บุญราศีเอนลิกเอตตา
อัลฟีเอริ
Bl. Enrichetta
Alfieri
ฉลองในวันที่ : 23 พฤศจิกายน
ท่ามกลางภูเขามากมายของสังฆมณฑลเชียงใหม่
ในนครเขลางค์ ในวิเชตนคร หรือ อ.แจ้ห่มในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพันธกิจของคณะเก่าแก่อีกคณะหนึ่งนาม
“คณะเมตตาธรรมแห่งนักบุญชานอังติต ตูเร” ที่ทำหน้าที่อภิบาลสัตบุรษทั่วไป
และเมื่อไม่นานมานี้คณะนี้ก็ได้บุญราศีองค์ใหม่ จากดินแดน อิตาลี เป็นบุญราศีองค์ล่าสุดของคณะ
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 โบรโก เวรเชลลิ ทารกน้อยนาม “มารีอา อังเยลา โดเมนิกา” ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัวน้อยๆของนายจูวานนี
กับ นางโรซา โคมปาโยนเน ทารกน้อยลูกคนโตของครอบครัวเจริญวัยขึ้นมาท่ามกลางความเชื่อที่ดี
และการศึกษาที่ดีในโรงเรียนประถมสลักกับที่บ้าน
จึงไม่แปลกอะไรไรที่ท่านจะเป็นสาวแกร่งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
ต่อมาเมื่อมีวัยได้
17 ปี ท่านก็รับรู้ถึงกระแสเรียกจากพระเจ้า
แต่เมื่อไปขออนุญาตจากบิดามารดาก็ได้รับคำตอบว่าให้รอไปก่อน
ซึ่งในระหว่างปีแห่งการรอนั้นนับวันท่านก็ยิ่งมั่นใจในกระเรียกมากขึ้นและมากขึ้น
ท่านรอไปจนกระทั้งอายุได้ 20 ปี ในวันที่
20 ธันวาคม ค.ศ. 1911 ท่านก็ได้สมัครเป็นโปสตุลันต์ขอคณะเมตตาธรรมแห่งนักบุญชานอังติต ตูเร ใน อารามซานตา มาร์เกอริตา ที่ เวรเชลลิ
ที่ป้าและญาติของท่านเป็นซิสเตอร์อยู่แล้ว
ท่านชอบการศึกษามาก
ดังนั้นวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ.1917 ท่านจึงได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงในการสอนในระดับชั้นประถมศึกษา
ก่อนถูกส่งไปเป็นครูอนุบาลใน เวรเชลลิ
แต่ก็ทำงานได้ไม่กี่เดือนท่านก็ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน
ท่านจึงต้องออกจากงานไปอยู่ที่บ้านคณะ หลังจากนั้นในเดือนเมษายน ค.ศ.1920 จึงมีตัดสินใจส่งท่านไปรักษาที่มิลาน
และถูกตรวจจนพบว่าเป็นกระดูกสันหลังอักเสบอย่างร้ายแรง หลังจากนั้นจึงมีการส่งท่านกลับมาพำนักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเวรเชลลิ
“ถ้ากระแสเรียกของเราก่อตั้งบนกัลวาลิโอ จากโรคที่เราอยู่บนกางเขนกับพระเยซูเจ้า
เตียงก็ถือเป็นพระแท่นบูชาของยัญบูชาที่เราต้องสละตัวเองและปล่อยตัวเราให้ถูกสังเวยเช่นเจ้าบ้านที่สงบและยัญบูชาของความรัก
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรับทรมานในลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อประโยชน์ของวิญญาณและคุณธรรม
หากกความทุกข์ทรมานยังไม่เพียงพอมันก็จำเป็นต้องรับความทรมานมากขึ้นและที่จะทำเช่นนั้นมันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรับความทรมานด้วยเกียรติ
ด้วยความรัก ความอ่อนโยนและความจริงจัง” ท่านเขียนในบันทึกของท่าน
ด้วยความเชื่อและความหวัง
เมื่อทราบว่าตัวเองป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หายในเดือนในพฤษภาคม ค.ศ.1922 ท่านก็ได้เดินทางไปแสวงบุญที่ลูร์ดเพื่อวิงวอนขอการรักษาจากแม่พระ
แต่ก็ต้องกลับมาพร้อมอาการป่วยเช่นเดิม แต่ภายในท่านก็สัมผัสถึงพระหรรษทานที่จะน้อมรับความทุกข์ทรมานต่อไปในแต่ละวัน
แม้จะต้องป่วยหนักจนต้องล้มหมอนนอนเสื่ออยู่นานท่านมิได้บ่นตรงข้ามท่านได้ร่วมพระมหาทรมานไปพร้อมกับพระเยซูเจ้าผ่านกางเขนนี้
ด้วยรอยยิ้ม “ความจริงของนักบวช
ยามเผชิญกับกางเขนหรือถูกแทงด้วยดาบ ไม่วายจะตอบด้วยรอยยิ้ม” ท่านเขียน
ท่านนอนป่วยได้ราวสามปี
ในเดือนมกราคม ค.ศ.1923 แพทย์ที่เข้าตรวจท่านก็ได้ลงความเห็นว่าไม่นานท่านก็จะต้องจากไปแน่นอน
กระทั้งในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ในวันที่แม่พระได้บอกให้นักบุญแบร์นาแด๊ต ให้ขุดดินที่พื้นถ้ำจนพบธารน้ำพุดขึ้นมา อันเป็นการประจักษ์ครั้งที่
9
เวลาราวแปดนาฬิกา ขณะที่ซิสเตอร์ทั้งหลายกำลังร่วมมิสซา
ท่านก็ได้พยายามจิบน้ำจากเมืองลูร์ด แล้วอยู่ท่านก็เป็นลมไปซักพัก
ในขณะนั้นเองที่ท่านได้ยินเสียงว่า “จงลุกขึ้น”
พลันอาการป่วยที่ทำให้ท่านต้องนอนอยู่แต่บนเตียงก็หายไปสิ้น เป็นอัศจรรย์แก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์
“..คุณแม่ในสวรรค์ผู้แสนดีทำให้ดิฉันได้เกิดใหม่อย่างน่าอัศจรรย์ใจจากความตายสู่ชีวิต
จนรู้สึกทั้งกตัญญู แปลกใจและผิดหวัง ประตูแห่งสวรรค์ถูกปิดลง
ชีวิตถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ”
ขณะที่อาการท่านก็ดีขึ้นไปเป็นระดับ
เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์จากอัศจรรย์ครั้งนี้คุณแม่อธิการก็ได้ส่งท่านไปทำงานในเรือนจำซาน
วิกโตเร ในมิลานที่ซิสเตอร์เอเลนา คุณป้าของท่านเป็นอธิการอยู่ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1923
โลกใหม่ของท่านเป็นสถานที่ที่ขอบฟ้าล้อมไปด้วยกำแพงสูง มีทางเดินยาว ประตูล็อกอย่างแน่นหนาในทุกๆที่ของโลกใหม่แห่งนี้
เมื่อมาถึงท่านก็ได้เริ่มงานแพร่ธรรมใหม่ของท่าน
คือ การนำแสงแห่งความเชื่อไปสาดส่องยังดินแดนที่มืดมิดนี้ “กิจเมตตาเป็นเปลวไฟซึ่งชอบลุกลามไปในขณะที่มันกำลังลุกไหม้
ดิฉันจะทรมาน ดิฉันจะทำงานและดิฉันจะสวดภาวนาต่อวิญญาณที่ดึงดูดต่อพระเยซูเจ้า” ท่านไปตามห้องขังต่างๆเพื่อรับฟัง ปลอบประโลมและกระตุ้นผู้ต้องขังทุกคน
ผ่านการหนุนนำโดยชีวิตแห่งการภาวนา
ความชิดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าและความเข้มแข็งในชีวิตคณะ
ด้วยท่าทีที่อ่อนหวาน
ตรงไปตรงมา หนักแน่น ใบหน้าสงบ วาจาสงบและน่าเชื่อถือ
จนทำให้ท่านได้รับความวางใจจากหลายคนที่ได้พบท่าน จนทำให้ท่ามกลางความตึงเครียดที่มักเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หยุดลงผ่านการปรากฏตัวและคำพูดของท่าน
จนแทบไม่ต้องไปตามหาความช่วยเหลือจากทหารเลย
ต่อมาในปลายปี
ค.ศ.1939 ท่านก็ได้รับเลือกเป็นคุณแม่อธิการของอารามที่นั่น
เป็นหัวเรือที่นำลูกๆเก้าคนไปทำงานรับใช้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ที่ท้ายของเรือนจำจะมีถ้ำแม่พระเล็กๆ
ที่ท่านชอบรวมกลุ่มสตรีเล็กๆไปสวดภาวนาทุกๆเย็นด้วยความรัก
ซึ่งบ่อยครั้งกิจกรรมนี้จะเป็นการเปิดใจของหลายๆคน
หลายๆคนอาจคิดว่ากิจการของท่านจะหยุดแค่สุดกำแพงเรือนจำ
แต่ไม่เมื่อผู้ต้องขังถูกโอนหรือได้รับอิสระ พวกเขาก็ยังคงสามารถพึ่งพา “คุณแม่แห่งซาน วิกโตเร” ของพวกเขาได้เสมอ ผ่านจดหมายท่านส่งไป
เพื่อสนับสนุน เพื่อกำลังใจ หรือเพื่อความรักต่อแขกของท่าน
กระทั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่
2 เริ่มขึ้น ซาน วิกโตเร ก็ตกอยู่ภายใต้ปีกของนาซี
กฎหมายถูกเปลี่ยนคนคุกกลายเป็นพวกนักโทษการเมือง พระสงฆ์
ชาวยิวและนักบวชทำงานร่วมกับฝ่ายศัตรู
เปลี่ยนบ้านแห่งความรักของท่านไปเป็นสถานที่ของตำรวจสืบสวน
การทารุณกรรมทั้งร่างกายและศีลธรรม การลงโทษ แต่กระนั้นหรือจะหยุดท่านได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ท่านกับซิสเตอร์ในอารามต่างช่วยกันปกป้องเหยื่อ
ช่วยและพยาบาลพวกเขาด้วยการลอบเข้าไปตามห้องขังต่างๆตามทางเดินที่มืดมิด
และให้กำลังใจในการพบปะ
ท่านพยายามจัดหาสิ่งของให้บรรดานักโทษและส่งจดหมายเตือนบุคคลที่อยู่ในอันตรายให้รีบหนีไปหรือทำลายหลักฐานที่มีเสีย
จากการตามล่าของตำรวจลับ แต่มันก็ถูกพบในที่สุด
ท่านร่วมมือกับบุญราศีพระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลชูสเตอร์
เพื่อปกป้องชีวิตของมนุษย์ผ่านคนกลางของคุณพ่อจูเซปเป บิกเคียไร
แม้คณะจะคงดำเนินงานเช่นทั่วไป แต่ท่านก็ยังคงทำงานที่เสี่ยงต่อชีวิตขนาบไป
กระทั้งเมื่ออยู่ๆท่านก็ถูกตำรวจรวบตัวในข้อหาเป็นหน่วยสืบราชการลับ ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1944 และถูกขังด้วยทะเบียน 3209
ในห้องขังที่แยกต่างหาก
ที่นั่นท่านได้ใช้เวลาไปกับการสวดภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน
ด้วยดวงใจที่เอ่อล้นไปด้วยความสุขที่ได้ร่วมแบ่งปันโชคชะตาของพี่น้องจำนวนมากมายที่เธอได้รู้ในการปฏิบัติพันธกิจแห่งภคินีอิตาลีแห่งเมตตาธรรม
“นับแต่เวลานี้เป็นต้นไป
การสวดภาวนาและการรำพึงกลายเป็นงานของดิฉันเพียงอย่างเดียว
และกำลังของดิฉันภายในคุก ไม่ได้นะ
ดิฉันพูดหลายต่อหลายครั้งต่อผู้ต้องขังผู้น่าสงสาร ถ้าดิฉันอยู่ในสถานที่ของคุณดิฉันจะใช้เวลาทั้งหมดของดิฉันไปกับการสวดภาวนา
บัดนี้เวลานั้นมาถึงแล้ว….
อะไรกันคือพระหรรษทานที่แกร่งกล้าผ่านการสวดภาวนากัน….”
“เพื่อความอยุติธรรมทั้งหลาย
การบีบบังคับและความทุกข์ทรมาน องค์พระผู้เป็นเจ้า
โปรดทรงพระเมตตาโลกที่น่าสงสารของพวกเรา
แผ่นดินแม่ที่รักของเราซึ่งวันนี้มาถูกทำลาย และโปรดยอมให้ซากปรักหักพังนี้(อิตาลี)
ที่ถูกรินลดไปด้วยหยาดน้ำตาและหยาดโลหิต ทันทีจะลุกขึ้นอีกครั้ง โปรดชำละล้าง
โปรดประทานความงดงาม ความเพียร ความแข็งแกร่ง ความภาคเพียร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตชนและคุณธรรมให้มากขึ้น ” คำภาวนาจากอันงดงามจากดวงใจของท่าน
ท่านถูกขังอยู่สิบเอ็ดวัน
ท่านจึงถูกปล่อยตัวด้วยความช่วยเหลือของพระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลชูสเตอร์ ท่านไม่ต้องถูกเนรเทศไปเยอรมันแล้ว
แต่กระนั้นท่านก็ถูกตัดสินให้ถูกส่งตัวไปอยู่ภายใต้ความดูแลของ กรูเมลโล เดล มอนเต
เมืองแบร์กาโม อันเป็นโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคจิต
ท่านอยู่ที่นั่นราวสองเดือน ด้วยสันตุสุขภายในและความสมถะและได้เขียนบันึกขึ้น
กระทั้งในเวลาที่ท่านคิดถึงว่ายังมีคนที่ยังอยู่ในคุกอยู่ “ดิฉันเคยได้ยินเสียงร่ำไห้และเสียงวิงวอนด้วยความกังวลของพวกเขา ดิฉันเคยเห็นใบหน้าอันซีดเซียว ดวงตาที่ร่ำไห้โดยไม่ต้องแสดงออกมาของพวกเขา มันช่างดูเหมือนดิฉันยังคงรู้สึกถึงมือของพวกเขาในชีวิตของดิฉันการจากกันครั้งล่าสุด
ทั้งหมดนี้ฉีกกระชากหัวใจของดิฉันออก ดิฉันไม่สามารถจะหลับตาลง
ดิฉันทรมานและสวดภาวนาเพื่อพวกเขา
เป็นการขอโทษที่ดิฉันไม่สามารถให้กำลังใจพวกเขาได้อีกต่อไป
ความคิดของผู้ที่อยู่ในคุกทรมานดิฉัน
แต่การเนรเทศฉีกดิฉันออกจากกัน….มันยังคงอยู่ภายในดิฉันอย่างสม่ำเสมอและทำให้ดิฉันเป็นทุกข์ภายใน…ดิฉันจะทำตัวเช่นไร
เช่นโมเสทเพื่อคนที่ดิฉันทิ้งให้ดิ้นรน เพื่อบรรดาผู้กำลังทุกข์ทรมานทั้งหลาย
ดิฉันจะสืบสานงานแพร่ของชาวอิตาลีและภคินีเมตตาธรรมของดิฉัน
ผ่านการภาวนาและการถูกบังคับให้สละการงงานของดิฉัน ในทุ่งที่รักของพันธกิจของดิฉัน”
ที่สุดแล้วพายุร้ายก็ได้ผ่านพ้นไป
ท่านได้รับอนุญาตให้กลับมาซาน วิกโตเร ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1945 และเริ่มงามกลับผู้ต้องขังที่ท่านรัก
ผู้ต้องขังใหม่ศัตรูเมื่อวานนี้ เพราะในขณะนี้เรือนจำเต็มไปด้วยพวกลัทธิฟาสซิสต์และหญิงสาวที่เข้าร่วมกับแนวคิดของมุซโซลินีที่ติดคุกกันไปตามๆกัน
ท่านก็ปฏิบัติเช่นเดิมเหมือนที่ทำทำด้วยรอยยิ้ม
รู้ไหมว่าท่านเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องของนักโทษที่เป็นเรื่องที่จัดว่ายากได้
อาทิต รีนา ฟอร์ต ผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรม
ท่านดำเนินชีวิตด้วยความรักมาเรื่อยๆกระทั้งในเดือนกันยายน ค.ศ.1950 อยู่ๆท่านก็ล้มที่จตุรัสของอาสนวิหาร
จนขาอ่อนร้าว แต่ไม่นานท่าก็ได้รับการรักษาจนหายดี
แต่ไม่นานท่านก็ต้องล้มป่วยลงจากสภาพตับที่ไม่ค่อยดีนักละหัวใจที่อ่อนล้าเต็มที
และหลังจากป่วยอยู่สิบสามวันได้ หลังจากได้รับศีลเจิมในเวลาประมาณบ่ายสามโมง ในวันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน
ค.ศ.1951 “แม่ไม่เคยเชื่อเลยว่ามันเป็นสิ่งที่ดีมากที่จะตาย”
ท่านจากไปอย่างสงบในวัย 60 ปี
การจากไปของท่านถูกป่าวประกาศไปตามสถานีวิทยุและปากต่อปาก
ผู้ต้องขังมากมายต่างอยากเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้าย “เทพธิดาแห่งซาน วิกโตเร” กระบวนการของเทพธิดาเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1995 โดยพระคาร์ดินัลมาร์ตินี่
ได้ดำเนินการเสนอชื่อเป็นบุญราศี กระทั้งในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2011 ที่เมืองมิลาน
ประเทศอิตาลี ท่านก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศี
โดยพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16
“จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องในยามขัดสน
จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี”(โรม 12:13) ถ้ามองดูจากประวัติท่านแล้ว
เราก็จะพบว่าท่านไม่เคยรังเกียรตินักโทษเลยไม่ว่าจะเลวแค่ไหน
ท่านรักพวกเขาด้วยความอ่อนโยนเช่นมารดา ในระหว่างสงครามท่านก็มิได้ละเลยต่อหน้าที่
เพราะ ท่านตระหนักถึงจิตตารมณ์ที่นักบุญชานอังติต ตูเร “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง
ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” ถามว่าพี่น้องเราคือใคร คำตอบที่คนรู้ดีก็คือเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่อยู่รอบๆตัวเรา
ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เราอาจช่วยเขาผ่านคำภาวนานิดหน่อย
การกระทำอีกนิดหนึ่งเท่าที่เราทำได้ อาจไม่วิเศษเลอเลิศในสายตามนุษย์
แตในสายพระเนตรของพระเจ้าหากทำด้วยใจแห่งรักมันก็ยิ่งใหญ่ดุจหอคอยบาเบลเสียอีก
“ข้าแต่ท่านบุญราศีเอนลิกเอตตา อัลฟีเอริ ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง