วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พยาบาลผู้ใจดี "อาโกสตินา"


นักบุญอาโกสตินา เปียตรานตอนิ
Saint Agostina Petrantoni
ฉลองในวันที่ : 12 พฤศจิกายน

ท่ามกลางหุบเขาสูงใหญ่สลับไปมาของแคว้นลาซีโอ บนเนินซาบีนาเป็นที่ตั้งอันโดดเด่นของกลุ่มหมู่บ้านหลังคาสีส้มที่เรียงตัวกันไปตามความสูง หมู่บ้านเล็กๆที่เป็นที่เก็บรักษาพระธาตุของนักบุญอูลเปีย คานดิเดีย (Ulpia Candidia) มรณสักขีองค์อุปถัมภ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ หมู่บ้านโปซซากลีอา(Pozzaglia) ตอนใต้ของจังหวังริเอติ ที่นี่ย้อนไปเมื่อ 149 ปีที่แล้ว ในวันที่ 27 มีนาคม ค..1864



ที่ความสูง 800 เมตรโดยประมาณ ฟรานเชสโก เปียตรานตอนิ (Francesco Pietrantoni) กับ กาตารีนา โกสตันตินิ (Caterina Costantini) คู่เกษตรกรสองสามีภรรยาก็ได้ต้อนรับสมิกใหม่คนที่สองจากสิบเอ็ดของครอบครัว ลิเวีย คือชื่อเล่นของสมาชิกใหม่ในครอบครัวจากชื่อเต็มๆคือ โอลิเวีย เปียตรานตอนิ แม้จะเป็นครอบครัวเกษตรกรทีมีพื้นที่ทำกินเช่าเล็กๆแต่ก็แสนจะเปี่ยมไปด้วยศรัทธาและความขยันเสมอ

ท่านได้รับศีลกำลังตอนอายุได้ 4 ปี และ ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกในปี ค..1876 ตั้งแต่วัยเยาว์ท่านได้เรียนรู้หลายๆสิ่งจากมารดาทั้งด้านความเอื้ออาทร ท่าทาง การละเล่นแทบไม่ต้องหวังสำหรับท่านเพราะวันๆหนึ่งท่านก็หมดไปกลับการทำงานทุ่งและกับสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่โรงเรียนก็เข้าเรียนแค่บางครั้งบางคราว แต่ท่านก็สามารถเก็บเกี่ยวไปความรู้ไปจนได้รับสมญานามจากเพื่อนร่วมชั้นว่า ครู



และเมื่อท่านอายุได้ 7 ปี ท่านก็ไปทำงานขนหินขนทรายเพื่อสร้างถนนจากโอร์วินิโอไปโรมพร้อมเด็กคนอื่นด้วยค่าจ้าวันละห้าสิบเซ็นต์ ที่อายุ 12 ปี ท่านก็ได้ร่วมกลับกลุ่มสาวคนงานตามฤดูกาล ที่กำลังจะไปติโวลี เพื่อเก็บเกี่ยวผลมะกอกในช่วงฤดูหนาว ท่านรับผิดชอบด้านศีลธรรมและศาสนาแก่สหายของท่าน ท่านสนับสนุนพวกเขาในการทำงานที่ยากลำบากที่ต้องห่างไกลครอบครัว ด้วยความภาคภูมิและกล้าหาญท่านลุกขึ้นในฐานะ “         ตัวหลัก

ความอ่อนโยนของท่านเป็นที่สัมผัสได้ไปทั้งเพื่อนและเด็กเลี้ยงแกะของหมู่บ้าน เมื่อเธอมาบนเขาเพื่อเอาน้ำนมจากแกะของเธอ พวกเราจะรู้ศึกสับสนแปลกๆ ริมฝีปากของพวกเราใช้ในการออกเสียง ซึ่งไม่เห็นจะยากลำบากทั้งคำและประโยคกำกวมทั้งหลาย แต่ในที่ที่มีลิเวียอยู่เรากลับไม่สามารถจะหาคำมาได้ในทันที เธอทำให้เรารู้สึกตกอยู่ในความกลัวของเธอและความเคารพบางอย่างที่เราไม่สามารถจะอธิบายได้เลย คือคำพูดง่ายๆของคนเลี้ยงแกะที่รู้จักท่าน ที่พูดไว้หลังจากท่านได้จากไปแล้ว



เมื่อเจริญวัยขึ้นอีกท่านก็เป็นสาวงามผู้สวดสายประคำ ร่วมมิสซา ผู้มอบช่อไม้แด่แม่พระในวัดของรีโฟลตา ผู้จบเพียงระดับชั้นประถมด้วยคะแนนที่ดีเลิศ มีหนุ่มๆในหมู่บ้านมากมายต่างหมายตาท่าน มารดาท่านวาดฝันถึงภาพท่านเข้าพิธีวิวาห์ แต่สิ่งที่ท่านคิดคือการได้สมรสกับเจ้าบ่าวคนเดียวของท่านพระเยซูเจ้า แม้ครอบครัวและหมู่บ้านจะพยายามเกลี้ยกล่อมท่านว่าท่านจะหลุดจากการทำงานหนัก แต่ท่านตอบว่า ฉันปรารถนาเลือกคณะที่มีการทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนค่ะ

ครั้งแรกท่านพยายามเดินทางไปโรมพร้อมกับภารดา มัตเตโอ คุณลุงของท่าน แต่ท่านก็ถูกปฏิเสธที่จะรับท่านเข้าคณะ  แต่อีกไม่กี่เดือนต่อมาคุณแม่อธิการคณะเมตตาธรรมแห่งนักบุญชานอังติต ตูเร ผ่านความช่วยเหลือท่านก็สามารถเข้าคณะได้โดยไม่ต้องจ่ายสินสอด โดยได้แจ้งว่าเธอกำลังรอท่านอยู่ที่บ้านศูนย์กลางของคณะ ท่านจึงได้อำลาบ้านเกิดท่าน หลังจากจูบลาบิดามารดาและรับพรจากลุงโดเมนิโก ท่านจึงเดินทางมากรุงโรม



ในวัย 22 ปี ท่านก็มาถึงวิอา ซานตา มารีอา กรุงโรมในวันที่ 23 มีนาคม ..1886  และเข้าเป็นโปสตุลันต์ไม่กี่เดือน และนวกะ ในครานั้นซิสเตอร์ที่เป็นรองนวกจารย์ได้เคยกล่าวไว้เหมือนดังการทำนายถึงอนาคตของท่านเอาไว้ว่า พวกเธอสี่สิบคนเหมือนมรณสักขีแห่งซาบาสเต(martyrs of Sebaste เป็นกลุ่มทหารที่ยอมรับว่าเป็นคริสตชนจำนวนสี่สิบคน จนถูกสั่งจับไปแช่แข็งในบ่อน้ำใกล้ซาบาสเต ในประเทศตุรกี ซึ่งทั้งหมดล้วนแข็งตายและถูกนำร่างไปเผาก่อนนำเถ้าถ่านไปโปรยลงแม่น้ำ) บางทีอาจไม่มีใครเลยในพวกเธอที่จะออกจากจำนวนนี้ บางทีบางคนในพวกเธออาจต้องการเลียนแบบพวกท่านในการเป็นมรณสักขีซะมั้ง ก่อนได้รับชุดคณะพร้อมนามใหม่ว่าซิสเตอร์อาโกสตินา  และถูกส่งไปประจำที่โรงพยาบาลซานโต สปิริโต ที่มีบรรยากาศเป็นปฏิปักษ์กับศาสนา คุณพ่อกาปูชินที่มาประจำถูกขับออก ไม้กางเขนและสัญลักษณ์ทางศาสนาถูกห้าม บรรดาซิสเตอร์ที่ทำงานก็เกือบถูกให้ออกแต่เพราะกลัวจะเป็นเยี่ยงอย่างของที่อื่นๆ

ครั้งแรกท่านถูกส่งไปที่แผนกผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยวัณโรคตามลำดับ บ่อยครั้งท่านก็ต้องทนต่อความยากลำบากต่างๆในโรงพยาบาลทั้งการดูหมิ่น คำหยาบคาย อุปสรรคอีกแต่ท่านก็จะยังคงดำเนินงานภายใต้ความเงียบ คุณหมอที่เคยทำงานร่วมกับท่านกล่าวว่า อ่อนหวานเสมอ และพร้อมที่จะทำหน้าที่ไม่เพียงแต่หน้าที่ของเธอเอง แต่ยังมากขึ้นและด้วยความเต็มใจมากๆ ยังรวดเร็ว เจียมตัว เฮฮา


หลังจากนั้นท่านก็ติดโรคจนล้อมหมอนนอนเสื่อในปี ค..1889 จนซิสเตอร์ผู้ช่วยท่านอุทานว่า ถ้าซิสเตอร์อาโกสตินาได้รับการรักษา เราจะส่งเธอไปหอผู้ป่วยวัณโรคเลย เป็นเช่นนั้นท่านก็ได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์จนเป็นที่ประหลาดใจแก่แพทย์ทั้งหลาย ท่านเขียนในจดหมายถึงบิดามารดาว่าดังนี้ คุณพ่อคุณแม่ที่รัก ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาลูกป่วยหนัก ลูกคงต้องตายและต้องพลัดพรากจากความรักและความนุ่มนวลของคุณพ่อคุณแม่เป็นแน่เลยค่ะ  ในความเจ็บปวดคุณพ่อคุณแม่จะเป็นวันนี้ถ้ามันเกิดขึ้น แต่ไม่ค่ะ ลูกไม่ต้องการความเศร้าโศกของคุณพ่อคุณแม่และพร้อมกันนั้นลูกขอให้สรรเสริญพระเจ้าเถอะค่ะ เพราะ ตอนนี้ ด้วยพระหรรษทานพิเศษของแม่พระ ลูกไม่เพียงได้รับการรักษาให้หายเท่านั้น แต่ลูกยังได้สุขภาพที่ดีเยอะกว่าแต่ก่อนอีกค่ะ

 หลังจากนั้นท่านก็กลับมาทำงานตามปกติไปจัดหมอน พูดดีๆกับคนไข้ร้ายที่สุดที่เตียงก่อนออกเวร แม้บางครั้งผู้ป่วยบางคนจะปาอาหารลงพื้นหรือใส่ท่านเพราะไม่ความสุข ท่านก็ไม่โกธรพวกเขา ไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรุนแรง มีครั้งหนึ่งผู้ป่วยคว้ามีดขึ้นมาจะแทงท่าน แต่ก็สงบไป เหตุการณ์นี้สร้างความหวาดกลัวให้บรรดาซิสเตอร์ในความปลอดภัยของท่าน ท่านกล่าวว่า พวกเรามีการสัมผัสมากๆ แต่พระเจ้าก็ทรงปกป้องพวกเรา และดังนั้นพวกเราจะต้องไม่ละเลยหน้าที่ของเราในกิจเมตตาเพียงเพื่อหลีกหนีจากอันตราย แม้หากมันต้องเสียบางสิ่งของเราในชีวิต ….. เราสามารถคาดหวังทุกสิ่งว่าพระเยซูเจ้าจะทรงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้นะ



ในเวลาใดเวลาหนึ่งท่านจะหลบตัวไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าพร้อมกับภาพของแม่พระ เหมือนที่เคยทำที่วัดของรีโฟลตา ท่านได้ถวายผู้ป่วยทุกคนที่ท่านดูแลไว้ใต้อารักขาของพระนาง พร้อมถวายตัวเพื่อการกลับใจของจูเซปเป โรมาเนลลี ผู้เป็นผู้ป่วยที่ร้ายที่สุดในโรงพยาบาล ทั้งหยาบคายและอวดดีโดยเฉพาะต่อท่าน แต่ท่านกระนั้นท่านก็ยิ่งดูแลเขา ยามมารดาผู้ตาบอดของเขามาเยี่ยม ท่านก็จะจัดการตอบรับเธอเป็นอย่างดีไปทุกครั้ง

ต่อมาด้วยความหยาบคายของเขา เขาก็ถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล ด้วยความโกธรหรืออย่างใด เขาจึงเขียนจดหมายถึงท่านว่า ซิสเตอร์อาโกสตินา แกมีเวลาเดือนหนึ่งที่จะมีชีวิตอยู่ กับ ฉันจะฆ่าแกด้วยมือของฉันเอง และส่งไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ท่านก็หาได้กลัวไม่ตรงข้ามท่านกลับเตรียมตัวอย่างดีโดยมิได้หลบหนีหรือเปิดเผยให้ใครทราบ



กระทั้งเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน  ..1894 ตามทางเดินที่ค่อนข้างมืดที่นำไปสู่ครัว จูเซปเปพร้อมมีดในมือได้เข้าจู่โจมท่านโดยที่ท่านไม่ได้ตั้งตัวและเริ่มแทงท่านที่ไหล่ ที่แขนซ้ายและที่คอ ก่อนที่เขาจะจะแทงท่านเข้าที่หน้าอกจนท่านถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบด้วยอายุรวม 30 ปี พร้อมคำพูดสุดท้ายที่ว่า แม่พระ ช่วยลูกด้วย  ผลการชันสูตรพบว่าท่านถูกฆาตกรรมเฉกลูกแกะน้อยในแท่นบูชา

ข่าวการตายของท่านถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ และในวันที่  16 พฤศจิกายน ..1894 เมื่อมีการเคลื่อนขบวนศพท่าน ถนนทุกสายที่ขบวนผ่านก็แออัดไปด้วยผู้คนที่ต่างมาเคารพท่านเป็นครั้งสุดท้าย บนโลงของท่านยังมีมงกุฎดอกไม้ของชาวยิวที่มอบแด่ซิสเตอร์ผู้ต่ำต้อยผู้นี้พร้อมคำจารจารึกว่า แด่มรณสักขีแห่งกิจเมตตา  12 พฤศจิกายน ค..1972 และหลังจากมีอัศจรรย์มากมายผ่านคำเสนอวิงวอนของท่าน สมเด็จพระสันตะปาปาปอล ที่ 6 ก็ได้ทรงบันทึกนามท่านลงในสารบบุญราศี ดั่งนักบุญอักแนส พรหมจารี  หลังจากนั้นในวันที่  18 เมษายน ค..1999 ท่ามกลางนั่งร้านของมหาวิหารนักบุญเปโตรพร้อมบุญราศีสององค์ ท่านก็ได้รับการยกขึ้นไว้บนพระแท่นข้างๆนักบุญอักแนส โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2




อย่าตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว จงพยายามทำดีต่อทุกคน (รม 12:17) ท่ามกลางผู้ป่วยที่ค่อนข้างกระด้าง ท่านก็ได้หาได้ปฏิบัติต่อเขาไม่ดีไม่ แม้จะถูกด่าหรือเขวี้ยงปาของต่างๆใส่ เป็นใครก็ต้องขึ้นหรือท้อแท้บ้างละ แต่แทนที่ท่านจะต่อว่าพวกเขาหรือเมินเฉยพวกเขา ตรงข้ามท่านกลับรักเขามากขึ้นและมากขึ้น จึงไม่แปลกอะไรที่หลังการจากไปของท่าน จะมีอัศจรรย์มากมายผ่านคำเสนอวิงวอนของท่าน เหตุท่านได้ทำตามบทบัญญัติของพระองค์ คือ การรักทุกคนโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ นี่แหละคือเหตุผลที่ท่านจึงได้อยู่ในสวรรค์ กับพระเยซูเจ้าคู่สมรสของท่านเอง การไปสวรรค์ต้องอาศัยสิ่งนี้แหละ ความรัก



 ข้าแต่ท่านนักบุญอาโกสตินา เปียตรานตอนิ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนแรก

  นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ St. Martyrs of Compiègne วันฉลอง: 17 กรกฎาคม ‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์...