นักบุญ เคโนเววา โตรเรส โมราเลส
St. Genoveva
Torres Morales
ฉลองในวันที่ : 5 มกราคม
โอลา สเปน ดินแดนที่ใฝ่ฝัน สุดจะกั้นอยากจะไปเป็นไหนไหน
ไปดูนักบุญขาเดียวที่เกรียงไกร
มาละไวไปกันเถิดพี่น้องเอย
อีกครั้งหนึ่งในสเปนประเทศไม่เล็กในยุโรป
ย้อนไปในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ.1870
ใน อัลเมนารา จังหวัดกาสเตลลอน
แคว้นบาเลนเซีย ภาคตะวันออกของประเทศสเปน
ครอบครัวคริสตชนที่เรียบง่ายของนายโฆเซ กับ นางวิเซนตา
ที่มีสมาชิกครอบแล้วถึงห้าคน ก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่คนที่หกของครอบครัว
ด้วยนามที่ไพเราะว่า “เคโนเววา”
ทารกน้อยได้รับศีลล้างบาปในวันถัดมา
แต่อนิจจาโชคชะตาของทารกน้อยนั้นช่างอาภัพนัก
เพราะ เพียงแปดปีหลังจากลืมตาดูโลกบิดามารดาก็จากไป
ทิ้งหนูน้อยไว้กับพี่โฆเซเพียงสองคน เพราะ ที่เหลือได้ตายจากกันไปเสียแล้ว ประการฉะนี้หนูน้อยจึงต้องออกจากโรงเรียน
เพื่ออกมาดูแลบ้านช่อง อย่างไรหนูน้อยก็มิได้ลืมไปเรียนคำสอนที่วัด
เหมือนเคราะห์ซ้ำแม้พี่ชายจะให้เกียรติ แต่เขาก็เงียบขรึมและมีความต้องการ
ทำให้ดั่งมีกำแพงขนาดใหญ่กั้นหนูน้อยไว้จากความรักและมิตรภาพ จนทำให้หนูน้อยคุ้นเคยกับความเหงา
เมื่อเจริญวัยได้
10 ปี
ท่านก็เริ่มชอบอ่านหนังสือเสริมศรัทธาของมารดา
กระทั้งเมื่อสามารถสอนคำสอนได้ท่านก็เริ่มสอนคำสอน ท่านมิเคยขาดวัดวันอาทิตย์
และท่านค้นพบว่าความสุขแท้จริงคือการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ด้วยการทำงานและความยากลำบากทำให้สุขภาพท่านทรุดโทรมลง
จนที่สุดท่านก็ล้มป่วยลงและถูกพบว่าเป็นมะเร็งที่ขาซ้าย ส่งผลให้ท่านในวัย 13 ปี ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัสจนบางครั้งถึงขั้นสิ้นสติไปเลยทีเดียวอยู่ราวแปดเดือน
แต่ท่านก็ยังสู้กับมันไปอย่างอดทนเพื่อช่วยบรรเทาพระทรมานของพระคริสตเจ้าบนไม้กางเขน
และเนื่องจากนานวันเข้าขาท่านก็ยิ่งเน่า จึงมีการลงความเห็นให้ตัดขาข้างนั้นทิ้งเพื่อหยุดยั้งการเน่า
ตั้งแต่ต้นขาเป็นต้นมา อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเจ็บอยู่ในบางครั้ง ทำให้นับจากนั้นท่านก็มีเพื่อคู่กายเป็นไม้ค้ำยัน
และทำให้ชีวิตวิ่งเล่นแบบเด็กๆวัยเดียวกับท่านจบลง
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะพบความลำบากเช่นนี้ท่านก็ยังคงทำงานบ้านอย่างแข็งขันตั้งแต่ถูพื้น
ซื้อของ ยันซักผ้า เพราะท่านต้องการให้ทุกอย่างสะอาด
แม้แต่งานทำความสะอาดผนังบ้านท่านก็ทำเองได้โดยไม่ต้องขอใครช่วยตั้งแต่ซื้อของจนถึงการทำ
ท่านก็สามารถปีนขึ้นไปบนเก้าอี้เพื่อทำความสะอาดเพดานก็ได้ ซึ่งทำให้พี่ชายของท่านมีความสุข
และเมื่อท่านได้เงินมาท่านก็มักมอบให้ผู้ยากไร้
เป็นอีกครั้งที่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกอีก
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1885- ค.ศ.1894 เพราะสถานการณ์ของครอบครัว ทำให้ท่านต้องมาอยู่บ้านเมตตาธรรม
ของซิสเตอร์คณะคาร์เมไลท์เมตตาธรรม แต่ ณ
สถานที่แห่งนี้ก็เป็นความก้าวหน้าสำคัญของชีวิตฝ่ายจิตท่าน ท่านแสดงออกถึงการอุทิศตนต่อศีลมหาสนิท
พระหฤทัย แม่พระและทูตสวรรค์ เช่นกัน ณ
ที่นี่เมื่อท่านมีอายุได้ 15 ปี ท่านก็ประสพกับความเจ็บปวดที่ขาของท่านเป็นหนักหนา
แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดนั้นท่านได้ระลึกถึงพระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนและได้ถวายตนเป็นยัญบูชาเพื่อความรอดของคนบาป
และที่นี่เช่นกันท่านก็ได้ฝึกจิตผ่านความช่วยเหลือของคุณพ่อการ์โลส เฟรรีส
สงฆ์คณะเยซูอิต
ครั้งแรกๆท่านปรารถนาที่จะเข้าเป็นซิสเตอร์คณะภคินีคาร์เมไลท์เมตตาธรรม
แต่สภาพของท่านก็เป็นปัญหาที่กั้นท่านจากคณะนี้ แต่ท่านก็หาได้สิ้นหวังไม่
ตรงข้ามท่านกลับเสาะแสวงหาแต่เพียงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อท่านต่อไป
หลังจากเก้าปีในบ้านเมตตาธรรม
ที่สุดในวัยราว 24 ปี ท่านก็ได้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับอิซาเบล
และ อัมปาโร สหายของท่าน และเริ่มหาเลี้ยงชีพด้วยการเย็บปักตามประสาที่เรียนมาจากบ้านเมตตาธรรม
ส่วนฝ่ายจิตนั้นก็มีพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
และแล้วหลังจากการรอคอยอันแสนนาน
พระเจ้าก็ได้ทรงเผยน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อท่านผ่านคุณพ่อโฆเซ บาร์บาร์โรส
ในปี ค.ศ.1911 เขาได้จุดไฟในตะเกียงของคณะใหม่
จากปัญหาสตรีมากมายหลายคนที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวจากทั้งเรื่องการเป็นหม้ายหรือการสูญเสียครอบครัว
จนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน สังคมรังเกียจ
ท่านจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคุณพ่อวิญญาณของพวกท่านซึ่งเป็นเยซูอิต
ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือจากทั้งคุณพ่อโฆเซ และ คุณพ่อมาร์ติน พ่อวิญญาณ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปีนั้น
บ้านหลังแรกของคณะของก็เปิดขึ้นพร้อมสมาชิกสี่คนที่บาเลนเซีย และท่านในฐานะผู้นำก็ได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการ
ที่จะนำคณะใหม่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไป “ยักษ์หญิงที่มีหัวใจเป็นมนุษย์” ท่านกล่าวว่านั้นแหละคือสิ่งที่จำเป็น
คณะน้อยๆของท่านมีเครื่องแบบคณะเป็นเอกเทศตั้งแต่ธันวาคม
ค.ศ.1912
และที่สุดหลังจากฟันฝ่าอุปสรรค์ด้วยขาขวามาอย่างยาวนานในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ.1925 ท่านและสมาชิกอีก 18 คน ก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตนอย่างสง่าเบื้องพระอัครสังฆราชแห่งซาราโกซา
ต่อมาเมื่อการเบียดเบียนคริสตชนในสเปรเริ่มขึ้นในปี
ค.ศ.1931
ท่านก็ได้แสดงออกถึงการเป็นครูและคุณแม่วิญญาณของลูกๆคณะทุกคนในสเปน
โดยท่านพยายามเขียนจดหมายเวียนไปตามบ้านต่างๆของคณะโดยมีใจความสำคัญคือการกระตุ้นบรรดาสมาชิกให้ติดตามพระเยซูเจ้า
ขณะเดียวกันก็คุ้มครองบรรดาลูกๆไม่ใช่แต่ในคณะที่บ้านที่บาเลนเซีย
ท่านสอนให้เปิดใจกลับทุกๆคนและกิจการของพระศาสนจักรเสมอ
เมื่อสงครามยุติลงท่านในฐานะมารดาก็คอยให้กำลังใจบรรดาลูกๆที่จะบูรณะบ้านคณะที่เสียหายไปจากเหตุของสงคราม
และได้เปิดบ้านคณะเพิ่มอีกหกที่ แม้อายุการจะสูงขึ้น ท่านก็มิได้หยุดทำงาน
ท่านดูแลผู้อื่นด้วยความรักที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าความตายหรือความเจ็บป่วย ไม่ใช่แต่สตรีแต่รวมถึงลูกๆในคณะในฐานะมหาอธิการริณี
แม้จะมีปัญหานิดหน่อยในปี
ค.ศ.1950 แต่อย่างไรในที่สุดในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1953 ทางสันตะสำนักก็ได้อนุมัติคณะของท่านในนาม
“คณะภคินีพระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้าและทูตสวรรค์” หรือ “อันเคลิกาส”
ท่านดำรงชีวิตที่เฮฮามาตลอด
โดยเพราะเรื่องความพิการของท่าน กระทั้งในช่วงต้นเดือนธันวาคม ค.ศ.1955 ท่านก็ล้มป่วยลงจนมาสามารถร่วมมิสซาสมโภชแม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล
และแย่ลงเรื่อยๆ ท่านมีอาการของโรคลมชักเป็นเวลาราว 30 วัน
แต่หลังจากได้รับศีลเสบียงท่านก็ดีขึ้น “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ยิ่งของพระองค์เทอญ” ท่านกล่าวหลังจากฟื้น
แต่หลังจากนั้นอาการท่านก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนถึงตอนเช้าของวันที่ 5 มกราคม ค.ศ.1956 ท่านก็มีอาการโคมาและในเวลาบ่ายวันนั้น
ณ บ้านแม่ที่ซาราโกซา พระเยซูเจ้าก็ได้มารับท่านไปอย่างสงบ ด้วยอายุ 86 ปี
“ถึงแม้ดิฉันจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวด
ต้องขอบคุณพระเมตตาของพระเจ้า ดิฉันจะไม่ขาดความกล้าหาญ” ท่านกล่าว ปากต่อปากไปไม่นานชาวเมืองมากมายก็พากันหลั่งไหลบ้านนั้น
เพื่อมาดูนักบุญของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่ห้องใต้ดินใต้พระแท่นของบ้าน
ก่อนจะมีการย้ายมาไว้ที่ใต้พระแท่นของวัดใหม่เมื่อมีการบันทึกนามท่านในสารบบบุญราศีโดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ปอล ที่ 2 ในวันที่ 29 มกราคม
ค.ศ.1995
และ ที่สุดแล้วในระหว่างการเสด็จเยือนประเทศสเปน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2
ก็ได้ทรงทำมิสซาสภาปนาท่านพร้อมบุญราศีอีกสี่ท่านเป็นนักบุญ ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ.2003 โดยพระองค์ทรงเรียกท่านว่า “เครื่องมือของความรักอันอ่อนโยนของพระเจ้า” และ “เทวดาผู้สันโดษ” เนื่องจากท่านเจริญชีวิตสันโดษภายใน
พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า
“ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า
'จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด' ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน” (ลูกา
17:6) สงสัยไหมว่าทำไมคนขาเดียวคนหนึ่งจะสามรถตั้งคณะที่ดูแลสตรีได้
ทั้งที่ขนาดคนที่มีครบจะตั้งคณะหนึ่งขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เคล็ดลับง่ายๆคือ “ความเชื่อ” ดูซิ
เพราะ ท่านเชื่อว่าสิ่งที่ท่านทำคือน้ำพระทัยของพระ
ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้น พลังแห่งความเชื่อของท่านได้ทดแทนขาที่หายไปของท่าน
เช่นกันเพียงแค่เรามีความเชื่อต่อพระว่าสิ่งที่ทำคือน้ำพระทัย ไม่ว่าจะขาดสิ่งใดไป
ความเชื่อก็จะทดแทนสิ่งนั้นเอง ขอแค่เรามีความเชื่อ ไม่ช่แค่ในปีแห่งความเชื่อ
แต่ตลอดไป
“ข้าแต่ท่านนักบุญ เคโนเววา โตรเรส
โมราเลส ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง