นักบุญโดมินกีโต เดล วาล
Santo Dominguito
del Val
ฉลองในวันที่ : 31 สิงหาคม
องค์อุปถัมภ์ : เด็กช่วยมิสซา
ณ มุมเล็กๆของวัดในตอนเย็นในวันนี้
ภาพที่เราพบคือภาพชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่คนเดียวกับน้ำตาที่ไหลมาไม่หยุดจากความเป็นทุกข์ที่หลอกหลอนเขามาหลายปี
ภาพวันนั้นยังอยู่ในความทรงจำของเขาได้ทุกฉาก แม้กาลเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน
ภาพที่เขาได้ลงมือฆ่าเด็กผู้บริสุทธิ์ผู้หนึ่งซึ่งไร้ทางสู้อย่างโหดร้าย
เพียงเพราะความเกลียดชัง
โดมินโก
เด วาลเกิดที่เมืองซาราโกซา ประเทศสเปนในปี ค.ศ.1243 และได้รับศีลล้างบาปในวันเดียวกัน ท่านเป็นบุตรชายของซานโช เด วาล ทนายความ กับ อิซาเบล ซึ่งช่วยกันหล่อหลอมท่านขึ้นมาท่ามกลางความศรัทธา และด้วยการไปมิสซาทุกวันอาทิตย์ก็นำความประทับใจมาสู่วิญญาณน้อยๆของท่าน
โดยเฉพาะความประทับใจต่อเด็กช่วยมิสซา ท่านคอยเฝ้าดูพวกเขาตลอดมิสซา
ท่านพยายามจดจำบทตอบรับของพวกเขาแล้วนำกลับมาปฏิบัติที่บ้าน หากว่างๆท่านก็ชอบไปเรียนรู้พิธีกรรมในวัด
“ผมปรารถนาที่จะช่วยมิสซาเช่นพวกเขา ได้ใกล้ชิดตู้ศีลเช่นพวกเขา
ที่สถิตของพระเจ้า ได้ช่วยพระสงฆ์และถวายความเสียสละอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์” กระทั้งเมื่อเจริญวัยขึ้นมาท่านก็เริ่มเป็นเด็กช่วยมิสซาในอาสนวิหารและนักขับด้วยคุณสมบัติที่เปี่ยมด้วยความยำเกรง
ความบริสุทธิ์และน้ำเสียงที่ไพเราะ ดังนั้นในแต่ละวันท่านจะเดินทางไปช่วยมิสซาที่วัดด้วยความกระตือรือร้น
ก่อนเรียนเพลงต่างๆในพิธีและเรียนหนังสือตามปกติในโรงเรียน ท่านสวมชุดเด็กช่วยมิสซาด้วยความภาคภูมิและทุกๆครั้งก่อนเข้าวัดท่านจะหยุดอยู่ที่ประตู
สำรวจที่เท้า หลังจากนั้นท่านจึงเข้าไปแตะน้ำเสก
ก่อนไปคุกเข่าภาวนาต่อหน้าตู้ศีลเพื่อเตรียมพร้อมจะไปช่วยมิสซา
แต่ในระหว่างทางท่านต้องเดินผ่านตรอกของชาวยิว
ที่ไม่ชอบท่านเพราะท่านและเพื่อนชอบร้องเพลงสรรเสริญพระเยซูคริสต์ไประหว่างทาง
ทำให้พวกเขาตัดสินจะฆ่าท่านเสีย
และตามคำพูดของหมอดูชาวยิวที่อ้างว่าถ้าโยนแผ่นศีลและหัวใจของคริสตชนลงในแม่น้ำจะทำให้คริสตชนที่ได้ดื่มน้ำนั้นตาย
แผนจึงเริ่มขึ้นโดยมีสตรีคนหนึ่งแสร้งทำไปเป็นรับศีล
ก่อนลักเก็บไว้ที่ผ้าเช็ดหน้าของหล่อน
หลังจากนั้นพวกเขาจึงเดินไปยังไปหาพวกคริสตชนที่ยากจนและหิวโหย เพื่อเสนอเงินแลกกับหัวใจของหนึ่งในบรรดาลูกๆของเขา
แต่ด้วยชายผู้นั่นเป็นคริสตชนที่ดี
เขาจึงแกล้งรับข้อเสนอแล้วจัดการให้ลูกคนหนึ่งของเขาหวีดร้องอย่างทรมาน
ส่วนเขาก็ไปผ่าเอาหัวใจหมูมาให้พวกชาวยิวกลุ่มนั้น
ซึ่งตามตำนานเล่าต่อว่าเมื่อพวกเขาโยนสองสิ่งลงไปในแม่น้ำโรคระบาดก็แพร่ไป
แต่ไม่ใช่ในคนแต่เป็นพวกหมูที่ต่างติดโรคและล้มตายเป็นจำนวนมาก
ทำให้ชาวยิวกลุ่มนั้นตระหนักได้ว่าพวกเขาเสียรู้เสียแล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะลงมือทำเอง หัวใจของเด็กคริสตชน
กระทั้งในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ในปี
ค.ศ.1250 ขณะกลับจากร่วมงานท่านในวัย 7 ปี ก็ถูกกลุ่มชาวยิวกลุ่มนั้นเข้าล็อกคอ
ก่อนใช้ผ้าปิดปากท่านและลากท่านไป ที่นั่นพวกเขาเย้ยหยันท่านเช่นที่ปรากฏในพระวรสารมีหนึ่งคนเล่นเป็นปิลาต
, อีกคนเป็นคายาฟาส และถามท่านว่าท่านจะเป็นคริสตชนอยู่ไหม
ถ้าไม่เป็นจะปล่อยไป ท่านตอบอย่างแน่วแน่ว่า “ครับ ผมชอบที่จะตายมากกว่าต้องทรยศต่อศาสนาแห่งพระเยซูเจ้าของเรา”
พวกเขาจึงจับท่านสวมมงกฎหนามแล้วตรึงกางเขนกับผนัง
ระหว่างนั้นท่านร้องแต่พระนามพระเยซูเจ้า แม่และแม่พระจนกระทั้งก่อนจบชีวิตลง ท่านก็ได้พูดว่า
“พระบิดาเจ้าข้า โปรดประทานการอภัย
เพระพวกเขาไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป” ภายหลังสิ้นใจแล้ว พวกเขาก็ได้เอาหัวใจท่านออกมา แล้วจึงกระชากศพท่านลงไปฝังในหลุมทรายริมฝั่งของแม่น้ำเอโบร
ตัดกลับมาที่ครอบครัวของท่าน การหายตัวไปของท่านยังความเศร้าโศกแก่บิดามารดาที่นับวันยิ่งหมดหวังที่จะพบท่าน กระทั้งหลายสัปดาห์ถัดมา ชาวประมงก็ได้เห็นแสงสว่างที่ตลิ่งแม่น้ำ
และเมื่อแสงหายไปเขาก็พบร่างของท่าน ดังนั้นร่างของท่านก็ถูกนำไปฝังอย่างสงบในวัดซาน
เอกิดิโอ ก่อนถูกย้ายไปไว้ในวัดที่สร้างเพื่อท่าน
ใช่แล้ว
ชายผู้นั้นคือหนึ่งในฆาตกรที่ลงมือฆ่าท่าน
เย็นนี้เขามาวอนขอพระหรรษทานจากท่านด้วยใจ
และเป็นดังนั้นเขามีพลังที่จะลุกไปสารภาพถึงเรื่องทุกอย่าง พร้อมขอรับศีลล้างบาปกลายมาเป็นคริสตชน
เขาเป็นคนเดียวที่รอดจากการถูกตัดสินประหารชีวิตเพราะเขาสารภาพความจริง เมื่อถูกจับได้
“ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องละอายต่อข่าวดี” (โรม 1:16) แบบฉบับของท่านคือการยืนยันถึงความเชื่อที่ว่าพระเยซูเจ้าผู้ทรงบังเกิดและทรงรับทรมานบนกางเขนคือพระผู้ไถ่กู้ที่ทุกคนรอคอย
ท่านจึงอายหรือกลัวที่จะกล่าวต่อผู้จะทำร้ายท่านว่า “ครับ
ผมชอบที่จะตายมากกว่าต้องทรยศต่อศาสนาแห่งพระเยซูเจ้าของเรา”
และไม่อายที่จะกล่าวเช่นพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดประทานการอภัย
เพระพวกเขาไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป” การยืนยันความเชื่อของเราไม่จำเป็นว่าเราต้องมีอายุมากก่อน
แต่มันอยู่ที่จิตใจ ใจที่ไม่ละอายต่อความจริงที่ว่าพระเยซูเจ้าคืออิมมานูเอล
นั่นแหละคือ ดวงใจของผู้เป็นธรรมสักขีแห่งความเชื่อ การช่วยมิสซาก็เป็นการยืนยันถึงความเชื่อเช่นกัน
เพราะ เป็นการยืนยันว่ามิสซาที่ถวายนั้นเป็นบูชาเดียวกันกับพระคริสตเจ้าที่กางเขน
“ข้าแต่ท่านนักบุญโดมินกีโต เดล วาล ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง