วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"เคโนเววา" นักบุญรองเท้าข้างเดียว


นักบุญ เคโนเววา โตรเรส โมราเลส
St. Genoveva Torres Morales
ฉลองในวันที่ : 5 มกราคม

โอลา สเปน ดินแดนที่ใฝ่ฝัน     สุดจะกั้นอยากจะไปเป็นไหนไหน
                     ไปดูนักบุญขาเดียวที่เกรียงไกร            มาละไวไปกันเถิดพี่น้องเอย
อีกครั้งหนึ่งในสเปนประเทศไม่เล็กในยุโรป ย้อนไปในวันที่ 3 มกราคม ค..1870  ใน อัลเมนารา จังหวัดกาสเตลลอน แคว้นบาเลนเซีย ภาคตะวันออกของประเทศสเปน ครอบครัวคริสตชนที่เรียบง่ายของนายโฆเซ กับ นางวิเซนตา ที่มีสมาชิกครอบแล้วถึงห้าคน ก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่คนที่หกของครอบครัว ด้วยนามที่ไพเราะว่า เคโนเววา ทารกน้อยได้รับศีลล้างบาปในวันถัดมา



แต่อนิจจาโชคชะตาของทารกน้อยนั้นช่างอาภัพนัก เพราะ เพียงแปดปีหลังจากลืมตาดูโลกบิดามารดาก็จากไป ทิ้งหนูน้อยไว้กับพี่โฆเซเพียงสองคน เพราะ ที่เหลือได้ตายจากกันไปเสียแล้ว ประการฉะนี้หนูน้อยจึงต้องออกจากโรงเรียน เพื่ออกมาดูแลบ้านช่อง อย่างไรหนูน้อยก็มิได้ลืมไปเรียนคำสอนที่วัด เหมือนเคราะห์ซ้ำแม้พี่ชายจะให้เกียรติ แต่เขาก็เงียบขรึมและมีความต้องการ ทำให้ดั่งมีกำแพงขนาดใหญ่กั้นหนูน้อยไว้จากความรักและมิตรภาพ จนทำให้หนูน้อยคุ้นเคยกับความเหงา

เมื่อเจริญวัยได้ 10 ปี ท่านก็เริ่มชอบอ่านหนังสือเสริมศรัทธาของมารดา กระทั้งเมื่อสามารถสอนคำสอนได้ท่านก็เริ่มสอนคำสอน ท่านมิเคยขาดวัดวันอาทิตย์ และท่านค้นพบว่าความสุขแท้จริงคือการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ด้วยการทำงานและความยากลำบากทำให้สุขภาพท่านทรุดโทรมลง จนที่สุดท่านก็ล้มป่วยลงและถูกพบว่าเป็นมะเร็งที่ขาซ้าย ส่งผลให้ท่านในวัย 13 ปี ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัสจนบางครั้งถึงขั้นสิ้นสติไปเลยทีเดียวอยู่ราวแปดเดือน แต่ท่านก็ยังสู้กับมันไปอย่างอดทนเพื่อช่วยบรรเทาพระทรมานของพระคริสตเจ้าบนไม้กางเขน และเนื่องจากนานวันเข้าขาท่านก็ยิ่งเน่า จึงมีการลงความเห็นให้ตัดขาข้างนั้นทิ้งเพื่อหยุดยั้งการเน่า ตั้งแต่ต้นขาเป็นต้นมา อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเจ็บอยู่ในบางครั้ง ทำให้นับจากนั้นท่านก็มีเพื่อคู่กายเป็นไม้ค้ำยัน


และทำให้ชีวิตวิ่งเล่นแบบเด็กๆวัยเดียวกับท่านจบลง แต่อย่างไรก็ตามแม้จะพบความลำบากเช่นนี้ท่านก็ยังคงทำงานบ้านอย่างแข็งขันตั้งแต่ถูพื้น ซื้อของ ยันซักผ้า เพราะท่านต้องการให้ทุกอย่างสะอาด แม้แต่งานทำความสะอาดผนังบ้านท่านก็ทำเองได้โดยไม่ต้องขอใครช่วยตั้งแต่ซื้อของจนถึงการทำ ท่านก็สามารถปีนขึ้นไปบนเก้าอี้เพื่อทำความสะอาดเพดานก็ได้ ซึ่งทำให้พี่ชายของท่านมีความสุข และเมื่อท่านได้เงินมาท่านก็มักมอบให้ผู้ยากไร้

เป็นอีกครั้งที่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกอีก ตั้งแต่ปี ค..1885- ..1894  เพราะสถานการณ์ของครอบครัว ทำให้ท่านต้องมาอยู่บ้านเมตตาธรรม ของซิสเตอร์คณะคาร์เมไลท์เมตตาธรรม แต่ ณ สถานที่แห่งนี้ก็เป็นความก้าวหน้าสำคัญของชีวิตฝ่ายจิตท่าน ท่านแสดงออกถึงการอุทิศตนต่อศีลมหาสนิท พระหฤทัย แม่พระและทูตสวรรค์  เช่นกัน ณ ที่นี่เมื่อท่านมีอายุได้ 15 ปี ท่านก็ประสพกับความเจ็บปวดที่ขาของท่านเป็นหนักหนา แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดนั้นท่านได้ระลึกถึงพระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนและได้ถวายตนเป็นยัญบูชาเพื่อความรอดของคนบาป และที่นี่เช่นกันท่านก็ได้ฝึกจิตผ่านความช่วยเหลือของคุณพ่อการ์โลส เฟรรีส สงฆ์คณะเยซูอิต



ครั้งแรกๆท่านปรารถนาที่จะเข้าเป็นซิสเตอร์คณะภคินีคาร์เมไลท์เมตตาธรรม แต่สภาพของท่านก็เป็นปัญหาที่กั้นท่านจากคณะนี้ แต่ท่านก็หาได้สิ้นหวังไม่ ตรงข้ามท่านกลับเสาะแสวงหาแต่เพียงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อท่านต่อไป

หลังจากเก้าปีในบ้านเมตตาธรรม ที่สุดในวัยราว 24 ปี ท่านก็ได้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับอิซาเบล และ อัมปาโร สหายของท่าน และเริ่มหาเลี้ยงชีพด้วยการเย็บปักตามประสาที่เรียนมาจากบ้านเมตตาธรรม ส่วนฝ่ายจิตนั้นก็มีพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท

และแล้วหลังจากการรอคอยอันแสนนาน พระเจ้าก็ได้ทรงเผยน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อท่านผ่านคุณพ่อโฆเซ บาร์บาร์โรส ในปี ค..1911 เขาได้จุดไฟในตะเกียงของคณะใหม่ จากปัญหาสตรีมากมายหลายคนที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวจากทั้งเรื่องการเป็นหม้ายหรือการสูญเสียครอบครัว จนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน สังคมรังเกียจ ท่านจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคุณพ่อวิญญาณของพวกท่านซึ่งเป็นเยซูอิต ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือจากทั้งคุณพ่อโฆเซ และ คุณพ่อมาร์ติน พ่อวิญญาณ ในวันที่  2 กุมภาพันธ์ ปีนั้น บ้านหลังแรกของคณะของก็เปิดขึ้นพร้อมสมาชิกสี่คนที่บาเลนเซีย และท่านในฐานะผู้นำก็ได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการ ที่จะนำคณะใหม่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไป ยักษ์หญิงที่มีหัวใจเป็นมนุษย์ ท่านกล่าวว่านั้นแหละคือสิ่งที่จำเป็น



คณะน้อยๆของท่านมีเครื่องแบบคณะเป็นเอกเทศตั้งแต่ธันวาคม ค..1912 และที่สุดหลังจากฟันฝ่าอุปสรรค์ด้วยขาขวามาอย่างยาวนานในวันที่ 18 ธันวาคม ค..1925 ท่านและสมาชิกอีก 18 คน ก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตนอย่างสง่าเบื้องพระอัครสังฆราชแห่งซาราโกซา

ต่อมาเมื่อการเบียดเบียนคริสตชนในสเปรเริ่มขึ้นในปี ค..1931 ท่านก็ได้แสดงออกถึงการเป็นครูและคุณแม่วิญญาณของลูกๆคณะทุกคนในสเปน โดยท่านพยายามเขียนจดหมายเวียนไปตามบ้านต่างๆของคณะโดยมีใจความสำคัญคือการกระตุ้นบรรดาสมาชิกให้ติดตามพระเยซูเจ้า ขณะเดียวกันก็คุ้มครองบรรดาลูกๆไม่ใช่แต่ในคณะที่บ้านที่บาเลนเซีย ท่านสอนให้เปิดใจกลับทุกๆคนและกิจการของพระศาสนจักรเสมอ



เมื่อสงครามยุติลงท่านในฐานะมารดาก็คอยให้กำลังใจบรรดาลูกๆที่จะบูรณะบ้านคณะที่เสียหายไปจากเหตุของสงคราม และได้เปิดบ้านคณะเพิ่มอีกหกที่ แม้อายุการจะสูงขึ้น ท่านก็มิได้หยุดทำงาน ท่านดูแลผู้อื่นด้วยความรักที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าความตายหรือความเจ็บป่วย ไม่ใช่แต่สตรีแต่รวมถึงลูกๆในคณะในฐานะมหาอธิการริณี

แม้จะมีปัญหานิดหน่อยในปี ค..1950 แต่อย่างไรในที่สุดในวันที่ 25 มีนาคม ค..1953 ทางสันตะสำนักก็ได้อนุมัติคณะของท่านในนาม คณะภคินีพระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้าและทูตสวรรค์ หรือ อันเคลิกาส



ท่านดำรงชีวิตที่เฮฮามาตลอด โดยเพราะเรื่องความพิการของท่าน กระทั้งในช่วงต้นเดือนธันวาคม ค..1955 ท่านก็ล้มป่วยลงจนมาสามารถร่วมมิสซาสมโภชแม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล และแย่ลงเรื่อยๆ ท่านมีอาการของโรคลมชักเป็นเวลาราว 30 วัน แต่หลังจากได้รับศีลเสบียงท่านก็ดีขึ้น ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ยิ่งของพระองค์เทอญ ท่านกล่าวหลังจากฟื้น แต่หลังจากนั้นอาการท่านก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนถึงตอนเช้าของวันที่ 5 มกราคม ค..1956  ท่านก็มีอาการโคมาและในเวลาบ่ายวันนั้น ณ บ้านแม่ที่ซาราโกซา พระเยซูเจ้าก็ได้มารับท่านไปอย่างสงบ ด้วยอายุ 86 ปี



ถึงแม้ดิฉันจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวด ต้องขอบคุณพระเมตตาของพระเจ้า ดิฉันจะไม่ขาดความกล้าหาญ ท่านกล่าว ปากต่อปากไปไม่นานชาวเมืองมากมายก็พากันหลั่งไหลบ้านนั้น เพื่อมาดูนักบุญของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่ห้องใต้ดินใต้พระแท่นของบ้าน ก่อนจะมีการย้ายมาไว้ที่ใต้พระแท่นของวัดใหม่เมื่อมีการบันทึกนามท่านในสารบบบุญราศีโดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ในวันที่ 29 มกราคม ค..1995 และ ที่สุดแล้วในระหว่างการเสด็จเยือนประเทศสเปน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ได้ทรงทำมิสซาสภาปนาท่านพร้อมบุญราศีอีกสี่ท่านเป็นนักบุญ ในวันที่  4 พฤษภาคม ค..2003 โดยพระองค์ทรงเรียกท่านว่า เครื่องมือของความรักอันอ่อนโยนของพระเจ้า และ เทวดาผู้สันโดษ เนื่องจากท่านเจริญชีวิตสันโดษภายใน


 พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า 'จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด' ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน (ลูกา 17:6) สงสัยไหมว่าทำไมคนขาเดียวคนหนึ่งจะสามรถตั้งคณะที่ดูแลสตรีได้ ทั้งที่ขนาดคนที่มีครบจะตั้งคณะหนึ่งขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เคล็ดลับง่ายๆคือ ความเชื่อ ดูซิ เพราะ ท่านเชื่อว่าสิ่งที่ท่านทำคือน้ำพระทัยของพระ ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้น พลังแห่งความเชื่อของท่านได้ทดแทนขาที่หายไปของท่าน เช่นกันเพียงแค่เรามีความเชื่อต่อพระว่าสิ่งที่ทำคือน้ำพระทัย ไม่ว่าจะขาดสิ่งใดไป ความเชื่อก็จะทดแทนสิ่งนั้นเอง ขอแค่เรามีความเชื่อ ไม่ช่แค่ในปีแห่งความเชื่อ แต่ตลอดไป



 ข้าแต่ท่านนักบุญ เคโนเววา โตรเรส โมราเลส ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...