไรมากมาย ว่าสวรรค์เป็นของทุกคนไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ ทุกคนก็สามารถไคว่คว้ามันได้ เหมือนท่านบุญราศีที่ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปี ท่านบุญญราศก็สามารถที่จะไปสวรรคได้ ผู้เขียนไม่ได้หมายถึงทุกคนต้องไปเป็นมรณสักขีแบบท่าน แต่อยากให้ทุกคนรู้เสมอว่าสวรรค์อยู่แค่เพียงเอื้อมมือเราหากเราเดินตามทางสวรรค์  ไม่ต้องกลัวสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเหมือนท่านบุญราศีที่กล้าที่จะหันกลับไปต่อสู้กับความชั่วหลาย โดยไม่คิดกลัวเพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์

ข้าแต่ท่านบุญราศีคาโรลินา คูซคา ผู้พลีชีวิตดีกว่าต้องตกอยู่ในบาป โปรดช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

http://elk-karolina.diecezja.elk.pl/patronka/patronka.htm

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...