นักบุญคินกา
St. Kinga of
Poland
ฉลองในวันที่ : 24 กรกฎาคม
องค์อุปถัมภ์ : ประเทศโปแลนด์ , ประเทศลิทัวเนีย ,
คนงานเหมืองเกลือ
ระฆังย่ำตีสนั่นแคว้น เหตุใด พี่เอย
แว่วแวะมาแต่ไกล ฉะนี้
ประกาศเหตุรึใดไหน ดีไป่ ร้ายไป่
ช่างเสนาะชวนฟังหยิ้ง แน่หยิ้งเป็นไหน
เอสเตอร์กอม ฮังการี 5 มีนาคม
ค.ศ.1234 กษัตริย์เบลา ที่ 4 แห่ง
ฮังการี กับ
พระราชมเหสีของพระองค์พระนางมารีอา ลาสคารินา
พร้อมเหล่าพสกนิกรก็ได้ต้อนรับพระธิดาองค์ใหม่ ซึ่งได้รับศีลล้างบาด้วยพระนามว่า
“คินกา” และถ้าเราลองไล่ดูพระญาติของเจ้าหญิงองค์น้อยแล้ว พวกเราก็จะพบว่าพระธิดาองค์นี้มีฐานะเป็นหลานสาวของนักบุญเอลิซาเบธ
แห่ง ฮังการี ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เหลนของนักบุญเจดวิกา แห่ง ซิเลเซีย
และพี่สาวของนักบุญมาร์กาเร็ต แห่ง ฮังการี กับ บุญราศีโยลันดา แห่ง โปแลนด์
ในฐานะเจ้าหญิงองค์น้อย ท่านถูกเลี้ยงดูและปลูกฝังความเชื่อในราชสำนักของพระราชบิดาโดยมิได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด จนล่วงเมื่อมีชันษาได้ 5 ปี ท่านจึงได้เข้าพิธีหมั้นแบบคลุมถุงชนกับโบเลนสลาว
สตีดลีวี วัย 13 ปี ดยุกแห่งคราคูฟและซานโดเมียร์ซ เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี ฟื้นฟูและนำพาฮังการีให้ผ่านพ้นไปวิกฤตในฐานะ “มารดาของจิตวิญญาณ” จึงเป็นเหตุที่ท่านจึงจำต้องได้รับการดูแลจากพระนางกรีมิสลาวา
แห่ง ลุกค์ พระราชมารดาของโบเลนสลาว ซึ่งได้นำตัวท่านไปยังราชสำนักซานโดเมียร์ซ
ในประเทศโปแลนด์ ด้วยเหตุพระนางทรงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงแห่งโปแลนด์
เจ้าหญิงน้อยกับแผ่นดินใหม่
ช่างเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งต้องหลบหนีจากภัยสงครามของกลุ่มตาตาโรฟ (Tatarów) ในปี ค.ศ.1241 และผู้คนที่แตกต่าง แต่พอผ่านความลำบากต่างๆไปแล้ว ก็นับเ็นโชคนักที่ชีวิตในราชสำนักของท่านนั้น
รายล้อมไปด้วยบุคคลสำคัญทางศาสนาหลายคน ที่ล่วนแต่มีผลต่อการศึกษาของท่าน
นอกจากนั้นท่านยังได้พบจิตตารมณ์แห่งฟรานซิส การปฏิบัติต่อผู้ยากไร้ ชีวประวัติของนักบุญคลาราและนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี ซึ่งล้วนแต่สร้างความประทับใจให้ตราตรึงอยู่ในวิญญาณของท่านมิเสื่อมสลาย จนท่านตัดสินใจยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต โดยเริ่มจากการทำงานกับผู้อื่นด้วยใจมิโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง
และก็เป็นในราชสำนักนี้เอง ที่ท่านได้ศึกษาภาษาละติน พื้นฐานศาสนาคริสต์ ประวัติศาสตร์ของต้นตระกูลทั้งของท่านและพระราชสวามี
ท่านได้รับการอบรมและขัดเกลาจนเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
งานพระราชพิธีสมรสของท่านจึงถูกจัดขึ้นในปี ค.ศ.1246 เมื่อท่านมีชันษาได้ราว 13 ปี แต่ถึงกระนั้นท่านก็ปฏิญาณที่จะถือพรหมจรรย์ เช่นเดียวกันกับบุญราศีซาโลเมียร์แห่งคราคูฟ พระเชษฐภคินีของพระราชสวามีของท่าน
ที่ท่านคุ้นเคยและเป็นคู่หูกันมาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่นั้นมา
อัศจรรย์แห่งก้อนเกลือ - ตามตำนานกล่าวไว้ว่าก่อนที่ท่านจะเข้าพิธี
พระราชบิดาท่านได้ตรัสถามว่าท่านปรารถนาสิ่งใดเป็นสินสอดทองหมั้นเพิ่มไหม ฝั่งท่านจึงตอบในทันทีว่าเกลือฮังกาเรียนสำหรับประชาชนโปแลนด์ ดังนั้นพระราชบิดาท่านจึงพระราชทานเหมืองเกลือร่ำรวยที่ทรานซิลเวเนียกับที่มาร์มาร์โรสซ์ให้ ซึ่งเมื่อได้กรรมสิทธิ์ ณ
เหมืองนั้นแล้ว ท่านก็ได้โยนแหวนหมั้นของท่านลงไปในอุโมงค์ขุดหินเกลือ
ก่อนที่จะพาคนงานเหมือนเกลือที่ชำนาญตามเสด็จไปด้วย จนเมื่อมาถึงยังโปแลนด์และเสร็จพิธีต่างๆนานาแล้ว
ท่านจึงได้เดินทางไปยังวีลิซกา(Wieliczka)
พร้อมชี้จุดที่จะขุดเกลือขึ้นมา และเมื่อคนงานที่เริ่มขุด
พวกเขาก็พบกับหินก้อนหนึ่ง ท่านจึงมีรับสั่งให้ยกขึ้นมา
และก็ต้องพบว่ามันคือก้อนเกลือบริสุทธิ์
ที่ด้านในมีแหวนหมั้นของท่านอยู่เป็นอัศจรรย์ ฝั่งท่านเมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ก็ได้โมทนาขอบพระคุณพระองค์
สำหรับเกลือ และนับจากนั้นมาก็มีการทำเกลือกันในโปแลนด์ตราบจนปัจจุบัน
และด้วยเหตุฉะนี้เช่นกัน ท่านจึงกลายมาเป็นองค์อุปถัมภ์ของคนงานเหมืองเกลือ
หลังจากเข้าพระราชพิธีเสกสมรสแล้ว
ท่านก็เลือกการเป็นมารดาผู้เป็นพรหมจรรย์ของประเทศ ท่านเริ่มจากให้สนับสนุนทางการเงินของรัฐ
โดยท่านได้มอบเงินสินสอดให้พระสวามีของท่าน
เพื่อใช้ปกป้องประเทศจากการบุกของพวกตาตาโรฟและฟื้นฟูประเทศจากความเสียหายแห่งสงคราม แล้วยังมอบให้วัด
อารามและสถานพังพิง จากนั้นท่านช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างราชวงศ์ที่บ่อนทำลายรากฐานของโปแลนด์ พร้อมยังช่วยปกป้องหญิงหม้าย คนยากจนและเด็กกำพร้าโดยใช้กฏหมายในชั้นศาล นอกจากนั้นแล้ว ในทางอ้อมๆท่านยังได้มีส่วนร่วมในการดำเนินเรื่องสถาปนาพระสังฆราชสตานิสลาอุส
(bishop Stanislaus) มรณสักขี เป็นนักบุญ และมากไปกว่านั้นท่านยังคอยสนับสนุนวัฒนธรรมของโปแลนด์
ทั้งกวีศิลป์ คีตศิลป์และวรรณศิลป์ โดยเฉพาะภาษาโปแลนด์ให้ดำรงต่อไป
ส่วนงานด้านพระศาสนา ท่านและพระราชสวามีได้นำคณะฟรานซิสกันและคณะกลาริสมาสู่โปแลนด์ โดยท่านมอบได้มอบทรัพย์สินสำหรับคณะทั้งสอง พร้อมวางรากฐานของอารามและวัด และใน ปี ค.ศ.1271 ท่านก็ได้พาพระราชสวามีท่านไปปฏิญาณรักษาพรหมจรรย์ อันเป็นเหตุที่ท่านไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเลยกระทั้งสิ้นสวรรคต
ท่านดำรงตำแหน่งพระราชินีแห่งโปแลนด์สนองงานพระราชสวามี จนถึงในปี ค.ศ.1279 พระราชสวามีท่านจึงสวรรรคต ฝั่งท่านจึงได้สละทรัพย์สมบัติต่างๆ
แล้วออกจากคราคูฟมุงตรงสู่สตาเรม ซังซู (Starym Sączu) พร้อมตั้งอารามกลาริสขึ้น ณ ที่นั่น และเข้าประทับอยู่ในอารามนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1280 เป็นต้นมา ซึ่งระหว่างนี้เอง ท่านได้ริเริ่มให้มีการแปลเพลงสดุดีของดาวิดเป็นภาษาโปแลนด์
พร้อมแนะให้ซิสเตอร์ที่เป็นนักขับใช้เพลงภาษาโปแลนด์ ท่านประทับอยู่ที่นั่นได้แปดปีในท้ายปี ค.ศ.1288 เมื่อพวกตาตาโรฟยกทัพมาอีกครั้ง
ท่านและซิสเตอร์ในอารามก็ต้องลี้ภัย กระทั้งฤดูหนาวปีถัดมา
ท่านและซิสเตอร์ในอารามจึงได้ย้ายกลับมา
และหลังจากนั้นอีกหนึ่งปีท่านก็ได้เข้าเป็นนวกะในคณะกลาริส นับตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนเรื่อยมา กระทั้งได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ.1291 แต่อนิจจายินดีได้ไม่เท่าไร ไม่นานท่านก็เริ่มป่วย จนต้องล้มหมอนนอนเสื่อนานถึง 10 เดือน แต่กระนั้นท่านก็ยังคงดำรงอยู่ในสันติ มีมิสซาคอยเติมพลังให้ในทุกๆวัน และเมื่อแข็งแรงพอลุกไหว ท่านก็จะลุกขึ้นมาเย็บเสื้อสำหรับผู้ยากไร้ คนป่วยและเด็กกำพร้า จนที่สุดแล้วราชินีผู้อ่อนน้อม ผู้เจริญชีวิตจิตภาวนาอย่างที่รัก ไม่เคยถือฐานันดร ก็ได้สิ้นใจอย่างสงบด้วยพระชนม์พรรษา 68 ปี ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1292
ร่างของราชินีถูกฝังไว้ที่ห้องใต้ดินของอารามอย่างเรียบง่าย
และเมื่ออัศจรรย์บังเกิดที่หลุมฝังพระศพของท่าน ก็จึงได้มีการขุดนำเอาพระธาตุของท่านมาบรรจุไว้ในที่บรรจุพระธาตุ
การดำเนินเรื่องขอแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศีนั้นใช้เวลายาวนานนับสี่ร้อยปี
แต่ที่สุดแล้วสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่
8 ก็ทรงลงพระนามอนุมัติให้คารวียะคินกาขึ้นเป็นบุญราศี
ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน
ค.ศ.1690 ถัดจากนั้นอีกราวสองร้อยปี
ในรัชสมัยของสันตะบิดาผู้ใจดี สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงได้บันทึกนามท่านไว้ในสารบบนักบุญ
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.1999 เป็นต้นมา
“ข้าแต่ท่านนักบุญคินกา ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง