นักบุญแอกเนส แห่ง โบฮีเมีย
St. Agnes of
Bohemia
ฉลองในวันที่ : 2 มีนาคม
องค์อุปถัมภ์ : สาธารณรัฐเช็ก
พระราชธิดาแอกเนส
ทรงเป็นพระราชธิดาในพระเจ้าออทโทคาร์ที่ 1 แห่ง โบฮีเมีย กับ พระนางคอนสแตนซ แห่ง ฮังการี
ดังนั้นจึงทรงสืบเชื่อสายมาจากนักบุญลุดมิลาและนักบุญวาสลัฟที่ 1 ดยุกแห่งโบฮีเมีย สองมรณสักขีองค์อุปถัมภ์ของโบฮีเมีย
และเป็นพระญาติทางฝั่งพระราชมารดากับนักบุญเอลิซาเบท แห่ง ฮังการี ทรงมีพระสูติกาลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ.1211 ณ เมืองปราก ราชอาณาจักรโบฮีเมียหรือปัจจุบันคือสาธารณรัฐเช็ก
ต่อมาเมื่อท่านมีชันษาได้ 3
ปี ท่านก็ถูกส่งไปอยู่กับพระมาตุจฉาหรือคุณป้าฝั่งมารดาของท่านที่โปแลนด์ นักบุญเจดวิกา แห่ง ไซลีเซีย ที่นำท่านเข้ารับการศึกษาที่อารามซิสเตอร์คณะซิสเตอร์เซียนที่พระนางได้ทรงก่อตั้งไว้และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่านได้ถูกจับให้เข้าพิธีหมั้นกับเจ้าชายโบเลสลาฟ บุตรของคุณป้าท่าน
แต่อนิจจาเขาเสียชีวิตก่อนที่จะได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับท่าน หลังจากนั้นเมื่อเจริญชันษาได้
6 ปี ท่านก็ย้ายกลับไปศึกษาต่อที่อารามที่ดุคซานี
และอยู่ที่นั่นอีกสองปีก่อนเดินทางกลับสู่ราชสำนักโบฮีเมีย
กระแสเรียกจากพระเจ้า
เริ่มตั้งแต่ท่านยังทรงพระเยาว์ ท่านรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป
ท่านจึงหันหน้าเข้าหาพระเจ้ายิ่งขึ้นและสัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่จะอุทิศตัวต่อพระเจ้า
คงรักษาไว้ซึ่งพรหมจรรย์ ท่านจึงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเสมอว่าให้ท่านสามารถจะปฏิบัติตาม
“กระแสเรียก” ได้
เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น
พระราชบิดาท่านก็เลยจับท่านในวัย 8 ชันษาหมั้นกับเฮนรีวัย
10 ชันษา ราชาแห่งชาวโรมัน พระราชโอรสในจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(อาณาจักรโบณาณของประเทศเยอรมัน) ดังนั้นตามจารีตประเพณีท่านควรจะใช้ชีวิตในขณะทรงพระเยาว์อยู่ในราชสำนักของพระราชสวามีในอนาคต
เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ และเป็นการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของประเทศใหม่ที่จะกลายเป็นบ้านหลังที่สอง
แต่ขณะนั้นจักรพรรดิฟรีดริชที่
2 ทรงมีพระราชฐานอยู่ที่ปาแลร์โม
เพราะทรงเป็นผู้ปกครองซิซิลี ส่วนพระราชโอรสเฮนรี
ก็ทรงอยู่ที่พระราชวังพระอัครสังฆราชเองเกลเบิร์ต เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมัน จึงมีการตัดสินใจจะส่งท่านไปที่ราชสำนักที่กรุงเวียนนา
แต่ปัญหาก็บังเกิดเมื่อดุก เลโอโปลด์ ที่ 4แห่ง
บาเบนเบิน์ก (Duke
Leopold VI of Babenberg) ต้องการให้มาร์กาเร็ตธิดาของเขาต่างหากละ
ที่เข้าพระราชพิธีเสกสมรสกับเฮนรี
ประการฉะนี้หลังจากจากบ้านไปนานหกปีในปี
ค.ศ.1225 ท่านจึงเดินทางกลับปราก หลังจากนั้นปีถัดมาพระราชบิดาท่านจึงยกทัพไปตีบาเบนเบิน์กจากปัญหาข้อพิพาท พร้อมวางแผนจะจัดท่านให้หมั้นกับพระเฮนรี่ที่
3 แห่ง อังกฤษ แต่ก็ถูกคัดค้านโดยจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 ที่สนพระทัยในตัวท่าน
ที่สุดแล้วการหมั้นระหว่างท่านและเฮนรี่ก็เป็นอันยกเลิกไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.1229 ด้วยอำนาจทางการเมือง
ฝ่ายท่านก็ถูกสู่ขออีกครั้งจากจักรพรรดิฟรีดริชที่
2 ท่านที่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจก็ต้องจำยอมเข้าพิธีหมั้นกับเขา
นับจากวันนั้นท่านก็พยายายพลีกรรมและสวดภาวนามากขึ้น หลายต่อหลายครั้งท่านตื่นนอนก่อนดวงอาทิตย์จะฉายแสง
เดินด้วยพระบาทเปล่ากับสหายใจศรัทธาของท่านไปยังวัด แล้วกลับมาพร้อมพระบาที่เต็มไปด้วยเลือดจากการเดินมาก
หลังจากนั้นท่านก็จะเพียงล้างพระบาทให้สะอาด ก่อนทรงฉลองพระองค์เจ้าหญิงไปเข้าร่วมปฏิบัติกิจเมตตาการเยี่ยมเยียนผู้ป่วย
จักรพรรดิฟรีดริชที่
2 ทรงส่งทูตมารับท่านไปเข้าพระราชพิธีเสกสมรส ที่
ประเทศเยอรมัน เมื่อท่านมีชันษา 28 ปี แต่ท่านิปรารถนาจะเป็นตัวหมากในเกมส์การเมือง
แม้สมเด็จพระเจ้าเวนสเลาสที่
1 แห่ง โบฮีเมีย พระเชษฐาของท่านจะสนับสนุนก็ตามที ใจท่านปรารถนาแค่อย่างเดียวคือการอุทิศตนเพื่อพระเจ้า
ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจเขียนจดหมาถึงสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 เพื่อขอให้พระองค์ช่วยระงับการแต่งงานของท่าน
ซึ่งพระองค์ก็ทรงทำตามคำขอของท่าน ดังนั้นท่านจึงหลุดจากการเป็นหมากในนเกมส์การเมืองได้สำเร็จ
ด้วยทรัพย์สมบัติจากพระราชบิดาของท่าน
บนที่ดินที่พระเชษฐานของท่านยกให้ ท่านก็ได้ก่อสร้างโรงพยาบาลนักบุญฟรานซิสขึ้นในปี
ค.ศ.1232
พร้อมอารามสำหรับคุณพ่อคณะภารดาน้อยที่พึ่งมาถึงโบฮีเมียตามคำเชิญของพระเชษฐาของท่าน และจากพวกเขา ท่านก็ได้รู้จักคุณแม่คลารา
แห่ง อัสซีซี และคณะกลาริส ท่านจึงได้สร้างอารามคณะกลาริสแห่งแรกของประเทศทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ขึ้นอีกหลังในปี
ค.ศ.1234 และขอคณะซิสเตอร์มาประจำอยู่ ซึ่งคุณแม่คลาราก็ตอบรับคำขอท่าน
คุณแม่ส่งซิสเตอร์มา 5 คน
เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้ว ในวันอาทิตย์สมโภชพระจิตเจ้าที่ 11 มิถุนายน ค.ศ.1234 ท่านก็ได้เข้าอารามกลาริส ริมฝั่งแม่น้ำโมลดาวา ถัดมาในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกันสมเด็จพระสันตะปาปาก็ชีนำว่าท่านควรขึ้นดำรงตำแหน่งคุณแม่อธิการิณีของอาราม แต่ท่านปฏิเสธ พระองค์จึงทรงสั่งท่าน ท่านจึงต้องน้อมรับด้วยศีลบนแห่งความนบนอบ นับจากนั้นท่านก็เริ่มดำเนินงานดูแลผู้ป่วยที่ยากไร้ในโรงพยาบาล ท่านทั้งปรุงอาหาร พยาบาลคนโรคเรื้อนและผู้ยากไร้เป็นการส่วนตัว ซักผ้า
ท่านและนักบุญคลาราไม่เคยพบหน้ากัน แต่ผ่านทางจดหมายท่านได้พบกับเธอ
คุณแม่คลาราเขียนจดหมายถึงท่านด้วยความห้วงใยเช่นมารดามีต่อบุตรสาวของเธอ
ที่เธอไม่เคยแม้แต่จะพบหน้า ปัจจุบันค้นพบเพียงสี่ฉบับ
แต่ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เราเห็นว่าท่านและคุณแม่คลารามีความปรารถนาและการต่อสู้ร่วมกัน
ทั้งความปรารถนาที่เจริญชีวิตด้วยความยากจน การภาวนาและการบริการ
แต่สมเด็จพระสันตะปาปามิทรงเห็นด้วยกับแนวทางของคุณคลาราเท่าไรนัก แต่ในสุดท้ายสมเด็จพระสันตะปาปาก็ทรงยอมอนุมัติ “สิทธิความยากไร้” ที่คุณแม่คลาราปรารถนา เฉพาะที่ซาน ดามิอาโน เท่านั้น กระนั้นท่านก็ไม่ยอมแพ้
ที่จะปฏิบัติตามกฎของบ้านแม่ จนกระทั้งสมเด็จพระสันตะปาปาอิโนเซนต์ ที่ 4 ทรงขึ้นดำรงเป็นพระสังฆราชแห่งกรุงโรม
พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้อารามของท่านปฏิบัติตามกฎของนักบุญฟรานซิสได้
ค.ศ.1238 ท่านก็ได้ตั้งกลุ่มฆราวาสที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลขึ้นมา
ในชื่อว่า “อัศวินแห่งกางเขนและดาวแดง” ตามกฎของนักบุญออกัสติน
พร้อมส่งมอบหน้าที่ดูแลงานในโรงพยาบาลแก่พวกเขา นอกจากนั้นเมื่อเกิดปัญหาพิพาทภายในราชวงศ์ท่านก็ช่วยไกล่เกลี่ยอีกด้วย ท่านมีความรักร้อนรนต่อศีลมหาสนิท ไม้กางเขนและแม่พระผ่านการรำพึงถึงรหัสธรรมแห่งการแจ้งสาส์น
“เปลวไฟแห่งความรักของพระเจ้ารุกโชนอยู่เสมอบนแท่นบูชาแห่งดวงใจของแอกเนส
ผ่านการผลักดันให้สูงขึ้นด้วยความเชื่ออันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อทำให้ทุกคนแสวงหาความรักของพระองค์อย่างต่อเนื่อง”
ตลอดชีวิตในอารามท่านยังมีส่วนในการสนับสนุนการอนุมัติกฎของคณะ
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1235 –
ค.ศ.1245 มีการค้นพบจดหมายของท่านถึงสมเด็จพระสันตะปาปาถึงยี่สิบฉบับ
และหลังจากการดำเนินเรื่องที่ยาวนานนับร้อยปี ท่านก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศี
ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ.1874 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 9 ถัดจากนั้นอีกหลายสิบปีแห่งความพยายาม สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ปอล ที่ 2 ก็ได้ทรงมิสซาสถาปนาบุญราศีแอกแนสขึ้นเป็นนักบุญพร้อมภารดาน้อยชาวโปแลนด์
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ.1989
“จงให้ความรักปราศจากมารยา” (โรม 12:9) นักบุญแอกแนสมอบความรักกับทุกคนโดยเฉพาะผู้ยากไร้
ท่านมอบความรักแก่พวกเขาโดยปราศจากสิ่งเสแสร้ง ดูได้จากการที่ท่านปฏิบัติต่อพวกเขา
แม้ท่านจะมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงหรือคุณแม่อธิการิณี ท่านก็ทำงานที่ต่ำต้อย
ดูแลคนโรคเรื้อนที่ใครก็พากันรังเกียจแบบส่วนตัว ตามแบบฉบับของบิดาฟรานซิส
บางทีการที่เราจะไปสวรรค์อีกทางก็คือการมอบความรักที่ใสดั่งเพชรแด่ทุกคนบนโลก
ไม่ว่าจะแบบใดเพื่อน แฟน พ่อแม่ ญาติ ตามแบบฉบับของท่านก็ได้ ฉบับของพระเยซูเจ้า
“โปรดให้ข้าพระองค์เป็นเครื่องมือแห่งสันติของพระองค์”
“ข้าแต่ท่านนักบุญแอกเนส แห่ง โบฮีเมีย
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง