นักบุญแมเรียน โคป
St. Marianne Cope
ฉลองในวันที่
: 23 มกราคม
องค์อุปถัมภ์
:
คนโรคเรื้อน ,
คนจรจัด ,
ผู้ป่วยเอสไปวี , รัฐฮาวาย
นามรับศีลล้างบาปท่านคือ
มารีอา อันนา บาร์บารา คูบ (เปลี่ยนเป็น โคบ ทีหลัง) ท่านเกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.1838 แกรนด์ดัชชีเฮสเซิน
ทางภาคตะวันตกของประเทศเยอรมันในปัจจุบัน เป็นบุตรหัวปลีจากสิบคนของนายพีเตอร์ คูบ
ชาวนา กับ นางบาร์บารา วิทเซนบาเกอร์ หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี
ครอบครัวของท่านก็หอบสัมภาระและลูกๆไปตั้งรกรากอยู่ที่ยูทิกา เขตวัดนักบุญยอแซฟ รัฐนิวยอร์ก
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ท่านเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนจนกระทั้งถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2
บิดาท่านก็ล่มป่วยลง ทำให้ท่านในฐานะลูกคนโตจึงต้องออกมาทำงานในโรงงาน
เพื่อช่วยหารายได้มาจุนเจือครอบครัว กระทั้งปี ค.ศ.1862 เมื่อบิดาท่านเสียชีวิตลงและน้องๆก็พอที่จะช่วยจุนเจือครอบครัวได้แล้ว
ท่านก็ได้ไปตามกระแสเรียกของท่านที่มีมาแต่ครั้งเยาว์วัย
ท่านได้สมัครเข้าเป็นนวกะฟรานซิสกันขั้นสาม ใน ซีราคิวซ์ รัฐนิวยอร์ก ในปลายฤดูร้อน ปีเดียวกันด้วยอายุขนาดนั้น
24 ปี
หลังจากนั้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน ก็ได้รับชุดคณะและได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในอีกหนึ่งปีถัดมาด้วยนามใหม่
“ซิสเตอร์แมเรียน”
หลังจากนั้นท่านก็ไปประจำสอนอยู่ที่โรงเรียนที่พึ่งจัดตั้งขึ้นสำหรับชาวเยอรมันที่อพยพมาในภูมิภาค
และอีกหลายโรงเรียนในนิวยอร์ก หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1860 ท่านก็ได้เป็นคณะกรรมการดูแลคณะของท่าน
และได้ร่วมตั้งโรงพยาบาลเซนต์เอลิซาเบท (ค.ศ.1866) ที่ยูทิกา และ โรงพยาบาลเซนต์โจเซฟ (ค.ศ.1869) ที่ซีราคิวซ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลคาทอลิกสองแห่งแรกในตอนกลางของรัฐนิวยอร์ก
โรงพยาบาลที่อ้าแขนรับทุกคน ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน ผิวสีอะไร
ในปี
ค.ศ.1870
ท่านก็ได้ย้ายไปประจำในโรงพยาบาลเซนต์โยเซฟ
ที่ซีราคิวซ์ ในฐานะผู้จัดการของโรงพยาบาลเป็นระยะเวลาหกปี
ซึ่งท่านกล่าวเสมอว่ามันคือเรื่องท้าทายของท่าน แต่มันก็เคยเกินความสามารถท่าน
ท่านเป็นผู้นำในการดูแลสุขภาพ ผู้มีพลังจากพระเจ้า ถัดมาเมื่อมีการย้ายวิทยาลัยแพทย์เจนีวาแห่งโฮบาร์ตวิทยาลัยย้ายเป็นวิทยาลัยแพทย์ที่มหาวิทยาลัยซีราคิวซ์
ในปี ค.ศ.1871 ตามสัญญาของท่านที่จะรับนักศึกษาของวิทยาลัยมาฝึกงานในโรงพยาบาล
เพื่อส่งเสริมการศึกษาของพวกเขา แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ป่วย (และด้วยผลจากที่ท่านได้ทำงานเคียงข้างกับแพทย์จากวิทยาลัยที่ก้าวหน้าที่สุด
ท่านจึงซึมซับเรื่อระบบของโรงพยาบาล การพยาบาลและเภสัชกรรม)
ท่านเป็นผู้สนับสนุนด้านสุขอนามัยอย่างเข้มงวด
อาทิ การล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธีก่อนไปปรนนิบัติผู้ป่วย
บ่อยครั้งท่านก็ถูกวิพากษ์วิจารจากการรักษาผู้ป่วย “จรจัด” เช่นผู้ป่วยจากโรคพิษสุราเรื้อรัง
โรคที่ทำให้แพทย์ในสมัยนั้นถึงกลับต้องขมวดคิ้วที่จะรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล
มันจึงเป็นเรื่องแปลก ประการฉะนี้ท่านจึงเป็นที่รู้จักและที่รักจากคนในภาคกลางของรัฐนิวยอร์กสำหรับความเมตตา
สติปัญญาและการลงพื้นที่ของท่าน
“ดิฉันหิวกระหายการทำงานและดิฉันปรารถนาจะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลือกด้วยหมดดวงใจของดิฉัน
ผู้มีสิทธิ์จะได้สละตัวเองเพื่อความรอดของวิญญาณชาวเกาะผู้น่าสงสาร
…….. ดิฉันมิกลัวโรคใดๆ
เพราะฉะนั้นมันจะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของดิฉันแม้แต่ปรนนิบัติคนโรคเรื้อนที่ถูกทอดทิ้ง” ค.ศ.1883 ท่านตอบรับจดหมายจากพระเจ้าคาลาคาอัวแห่งฮาวาย
หมู่เกาะแซนด์วิชหรือฮาวายที่เขียนมาร้องขอให้ส่งสมาชิกคณะไปเปิดโรงเรียนและโรงพยาบาลซึ่งมากกว่า
50
คณะปฏิเสธ ยกเว้นท่าน จดหมายนี้สัมผัสหัวใจท่านว่ามันคือเรื่องจำเป็นและเร่งด่วน
ท่านมิกลัวโรคเรื้อน ด้วยการอุทิศตนต่อนักบุญฟรานซิส
แห่ง อัสซีซี ผู้รับใช้ผู้ป่วยที่ยากไร้และด้วยความห่วงใยคนโรคเรื้อน
ท่านตระหนักได้ว่าฮาวายคือน้ำพระทัยของพระเจ้า
ดังนั้นท่านซิสเตอร์อีกหกคนจึงลงเรือมุ่งสู่พันธกิจใหม่ที่ฮาวาย
ระฆังอาสนวิหารแม่พระแห่งสันติภาพดังขึ้น เรียกให้ฝูงชนมาที่ท่าเรือ
เมื่อพวกท่านมาถึงท่าเรือโฮโนลูลูในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1883 ด้วยเรือเอสเอส มารีโปซา หลังจากนั้นท่านก็นำสมาชิกไปบริหารโรงพยาบาลกากาอาโก
สาขาของโรงพยาบาลโอวาฮูอันเป็นสถานที่รับผู้ป่วยโรคเรื้อนจากทั่วทั้งเกาะ
ถัดจากนั้นตามคำร้องขอจากทางรัฐบาลท่านก็ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลมาลูลานิ
โรงพยาบาลทั่วไปแห่งแรกบนเกาะเมาอิ ในปี ค.ศ.1884 แต่แล้วเรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อทางรัฐบาลได้ละเมิดกฎแต่งตั้งผู้ดูแลระบบของคนโรคเรื้อนโรงพยาบาลกากาอาโก
ท่านจึงต้องกลับไปที่นั่นและยืนคำขาดกับรัฐบาลว่าจะถอดถอนผู้ดูแลคนนั้นออกหรือให้ซิสเตอร์ทั้งหมดกับซีราคิวซ์
การยื่นคำขาดนี้ทำให้ท่านต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลอันแออัดอย่างเต็มที่ ท่านคาดว่าคงจะได้กลับซีราคิวซ์
แต่ผิดคาดเมื่อทางรัฐบาลและพระศาสนจักรประกาศว่าการเป็นผู้นำของท่านสำคัญต่อความสำเร็จของพันธกิจ
หลังจากสองปีแห่งความสำเร็จ
การต่อสู้ พระเจ้าคาลาคาอัวแห่งฮาวายก็ได้ทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์คาปิโอลานิสำหรับความเมตตาต่อผู้ทุกข์ทรมานของท่าน
ก้าวต่อไปของท่านต่อชาวฮาวายคือในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1885 ท่านก็ได้เปิดบ้านคาปิโอลานิ ในพื้นที่ของโรงพยาบาล
เพื่อดูแลเด็กสาวของผู้ป่วย เพราะไม่มีใครนอกจากบรรดาซิสเตอร์ที่ดูแลคนใกล้ตัวผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
ท่านมีโอกาศได้พบกับนักบุญดาเมียน
แห่ง โมโลไก ครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ.1884 เมื่อเขามาร่วมพิธีเสกวัดน้อยที่โรงพยาบาล
ที่ โออาฮู กระทั้งใน ค.ศ.1886 เมื่อคุณพ่อติดโรคเรื้อน
ท่านก็เป็นคนเดียวที่อ้าแขนรับท่านเข้ามาพักรักษาตัว หลังจากทราบว่าอาการป่วยของคุณพ่อทำให้ไม่มีใครกล้ามาเยี่ยมคุณพ่อจากทั้งทางรัฐบาลและผู้ใหญ่ทางศาสนาในโฮโนลูลู
ท่านได้จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมและทำให้แน่ใจว่าคุณพ่อจะได้รับการรักษาที่ดีตลอดระยะเวลาสั้นๆของการพักรักษาตัว
การดูแลของท่านทำให้การเนรเทศผู้ป่วยโรคเรื้อนไปที่เกาะโมโลไกเริ่มซาลง
เป็นระยะเวลาหลายปีที่ผู้ป่วยใหม่มิได้ถูกเนรเทศไป แต่แล้วในปี ค.ศ.1887 เมื่อรัฐบาลใหม่สั่งปิดโรงพยาบาลสำหรับพวกเขาในโออาฮู
เพื่อหันกลับมาใช้นโยบายเนรเทศแบบเดิม คำถามก็ผุดขึ้นมา แล้วใครจะดูแลพวกเขากันละ? มันจึงเป็นอีกครั้งหนึ่งท่านก็ถูกขอให้ไปเปิดบ้านสำหรับเด็กหญิงและหญิงสาวที่คาบสมุทรคาลาวปาปา
เกาะโมโลไก
“พวกเราจะมีความสุขที่ยอมรับการทำงานค่ะ
……” คำตอบรับของท่าน ดังนั้นพฤศจิกายน ค.ศ.1888 ท่านจึงเดินทางไปยังคาเลาปาปาพร้อมซิสเตอร์สองคนคือซิสเตอร์เลโอโปลดินา
เบิร์นส์ กับ ซิสเตอร์วินเซนเทีย แม็คคอรมิก และได้อยู่ดูแลคุณพ่อดาเมียนที่ป่วยอยู่
ปลอบประโลมเขาว่าไม่ต้องห่วงอะไรบ้านเด็กชายที่การาวาว เพราะท่านจะเป็นคนดูแลเอง
กระทั้งถึงวันที่คุณพ่อจากไป
15 เมษายน
ค.ศ.1889
เพียงสองอาทิตย์หลังจากการจากไปของนักบุญดาเมียน
คณะกรรมการสุขภาพของโฮโนลูลู ก็ได้มีมติให้ท่านสานต่องานของคุณพ่อดาเมียนที่บ้านเด็กชายอย่างเป็นทางการ
เรื่องแรกที่ท่านเริ่มดำเนินการก็คือการจัดสร้างบ้านใหม่จากการสนับสนุนของนักธุรกิจพื้นเมืองนามเฮนรี
เพอร์รีน บอร์ดวิน เมื่อเสร็จแล้วท่านก็ได้เชิญคณะพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์มาดูแลเด็กๆต่อและส่วนท่านพร้อมผู้ช่วยก็ถอนตัวไปดูแลบ้านสังฆราชสำหรับสตรีและเด็กหญิงที่เป็นโรคเรื้อน
เมื่อพวกเขามาถึงในปี ค.ศ.1895
นอกจากการพยาบาลแล้ว
ท่านก็ยังสนับสนุนด้านการศึกษาในโรงพยาบาล ความสามัคคี เย็บปักถักร้อย ทิวทัศน์
ท่านเชิญคุณพ่อจากวัดนักบุญฟรานซิสในคาลาวปาปามาให้ความรู้ด้านศาสนาแก่ผู้ป่วยในโรงพยาบาล
ท่านให้อิสระแก่ทุกคน
ท่านสอนบรรดาซิสเตอร์ของท่านถึงหน้าที่ว่า “ทำให้ชีวิตเป็นที่พอใจและสบายเท่าที่ทำได้สำหรับบรรดาเพื่อนมนุษย์ของเราผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรให้ทรมานด้วยโรคร้ายนี้…..”
ท่านถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1918 ด้วยอายุ 80 ปี โดยมิได้ติดโรคเรื้อนเลย ร่างของท่านถูกฝังอยู่ที่สนามบ้านสังฆราช
หลัจากนั้นเรื่องราวคุณธรรมความเมตตา
ความอ่อนโยน ก้ท่านก็ได้รับการดำเนินการไปสู่สันตะสำนัก
ที่สุดแล้วหลังจากการความยินดีผ่านพ้นมาเมื่อพระคาร์ดินัลโยเซฟ รัทซิงเกอร์ ชาวเยอรมันได้ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่
16 ท่านก็ได้รับการประกาศให้เป็นบุญราศีองค์แรกในรัชสมัยของพระองค์
ในวันที่ 14 พฤษภาคม
ค.ศ.2005 และถัดจากนั้นอีกเพียงเจ็ดปีพระองค์ก็ได้ทรงบันทึกนามท่านพร้อมบุญราศีอีก
6
องค์เป็นนักบุญ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ.2012 ที่ผ่านมานี้เอง
“เขาเอื้อเฟื้อเเจกจ่าย
เขาให้เเก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่ตลอดนิรันดร” (
2 โครินธ์
9:9 )
ชีวิตท่านดำรงอยู่ในกิจเมตตากับทั้งคนจรจัดในนิวยอร์กที่ป่วยด้วยโรคพิษสุรา
คนโรคเรื้อนในฮาวาย ที่ท่านปลอบประโลมพวกเขาเสมอ นำพาวิญญาณพวกเขา
ไม่ใช่แค่นั้นท่านยังสอนให้บรรดาซิสเตอร์รู้จักที่ปฏิบัติเช่นเดียวกัน
จึงไม่แปลกที่ท่านไม่ติดโรคเรื้อนจากพวกเขา แม้ว่าท่านจะทำงานใกล้ชิดพวกเขาก็ตาม
“ข้าแต่ท่านนักบุญแมเรียน โคบ
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง